• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Jessicas

#3021


นายแพทย์แอนโทนี เฟาชี แพทย์ใหญ่ประจำคณะทำงานด้านการควบคุมโรคโควิด-19 ของทำเนียบขาวและผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติ (เอ็นไอเอไอดี) เปิดเผยในวันพุธ (4 ส.ค.) ว่า ยอดผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลตาในสหรัฐอาจเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจนแตะที่ 200,000 รายต่อวันในช่วงฤดูใบไม้ร่วง

"จำได้ไหมครับว่า เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เรามีผู้ติดเชื้อ 10,000 รายต่อวัน ผมคิดว่ามีแนวโน้มที่เราจะได้เห็นจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 100,000-200,000 ราย" นายแพทย์เฟาชีกล่าว

นายแพทย์เฟาชียังกล่าวว่า "ยอดผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลตากำลังพุ่งสูงขึ้นทั่วสหรัฐ และสถานการณ์อาจเลวร้ายเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง เว้นเสียแต่ว่าชาวอเมริกันที่ยังไม่ฉีดวัคซีนซึ่งมีอยู่มากจะตัดสินใจไปฉีดวัคซีน"

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

"สถานการณ์ที่เราเห็นกันอยู่ตอนนี้เกิดขึ้นเพราะอัตราการติดเชื้อที่รวดเร็ว และยังมีคนที่มีสิทธิ์ฉีดวัคซีนแต่ยังไม่ไปฉีดอีกประมาณ 93 ล้านคนทั่วประเทศ คนกลุ่มนี้จึงเป็นกลุ่มใหญ่ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง"

นายแพทย์ใหญ่ยังแสดงความกังวลถึงจำนวนผู้ที่ยังไม่ฉีดวัคซีนที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดไวรัสกลายพันธุ์ที่ต้านทานต่อวัคซีนได้มากขึ้น

"หากเราไม่หยุดยั้งการแพร่ระบาดด้วยการระดมฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรส่วนใหญ่ สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ ไวรัสจะระบาดในฤดูใบไม้ร่วงต่อเนื่องไปจนถึงฤดูหนาว ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสให้ไวรัสกลายพันธุ์ได้"

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า จากข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (ซีดีซี) ของสหรัฐเมื่อวันที่ 2 ส.ค.ระบุว่า ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ของสหรัฐเฉลี่ยรายวันในรอบ 7 วันอยู่ที่ 84,389 ราย
#3022


บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล(ไฟลิ่ง)ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในการออกและเสนอขายหุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2564 จำนวน 5 ชุด มูลค่ารวมไม่เกิน 47,000 ล้านบาท แบ่งเป็น ชุดที่ 1 มูลค่าไม่เกิน 4,000 ล้านบาท เป็นหุ้นกู้ไม่มีประกันประเภทอัตราดอกเบี้ยลอยตัวอ้างอิงอัตราดอกเบี้ย THOR ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2564 อายุ 1 ปี 6 เดือน ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2566 อัตราดอกเบี้ยลอยตัว โดยใช้อัตราดอกเบี้ยอ้างอิง Compounded THOR + ร้อยละ 0.18 ต่อปี ชำระดอกเบี้ยครั้งเดียว ณ วันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้

ชุดที่ 2 เป็นหุ้นกู้ไม่มีประกัน เสนอขายไม่เกิน 15,000 ล้านบาท อายุ 3 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2567 อัตราดอกเบี้ยคงที่ 0.96% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุกๆ 6 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ ชุดที่ 3 เป็นหุ้นกู้ไม่มีประกัน เสนอขายไม่เกิน 15,000 ล้านบาท อายุ 5 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2569 อัตราดอกเบี้ยคงที่ 1.31% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุกๆ 6 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้

ชุดที่ 4 เป็นหุ้นกู้ไม่มีประกัน เสนอขายไม่เกิน 5,000 ล้านบาท อายุ 7 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2571 อัตราดอกเบี้ยคงที่ 1.79% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุกๆ 6 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ และชุดที่ 5 เป็นหุ้นกู้ไม่มีประกัน เสนอขายไม่เกิน 8,000 ล้านบาท อายุ 10 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2574 อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.37% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุกๆ 6 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้

ทั้งนี้ เสนอขายหุ้นกู้ ระหว่างวันที่ 3-5 ส.ค.2564  ปตท.จะเสนอขายหุ้นกู้ดังกล่าวให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ ผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ คือ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ โดยบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด จัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ที่ระดับ "AAA(tha)" เมื่อวันที่ 12 ก.ค.2564

สำหรับเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้ จะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้ไปใช้ในการลงทุน และหรือเป็นเงินทุนหมุนเวียนทั่วไป และหรือเพื่อทดแทนหนี้ที่ครบกำหนดชำระ โดยจะนำเงินมาใช้ภายในวันที่ 31 ธ.ค.2564
#3023


ดูสถานะของเตียงและอัปเดตสถานะของเตียงในโรงพยาบาลสนามได้ฟรีสำหรับ IQ Hospital ระบบเว็บแอปพลิเคชันที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่เจ้าหน้าที่ที่ต้องบริหารจัดการเตียงสนาม เพื่อให้วางแผนการจัดการเตียงได้อย่างทันท่วงทีเมื่อมีผู้ป่วยเข้ามา เจ้าหน้าที่จะสามารถป้อนข้อมูลในระบบเพื่อบันทึกว่าคนไข้ใช้เตียงไหน และอัปเดตปรับสถานะของเตียงในระบบส่วนกลาง ซึ่งจะสามารถดูผลสรุปของข้อมูลได้แบบ Real Time โดยที่ไม่ต้องตรวจสอบข้อมูลไปมาผ่านกระดาษ 

นายพัศพงศ์ เจริญพันธ์ จากบริษัทไอโอทีแดช กล่าวว่า หากมีการนำระบบนี้ไปใช้งาน แพร่หลายในโรงพยาบาลสนามต่างๆ จะทำให้เกิดการบูรณาการข้อมูล ซึ่งจะทำให้เห็นภาพรวมของการให้บริการ

"จะเป็นประโยชน์แก่การให้บริการต่อพี่น้องประชาชน เจ้าหน้าที่จะเห็นภาพรวมเลยว่าโรงพยาบาลไหนว่างอยู่บ้าง จะได้ไม่ต้องให้ประชาชนกางเต็นท์นอนรอ และไม่รู้ว่ามีเตียงที่ไหนว่าง"



เว็บแอปนี้เกิดจากการผนึกกำลังของทีม Startup นักพัฒนาแอปมืออาชีพ นายชานน จรัสสุทธิกุล เจ้าของแพลตฟอร์ม DeFi Forward และบริษัท ไอโอทีแดช จำกัด ด้วยเห็นปัญหาของการบริหารจัดการเตียงของบางโรงพยาบาลสนามในสถานการณ์โควิค-19 ที่อาจจะต้องใช้วิธีการจดมือ หรือวาดลงบนกระดาษ/กระดานดำ ทำให้ยากแก่การคำนวณ หรือดูผลสรุปข้อมูลการจัดการเตียงในโรงพยาบาล ซึ่งทีมได้ใช้เวลาในการพัฒนาแอปอย่างเร่งด่วน แล้วเสร็จในเวลา 3 วัน และได้นำไปใช้งานจริงแล้วในโรงพยาบาลสนามบุรีรัมย์ 

โรงพยาบาลสนามที่สนใจสามารถติดต่อเพื่อขอใช้ได้ฟรีที่ chanon@forward.market และ patsapong@iotdash.io
#3024


โบรกเกอร์ประสานเสียงขยายล็อกดาวน์ เสี่ยงจีดีพี กำไร บจ.ลด ASPS ประเมินกระทบ GDP ไตรมาส 3 เดือนละ 3 แสนล้านบาท ฉุดจีดีพีทั้งปีโตไม่ถึง 1% คาดอีกหลายค่ายหั่นเป้า GDP ส่วนทรีนีตี้คาดอาจนำมาสู่ Downside risk ของ GDP รวมถึงประมาณการกำไรของ บจ. ขณะตลาดหุ้นเดือนสิงหาคมมีโอกาสย่อตัว ด้านยูโอบีฯ ประเมินธีมลงทุนระยะสั้นหุ้นกลุ่มสื่อสาร - REITs เป็นแหล่งพักเงินที่ดี ส่วนโนมูระ มองกดดันหุ้น Domestic - Re-Opening แนะตั้งรับ และวิจัยกรุงศรีประเมิน ศก.อ่อนแอ คาด GDP ปีนี้ขยายตัว 1.2%

จากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดยั้งการระบาดได้และตัวเลขผู้ติดเชื้อยังขยับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สุดท้ายรัฐได้ประกาศล็อกดาวน์เพิ่มเป็น 29 จังหวัด และนั่นเท่ากับเป็นการแสดงถึงความล้มเหลวที่ไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ แม้ก่อนหน้านั้นได้ใช้มาตรการล็อกดาวน์ไปแล้ว 14 วัน ใน 13 จังหวัดก็ไม่เป็นผล กระทั่งในเดือนสิงหาคมรัฐประกาศการล็อกดาวน์เพิ่มขึ้นเป็น 29 จังหวัด แน่นอนว่าส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่ทรุดหนักและสาหัสเพิ่มมากขึ้น ทำให้แทบทุกภาคส่วนมิอาจขยับขยายธุรกิจ ฟันเฟืองทางเศรษฐกิจไม่เดินหน้า ทำให้ทั้งระบบย่ำแย่ บริษัทจดทะเบียนหลายแห่งในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหลายแห่งรับผลกระทบเต็มๆ เมื่อระบบเศรษฐกิจไม่เดินหน้า ทุกอย่างย่อมติดลบ ตัวเลขจีดีพีที่ก่อนหน้านั้นมีแนวโน้มจะดีขึ้น แต่เมื่อโควิด-19 ระบาดระลอกแล้วระลอกเล่า ย่อมให้ความไม่นิ่งในการประเมินตัวเลขจีดีพีเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่ต้องสงสัย

ASPS ประเมินจีดีพีโตไม่ถึง 1% หลายค่ายเตรียมหั่นเป้า

ฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส (ASPS) เปิดเผยว่า การล็อกดาวน์ต่อถึงสิ้นเดือน ส.ค. เพิ่ม Downside ปรับลด GDP Growth ไทยปี 64 หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อ Covid ยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น โดยตัวเลขล่าสุด ประกาศออกมาเพิ่มขึ้นอยู่บริเวณ 1.8 หมื่นราย ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องยกระดับการเข้มงวดกิจกรรมเศรษฐกิจ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19

โดย ASPS ประเมินเป็นการเปิด Downside เศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 3 คาดหดตัวมากกว่า โดยหอการค้า คาดผลกระทบต่อ GDP ค่าเฉลี่ยราว 3 แสนล้านบาทต่อเดือน หรือ 2.75%ต่อ GDP (จากเดิมคาด 2.75 แสนล้านบาท) x ประเมินว่าค่อนข้างแน่ชัดปีนี้ GDP ไทยอาจจะโตไม่ถึง 1% เทียบปีก่อน และจะเห็นการทยอยปรับลด GDP Growth ลงเพิ่มขึ้นอีกจากหลายสำนักเศรษฐกิจ

