• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Prichas

#7756


ช่วงบ่ายของวันที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมา ที่ห้องประชุมชั้น 5 ห้องว่าการแขวงผ้งสาลี ได้มีพิธีเซ็นบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างแผนกแผนการและการลงทุน ในฐานะตัวแทนแขวงผ้งสาลี กับบริษัทยู่เจิง ลงทุน จากจีน ผู้ลงนามในสัญญา ได้แก่ ทองสุก เปาสุลี หัวหน้าแผนกแผนการและการลงทุนแขวง สมหวัง สุมวิไล เจ้าเมืองยอดอู และเซินปิ่ง ประธานบริษัทยู่เจิง ลงทุน โดยมีคำผอย วันนะสาน เจ้าแขวงผ้งสาลี เป็นสักขีพยาน

เนื้อหาของ MOU อนุญาตให้บริษัทยู่เจิง ลงทุน สำรวจพื้นที่ 250 ตารางกิโลเมตร ในเมืองยอดอู เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยม ลาว จีน เวียดนาม รวมถึงจัดทำแผนโดยละเอียดของโครงการ และทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคม มานำเสนอต่อแขวง

ยังไม่มีรายละเอียดของเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยม ลาว จีน เวียดนาม ถูกเปิดเผยออกมา แต่ในเบื้องต้น เนื้อที่สำหรับสร้างเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษฯ แบ่งเป็นเขตอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรม 150 ตารางกิโลเมตร เขตบริการและท่องเที่ยวอีก 100 ตารางกิโลเมตร รวมถึงสร้างถนนจากบ้านใหญ่อูเหนือ ในเมืองยอดอู ไปถึงสามเหลี่ยมจุดบรรจบชายแดน 3 ประเทศ ลาว จีน เวียดนาม

เจ้าหน้าที่ในแขวงผ้งสาลีผู้หนึ่ง บอกกับสถานีวิทยุเอเซียเสรี ภาคภาษาลาว ว่า แขวงผ้งสาลีได้วางแผนสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งนี้ไว้นานแล้ว แต่เพิ่งได้เซ็น MOU ให้บริษัทยู่เจิง ลงทุน เข้ามาสำรวจศึกษาความเป็นไปได้

ข้อมูลที่ถูกเปิดเผยในพิธีเซ็น MOU ไม่ได้ให้รายละเอียดของบริษัทยู่เจิง ลงทุน เพียงระบุว่า MOU ฉบับนี้มีอายุ 18 เดือน กำหนดให้บริษัทต้องเริ่มลงสำรวจพื้นที่ภายใน 30 วัน นับจากวันลงนาม และบริษัทยู่เจิง ลงทุน ได้วางเงินค้ำประกันไว้ที่แขวง 80 ล้านกีบ หรือประมาณ 2.4 แสนบาท ตลอดอายุ MOU

"ยอดอู"เป็นเมืองที่อยู่เหนือสุดของลาว มีพื้นที่ติดกับเขตปกครองตนเองชนชาติฮาหนี และอี๋ เจียงเฉิง จังหวัดผูเอ่อร์ มณฑลยูนนาน ของจีน และอำเภอเหมืองแญ้ จังหวัดเดี่ยนเบียน เวียดนาม เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำอู ความยาว 448 กิโลเมตร ที่ไหลไปลงแม่น้ำโขงที่แขวงหลวงพระบาง โดยตลอดลำน้ำสายนี้ มีเขื่อนผลิตไฟฟ้าน้ำอู ที่เป็นการลงทุนของบริษัท Sinohydro Corporation จากจีน ตั้งอยู่ถึง 7 แห่ง ลดหลั่นลงไปตามลำดับความสูงของพื้นที่


ปัจจุบัน ลาวมีเขตเศรษฐกิจพิเศษซึ่งตั้งอยู่ตรงจุดรอยต่อชายแดน 3 ประเทศแล้ว 1 แห่ง คือเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งเป็นการลงทุนของจีน ที่เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว อยู่ริมแม่น้ำโขง ตรงข้ามกับอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย และเมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน เมียนมา