ขณะที่อีกฝั่งคาดจะกดดันตลาดหุ้นไทยและหุ้นเปิดเมืองในวันนี้ อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าราคาหุ้นได้ปรับฐานลงไปก่อนหน้าแล้ว อย่างไรก็ตาม เคยนำเสนอว่าตลาดหุ้นไทยถูกกดดันจากจำนวนผู้ติดเชื้อ (New case) ที่เพิ่มสูงกว่าจำนวนผู้รักษาหาย (Recovered case) โดยเชื่อว่าสัญญาณซื้อ (Buy Signal) สำคัญของตลาดหุ้นจะมาจากช่วงจังหวะที่จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่ำกว่าผู้รักษาหาย (กราฟ New case ตัด Recovered case ลด) ส่งผลให้ปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทยต้องรอ Buy Signal ต่อไป

ทั้งนี้ นับตั้งแต่ปี 63 เป็นต้นมา ตลาดหุ้นไทยเผชิญโควิด-19 ระลอกแรกหุ้นตกหนักมากถึง -38% ตามมาด้วยระลอก 2 และ 3 ปรับตัวลงเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ราว -7% และ 5% ตามลำดับ จากนั้นค่อยๆ ฟื้นกลับมาด้วยความคาดหวังการกระจายวัคซีน และมาตรการภาครัฐน่าจะยับยั้งโควิด-19 สายพันธุ์อัลฟาได้เหมือนกับระลอกแรก ขณะที่ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยเผชิญกับโควิด-19 ระลอกที่ 4 สายพันธุ์เดลตา (แพร่ระบาดเร็ว) โดยปรับฐานลงมาแล้วมากกว่า 7% ถือว่าลดลงมากสุดเป็นอันดับ 2 จากทั้งหมด 4 รอบที่ผ่านมา และยังมีความเสี่ยงที่จะผันผวนต่อจากมาตการที่คุมเข้ม หรือล็อกดาวน์ที่ขยายวงกว้างขึ้นเป็น 29 จังหวัด

อย่างไรก็ตาม หลังการล็อกดาวน์ต้องรอติดตามดูว่า หากตัวเลขผู้ติดเชื้อทยอยลดลง จนต่ำกว่าผู้ที่รักษาหายจะเป็นจุดที่เข้าสะสมหรือเพิ่มน้ำหนักในตลาดหุ้นไทยโดยคาดหวังการฟื้นตัวตามความสัมพันธ์ของตลาดหุ้นและตัวเลขผู้ติดเชื้อในอินเดีย

ทรีนีตี้มองสู่ Downsid ของ GDP-กำไร บจ.

บทวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า ปัจจัยเชิงลบล่าสุดที่เกิดขึ้น และมีผลทำให้สมมติฐานก่อนหน้านี้เปลี่ยนแปลงไปก็คือการที่ ทาง ศบค.ได้มีมติให้ขยายระยะเวลามาตรการล็อกดาวน์ออกไปถึงวันที่ 18 ส.ค.เป็นอย่างน้อย แถมยังมีการเพิ่มพื้นที่สีแดงเข้มจากเดิม 13 จังหวัดขึ้น ถึงเท่าตัวเป็น 29 จังหวัด ปัจจัยดังกล่าวจะทำให้ระดับการเคลื่อนย้ายของผู้คนและกิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลงจากเดิมที่ประเมินไว้ และอาจนำมาสู่ Downside risk ของ GDP รวมถึงประมาณการกำไรของ บจ.ได้

ทั้งนี้ แม้อาจมี Sentiment เชิงบวกเล็กๆ จากการผ่อนคลายให้ร้านอาหารในห้างสามารถเปิดจำหน่ายเพื่อบริการ Delivery แต่เหตุการณ์ล็อกดาวน์ที่ยืดเยื้อเช่นนี้ย่อมไม่เป็นผลดีต่อ Sentiment การลงทุนในระยะสั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของสภาพคล่องที่เริ่มหดหายไปจากตลาด สะท้อนผ่านการมีส่วนร่วมของนักลงทุนทั่วไปที่ลดลง และระดับปริมาณเงินในประเทศหรือ M2 ที่ขยายตัวต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2008

บล.ทรีนีตี้ ประเมินภาพตลาดหุ้นไทยเดือนสิงหาคมมีโอกาสย่อตัวลงก่อนในช่วงต้นเดือน เพื่อสะท้อนความเสี่ยงของการล็อกดาวน์ที่ยาวนานและขยายเป็นวงกว้างมากขึ้น นอกจากนั้น ปัจจัยต่างประเทศที่อาจเข้ามากดดันตลาดในช่วงต้นเดือนอีกก็คือ ดัชนีภาคการผลิตทั่วโลกที่เริ่มแผ่วลง

อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งเดือนหลังคาดอาจมี Sentiment เชิงบวกขึ้นมาบ้าง หากในที่ ประชุมผู้นำธนาคารกลางโลกที่เมือง Jackson Hole ไม่ได้มีการส่งสัญญาณเข้มงวดนโยบายการเงินใดๆ ออกมา โดยเฉพาะจากทางฝั่งของ Fed

สำหรับในเชิงกลยุทธ์ สำหรับพอร์ตที่ทยอยสะสมหุ้นมาก่อนหน้านี้ที่บริเวณดัชนีต่ำกว่า 1,550 จุดลงมา มองว่าสามารถถือครองหุ้นไว้ก่อนได้ ส่วนการเข้าสะสมครั้งใหม่อาจรอจังหวะการย่อตัวแถวบริเวณแนวรับประจำเดือนนี้ที่ให้ไว้ที่ 1,480-1,500 จุด น่าจะเป็นกลยุทธ์ที่ปลอดภัยกว่า เนื่องจากเป็นระดับที่ Valuation อยู่ต่ำแล้ว โดยซื้อขายเพียงแค่ Forward PE 15.5 เท่าเท่านั้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังที่ 17.2 เท่าอยู่พอสมควร

ยูโอบีฯ แนะลงทุนระยะสั้น สื่อสาร-REITs

บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ จาก บล.ยูโอบีเคย์เฮียน เปิดเผยว่า การประกาศขยายเวลาและพื้นที่ควบคุมสูงสุดเข้มงวดอีก 14 วัน (ตั้งแต่ 3 ส.ค.และอาจถึงสิ้น ส.ค.) ของ ศบค. และเพิ่มพื้นที่ควบคุมเข้มงวดสูงสุด (สีแดง) ขึ้นเป็น 29 จังหวัด (จากเดิม 13 จังหวัด) ขณะที่มาตรการควบคุมส่วนใหญ่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดิมมากนัก ยกเว้นมีการผ่อนคลายให้ร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าสามารถเปิดดำเนินการได้เพื่อให้บริการแบบจัดส่งเท่านั้น

โดยมองว่าภาพรวมประกาศสอดคล้องกับที่เคยประเมินรัฐจะขยายเวลาล็อกดาวน์ ซึ่งน่าจะ 1-2 เดือน (หรือน่าจะมีการต่อมาตรการล็อกดาวน์ทุก 14 วันออกไปเรื่อยๆ) เนื่องจาก ประการแรก อ้างอิงผลการศึกษาจากกองระบาดวิทยาที่เสนอการล็อกดาวน์ 1-2 เดือน ควบคู่กับการฉีดวัคซีน และประการที่สองคือข้อจำกัดของวัคซีนที่มีคุณภาพสูง (ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ แสดงให้เห็นถึงปัญหาของวัคซีนที่ไม่สามารถหยุดการระบาดได้)

สุดท้ายคือ ความต้องการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ ที่เพิ่มจนใกล้ถึงระดับการผลิตที่เป็นข้อจำกัดขององค์การเภสัชในช่วงสัปดาห์นี้ถึงสัปดาห์หน้า จะทำให้รัฐต้องคงมาตรการล็อกดาวน์ เพื่อกดการเพิ่มของผู้ป่วย และชะลอการเสียชีวิตที่มีโอกาสจะเร่งตัวขึ้น

ดังนั้น ธีมการลงทุนระยะสั้น กลุ่มสื่อสารและ REITs ยังเป็นแหล่งพักเงินที่ดีในช่วงที่ตลาดกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงการปรับประมาณการผลประกอบการที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง มองทยอยสะสม ADVANC, DTAC, FTREIT, WHART เก็งกำไรแบบกำหนดจุดตัดขาดทุน JAS, ALT

ทั้งนี้ แนะให้ทยอยสะสมสาธารณูปโภค RATCH, EASTW, WHAUP, TTW กลุ่มอาหารและเกษตร TVO, TU, CPF, GFPT, TWPC เก็งกำไร กลุ่มเดินเรือ PSL, TTA, RCL เก็งกำไรกลุ่มอุปกรณ์การแพทย์ SMD, TM, WINMED, BIZ เก็งกำไรกลุ่มบรรจุภัณฑ์ SCGP, BGC

ระวังหุ้นการผลิต กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์เสี่ยง  
นอกจากนี้ ยังให้เพิ่มความระวังหุ้นการผลิตโดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ สถานการณ์ระบาดที่แพร่กระจายเป็นวงกว้างมากขึ้นทำให้ต้องระวังว่านอกจากจะกระทบต่อการบริโภคเนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์แล้ว การระบาดอาจจะกระทบต่อการขนส่งและโลจิสติกส์ ขณะที่ภาคการผลิตอาจจำเป็นต้องปิดโรงงานหรือส่วนของการผลิตหากพบผู้ติดเชื้อ ซึ่งจะกระทบต่อผลประกอบการไตรมาส 3/64 อย่างมีนัยสำคัญได้

ถึงแม้มีมุมมองบวกต่อผลประกอบการของหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ แต่ด้วยความเสี่ยงที่เกิดจากสถานการณ์โควิด-19 และ Valuation ที่อยู่ในระดับสูงสุดในรอบหลายปี ทำให้แนะนำนักลงทุนหาจังหวะแบ่งทำกำไรหรือเพิ่มความระวังในการลงทุน

โนมูระ มองกดดันหุ้น Domestic - Re-Opening

บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุ การปรับเพิ่มพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดจาก 13 จังหวัด เป็น 29 จังหวัด และให้ขยายมาตรการล็อกดาวน์ต่อไปอีก 14 วัน นับจากวันนี้เป็นต้นไป เป็นแรงกดดันต่อกลุ่ม Domestic และ Re-Opening อย่างต่อเนื่อง ส่วนการผ่อนคลายมาตรการให้ร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าสามารถเปิดจำหน่ายเฉพาะ Delivery โดยให้เปิดได้ไม่เกิน 20.00 น.นั้น มองไม่ได้บวกต่อกลุ่มร้านอาหารอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่การเพิ่มจังหวัดพื้นที่สีแดงเข้มเป็น 29 จังหวัด ทำให้จำนวนสาขาที่ห้ามรับประทานที่ร้านเพิ่มมากขึ้น ทำให้โดยรวมเป็นลบต่อกลุ่มร้านอาหาร

ทั้งนี้ กลยุทธ์ลงทุนจากตัวเลขผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตยังสูง ขณะที่ ศบค.ขยายล็อกดาวน์ต่ออีก 1 เดือน กดดันกลุ่ม Domestic และ Re-Opening ต่อเนื่อง กลยุทธ์แนะตั้งรับ Selective เน้นกลุ่ม Earnings ดี โดยปัจจุบันกลุ่มโรงพยาบาลและอุปกรณ์ทางการแพทย์ (BDMS, BCH, CHG, EKH, SMD, WINMED) และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากพลังงานน้ำ (GPSC, BCPG, CKP) เด่น ผสานกลุ่มส่งออกที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า (ชิ้นส่วน-อาหาร KCE HANA TU PM ASIAN) กลุ่มสื่อสาร (ADVANC) และหุ้นที่มีปันผลระหว่างกาล (TVO) คงน้ำหนักหุ้นที่ 50%