นอกจากนี้ ยังมีเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ตั้งอยู่ชายแดน ได้แก่ เขตเศรษฐกิจเฉพาะบ่อเต็นแดนงาม ซึ่งเป็นการลงทุนจากจีนอีกเช่นกัน ตั้งอยู่ที่เมืองบ่อเต็น แขวงหลวงน้ำทา ตรงข้ามกับเมืองบ่อหาน เขตปกครองตนเองสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน , เขตเศรษฐกิจพิเศษสะหวัน-เซโน อยู่ที่เมืองเซโน แขวงสะหวันนะเขต ตรงข้ามกับจังหวัดมุกดาหาร ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนระหว่างรัฐบาลลาวและนักลงทุนมาเลเซีย และเขตเศรษฐกิจพิเศษวังเต่า-โพนทอง ของนักลงทุนลาว ตั้งอยู่ในบริเวณด่านสากลวังเต่า ตรงข้ามกับด่านช่องเม็ก อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี
#7758
คิดจะ ถมดิน ขุดท่อ ทำถนน ขุดสระ ถางป่า เครียร์พื้นที่ ติดต่อ 080-022-3804
#7759


พงศกร แปยอ นักกีฬา วีลแชร์ เรซซิง ทุบสถิติ พาราลิมปิก เกมส์ ประเภท 400 เมตรชาย คลาส T53 กอดคอ พิเชษฐ์ กรุงเกตุ เช้ารอบชิงชนะเลิศ ต่อไป

การแข่งขัน วีลแชร์ เรซซิง ประเภท 400 เมตรชาย คลาส T53 ณ สนาม โอลิมปิก สเตเดียม วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม เป็นการแข่งขันรอบคัดเลือก แบ่งเป็น 2 ฮีต คัด 3 คน ซึ่งทำเวลาดีสุดของแต่ละฮีต กับ 2 คน ที่ทำเวลาดีสุด แต่ไม่ติดท็อป 3 ของทั้ง 2 ฮีต

ปรากฏว่า ฮีตที่ 1 พงศกร แปยอ แชมป์เก่า เข้าเส้นชัยคนแรก เวลา 47.31 วินาที เร็วกว่า ฮอง ซุก มัน เจ้าของสถิติเดิมจาก เกาหลีใต้ ซึ่งทำไว้ 47.67 วินาที ที่กรุงปักกิ่ง เมื่อปี 2008 ตามด้วยอันดับ 2 ยู บึง ฮุน จาก เกาหลีใต้ 49.29 วินาที และอันดับ 3 เฟร์นานเดส ดา ซิลวา อริออสวัลโด จาก บราซิล 51.65 วินาที

ส่วน ฮีตที่ 2 พิเชษฐ์ กรุงเกตุ เข้าเส้นชัยอันดับ 2 ด้วยเวลา 48.698 วินาที ช้ากว่าอันดับ 1 เบรนท์ ลากาตอส จาก แคนาดา 0.7 วินาที และอันดับ 3 ปิแอร์ แฟร์บังค์ จาก ฝรั่งเศส 48.70 วินาที

สำหรับการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ประเภท 400 เมตรชาย คลาส T53 จะเริ่มช่วงเย็นวันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม เวลา 18.01 น. (ไทย)
#7760
 
 ข้าวกล้องอินทรีย์สำหรับคุณแม่ตั้งท้อง 

 ข้าวอินทรีย์สำหรับแม่ตั้งครรภ์
โครงการข้าวอินทรีย์  การทำนาข้าวอินทรีย์   การผลิตข้าวอินทรีย์ต้นทุนต่ำ  ข้าวออร์แกนิค

9 เหตุผลที่คุณแม่ตั้งครรภ์ .....ควรรับประทานข้าวกล้องออร์แกนิค ( ข้าวไรซ์เบอรี่อินทรีย์ )
        การรับประทาน "#ข้าวกล้องออร์แกนิค หรือ ข้าวอินทรีย์สุรินทร์ " ส่งผลดีต่อลูกน้อยในครรภ์และสุขภาพคุณแม่มากมาย ถือเป็นหนึ่งในอาหารกลุ่มให้พลังงาน ข้าวกล้องเป็นข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี จึงยังคงไว้ด้วยคุณค่าสารอาหารมากกว่าขาวที่ถูกขัดสีแล้ว  เรามากันทำไมคุณแม่ตั้งครรภ์ควรกิน  "#ข้าวกล้องออร์แกนิค"  ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้