วิจัยกรุงศรีประเมิน ศก.อ่อนแอ คาด GDP ปีนี้ขยายตัว 1.2%

วิจัยกรุงศรีรายงานว่า อุปสงค์ในประเทศเดือนมิถุนายนยังคงซบเซา แต่เศรษฐกิจยังพอได้แรงหนุนจากการส่งออก ส่วนภาคการผลิตไตรมาส 3 อาจได้รับผลกระทบมากขึ้นจากการระบาด ดัชนีการบริโภคภาคเอกชนเดือนมิถุนายนแม้ปรับดีขึ้นจากเดือนก่อนบ้างเล็กน้อย แต่โดยรวมยังอ่อนแอ สอดคล้องกับความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่แตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ด้านการลงทุนภาคเอกชนค่อนข้างทรงตัวจากเดือนก่อน (+0.2%) โดยการลงทุนในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ปรับดีขึ้นเล็กน้อยตามทิศทางการส่งออก ขณะการลงทุนในหมวดก่อสร้างลดลง เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศอ่อนแอและมาตรการควบคุมการระบาดในกลุ่มแรงงานก่อสร้าง ส่วนภาคท่องเที่ยวยังมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเล็กน้อย จากมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม มูลค่าการส่งออกที่เติบโตในอัตราสูง คือ 46.1% เทียบจากปีก่อน ปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าและวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์โลกที่อยู่ในช่วงขาขึ้น ส่งผลให้การส่งออกเติบโตกระจายตัวทั้งในตลาดและหมวดสินค้า ช่วยพยุงการผลิตภาคอุตสาหกรรมได้บ้างในช่วงที่อุปสงค์ในประเทศอ่อนแอ

ทั้งนื้ เศรษฐกิจไตรมาส 2 อ่อนแอลงจากไตรมาสแรก ผลกระทบจากการแพร่ระบาดระลอก 3 ของ โควิด-19 ที่เริ่มตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน โดยวิจัยกรุงศรีคาดว่า GDP ในไตรมาส 2 อาจหดตัวจากไตรมาสแรกที่ -0.6% QoQ sa แต่หากเทียบกับไตรมาส 2 ของปีก่อนอาจขยายตัวได้ 7% ซึ่งเป็นผลของฐานที่ติดลบหนักเป็นสำคัญ นอกจากนี้ ในไตรมาส 3 เศรษฐกิจยังเผชิญกับการระบาดที่รุนแรงขึ้นจากสายพันธุ์เดลตา ผลจากมาตรการควบคุมการระบาดเข้มงวดขึ้น ทำให้หลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงักมากขึ้น อีกทั้งการระบาดที่เริ่มแผ่ลามถึงภาคการผลิตและอาจกระทบในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกได้ เศรษฐกิจในไตรมาส 3 จึงมีความเสี่ยงสูงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยได้และอาจจะติดลบมากกว่าไตรมาส 2

ขณะคลังประเมินเศรษฐกิจปีนี้เติบโต 1.3% และจะขยายตัวเร่งขึ้น 4-5% ในปี 2565 ด้านวิจัยกรุงศรีชี้ในระยะข้างหน้ายังมีความไม่แน่นอนสูงจากหลายปัจจัย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2564 เหลือขยายตัว 1.3% จากเดิมคาด 2.3% ผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่ของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การเดินทางระหว่างประเทศและจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่จะเดินทางเข้ามาไทยลดลงจากเดิม อย่างไรก็ดี การส่งออกสินค้ามีแนวโน้มปรับดีขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก

ด้านวิจัยกรุงศรีคาดการณ์ GDP ปีนี้จะขยายตัว 1.2% (เดิมคาด 2.0%) ผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงและยาวนานกว่าคาด และจากแบบจำลองชี้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันจะลดลงต่ำกว่า 1,000 ราย ในเดือนพฤศจิกายน สะท้อนมาตรการควบคุมยังคงดำเนินต่อไปจนถึงเดือนตุลาคม กิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศจึงยังคงซบเซา ด้านจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติคาดมีเพียง 2.1 แสนคน (เดิมคาด 3.3 แสนคน) นอกจากนี้ อานิสงส์จากการกลับมาเปิดดำเนินการของกิจกรรมเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญ หนุนให้มูลค่าส่งออกของไทยปีนี้เติบเติบโต 15% แม้ช่วงครึ่งปีหลังการส่งออกอาจชะลอลงบ้าง

โดยคาดว่าเศรษฐกิจจะค่อยๆ ฟื้นช่วงปลายไตรมาส 4 ปีนี้ ตามเศรษฐกิจโลกที่ปรับดีขึ้นและการฉีดวัคซีนจำนวนมาก กอปรกับการทยอยผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดในประเทศ อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนจากการจัดหาและการกระจายวัคซีนของไทย รวมถึงประสิทธิภาพของวัคซีนและประสิทธิผลของมาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งนับเป็นประเด็นที่ยังต้องติดตามในระยะข้างหน้า
#3025


นางแก้วกาญจน์ วสุพรพงศ์ รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่มีการรวมกิจการระหว่างธนาคารธนชาตและธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ภายใต้ชื่อ ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) นั้น ซึ่งในส่วนของธนาคารธนชาตเดิม จะมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลเลขที่บัญชีเงินฝากธนาคารของลูกค้าเดิมทั้งหมด และมีผลตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป เพื่อให้การโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารที่ใช้รับเงินเดือน ค่าจ้างประจำ เบี้ยหวัดบำนาญ และเงินอื่นๆ ในลักษณะเดียวกัน รวมทั้งการโอนเงินเดือนพลทหารกองประจำการ ผ่านระบบจ่ายตรงเงินเดือนและค่าจ้างประจำ (e-Payroll) ระบบบำเหน็จบำนาญ (e-Pension) และระบบบูรณาการฐานข้อมูลสวัสดิการสังคม (e-Social Welfare) ของกรมบัญชีกลางมีความต่อเนื่อง

"ขอประชาสัมพันธ์ให้ข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญและเงินอื่น ๆ ในลักษณะเดียวกันหรือพลทหารกองประจำการ ที่เป็นลูกค้าของธนาคารธนชาตเดิม ไปติดต่อธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) เพื่อขอเปลี่ยนแปลงเลขที่บัญชีเงินฝากธนาคารใหม่ และนำเลขที่บัญชีเงินฝากดังกล่าว ไปแจ้งกับเจ้าหน้าที่ในสังกัดหน่วยงานของท่าน ที่ปฏิบัติงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบ e-Payroll หรือระบบบำเหน็จบำนาญ e-Pension หรือระบบ e-Social Welfare แล้วแต่กรณี เพื่อดำเนินการเปลี่ยนแปลงเลขที่บัญชีเงินฝากธนาคารใหม่ให้แก่ผู้มีสิทธิรับเงินต่อไป ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call center กรมบัญชีกลาง 02 270 6400 ในวัน เวลาราชการ"
#3026


เรียกได้ว่ายังเป็นกระแสอยู่พอสมควรสำหรับกีฬาสุดฮิตอย่าง Surfskate อาจด้วยเหตุผลต่างๆ นานา ทั้งความสนุก ท้าทาย เล่นง่ายกว่าสเก็ตบอร์ดชนิดอื่น และแน่นอนว่าความสวยงามและเสน่ห์ของอุปกรณ์ "Surfskate" ที่หลากหลาย ก็เป็นอีกปัจจัยให้กีฬานี้ยังเรียกความสนใจจากนักไถหน้าใหม่ได้เสมอ

ในความแฟชั่นของ "Surfskate" กำลังผสมผสานกับความยั่งยืน อันเกิดจากไอเดียต่อยอดมาจาก Earth Day การรวมตัวกันระหว่าง Surfskate, การอนุรักษ์ และความคิดสร้างสรรค์ กลายเป็นโครงการ Waste Surfer โปรเจคแปลงร่างขยะให้กลายเป็น "เซิร์ฟสเก็ต"



Surfskate จาก Waste สู่ Wave
จากไอเดียเก๋ๆ ของ 'เจน' กัลยา โกวิทวิสิทธิ์ ผู้ร่วมก่อตั้ง FabCafe Bangkok ที่อยากลองนำขยะและวัสดุเหลือใช้มาใส่ไอเดียให้เป็นแผ่น "Surfskate" เพื่อสร้างมูลค่าและอาจเป็นโอกาสเติบโตของผู้ผลิต "เซิร์ฟสเก็ต" ในไทย

เธอจึงเปิดรับขยะและวัสดุเหลือใช้หลายชนิดเพื่อทดลองผลิตเป็นแผ่น "Surfskate" หรือที่เรียกกันว่า Deck ทว่าการนำขยะมาใช้คือความท้าทาย จึงเปรียบเสมือนการทำวิจัยร่วมกันระหว่าง FabCafe Bangkok และผู้ร่วมโครงการ

"เราคัดเลือกในทีแรกได้วัสดุมาประมาณ 10 ชนิด และคนก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คนหนึ่งก็มีหลายวัสดุ ตอนนี้เลยมีประมาณ 20 วัสดุได้ เราก็ทำงานกับ Material Connexion Bangkok ของ TCDC (Thailand Creative Design Center) เขาเป็นคนมาดูว่าวัสดุไหนน่าสนใจ เสร็จแล้วคนที่ได้รับคัดเลือก ก็จะมาแข่ง Hackthon มี ผศ.ดร. ประสิทธิ์ พัฒนะนุวัฒน์ จากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาให้ความรู้เกี่ยวกับการขึ้นรูปแบบ Cold Press เป็นแม่พิมพ์แบบเย็น แล้วบีบอัดขึ้นมา

พอเรียนเสร็จ ทุกคนก็จะต้องทำชิ้นทดลองขึ้นมา เพราะถ้าไม่เวิร์คก็จะกลายเป็นแค่ขยะชิ้นเล็กพอ ถ้าลงมือทำชิ้นใหญ่แล้วพลาดก็จะกลายเป็นขยะที่เยอะมาก เมื่อผ่านด่านนี้แล้วเขาถึงจะไปทำเป็นแผ่นใหญ่ และให้คนที่เล่นเซิร์ฟสเก็ตมาทดสอบ โดยดูเรื่องการผลิต, ความแข็งแรง, ความยืดหยุ่น และเรื่องน้ำหนัก เพราะบางอันหนักมาก"

กระดานไถเท่ๆ จากวัสดุเก๋ไก๋
หากนับระยะเวลาที่ "Surfskate" เติบโตในประเทศไทย ก็ไม่น้อยกว่า 2 ปีแล้ว "เซิร์ฟสเก็ต" จึงไม่นับว่าเป็นของใหม่นัก แต่ความแปลกใหม่ของ "Surfskate" ในโปรเจค "Waste Surfer" คือวัสดุต่างๆ ที่หลายอย่างแทบจะนึกไม่ถึงว่าจะทำเป็นแผ่นสเก็ตได้