1. ข้าวมะลินิลออแกนิก, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีเส้นใยอาหาร ซึ่งช่วยในเรื่องของอาการท้องผูกและมะเร็งลำไส้
2.   ข้าวกล้องหอมมะลินิลเกษตรอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิคเมื่อรับประทานข้าวกล้องเป็นประจำ จะช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ป้องกันการเกิดปากนกกระจอก เนื่องจากมีวิตามินบี 2
3.  ข้าวกล้องหอมมะลิอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิคบรรเทาอาการอ่อนเพลีย อาการปวดแสบและเสียวในขา ปวดน่อง ปวดกล้ามเนื้อ
4.  ข้าวกล้องอินทรีย์หอมมะลิ, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีฟอสฟอรัส ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน และเส้นผม
5.  ข้าวปะกาอำปึลอินทรีย์กรมการข้าว, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีธาตุเหล็กมากเป็น 2 เท่า ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
6. ข้าวปะกาอำปึลปลอดสารพิษ, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีเกลือแร่ และวิตามินรวมกันกว่า 20ชนิด ซึ่งช่วยให้ระบบการทำงานของร่างกายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
7. กลุ่มข้าวผกาอำปึลอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีโปรตีนมากกว่า 20-30% ช่วยเสริมสร้างร่างกาย ซ่อมแซมเซลล์ส่วนที่สึกหรอ
8.  ข้าวหอมมะลิแดงอินทรีย์ , ข้าวกล้องออร์แกนิกมีแคลเซียมจำเป็นที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับ ช่วยให้กระดูกแข็งแรง และยังช่วยป้องกันการเกิดตะคริว ซึ่งคุณแม่ตั้งครรภ์กว่า 90% ต้องเผชิญ
9.  ข้าวกล้องหอมมะลิแดงออร์แกนิค, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีแป้งมีน้อยกว่าข้าวขาว ช่วยลดความอ้วน เนื่องจากได้รับสารอาหารต่างๆ ที่มีประโยชน์เพิ่มขึ้น มีผลทำให้สุขภาพจิตใจของคุณแม่ตั้งครรภ์ดีขึ้น เพราะสุขภาพร่างกายแข็งแรง สดชื่น แจ่มใส

หลังจากรู้คุณค่าของ "ข้าวกล้องออร์แกนิค"  กันแล้ว อย่าลืมซื้อ "ข้าวกล้องออร์แกนิก"  มาทานกันนะคะ

ข้าว Hor.Boutique ข้าวไรซ์เบอรี่ หรือ ข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่   ข้าวอินทรีย์
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website :  ข้าวหอมมะลิออแกนิคคือ
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1.  ข้าวหอมมะลิออร์แกนิค
2.  ข้าวกล้องหอมมะลิออแกนิค
3.  ข้าวปะกาอำปึลออแกนิค  ปลูกข้าวผกาอำปึลอินทรีย์(ข้าวพื้นถิ่นออแกนิกสุรินทร์) 4.  ขายข้าวสารหอมมะลิผสมหลายสายพันธุ์ จ.สุรินทร์
5. ข้าวกล้องหอมมะลิแดงออแกนิคคือ 6.  ข้าวกล้องหอมมะลินิลปลอดสารพิษ
7. ข้าวกล้องไรซ์เบอรี่อินทรีย์  ข้าวไรซ์เบอร์รี่ออแกนิคสำหรับทารก

#ข้าวคนท้อง  #ข้าวสำหรับคนท้อง   #ข้าวคนตั้งครรภ์   #ข้าวสำหรับคนตั้งครรภ์  #คนท้องกินข้าวกล้อง  #คุณแม่ตั้งครรภ์
 

 

 

 

 

 

 
 
#7761


เปิดประเด็นข้อเท็จจริง จริงหรือไม่? ที่อเมริกาและประเทศพันธมิตร ไม่อนุญาตให้ "นักศึกษาจีน" ไปเรียนอีกต่อไป

การเรียนต่อต่างประเทศของนักเรียน "นักศึกษาจีน" เป็นหนึ่งในประเด็นที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงเคียงคู่ไปกับกระแสที่ทางการจีนปฏิวัติ "ธุรกิจการศึกษา" และแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในจีน เพราะจำนวนนักศึกษาจีนไปเรียนต่อยังต่างประเทศในแต่ละปีถือว่าสูง เอาแค่ย้อนไปเมื่อราว 20 ปีที่ผ่านมา ช่วงปี 2002–2007 จำนวนนักศึกษาจีนที่ไปเรียนต่อต่างประเทศ อยู่ที่ประมาณ 100,000 คนต่อปี และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 10 ปีมานี้ โดยเฉพาะการไปเรียนต่อในประเทศสหรัฐอเมริกา

แต่มีการชะลอตัวไปบ้างในช่วงสามปีมานี้ เนื่องจากจีนมีปัญหาสงครามการค้ากับอเมริกา และต่อเนื่องด้วยความขัดแย้งทางการเมือง อย่างประเด็นการแพร่ระบาดโควิด และการเมืองไต้หวัน-ฮ่องจง ซึ่งจีนมองว่าอเมริกาเข้าไปแทรกแซง ทำให้มีประเด็นการแบนและตั้งข้อจำกัดที่ทำให้คนจีนขอวีซ่าไปเรียนในอเมริกายากขึ้นออกมาในพื้นที่สื่อทั่วโลก จนถึงขั้นเกิดข่าวลือในช่วงนี้ว่า "อเมริกาตัดสินใจห้ามนักศึกษาจีนเข้าไปเรียนที่อเมริกา รวมถึงประเทศที่เป็นพันธมิตรอเมริกาด้วย อย่าง แคนาดา ญี่ปุ่น"

จริงหรือไม่? นักเรียนนักศึกษาจีนทั้งหมดถูกอเมริกาและอีกบางประเทศ ห้ามไปเรียน!

อ้ายจง ขอบอกอย่างนี้ครับว่า อเมริกาไม่ได้ "ห้าม" หรือ "ไม่อนุญาต" ให้ "นักศึกษาจีน" เข้าไปเรียนที่อเมริกาอีกต่อไปเหมือนดังได้รับข่าวลือที่ออกมานะครับ ยังคงมีนักศึกษาจีนได้รับการตอบรับเพื่อเข้าเรียนในอเมริกา และเริ่มเดินทางไปยังอเมริกาแล้วโดยเฉพาะเดือนสิงหาคมนี้ หลังจากอเมริกาผ่อนคลายมาตรการเข้มงวดในการขอวีซ่าและเดินทางเข้าอเมริกา โดยอนุญาตให้นักเรียนจีนเดินทางเข้าอเมริกาได้ สำหรับโปรแกรมการศึกษาที่จะเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2021 เป็นต้นไป มีเงื่อนไขว่า "เดินทางเข้าอเมริกาล่วงหน้า ไม่เกิน 30 วัน ของเวลาเปิดเทอมหรือเริ่มต้นคอร์สเรียน" 

และ ตามข้อมูลจาก China Daily สื่อจีนรายใหญ่ ระบุว่า จำนวนนักศึกษาจีนทั้งหมดที่เรียนในอเมริกาช่วงปีการศึกษา 2019-2020 ยังคงครองสัดส่วนใหญ่ในอเมริกา มีทั้งหมด 372,000 คน คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของนักศึกษาต่างชาติหลักล้านคนในอเมริกา

ต้องยอมรับว่า ณ ขณะนี้ คนจีนเจอข้อจำกัดในการไปเรียนต่อเมริกาและต่างประเทศมากขึ้นจากหลายปัจจัย เช่น จากวิกฤติโควิด ค่าตั๋วค่าเดินทางแพงขึ้น

ข้อมูลจาก SCMP (South Morning China Post) สื่อเอกชนสายจีน กล่าวถึง ค่าตั๋วเครื่องบินจากจีนเข้าอเมริกา ราคาสูงมาก เป็นหนึ่งในข้อจำกัดสำคัญ ตัวอย่างเช่น ตั๋วเที่ยวเดียวจากปักกิ่งหรือเซี่ยงไฮ้ ไปยังปลายทางมหานครนิวยอร์ก บอสตัน หรือเมืองใหญ่อีกหลายเมืองในอเมริกา ต้องจ่ายเงินสูงถึงราว 20,000 หยวน (ประมาณ 1 แสนบาท) เลยทีเดียว

ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างจีนและอเมริกา มีผลกระทบต่อการเรียนต่อในอเมริกาของพลเมืองจีน อเมริกาแบนและจำกัดการขอวีซ่าจริงๆ ถึงขั้นแบนมหาวิทยาลัยจีนบางแห่งเลยก็มีนะครับ แต่แบนและจำกัดเฉพาะบางราย ไม่ใช่ 100% โดยมุ่งเน้นไปที่การศึกษาต่อในสายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และ คณิตศาสตร์ หรือเรียกรวมว่า STEM จากประเด็นความปลอดภัยและความมั่นคงของประเทศ สหรัฐอเมริกาเกรงกลัวว่า ข้อมูลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับ STEM รวมถึงข้อมูลสำคัญอื่นๆ จะหลุดรั่วไหลไปยังรัฐบาลจีนและกองทัพจีน ผ่านทางนักเรียนนักศึกษาและนักวิจัยจีน

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

ปี 2020 อเมริกาประกาศ "แบนและยกเลิกวีซ่านักศึกษาแก่นักศึกษาจีน" อย่างน้อย 2 รอบ สืบเนื่องมาตั้งแต่ความขัดแย้งทางการค้าในสงครามการค้าของทั้งสองประเทศ โดยเหตุผลที่ยกเลิกวีซ่า อเมริกายกเหตุผลว่า "นักศึกษาจีนเหล่านี้ มีความเกี่ยวข้องกับทางการทหารจีน และขโมยข้อมูลสำคัญของทางอเมริกาไปให้แก่ทางจีน" คาดว่ามีนักศึกษาจีนได้รับผลกระทบอย่างน้อย 3,000–5,000 คน เมื่อเทียบกับสัดส่วนตัวเลขจำนวนนักศึกษาจีนในอเมริกา 372,000 คน คิดเป็น 0.8–1.3% เท่านั้น