เจนยกตัวอย่างวัสดุที่กำลังได้รับการพัฒนา ได้แก่ เสื่อกก, ใยบวบ, รองเท้าแตะ, ไม้ไผ่, พรมนิทรรศการ, ลังกระดาษ, กากกาแฟ, E waste, แหอวน, Bubble wrap, หนัง, ผ้า, เมล็ดชมพู่น้ำดอกไม้ และ เซลลูโลสเปลือกทุเรียน

"ถ้าเอาความแปลกเป็นหลัก คิดว่าวัสดุจากทีมสวนลัคกี้ฮิลล์ป่าละอูค่อนข้างแปลก คือใช้เมล็ดชมพู่น้ำดอกไม้กับเซลลูโลสเปลือกทุเรียน แต่ในแง่ความแข็งแรงอาจจะต้องพิจารณาอีกที ต่างกับวัสดุบางอย่างเช่น แหอวน พวกนั้นต่างประเทศก็มีคนทำ มันแข็งแรงด้วยตัวของมันเอง

ในแง่ของความเบา รองเท้าแตะเอามาทำได้เบาที่สุด ในแง่ของคนสนใจ ทีมที่เอาขยะจักสานพวกเสื่อมาทำ อันนี้สวยสุด หลายคนบอกว่าอันนี้น่าจะมีคนอยากได้"

ซึ่งคนกลุ่มนี้ที่นำเสนอไอเดียและลงมือทดลองทำล้วนแต่เป็นคนที่สนใจเรื่องการลดปริมาณขยะอยู่เป็นทุนเดิม โดยที่ไม่ว่าจะใช้วัสดุใดก็ต้องไปสู่เป้าหมายเดียวกันคือเพื่อใช้งานจริงได้ เพียงแต่วัสดุต่างๆ มีตัวแปรแตกต่างกัน เช่น ผ้าไม่มีทางแข็งแรงได้ด้วยตัวเอง จำเป็นต้องแทรกวัสดุอื่นเข้าไป เป็นต้น

"กุญแจสำคัญของเราคือทำอย่างไรให้ขยะพวกนี้ถูกแปรรูปเป็นสิ่งที่คนต้องการ เพราะถ้าเรารณรงค์เรื่องลดขยะ แล้วเอาไปทำพวงกุญแจ สุดท้ายมันก็จะกลายเป็นขยะอยู่ดี อย่างโปรเจคที่เราทำนี้ จะมีตัวชี้วัดสองตัวคือ 1.มูลค่าที่เพิ่มขึ้น ถ้าเกิดมูลค่าลดลงเราจะไม่ทำ 2.ช่วงชีวิตของมันต้องนาน ถ้านานได้เกิน 3-5 ปีจะเยี่ยมมากเลย เพราะมีบางคนเอาขยะไปทำเป็นแฟชั่น แต่วงจรชีวิตมันต่ำ เราเลยมองว่า "Surfskate" มันเก็บได้ยาวๆ เพื่อเป็นการยืดอายุขยะ ไม่ให้มันกลับไปเป็นขยะอีกรอบหนึ่ง"

หลายต่อหลายครั้งที่ไอเดียเพื่อสิ่งแวดล้อมเป็นเพียงอีเวนท์ซึ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ (แป๊บเดียว) แล้วดับไป แต่ความพยายามของโปรเจค "Waste Surfer" ไปไกลกว่านั้น คือ จากขยะในถัง จะไปโลดแดล่นทั้งในลานสเก็ต และบนเชลฟ์ของ Skate Shop

ถึงตอนนี้จะยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา แต่เจนได้พูดคุยกับพาร์ทเนอร์ร้านสเก็ตหลายแห่ง เตรียมที่ทางให้ผลิตภัณฑ์ได้ไปต่อ ทั้งในแง่การเป็นแหล่งรวบรวมวัสดุเหลือใช้ แหล่งผลิต และจำหน่าย

"ถ้ากระแสเซิร์ฟสเก็ตมันลดฮวบลง อย่างน้อยก็ยังมีสนามหรือกลุ่มคนที่เล่นอยู่ ถ้าเราเอาเครื่องผลิตแผ่น Surfskate จากวัสดุเหลือใช้ นอกจากคุณเรียนรู้การเล่น คุณยังเรียนวิธีการสร้างด้วย ถ้าเป็นเรื่ององค์ความรู้ก็จะไปได้เรื่อยๆ เลยไม่ค่อยห่วงว่ามันจะหายไป

เครื่องที่เราพัฒนาขึ้นมาคือแม่พิมพ์ จะไปตั้งอยู่ตามที่ต่างๆ เช่น ร้านสเก็ต สมมติคุณจะผลิต Deck จากฝาขวดพลาสติก ก็รวบรวมฝาขวดให้ได้ตามจำนวน เช่นใช้ 300 ฝา พอครบก็ไปร้านที่มีเครื่องนี้ ไปแปรรูปออกมา"


เจนเล่าว่าเครื่องผลิตแผ่นสเก็ตจากขยะมีอยู่สองแบบ คือ แบบ Cold Press กับแบบ Heat Press สำหรับแบบ Cold Press คือการบีบอัดด้วยแรงดันสูงให้วัสดุขึ้นรูปเป็นแผ่น โดยมีตัวประสานเช่นกาว เรซิ่น เป็นต้น ส่วนแบบ Heat Press เป็นการใช้ความร้อนบวกกับการบีบอัดด้วยแรงดันสูง วิธีนี้อาจต้องมีสถานที่พิเศษสักหน่อย เนื่องจากความร้อนจะทำให้กาวหรือพลาสติกกลายเป็นสารระเหยที่มีพิษ ดังนั้นหากมีระบบดูดอากาศ หรือระบายอากาศจะเหมาะสมกว่า

แต่ไม่ว่าจะลักษณะพิเศษของเครื่องจะเป็นแบบใด สถานที่ของแต่ละร้านเป็นแบบไหน สิ่งที่ทุกคนในห่วงโซ่ของ "Waste Surfer" ต้องมีเหมือนกันคือหัวใจที่ต้องการอนุรักษ์ ลดปริมาณขยะ โดยใช้ไอเดียสร้างสรรค์ให้กีฬากระแสอย่าง "Surfskate" เป็นส่วนหนึ่งในความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม
#3027


นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ. เปิดเผยว่า ขั้นตอน (Flow Chart) การพิจารณาคำเสนอขายไฟฟ้าด้านราคาโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก (โครงการนำร่อง) ตามระเบียบ กกพ.ว่าด้วยการจัดหาไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก โครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก (โครงการนำร่อง) พ.ศ.2564 โดยขั้นตอนที่ 1 จะเป็นการเปิดซองคำเสนอขายไฟฟ้าด้านราคา และตรวจสอบความถุกต้องของเอกสาร สำหรับผู้ที่ยื่นขอเสนอขายไฟฟ้าที่ผ่านการพิจารณาด้านเทคนิค ขั้นตอนที่ 2 เรียงลำดับส่วนลดราคา FiTF จากมากไปหาน้อย โดยกรณีที่ผู้ยื่นคำเสนอขอขายไฟฟ้าให้ราคาส่วนลดเท่ากันจะเรียงการลำดับการยื่นข้อเสนอ

ส่วนขั้นตอนที่ 3การพิจารณาศักยภาพของระบบไฟฟ้า เป้าหมายการรับซื้อไฟฟ้า ทีละรายตามลำดับส่วนลดราคา โดยไม่ยกเชื้อเพลิง ซึ่งในขั้นตอนนี้จะเป็นการพิจารณาทั้ง Feeder หลัก และ Feeder ทางเลือก ตามที่ระบุในคำขอเสนอขายไฟฟ้า ขณะที่การพิจารณาศักยภาพระบบไฟฟ้านั้น จะพิจารณาสายป้อน (Feeder) หลักและสายป้อนทางเลือก ศักยภาพหม้อแปลงไฟฟ้า (Transformer) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และศักยภาพ Grid Capacity ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ที่เชื่อมต่อกับ Feeder นั้นๆ

โดยเป้าหมายการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนของแต่ละเชื้อเพลิง จะพิจารณาตามเป้าหมายของการรับซื้อไฟฟ้าของโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน เพื่อเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งกำหนดเป้าหมายการรับซื้อไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวล 75 เมกะวัตต์ และเชื้อเพลิงก๊าซชีวภาพ 75 เมกะวัตต์ โดยในขั้นตอนนี้จะพิจารณาตามปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายที่ระบุในคำเสนอขอขายไฟฟ้าด้านราคา และปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายที่ยอมปรับลดของผู้ยื่นคำเสนอขอขายไฟฟ้าแต่ละรายด้วย

ขณะที่ขั้นตอนที่ 4 จะเป็นการพิจารณาเลือก Feeder หลัก หรือ Feeder ทางเลือกที่ผ่านการคัดเลือกตามปริมาณพลังไฟฟ้าที่เสนอขายสูงสุดที่ผ่านการคัดเลือกของแต่ละ Feeder โดยภายหลังจากการพิจารณา Feeder ดังกล่าวแล้วจะต้องนำปริมาณพลังไฟฟ้าที่ผ่านการคัดเลือกไปหักลบข้อมูลศักยภาพของระบบไฟฟ้า และปริมาณเป้าหมายพลังงานหมุนเวียนคงเหลือของแต่ละเชื้อเพลิง เพื่อนำไปใช้ในการพิจารณาในลำดับถัดไป

ทั้งนี้ผู้ที่ผ่านการพิจารณาด้านเทคนิคหรือผู้ที่สนใจสามารถเข้าดูแนวทางการพิจารณาคำเสนอขายไฟฟ้าด้านราคา รวมถึงตัวอย่างการพิจารณาคำเสนอขายไฟฟ้าด้านราคา ผ่านคลิปวีดีโอ ในช่องทางยูทูป (OERC Thai) https://youtu.be/NWNgAIMuv44 หรือรับชมในช่องทางเว็บไซต์ของสำนักงาน กกพ. (www.erc.or.th) และช่องทางโซเชียลมีเดีย ได้แก่ เฟซบุ๊คเพจ (Facebook Page : สำนักงาน กกพ.) และทวิตเตอร์ (Twiter : ERC Thailand)

สำหรับผู้ที่ไม่ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติและคำเสนอขอขายไฟฟ้าด้านเทคนิคฯ จำนวน 151 ราย และได้ยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งผลการพิจารณา หรือภายในวันที่ 23 ก.ค.64 คณะอนุกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จะพิจารณาอุทธรณ์ให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน โดยผลการพิจารณาอุทธรณ์จะถูกนำเสนอคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานภายในวันที่ 25 ส.ค.64 ก่อนที่จะประกาศผู้ที่ผ่านการอุทธรณ์ต่อไป โดยผู้ที่จะเข้าสู่ขั้นตอนการพิจารณาด้านราคาจะเป็นผู้ที่มีรายชื่อตามประกาศการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคและผู้ที่ผ่านการพิจารณาอุทธรณ์เท่านั้น
#3028

โดย ทีมจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด 

ท่ามกลางแรงหนุนจากอุปสงค์ทั้งในและนอกประเทศที่ฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ในไตรมาสที่ 1 เศรษฐกิจในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (EM) ยังเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนที่ในไตรมาส 1 โตถึง 18.3 % YoY ซึ่งเป็นการเติบโตที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ปี 1992 ทําให้รัฐบาลจีนออกมาทยอยผ่อนปรนการผ่อนคลายทั้งนโยบายการเงินและการคลังลง (Policy Normalization) ซึ่งเรามีมุมมองว่าอาจจะส่งผลกระทบทำให้เศรษฐกิจในกลุ่มประเทศ EM ชะลอตัวลงในระยะข้างหน้า แต่อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจ EM ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลกที่ยังใช้นโยบายการเงินและการคลังแบบผ่อนคลายและเศรษฐกิจโลกยังฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดย IMF ได้ปรับคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 6% ในปีนี้ ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มขึ้นจากที่เคยคาดการณ์เอาไว้เมื่อเดือน ม.ค. ที่ว่าจะขยายตัวที่ระดับ 5.5% โดยได้รับปัจจัยหนุนจากโครงการฉีดวัคซีนในหลายๆ ประเทศทั่วโลก

สำหรับด้านการลงทุน เรามีมุมมองเป็นกลางต่อตลาดหุ้น EM ในระยะสั้นถึงกลาง เนื่องจากยังคงมีปัจจัยเสี่ยงด้านลบที่ต้องติดตาม ปัจจัยแรก ได้แก่ การที่รัฐบาลจีนทำ Policy Normalization ซึ่งเริ่มส่งผลกระทบต่อตัวเลขทางเศรษฐกิจของจีนทั้งดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตของจีน (Chinese Man.cturing PMI) ที่ดูหมือนจะชะลอตัวลงและตัวเลขสภาพคล่องทางการเงินในประเทศจีน TSF ที่มีแนวโน้มจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว โดยถ้าตัวเลขเหล่านี้ยังชะลอลงอย่างต่อเนื่องอาจจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจในภูมิภาค EM ได้ ปัจจัยต่อมาได้แก่ตัวเลขผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในประเทศกลุ่ม EM เช่น ตุรกี อินเดีย และบราซิล ยังสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงยอดการฉีดวัคซีนในกลุ่มประเทศ EM ที่ยังน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศ Developed Market (DM) เช่น ยุโรป หรือ สหรัฐฯ ดังแผนภาพที่ 

นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มจะแข็งค่าขึ้นในระยะสั้น ซึ่งจะกดดันกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้น EM และ ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่ไม่รู้จะสิ้นสุดลงอย่างไร แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่สภาวะตลาดในช่วงที่ผ่านมาจะเป็นการสลับการลงทุนระหว่างกลุ่มมากกว่าการเทขายทั้งตลาด ทำให้ถึงแม้โดยรวมเราจะมีมุมมองเป็นกลาง แต่เรายังมองว่าหุ้นบางกลุ่มยังมีโอกาสให้ผลตอบแทนที่ดีอยู่ในระยะข้างหน้า เช่น หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในจีนที่ในช่วงที่ผ่านมาโดนผลกระทบจากการสลับการลงทุนจากหุ้นกลุ่ม Growth ไปยังหุ้น กลุ่ม Value รวมถึงกฎเกณฑ์ของรัฐบาลจีนเกี่ยวกับการต่อต้านการผูกขาด ทำให้ราคาของหุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวลงมาค่อนข้างแรง โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในจีน (FTSE China Incl A 25% Technology Capped Index) จากต้นปีปรับตัวลงมาประมาน 2.5% เทียบกับตลาดหุ้นจีนโดยรวม (MSCI China Index) ที่ปรับตัวลงประมาณ 0.5% ส่วนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในสหรัฐฯ (Nasdaq 100 Index) ปรับตัวขึ้นถึง 10 % ทำให้ Valuation ในเชิงเปรียบเทียบของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในจีนลงมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจ ดังแผนภาพที่ 2


สุดท้ายนี้ ถึงแม้ตลาดหุ้น EM จะยังไม่มีความน่าสนใจในระยะสั้นถึงกลางแต่ในระยะยาวเรายังมีมุมมองเป็นบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้น EM อยู่จากระดับ Valuation ที่ยังอยู่ในระดับที่ต่ำเทียบกับตลาดหุ้น DM ดังแผนภาพที่ 3 รวมถึงแนวโน้มเงินเฟ้อที่อยู่ในขาขึ้นจากสภาวะเศรษฐกิจที่ค่อยๆ ฟื้นตัวจากผลกระทบของ COVID-19 ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนตลาดหุ้น EM ในระยะยาว ทำให้ตลาดหุ้น EM ยังเป็นทางเลือกที่ดีในการลงทุนระยะยาวและกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน

https:// m.mgronline.com/mutualfund/detail/9640000075343
#3029
ป้ายไฟวิ่ง LED ดิจิตอล 2 รูปแบบ กันน้ำ 100% - รับประกัน 1 ปี

**** Single color ****** ราคา 2,900 .- 

**** FULL color ****** ราคา 4,200 .-

- กันน้ำ 100% - รับประกัน 1 ปี










#3030



นางสาวพัชรา ทวีชัยวัฒนะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารงานลูกค้า บริษัท อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์การติดเชื่อโควิด 19 ที่เข้าขั้นวิกฤต มีผู้ติดเชื้อจำนวนมากแต่ไม่มีสถานพยาบาลเพียงพอ ประชาชนที่ติดเชื้อจำนวนมาก ต้องรับการรักษาแบบ Home Isolation หรือ Community Isolation 

บริษัทฯ จึงขานรับประกาศของคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เรื่องการจ่ายค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้เอาประกันภัยที่ติดเชื้อไวรัส โควิด 19  ซึ่งมีการดูแลรักษาแบบ Home Isolation หรือการดูแลรักษาแบบ Community Isolation โดยยืนยันที่จะให้ความคุ้มครองผู้ถือกรมธรรม์คุ้มครองชีวิตและสุขภาพของอลิอันซ์ อยุธยา เมื่อติดเชื้อโควิด 19 และรับการรักษาแบบ Home Isolation หรือ Community Isolation โดยความคุ้มครองจะเป็นไปตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง และไม่เกินจำนวนผลประโยชน์สำหรับ ค่าใช้จ่าย ซึ่งเกิดขึ้นจากการรักษาพยาบาลตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ ประกันภัยของลูกค้า

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯยังคงให้ความคุ้มครองลูกค้าตามปกติ กรณีลูกค้าติดเชื้อและเข้ารับการรักษาเป็นผู้ป่วยใน ซึ่งครอบคลุมการรักษาทั้งในโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม และหอผู้ป่วยเฉพาะกิจ (hospitel) ทั้งนี้ จนถึงปัจจุบัน บริษัทฯ ได้จ่ายเคลมตามกรมธรรม์จากสถานกาณณ์โควิด 19 ไปแล้ว กว่า 2,500 เคส ยอดเคลมกว่า 157  ล้านบาท

"อลิอันซ์ อยุธยา ยืนยันที่จะอยู่เคียงข้างลูกค้าคนไทย พร้อมที่จะให้ความคุ้มครองตามคำมั่นสัญญา และเป็นอีกแรงขับเคลื่อนของสังคมไทย ที่จะจับมือทุกฝ่ายก้าวผ่านสถานการณ์ยากลำบากนี้ไปด้วยกัน" 
#3031



ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์ที่ผ่านมา (27, 29-30 ก.ค.) มีมูลค่าการซื้อขายรวมกว่า 2.37 แสนล้านบาท ลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า (19-23 ก.ค.) ที่มีมูลค่าการซื้อขายกว่า 3.62 แสนล้านบาท เนื่องจากเปิดทำการเพียงแค่ 3 วัน

โดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ปิดการซื้อขายปลายสัปดาห์ที่ 1,521.92 จุด ปรับตัวลดลง 1.50% จากระดับปิดของสัปดาห์ก่อนอยู่ที่ 1,545.10 จุด

นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิเพียงกลุ่มเดียว 2,841.74 ล้านบาท ส่วนที่เหลือพร้อมใจซื้อ โดยนักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 1,389.84 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 635.29 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 816.60 ล้านบาท

ทั้งนี้ หากพิจารณาการซื้อขายของบัญชี "เอ็นวีดีอาร์" (NVDR) ซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับนักลงทุนชาวต่างประเทศในการซื้อหุ้นไทย ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 30 ก.ค. พบว่า

10 อันดับหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสูงสุด ได้แก่

KBANK มูลค่าซื้อสุทธิ 543.11 ล้านบาท

TRUE มูลค่าซื้อสุทธิ 341.02 ล้านบาท

ADVANC มูลค่าซื้อสุทธิ 336.23 ล้านบาท

CBG มูลค่าซื้อสุทธิ 321.78 ล้านบาท

CPALL มูลค่าซื้อสุทธิ 251.39 ล้านบาท     

RCL มูลค่าซื้อสุทธิ 214.30 ล้านบาท           

IVL มูลค่าซื้อสุทธิ 206.84 ล้านบาท           

SCC มูลค่าซื้อสุทธิ 203.47 ล้านบาท

PTT มูลค่าซื้อสุทธิ 172.50 ล้านบาท

AOT มูลค่าซื้อสุทธิ 165.76 ล้านบาท

และ 10 อันดับหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติขายสูงสุด ได้แก่

TOP มูลค่าขายสุทธิ 539.02 ล้านบาท   

PTTEP มูลค่าขายสุทธิ 316.17 ล้านบาท   

PTTGC มูลค่าขายสุทธิ 196.51 ล้านบาท   

KGI มูลค่าขายสุทธิ 73.65 ล้านบาท   

GULF มูลค่าขายสุทธิ 66.75 ล้านบาท   

BJC มูลค่าขายสุทธิ 56.52 ล้านบาท   

AS มูลค่าขายสุทธิ 54.45 ล้านบาท   

ASP มูลค่าขายสุทธิ 53.17 ล้านบาท   

IRPC มูลค่าขายสุทธิ 50.01 ล้านบาท   

WICE มูลค่าขายสุทธิ 48.84 ล้านบาท   

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/952178
#3032



สงครามต่อสู้กับโควิด-19 เปลี่ยนไป สืบเนื่องจากตัวกลายพันธุ์เดลตาที่แพร่เชื้อได้ง่ายมาก จากคำกล่าวของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ(ซีดีซี) ส่งสารอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการบังคับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขฉีดวัคซีนและกลับมาสวมหน้ากากโดยทั่วไป ท่ามกลางข้อมูลที่พบว่ามีเคสฉีดวัคซีนครบแล้วแต่ยังติดเชื้อ(breakthrough cases) จำนวนมาก ในนั้นติดเชื้ออาการหนักและเสียชีวิตแล้วกว่า 6,500 ราย

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานอ้างอิงเอกสารภายในของซีดีซีระบุว่าตัวกลายพันธุ์เดลตา ซึ่งพบครั้งแรกในอินเดียและตอนนี้กลายเป็นสายพันธุ์หลักทั่วโลก สามารถติดต่อได้ง่ายพอ ๆ กับ โรคอีสุกอีใส และสามารถแพร่กระจายได้รวดเร็วและง่ายกว่าไข้หวัด มันสามารถแพร่กระจายเชื้อได้แม้กระทั่งจากคนที่ฉีดวัคซีนแล้ว และอาจเป็นต้นตอของอาการป่วยหนักกว่าสายพันธุ์อื่นๆก่อนหน้านี้