เมื่อพฤษภาคมปีนี้ Global Times สื่อกระบอกเสียงทางการจีน เผยแพร่รายงานข้อมูลจาก Gewai Education บริษัทแนะแนวศึกษาต่ออเมริกา ซึ่งเผยข้อมูลการขอวีซ่าอเมริกาของนักเรียนจีนจำนวนหนึ่งโดนปฏิเสธ เพราะพ่อแม่ผู้ปกครองทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงอยู่ในหน่วยงานเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและความมั่นคงของประเทศจีน รวมถึงหน่วยงานปราบปรามคอรัปชั่นและตรวจคนเข้าเมือง ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่ชี้ว่า เหตุผลการแบนในข้างต้นเป็นความจริง โดยเพิ่มเติมโพรไฟล์และภูมิหลังของครอบครัวด้วย ถ้าหากเกี่ยวข้องกับรัฐบาลจีน อาจมีแนวโน้มโดนแบน ไม่ได้วีซ่าอเมริกา

นักศึกษาจีน บางคนที่โดนแบนให้สัมภาษณ์กับสื่อ อย่างเช่น นักศึกษาหนุ่มจีนนาม "Dennis Hu" ให้สัมภาษณ์ต่อ CNN ว่า เดินทางกลับจากอเมริกาไปยังบ้านในประเทศจีน เพื่อฉลองตรุษจีน (ช่วงจีนเกิดระบาดโควิด) และจะกลับไปต่อวีซ่าอเมริกา เพื่อกลับไปทำปริญญาเอกทางด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ให้จบ แต่ปรากฏว่าเขาเป็น 1 ในนักศึกษาจีนนับพันคนที่ "โดนแบนวีซ่า" ไม่ให้กลับไปศึกษาต่อในอเมริกา และแน่นอนว่าเขาก็เหมือนกับทุกคนที่โดนแบน ยืนยัน ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ หรือเป็นสายลับให้กับรัฐบาลจีน

อย่างที่กล่าวไปแล้ว นอกเหนือจากแบนและจำกัดการขอวีซ่าแก่พลเมืองจีน รัฐบาลอเมริกายังแบนตัวมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษา-สถาบันวิจัยในจีนอีกด้วย กล่าวคือ ตั้งแต่ช่วงสงครามการค้าจีนอเมริกาอย่างหนักในปี 2019 อเมริกาประกาศแบนหลายสินค้าและบริษัทของจีน ไม่เว้นแม้แต่สถาบันการศึกษาและสถาบันวิจัยในจีนที่โดนแบนไปทั้งหมด 6 แห่ง ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับสายเทคโนโลยีและวิศวกรรมของจีน และถือเป็นหน่วยงานที่ทำโปรเจกต์สำคัญๆ แก่รัฐบาลจีน

ในฐานะที่ อ้ายจง เป็นศิษย์เก่าสถาบันที่มีอยู่ในรายชื่อแบนของอเมริกา (Beihang University หรือรู้จักในนาม มหาวิทยาลัยการบินและอวกาศปักกิ่ง) ผมสอบถามไปยังเพื่อนคนจีนที่ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ในมหาวิทยาลัยแห่งนั้น โดยได้รับคำตอบว่า เคยมีเหมือนกันที่อาจารย์ เจ้าหน้าที่ นักศึกษาปัจจุบัน และศิษย์เก่า รู้สึกว่า "ขอวีซ่าเข้าอเมริกายากขึ้นจริง" แต่ยังเข้าไปได้อยู่ อาจยากขึ้นกว่าสมัยก่อน แต่ยังไม่ถูกขึ้นบัญชีดำ

จากมาตรการของประเทศสหรัฐอเมริกา เข้มงวดเรื่องวีซ่าแก่นักเรียนนักศึกษาจีน รวมถึงนักวิจัยจีน ด้วยเหตุผลเรื่องความปลอดภัยและความมั่นคง เคยมีการนำเสนอข่าวออกมาโดยสื่อต่างประเทศเหมือนกันว่า ประเทศพันธมิตรของอเมริกาบางประเทศ มีการดำเนินนโยบายคล้ายๆ กันนี้ อย่างเช่น ญี่ปุ่น ตามการรายงานข่าวของ The Straits Times