เอกสารที่มีชื่อว่า "ปรับปรุงการสื่อสารเกี่ยวกับเคสฉีดวัคซีนครบแล้วแต่ยังติดเชื้อและประสิทธิภาพของวัคซีน (Improving communications around vaccine breakthrough and vaccine effectiveness)" ระบุว่าด้วยตัวกลายพันธุ์นี้ จำเป็นต้องใช้แนวทางใหม่เพื่อช่วยให้ประชาชนตระหนักถึงอันตราย ในนั้นรวมถึงส่งสารอย่างชัดเจนว่าบุคคลที่ยังไม่ฉีดวัคซีนมีโอกาสป่วยหนักหรือเสียชีวิตมากกว่าคนที่ฉีดวัคซีนแล้วกว่า 10 เท่า

"ยอมรับว่าสงครามเปลี่ยนไปแล้ว" เอกสารระบุ "ปรับปรุงการสื่อสารเกี่ยวกับความเสี่ยงรายบุคคลในหมู่คนฉีดวัคซีนแล้ว"

ในคำแนะนำด้านมาตรการป้องกันไว้ก่อนต่างๆนานานั้น รวมไปถึงการบังคับฉีดวัคซีนสำหรับผู้ประกอบอาชีพด้านสาธารณสุข เพื่อปกป้องกลุ่มคนอ่อนแอ และหวนกลับมาสวมหน้ากากป้องกันโดยทั่วไป

ซีดีซียอมรับว่าเอกสารฉบับนี้เป็นของจริง หลังจากหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์นำเสนอรายงานข่าวนี้เป็นแห่งแรก

แม้คนที่ฉีดวัคซีนแล้วมีความเป็นไปได้น้อยที่จะติดเชื้อ แต่ครั้งที่พวกเขาติดเชื้อตัวกลายพันธุ์เดลตาในลักษณะ breakthrough cases เวลานี้พวกเขาก็เหมือนๆกับคนที่ยังไม่ฉีดวัคซีน ที่สามารถแพร่เชื้อสู่คนอื่นๆได้เช่นกัน ซึ่งต่างจากตัวกลายพันธุ์อื่นๆก่อนหน้านี้

กรณีนี้นับว่าน่ากังวลมาก เพราะผู้ที่ได้รับวีคซีนแล้วติดเชื้อสายพันธุ์เดลตา คือกลุ่มที่เป็นตัวแปรสำคัญในการแพร่เชื้อโดยไม่รู้ตัว ทำให้ผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน แล้วได้รับเชื้อจากคนกลุ่มนี้ ยิ่งเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยรุนแรง

เมื่อวันศุกร์(30ก.ค.) ซีดีซีเผยแพร่ข้อมูลจากผลการวิจัยหนึ่งซึ่งศึกษาการแพร่ระบาดในรัฐแมสซาชูเซตส์ พบว่า 3 ใน 4 ของผู้ติดเชื้อ เป็นกลุ่มคนที่ฉีดวัคซีนแล้ว ซึ่งผลการศึกษาดังกล่าวเป็นส่วนสำคัญยิ่งในการตัดสินใจของซีดีซีเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่แนะนำให้บุคคลที่ฉีดวัคซีนแล้วกลับมาสวมหน้ากากในบางสถานการณ์ จากการเปิดเผยของโรเชลล์ วาเลนสกี ผู้อำนวยการซีดีซี

ซีดีซีรายงานว่าจนถึงวันที่ 26 กรกฎาคม มีเคสฉีดวัคซีนครบแล้วแต่ยังติดเชื้อ(breakthrough cases)อาการหนักหรือเสียชีวิต 6,587 ราย ในขณะที่ซีดีซีหยุดรายงานเคสฉีดวัคซีนครบแล้วแต่ยังติดเชื้ออาการเล็กๆน้อยๆมาตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม แต่ในรายงานล่าสุด พวกเขาประมาณการว่าน่าจะมีผู้ติดเชื้อแบบแสดงอาการราวๆ 35,000 รายต่อสัปดาห์ในสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตามตัวเลขของซีดีซียังชี้ให้เห็นว่า วัคซีนนั้นยังมีความสามารถในการป้องกันอาการป่วยรุนแรงและการเสียชีวิตจากโควิดสายพันธุ์เดลตา โดยที่นายจอห์น มัวร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยาจากนิวยอร์ก กล่าวว่า "โดยรวมแล้ว โควิดสายพันธุ์เดลตานั้นคือสายพันธุ์ที่สร้างความลำบากให้เรามากที่สุดเท่าที่เห็นมา แต่ฟ้าก็ยังไม่ถล่มเสียทีเดียว และวัคซีนนั้นก็ยังสามารถป้องกันไม่ให้สถานการณ์มันแย่ไปมากกว่านี้"

เวลานี้มีประชากรวัยผู้ใหญ่สหรัฐฯเกือบ 1 ใน 3 ที่ฉีดวัคซีนเข็มแรกไปแล้ว แต่พื้นที่ต่างๆที่มีอัตราการฉีดวัคซีนระดับต่ำ พบเห็นเคสผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา และเจ้าหน้าที่เกรงว่าอีกไม่นานจำนวนผู้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและเสียชีวิตจำเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว

นายแพทย์แอนโธนี เฟาซี ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อระดับสูงของสหรัฐฯ เปิดเผยกับรอยเตอร์ คาดหวังว่าวัคซีน ซึ่งเวลานี้เพิ่งอยู่ในขั้นได้รับอนุมัติใช้ในกรณีฉุกเฉิน จะเริ่มได้รับอนุมัติจากคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบโดยสมบูรณ์ในเดือนสิงหาคม ซึ่งมันน่าจะช่วยโน้มน้าวให้ประชาชนเข้าฉีดวัคซีนกันมากขึ้น

(ที่มา:รอยเตอร์/วอชิงตันโพสต์) https:// m.mgronline.com/around/detail/9640000075092
#3033



มีข่าวที่น่ายินดีจากการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ครั้งที่ 44 ที่จีน เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2564 ที่ประกาศขึ้นทะเบียน กลุ่มป่าแก่งกระจาน ให้เป็น มรดกโลกทางธรรมชาติ แห่งใหม่ของประเทศไทย หลังจากก่อนนี้มีห้วยขาแข้ง-ทุ่งใหญ่นเรศวร และกลุ่มป่าเขาใหญ่-ดงพญาเย็น ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนในปี พ.ศ.2548

หลังจากนั้น ทีมทำงานที่จะเสนอชื่อผืนป่า แก่งกระจาน ก็เตรียมความพร้อมทุกอย่างที่จะเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของเขา ปั้นแต่งพื้นที่มาเป็นเวลา 10 ปี พอปี พ.ศ. 2558 ก็เสนอครั้งแรก ผลคือตกไปไม่ได้รับพิจารณา พอปี 2558 -2559 ก็เสนอ และก่อนนี้ในปี 2562 ก็เสนออีก แต่ก็ตกไปทุกครั้ง ไม่ได้รับการอนุมัติ ทุกครั้งก็จะมีข้อให้กลับมาแก้ไข และเตรียมความพร้อม ปรับปรุงตามข้อแนะนำจนมาถึงการประชุมครั้งที่ 44 ที่จีนเป็นเจ้าภาพ ซึ่งเป็นการประชุมทางไกล ผืนป่า "แก่งกระจาน" จึงได้รับการพิจารณาให้ขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลก ทางธรรมชาติแห่งใหม่ของไทย นับว่าความพยายามของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ที่เฝ้าเพียรพยายามมาถึง 16 ปี จนกระทั่งได้ขึ้นทะเบียนดังกล่าวนั้นไม่เสียเปล่า


น้ำตกผาไทร อช.กุยบุรี

พื้นที่ของกลุ่มผืนป่า "แก่งกระจาน" ที่ขึ้นทะเบียน "มรดกโลก" ในครั้งนี้ เป็นพื้นที่ป่าทางด้านตะวันตก ที่เชื่อมต่อติดกับป่าของประเทศเมียนมา กลายเป็นป่าผืนใหญ่ของภูมิภาค ประกอบไปด้วยพื้นที่จากล่างสุดของอุทยานแห่งชาติกุยบุรี (พื้นที่ 969 ตร.กม.) ในเขตอำเภอกุยบุรี และอำเภอหัวหิน แล้วต่อเชื่อมต่อกับ อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ที่ครอบคลุมพื้นที่มาตั้งแต่ อ.หัวหิน จ.ประจวบฯ เข้ามา อ.แก่งกระจาน และ อ.หนองหญ้าปล้อง ของ จ.เพชรบุรี (พื้นที่ 2,478 ตร.กม.) กระทั่งเข้ามาเขต อ.บ้านคา จ.ราชบุรี ซึ่งมีอุทยานแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติไทยประจัน (พื้นที่ 349.59 ตร.กม.) และส่วนต่อเชื่อมระหว่าง อ.บ้านคา และ อ.สวนผึ้งของราชบุรีก็มีเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าลุ่มน้ำภาชี (พื้นที่ 489.31 ตร.กม.) เมื่อดูในแผนที่แล้วจะเห็นว่า "มรดกโลก" แห่งใหม่กลุ่มป่า "แก่งกระจาน" นั้น ครอบคลุมพื้นที่เป็นแนวยาวทางตะวันตกขึ้นมานับร้อยกิโลเมตรทีเดียว จึงเป็นผืนป่าใหญ่ผืนหนึ่งของประเทศทีเดียว


ป่าที่เป็นผืนใหญ่ต่อเนื่องกันมันจะเป็นหลักประกันให้สัตว์ป่าได้อยู่กันอย่างมีความสุข อพยพโยกย้ายตามพฤติกรรม ได้อย่างมีอิสระเสรี สืบพันธุ์พงศ์เผ่าต่อไป ในอุทยานแห่งชาติกุยบุรี ถึงกับได้สมญานามว่าเป็นซาฟารีเมืองไทย มีทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่ ที่สัตว์ป่า ออกมาหากิน เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ทำเงินเข้าสู่จังหวัดและประเทศอย่างมาก เพราะโปรแกรมปิดท้ายก่อนที่นักท่องเที่ยวที่มาหัวหินจะกลับที่พัก คือการมาดูสัตว์ที่อุทยานกุยบุรีนี่เอง แต่ละวัน จะมีช้าง วัวแดง กระทิง ออกมาให้เห็นทุกวัน


กิจกรรมดูสัตว์ป่า ของ อช.กุยบุรี ที่ได้รับความนิยม

มาที่ "อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน" ที่นี่แทบไม่ต้องบรรยายมากเลยว่ามีคุณค่าอย่างไรในพื้นที่ ที่นี่มีจุดดูทะเลหมอกอันลือชื่อคือบนพะเนินทุ่งแคมป์ ซึ่งปี 2564 นี้น่าจะเปิดในช่วงปลายปีค่อนข้างแน่ และที่นี่เป็นที่ที่นักดูนกทั้งไทยและเทศ ต่างแวะเวียนกันมาดูนกทั้งปี ทั้งยังเป็นแหล่งดูผีเสื้อที่สำคัญอีกด้วย เรื่องราวของช้างป่าที่อยู่ร่วมกับคนที่บ้านห้วยสัตว์ใหญ่ นั่นก็เป็นความสมบูรณ์ของสัตว์ป่าใน "แก่งกระจาน" ไม่นับภาพข่าวที่เจอเสือดำ เสือดาว ในป่าแก่งกระจานหลายครั้งที่ผ่านมา และในบรรดาคนที่ชอบตั้งแคมป์พักแรม ดูเหมือนว่า "แก่งกระจาน" ได้รับความนิยมอย่างมากไม่เคยสร่างซา


น้ำพุร้อนโป่งกระทิง

ด้านเหนือของ "อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน" จะต่อเชื่อมกับอุทยานแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติไทยประจัน ซึ่งมีบ่อน้ำพุร้อนโป่งกระทิงเป็นที่รู้จักกัน ส่วนเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าลุ่มน้ำภาชีนั้น ด้วยความที่เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ไม่ได้เน้นกิจกรรมท่องเที่ยวแต่เป็นที่อบรม เรียนรู้ของนักเรียน นักศึกษามานาน แต่กระนั้นก็ยังมีคนที่ชอบความเงียบสงบไปตั้งแคมป์พักแรมอยู่บ้าง และพื้นที่ต่อเนื่องกันสองพื้นที่นี้ มีการพบสมเสร็จ ซึ่งเป็นสัตว์หายากในบ้านเรา ดำรงชีพอยู่ด้วยความสำราญใจ


ทะเลหมอกบนพะเนินทุ่งแคมป์ อช.แก่งกระจาน

อีกหน้าที่หนึ่งของป่าคือการเป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร ที่มาหล่อเลี้ยงทั้งผู้คนและสรรพสิ่ง ทุกผืนป่าทำหน้าที่เป็นป่าต้นน้ำได้เป็นอย่างดี เพียงแต่แม่น้ำที่เกิดจากป่าตะวันตกในย่านนี้ จะเป็นแม่น้ำสายสั้นๆ ที่เกิดจากป่าแล้วไหลลงทางตะวันออกสู่ทะเลอ่าวไทย แต่กระนั้นก็ทำหน้าที่สายชีวิตไม่บกพร่อง

กลุ่มป่า 'แก่งกระจาน' มรดกโลกแห่งใหม่ของไทย
เอกชนชงรัฐเร่งสกัดโควิด บูรณะแหล่งท่องเที่ยว"อีอีซี"
'ดูดวง' สิงหาคม 2564 ตามหลักโหราศาสตร์จีน กับซินแสนัตโตะ
อุทยานแห่งชาติกุยบุรี มีน้ำตกหลายแห่งมาก เพียงแต่ต้องเดินเท้าเข้าไปในป่าเป็นระยะทางค่อนข้างไกล อย่างน้ำตกผาหมาหอน น้ำตกห้วยดงมะไฟ น้ำตกด่านมะค่า น้ำตกผาสวรรค์ น้ำตกผาไทร น้ำตกแพรกตะคร้อ เป็นต้น


มาดูที่อุทยานฯ "แก่งกระจาน" ป่าที่นี่ให้กำเนิดแม่น้ำเพชรบุรี ที่ไหลลงเขื่อนแก่งกระจาน เป็นเส้นเลือดใหญ่ของเพชรบุรี ป่าผืนนี้จึงเป็นดั่งสายเลือดของคนเพชรบุรีเลยเทียว ในขณะที่น้ำตกคลองปราณ และน้ำตกป่าละอู ก็ไปหล่อเลี้ยงคนในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ส่วนทางตอนเหนือ น้ำตกแม่กระดังลา ก็ไหลลงเขื่อนลิ้นช้าง ลงมาเป็นแม่น้ำเพชรบุรีเช่นกัน


น้ำตกป่าละอู อช.แก่งกระจาน

ขึ้นไปที่อุทยานฯเฉลิมพระเกียรติไทยประจันอุทยานฯนี้ แม้จะไม่ขึ้นชื่อเรื่องน้ำตก แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นป่า ย่อมเป็นต้นน้ำอยู่ดี จึงมีลำห้วยไทยประจัน ไหลล่องลงมาเป็นลำห้วย เป็นแก่งน้ำต่างๆ ก่อนจะไหลลงปลายทางที่อ่างเก็บน้ำไทยประจัน ออกไปหล่อเลี้ยงคนในที่ราบลุ่มเขตจอมบึง หรือเขตฯลุ่มแม่น้ำภาชี ก็เป็นการรักษาป่าต้นน้ำของลุ่มแม่น้ำภาชี แม่น้ำสาขาของแควน้อยที่กำเนิดจากป่า แล้วไหลผ่านพื้นที่ของสวนผึ้ง จอมบึง แล้วลงแควน้อยที่ อ.เมือง กาญจนบุรีนั่นเอง


จุดชมวิวบางกะม่า อช.เฉลิมพระเกียรติไทยประจัน


แม่น้ำเพชรบุรีก่อนลงสู่เขื่อนแก่งกระจาน

จะเห็นว่าทุกผืนป่าที่ดำรงคงอยู่ ล้วนแล้วเป็นต้นน้ำลำธาร เป็นหลักประกันในเรื่องน้ำ ว่าตราบใดที่เรามีป่า เราจะมีน้ำไว้ใช้ในชีวิต สัตว์ป่าพลอยจะได้ที่อยู่อาศัยอันมั่นคง

การได้ "มรดกโลก" จึงเป็นหลักประกันในสิ่งเหล่านี้ ขอแสดงความยินดีกับมรดกโลกทางธรรมชาติใหม่ของไทยอีกครั้ง แล้วเราคนไทยมาช่วยกันรักษาป่า "แก่งกระจาน" ผืนนี้ให้ยืนยาวต่อไป...
#3034



กรุงเทพฯ, 29 กรกฎาคม 2564 – เอไอเอ ประเทศไทย ภายใต้การนำของ นายกฤษณ์ จันทโนทก ซีอีโอคนไทยคนแรก เปิด 5 กลยุทธ์ขับเคลื่อนองค์กรครั้งใหญ่ เดินหน้าอย่างแข็งแกร่งในฐานะบริษัทประกันชีวิตอันดับ 1 ของประเทศ ที่อยู่เคียงข้างคนไทยในทุกช่วงชีวิตมายาวนานกว่า 83 ปี พร้อมปักธงสร้างความเป็นหนึ่งในทุกด้าน ผ่านนวัตกรรมสินค้าและการบริการที่ดีที่สุด เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกเจนเนอเรชั่น พร้อมช่วยเติมเต็มทุกความต้องการด้านการประกันชีวิต สุขภาพ และการวางแผนการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อหนุนความมั่นคงและมั่งคั่งอย่างยั่งยืนให้แก่คนไทย โดยเฉพาะในช่วงเวลาแห่งความท้าทายนี้ ตามคำมั่นสัญญา "Healthier, Longer, .ter Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น"

5 กลยุทธ์ ขับเคลื่อนองค์กรสู่ความเป็นหนึ่ง

ต่อจากนี้ไป การขับเคลื่อนเอไอเอ ประเทศไทย จะดำเนินภายใต้ 5 กลยุทธ์สำคัญ ที่มุ่งสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกอย่างรอบด้าน เพื่อนำไปสู่ความเป็นหนึ่งในทุกมิติ

เอไอเอ เป็นหนึ่ง บุคลากรทุกฝ่ายในองค์กรต้องทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว โดยมีเป้าหมายเพื่อตอบโจทย์ความต้องการสูงสุดของลูกค้าด้วยประสบการณ์ที่ดีที่สุด
เอไอเอ ยืนหนึ่ง นอกเหนือจากการเป็นบริษัทประกันชีวิตอันดับ 1 ของประเทศ เอไอเอ ต้องยืนหนึ่งในใจลูกค้า และในทุกมาตรวัด ไม่ว่าจะเป็นส่วนแบ่งทางการตลาด ขนาดธุรกิจ ดัชนีความพึงพอใจและความภักดีของลูกค้า รวมไปถึงสินค้าและบริการที่ดีที่สุดในตลาด
เอไอเอ ที่หนึ่ง เป็นผู้นำในการนำเสนอนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ และบริการที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อลูกค้า ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยี และการบริการ
เอไอเอ เป็นบริษัทเพื่อคนไทยอย่างแท้จริง ด้วยประสบการณ์ในการดูแล และมอบความคุ้มครองให้แก่คนไทยมายาวนานกว่า 83 ปี และเป็นบริษัทประกันชีวิตที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศ เอไอเอยังคงมุ่งมั่นและไม่หยุดที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิตของคนไทยทั่วทุกภูมิภาค ผ่านกิจกรรมเพื่อสังคมต่าง ๆ​ เอไอเอ ต้องเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของลูกค้า ด้วยการเปลี่ยนบริบทจากการเป็นเพียงผู้จ่ายเคลม หรือ Payor เป็น Partner ที่คอยอยู่เคียงข้างในทุก ๆ วัน เพื่อสนับสนุนให้คนไทยทุกคนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น



นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย เปิดเผยว่า "แม้เราจะเป็นบริษัทประกันชีวิตอันดับ 1 ของประเทศไทยมายาวนาน แต่เราจะไม่หยุดความสำเร็จไว้เพียงตรงนี้ เพราะต่อจากนี้ไปเอไอเอ ประเทศไทย ต้องเป็นหนึ่ง ยืนหนึ่ง และที่หนึ่งในทุกด้าน โดยการเป็นที่หนึ่งนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อองค์กรและพนักงานของเราเท่านั้น แต่รวมไปถึงการทำให้ลูกค้าของเอไอเอกว่า 5.2 ล้านราย ตลอดจนคนในสังคมได้รับประโยชน์สูงสุด จากหลากหลายนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง เพื่อส่งมอบความคุ้มครองและการวางแผนทางการเงินในระยะยาวที่ครอบคลุมทุกความต้องการ ตลอดจนตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่มให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น อันถือเป็นพันธกิจสำคัญที่เรายึดถือ โดยมีเอไอเอเป็นพาร์ทเนอร์อยู่เคียงข้างดังเช่นตลอดระยะเวลา 83 ปีที่ผ่านมา"

ที่หนึ่งแห่งความมุ่งมั่น ยกระดับสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแก่คนไทย ด้วย 3 นวัตกรรมใหม่
จากความท้าทายของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ที่มีความรุนแรงและต่อเนื่องยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน ได้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างในหลากหลายมิติ ด้วยความตระหนักถึงผลกระทบดังกล่าว เอไอเอ ประเทศไทย จึงมุ่งมั่นนำนวัตกรรมมาใช้ขับเคลื่อนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการบริการให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการ ครอบคลุมวิถีชีวิตของคนทุกกลุ่มในยุค New Normal ควบคู่ไปกับสนับสนุนให้คนไทยได้รับความคุ้มครองอย่างต่อเนื่อง และได้รับความสะดวกสบายสูงสุดในการเข้าถึงบริการ พร้อมลดความเสี่ยงจากการเดินทาง การพบเจอกันของทั้งฝั่งตัวแทนและลูกค้า ผ่าน 3 นวัตกรรมดิจิทัลใหม่ ได้แก่

ALive Powered by AIA แอปผู้ช่วยส่วนตัว ดูแลครบ เรื่องครอบครัว เปิดประสบการณ์ใหม่ให้แก่ทุกครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวที่กำลังวางแผนมีบุตร กำลังตั้งครรภ์ รวมถึงพ่อแม่มือใหม่ที่อาจขาดประสบการณ์ดูแลเจ้าตัวเล็ก ด้วย 5 ฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ความต้องการด้านสุขภาพตามช่วงวัยที่แตกต่างกันของคนในครอบครัวอย่าง การปรึกษาแพทย์และพยาบาลออนไลน์ แชทกลุ่ม กิจกรรมไลฟ์ บทความและวิดีโอ และ ระบบบันทึกความทรงจำ พร้อมความร่วมมือระหว่างพันธมิตรชั้นนำ และผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพครอบครัว ทั้งโรงพยาบาลสมิติเวช กูรูชื่อดัง และ theAsianparent เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าตลอดการใช้งาน