แคนาดา ก็เคยมีการเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยแคนาดา ระมัดระวังการทำวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยจีน เพราะข้อมูลอาจรั่วไหลไปถึงรัฐบาลจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางการทหารจีน เป็นความวิตกกังวลและกลัวในประเด็นเดียวกันกับที่อเมริกาให้เหตุผลแบนวีซ่านักเรียนนักศึกษาและนักวิจัยจีน

แน่นอนว่า "จีน" ไม่ได้ปล่อยให้ประชาชนของตนโดนแบนและถูกตราหน้าว่า "ลักลอบขโมยข้อมูลสำคัญในประเทศอเมริการวมถึงประเทศอื่นๆ" จีนพยายามตอบโต้นโยบายเข้มงวดแก่นักศึกษาจีนของอเมริกามาโดยตลอด ตั้งแต่ปี 2019 สงครามการค้าจีนอเมริกา รัฐบาลจีนออกประกาศเตือนประชาชนถึงการไปเรียนต่อและเที่ยวที่ประเทศสหรัฐอเมริกาให้ระมัดระวังในเรื่องของการขอวีซ่าที่มีข้อจำกัดมากขึ้น ให้ระยะเวลาอยู่ในอเมริกาลดน้อยลงกว่าที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะส่งผลโดยตรงต่อนักศึกษาจีนที่ต้องการไปเรียนต่อที่อเมริกา

ประเทศจีนเองเพิ่มความเข้มงวดและข้อจำกัดในการขอวีซ่าแก่ชาวอเมริกาเช่นกัน ในเดือนมิถุนายน 2020 ทางการจีนออกมาตรการ "เพิ่มข้อจำกัดในการออกวีซ่าแก่ชาวอเมริกัน ที่มีพฤติกรรมเชิงลบต่อเรื่องราวของจีนและฮ่องกง" ปีเดียวกันกับอเมริกาเริ่มแบนและยกเลิกวีซ่าแก่นักศึกษาจีนแบบจริงจัง สอดคล้องกับการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญและสื่อต่างประเทศ "อเมริกาแบนและตั้งข้อจำกัดวีซ่าแก่จีน ไม่ใช่แค่มาจากเรื่องความมั่นคง แต่เบื้องลึกคือ แสดงออกถึงการต่อต้านการออกกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติที่จีนนำไปใช้กับฮ่องกง"

อย่างไรก็ตาม เราอาจได้เห็นนักศึกษาจีนไปเรียนยังอเมริกาหรือต่างประเทศลดน้อยลง ไม่ใช่เพียงจากเหตุผลทางการเมือง หรือการแพร่ระบาดโควิด ยังมีเหตุผลเรื่อง "ชาตินิยม" ที่เพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง และการแก้ไขปัญหาเรื่อง "สมองไหล หัวกะทิ คนจีนผู้มากความสามารถ ไปเรียนและทำงานต่างประเทศของรัฐบาลจีนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย" จีนดำเนินนโยบายดึงดูดคนจีนเก่งๆ ให้กลับมาประเทศจีน ตั้งแต่ก่อนเกิดสงครามการค้าจีนอเมริกาและการขัดแย้งทางการเมืองอย่างหนัก

จากประสบการณ์จริงของอ้ายจง สมัยไปทำวิจัยที่เมืองซีอานปี 2014 ตอนนั้นที่แลปดีลกับมหาวิทยาลัยในอเมริกาและยุโรปเยอะมากในด้านทำการวิจัย ภายใต้การร่วมมือแต่ละครั้ง ทางแลปและมหาวิทยาลัยจะดีลโดยตรงส่วนตัวกับอาจารย์และศาสตราจารย์จีนที่ทำงานในอเมริกา ให้มาเป็นอาจารย์และนักวิจัยในมหาวิทยาลัยจีน ดึงดูดด้วยผลตอบแทนและโอกาสก้าวหน้าทางอาชีพ เพื่อให้คนเก่งหัวกะทิเหล่านี้มั่นใจว่า "คุ้มค่าในการกลับไปยังประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของตน"  

 อ่านบทความทั้งหมดของ อ้ายจง ได้ที่ https:// www.bangkokbiznews.com/blog/blogger/504
#7762
ต้องการถมดิน ถมที่ นึกถึงเรา เริ่มที่เราจบที่เรา ไม่ใช่นายหน้า ติดต่อ 080-022-3804
รับทุกขนาดพื้นที่ ฟรีตรวจสอบพื้นที่ประมาณ ราคา
#7763
สนใจติดต่อคุณเป้ง 087-347-6299

สำนักงานบัญชีนนทบุรี  สำนักงานบัญชีบางกรวย  สำนักงานบัญชีบางใหญ่  สำนักงานบัญชีบางบัวทอง  สำนักงานบัญชีไทรน้อย  สำนักงานบัญชีปากเกร็ด  สำนักงานบัญชีบางศรีเมือง  สำนักงานบัญชีพิมลราช  สำนักงานบัญชีบางคูรัด  สำนักงานบัญชีบางรักพัฒนา  สำนักงานบัญชีบางแม่นาง  สำนักงานบัญชีบางกร่าง  สำนักงานบัญชีไทรม้า  สำนักงานบัญชีตลาดขวัญ  สำนักงานบัญชีบางตะไนย์  สำนักงานบัญชีบางพลับ  สำนักงานบัญชีบางรักน้อย  สำนักงานบัญชีมหาสวัสดิ์  สำนักงานบัญชีศาลากลางนนทบุรี  สำนักงานบัญชีอ้อมเกร็ด  สำนักงานบัญชีแจ้งวัฒนะ  สำนักงานบัญชีถนนกาญจนาภิเษกนนทบุรี  สำนักงานบัญชีถนนจงถนอม-ไทรน้อย  สำนักงานบัญชีถนนชัยพฤกษ์  สำนักงานบัญชีถนนติวานนท์  สำนักงานบัญชีถนนทวีวัฒนา  สำนักงานบัญชีถนนเทศบาลจังหวัดนนทบุรี  สำนักงานบัญชีถนนเทิดพระเกียรติ  สำนักงานบัญชีท่าอิฐ  สำนักงานบัญชีถนนนครอินทร์  สำนักงานบัญชีบางม่วง  สำนักงานบัญชีบางกรวย-จงถนอม  สำนักงานบัญชีถนนบางไกรใน  สำนักงานบัญชีบางกรวย-ไทรน้อย  สำนักงานบัญชีบางคูเวียง  สำนักงานบัญชีบางศรีเมือง  สำนักงานบัญชีถนนวัดโบสถ์ดอนพรหม  สำนักงานบัญชีไทรม้า  สำนักงานบัญชีถนนพิบูลสงคราม  สำนักงานบัญชีถนนราชพฤกษ์  สำนักงานบัญชีตลิ่งชัน  สำนักงานบัญชีถนนเรวดี  สำนักงานบัญชีถนนเลี่ยงเมืองนนทบุรี  สำนักงานบัญชีถนนศรีสมาน  รับทำบัญชี
#7769


ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ของประชาชนในช่วงก่อนหน้านี้ มีการกระจายไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ส่งผลให้รัฐบาลจำเป็นที่ต้องประกาศล็อกดาวน์พื้นที่ ป้องกันการแพร่ระบาด ส่งผลให้ประชาชนลำบากในการใช้ชีวิต บริษัท ห้างร้าน โรงงาน ต้องปิดกิจการ คนงานตกงานขาดรายได้

แต่ ณ เวลานี้ ตัวเลขของผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ดูจะมีแนวโน้มลดลง ซึ่งมาจากการที่ประชาชนมีโอกาสได้รับการฉีดวัคซีนมากขึ้น เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความมั่นใจให้กับภาคการลงทุนมากขึ้น

โดยในมุมมองตัวแทนภาคอุตสาหกรรม "นายสุพันธุ์ มงคลสุธี" ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การะบาดของโรคเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศ กำลังเข้าสู่ขั้นวิกฤติและส่งผลกระทบไปทุกภาคส่วนของประเทศ ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมเกิดการติดเชื้อในโรงงานเป็นจำนวนมากเช่นกัน สภาอุตสาหกรรมฯ ในฐานะองค์กรหลักภาคเอกชนที่เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศ ได้จัดทำ "มาตรการควบคุมโควิดในภาคอุตสาหกรรม" เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตและอาการรุนแรง พร้อมรักษากำลังการผลิตให้มากที่สุด ซึ่งโรงงานที่ดำเนินการอย่างถูกต้อง จะไม่ถูกปิด หากยังสามารถดำเนินการต่อได้โดยไม่แพร่กระจายเชื้อสู่ภายนอก ภายใต้คอนเซ็ปต์ "ติดโควิดไม่ต้องปิดโรงงาน" แบ่งออกเป็น 4 ข้อดังนี้

1.มาตรการ Bubble and Seal สำหรับภาคอุตสาหกรรมต้องมีความชัดเจน สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงและเป็นไปในแนวทางเดียวกันทุกพื้นที่ โดยให้สุ่มตรวจหาผู้ติดเชื้อด้วยชุดตรวจ ATK สม่ำเสมอ 10% ของจำนวนพนักงานทุก 14 วัน โดยรัฐบาลสนับสนุนค่าใช้จ่าย และให้พนักงานผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำสามารถกลับเข้ามาทำงานใน Bubble ในโรงงานตามปกติ

2.สถานประกอบการที่มีพนักงาน 300 คนขึ้นไป เสนอให้กระทรวงสาธารณสุขสนับสนุนงบประมาณในการจัดตั้ง Factory Quarantine และ Factory Accommodation Isolation โดยให้มีจำนวนเตียงๆไม่น้อยกว่า 5% ของจำนวนพนักงาน และเสนอให้กระทรวงแรงงานจัดตั้งโรงพยาบาลแม่ข่ายในแต่ละพื้นที่ประกันสังคม เพื่อให้บริการโรงงานในพื้นที่ ณ จุดเดียว ตั้งแต่การตรวจหาเชื้อไปจนถึงส่งต่อผู้ป่วยเข้าไปในระบบการรักษา เพื่อลดขั้นตอนในการหาโรงพยาบาล

3.สำหรับสถานประกอบการที่มีพนักงานต่ำกว่า 300 คน ขอให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมจัดตั้ง Community Quarantine (CQ), Community Isolation (CI) (ศูนย์พักคอยและแยกกักตัว) ให้เพียงพอกับแรงงาน โดยให้มีจำนวนเตียงไม่น้อยกว่า 5% ของจำนวนพนักงานในพื้นที่

4.จัดสรรวัคซีนตามเพื่อลดอัตราการเสียชีวิต โดยจัดสรรตามลำดับความสำคัญทางสาธารณสุข การป้องกันโรค และเศรษฐกิจใน 3 กลุ่มคือ กลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูงที่อายุ 40-59 ปี กลุ่มพนักงานในสถานประกอบการที่มีติดเชื้อมากกว่า 50% จนต้องปิดกิจการ และกลุ่มพนักงานในอุตสาหกรรมสำคัญยิ่งยวด

ขณะที่มุมมองของ "รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ" อดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง นำเสนอแง่คิดที่น่าสนใจว่า รัฐบาลควรเดินหน้าคลายล็อกดาวน์ในทุกพื้นที่ในบางกิจกรรม หากตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่ำกว่าผู้ได้รับการรักษาหายป่วยมากพอ และสามารถทำให้ผู้ป่วยที่ต้องรักษาในระบบสาธารณสุขลดลงมาเหลือต่ำกว่า 100,000 ราย จากปัจจุบันอยู่ที่ 200,339 ราย

ระบบสาธารณสุข ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า ควรต้องจัดการความเสี่ยงด้านอุปทานเพิ่มขึ้นโดยจัดสรรงบประมาณให้โรงพยาบาลของรัฐตามความเสี่ยงของประชากรที่ขึ้นทะเบียนกับโรงพยาบาลต่างๆ นั่นคือ ผู้ให้บริการในพื้นที่เสี่ยงสูง และต้องดูแลประชากรที่มีความเสี่ยงสูงควรจะเหมาจ่ายต่อหัวสูงกว่าผู้ให้บริการ หรือโรงพยาบาลที่ดูแลประชากรที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า ,ไม่ควรกำหนดการเหมาจ่ายแบบคงที่ทั่วทั้งประเทศ โดยงบประมาณต้องจัดสรรไปตามภาระและแผนงานกิจกรรมที่ต้องทำ และไม่ควรรวมศูนย์การตัดสินใจเพราะจะทำให้แก้ปัญหาล่าช้า และไม่ทันการ

อย่างไรก็ตามหากมีความจำเป็นต้องขยายล็อกดาวน์ เพราะตัวเลขติดเชื้อไม่ลดลง และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจต้องล็อกดาวน์ไปอีกอย่างน้อยจนถึงปลายปี ในขณะที่ประชาชนยังรอฉีดวัคซีนกันอยู่ รัฐบาลต้องเตรียมงบประมาณจ่ายเยียวยาให้ภาคธุรกิจ และประชาชนเพิ่มเติม หากต้องขยายล็อกดาวน์ และควรประกาศล่วงหน้า และเยียวยาทันทีก่อนสั่งปิดพื้นที่ หรือกิจกรรมเพื่อไม่ให้ความทุกข์ยากทางเศรษฐกิจรุนแรงไปกว่าระดับวิกฤติในขณะนี้ และควรเตรียมเงินงบประมาณไม่ต่ำกว่าอีก 300,000 ล้านบาท หากต้องล็อกดาวน์ถึงปลายปี

การรับฟังข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในเวลานี้ จากผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง เป็นเรื่องที่ไม่เสียหายอะไร!!!
#7770
คิดจะ ถมดิน ขุดท่อ ทำถนน ขุดสระ ถางป่า เครียร์พื้นที่ ติดต่อ 080-022-3804