AIA iSign การเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัย โดยการลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ เป็นครั้งแรกในประเทศไทยกับนวัตกรรมดิจิทัลใหม่ล่าสุดที่พัฒนาขึ้นเพื่อมุ่งอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า ในกระบวนการสมัครทำประกันภัยแบบไม่ต้องพบหน้าจบครบในกระบวนการเดียวและมีความปลอดภัยสูง ให้ผู้สมัครทำประกันชีวิตลงนามแบบ Remote Signature (การลงรายมือชื่อจากระยะไกล) ในใบสมัคร ตลอดจนเอกสารประกอบทั้งหมด โดยมีตัวแทนเป็นผู้เสนอขายประกันแบบ Digital Face to Face ภายในระบบ iPoS+ ครอบคลุมการทำประกันทุกประเภท ซึ่งถือเป็นบริการตามแนวทางการเข้าร่วมโครงการทดสอบนวัตกรรมที่นำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการให้บริการสำหรับธุรกิจประกันภัย (Insurance Regulatory Sandbox) ตามประกาศ คปภ. พ.ศ. 2564

AIA iService โฉมใหม่ แอปพลิเคชันรวมทุกเรื่องเกี่ยวกับกรมธรรม์ไว้ครบในที่เดียว ตั้งแต่บริการยืนยันตอบรับข้อมูลกรมธรรม์ฉบับใหม่ (Freelook) การชำระเบี้ยประกันภัยผ่านบัตรเครดิต ตรวจสอบสถานะสินไหม และบริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในกรมธรรม์ รวมถึงการทำรายการสับเปลี่ยนกองทุนที่ลงทุนได้สำหรับลูกค้าที่ถือกรมธรรม์ยูนิต ลิงค์ นอกจากนี้ ยังปรับโฉมเมนู "สิทธิพิเศษ" เมนูที่รวบรวมเอกสิทธิ์และสิทธิพิเศษจากพันธมิตรไว้มากมายสำหรับลูกค้าเอไอเอ และสมาชิกเอไอเอ เพรสทีจ คลับ พร้อมให้ลูกค้าได้เข้าถึงบริการได้สะดวกครบรอบด้าน ง่าย จบ ครบในแอปเดียว ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัล และสอดรับกับการใช้ชีวิตในวิถีปกติใหม่ หรือ New Normal

"สุดท้ายนี้ผมมั่นใจว่าด้วยกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งทั้ง 5 ข้อ ประกอบกับนวัตกรรมทั้งด้านผลิตภัณฑ์และการบริการ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่เอไอเอในฐานะบริษัทเพื่อคนไทย ให้สามารถเติบโตและอยู่เคียงข้างคนไทยเพื่อเอาชนะทุกอุปสรรคร่วมกันได้อย่างยั่งยืน" นายกฤษณ์ กล่าวเสริม

ผู้สื่อข่าวได้สอบถามถึงกรณีบริษัทมีแผนงานรองรับบริการด้านงานเคลมสำหรับรูปแบบการรักษาใหม่ Home Isolationกรณีคนไข้ที่เป็นลูกค้าป่วยโควิดอย่างไร นายกฤษณ์​ กล่าวตอบว่า เอไอเอ ดำเนินงานตามกฎระเบียบและมาตรฐานของ คปภ. ดังนั้น ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเอไอเอ เป็นโรคจากการติดเชื้อโควิด 19 และแพทย์ระบุให้รักษาตัวในรูปแบบ Home Isolation หรือการแยกกักตัวที่บ้าน ตามเกณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข โดยผลประโยชน์ความคุ้มครองยังคงเป็นไปตามเงื่อนไขตามกรมธรรม์ ซึ่งผู้เอาประกันภัยที่ถือกรมธรรม์ประกันสุขภาพของเอไอเอ ที่มีความคุ้มครองในส่วนของรักษาพยาบาลในกรณีเป็นผู้ป่วยนอก (OPD) จะได้รับความคุ้มครองผลประโยชน์ค่ารักษาพยาบาล ค่าแพทย์ และค่ายา (ตามที่แพทย์สั่ง) โดยรายละเอียดเงื่อนไข ทางเอไอเอ จะประกาศให้ทราบอีกครั้ง เมื่อสรุปกับทาง คปภ. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ต่อข้อถามที่ว่า ประเมินตัวเลขภาพรวมในการจ่ายสินไหมโควิดที่จะกระทบภาคอุตสาหกรรมประกันชีวิตของไทยไว้อย่างไร มากน้อยขนาดไหนในแง่เอไอเอประมาณการไว้อย่างไร นายกฤษณ์​ ตอบว่า​ เอไอเอ เราไม่สามารถประเมินตัวเลขการจ่ายสินไหมจากโควิด 19 ได้ คงต้องรอตัวเลขจากทางสมาคมประกันชีวิตและสมาคมประกันวินาศภัย ที่จะออกมารายงาน และสำหรับเอไอเอ เราไม่มีประกันที่คุ้มครองโควิด 19 โดยเฉพาะ แต่อย่างไรก็ตาม ประกันสุขภาพของเราทุกแผน ให้ความคุ้มครองครอบคลุมถึงโรคโควิด 19 อยู่แล้วตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ ซึ่งจากรายงานล่าสุด เอไอเอ ประเทศไทย ได้ทำการจ่ายผลประโยชน์ในกรณีเสียชีวิตแล้วมากกว่า 100 ราย และการจ่ายเคลมค่ารักษาพยาบาลจากประกันสุขภาพ ที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมถึงการเจ็บป่วยจากโรคโควิด 19 ไปแล้วมากกว่า 7,000 ราย
#3035



เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 29 ก.ค.2564 ในการแถลงสถานการณ์โควิด19 นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวถึงกรณีมีการแฮกข้อมูลและเรียกรับเงินในการเข้าฉีดวัคซีนที่ศูนย์ฉีดวัคซีนที่สถานกลางบางซื่อว่า  เมื่อ2-3 วันก่อนได้มีการรายงานจากผอ.ศูนย์ฉีดฯว่าสงสัยจะมีความผิดปกติของการมารับบริการ โดยเฉพาะช่วงท้ายวัน ที่เหมือนเป็นการลงทะเบียนผ่านค่ายมือถือแต่จะแสดงความผิดปกติบางอย่าง เช่น มีความรีบร้อน จึงได้มอบหมายให้มีการลองหากระบวนการที่จะตรวจจับให้ได้ โดยเกิดขึ้นกับค่ายมือถือค่ายเดียว ซึ่งค่ายมือถือได้มีการให้บริษัทย่อยมารับในการช่วยจัดระบบคิวและลงทะเบียน พบว่าจุดลงทะเบียนตรงนี้ที่มีปัญหา จึงร่วมมือกับค่ายมือถือนั้นล่อซื้อ

           ซึ่งเมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2564 เมื่อมีผู้ที่น่าสงสัยเข้ามารับบริการราว 100 คนจึงให้เข้ามารับบริการตามระบบและยกเลิกทันทีเมื่อเข้ามาในจุดที่จะฉีด แล้วให้เจ้าตัวมาแสดงตัว จากนั้นมีการสอบถามและให้ลงบันทึกข้อความ โดยให้เล่าตั้งแต่ติดต่อผ่านใครอย่างชัดเจน โดยหลักการคือเป็นลูกจ้างที่ถูกจ้างมาอีกทอดหนึ่งของค่ายมือถือ ส่วนที่บอกว่ามีเจ้าหน้าที่ของกรมร่วมด้วย ยังไม่ทราบข้อมูลจริงๆ  และเมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2564 ได้มีการแจ้งความเรียบร้อยแล้ว กันพยานคนที่เหมือนกับต้องเสียเงินไปซื้อมาเป็นพยาน เพื่อเอาผิดให้ถึงที่สุด


"ยืนยันว่ายังไม่ทราบว่ามีเจ้าหน้าที่กรม  แต่ถ้ามีก็จะไม่ละเว้นเพราะความเจ็บป่วยของประชาชนซื้อขายไม่ได้ ถ้ามีเจ้าหน้าที่กรมเกี่ยวข้องก็จะมีการตั้งคณะกรรมการสืบข้อเท็จจริงและสอบสวนลงโทษตามความเป็นจริง แต่เท่าที่ทราบ ณ ตอนนี้ยืนยันว่าไม่มี มีแต่เจ้าหน้าที่ที่ถูกจ้างมาโดยค่ายโทรศัพท์มือถือไปเติมทะเบียนของผู้ที่มารับวัคซีนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้มีการล่อซื้อให้ชัดเจน เพื่อให้ได้คนที่กระทำผิดให้ชัดเจน"นพ.สมศักดิ์กล่าว  

     สำหรับแนวทางลดความแออัด โดยการดำเนินการปรับระบบให้บริการฉีดวัคซีน คือ 1.เปิดประตูศูนย์เร็วขึ้นจากเดิม 09.00 น.  ให้ผู้มารับบริการลงทะเบียน โดยไม่วัดความดัน 2.ปรับระบบการเข้าแถวให้ไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ให้หางแถวแต่ละประตูชนกัน 3.ย้ายที่จอดรถมอเตอร์ไซค์และรถสุขาออกจากพื้นที่ เพื่อเพิ่มพื้นที่สำหรับผู้รับบริการ 4.ประสานการระบายผู้รับบริการหทุกประตูในภาพรวม 5.มอบหมายผู้รับผิดชอบในแต่ละประตูอย่างชัดเจน และ 6.เน้นให้ยืนบนสติกเกอร์ 2,400 จุด  


นพ.สมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ มาเสริมการทำงานกับกทม. เป็นความร่วมมือในการบริการให้ใช้สถานที่โดยกระทรวงคมนาคมที่สถานีกลางบางซื่อ โดยกระทรวงสาธารณสุข(สธ.)เป็นผู้จัดบริการการฉีดวัคซีน เริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่  7 มิ.ย. 2564 มีการฉีดครบ 1 ล้านโดสไปแล้ว  โดยช่วง 2 สัปดาห์แรกเป็นการทดสอบระบบ หลังจากนั้น 1 เดือน ตั้งแต่ 5 ก.ค.จึงเริ่มฉีดให้ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป โดยเปิดให้ออนไซต์ พบว่ามีจำนวนมาก จึงปรับให้วอล์กอินหรือออนไซต์สำหรับผู้ที่อายุ75 ปีขึ้นไป ทำให้สามารถจัดระบบให้ไม่แออัดได้  

            เมื่อวันที่ 22 ก.ค.จึงมีฉีดให้กับกลุ่มผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป หญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 12 สัปดาห์ และคนอ้วนที่มีน้ำหนักหมากกว่า 100 กิโลกรัม จึงมีภาพของความแออัดในช่วง 3-4 วันที่ผ่านมา จึงพยายามปรับเปลี่ยนวิธีการ โดยขอให้คนอ้วนมารับบริการในช่วงบ่าย  เพราะถ้าช่วง 10.00 น. คนจะโล่ง เพราะส่วนใหญ่จะมาจำนวนมากช่วง 08.00 น.  และตั้งแต่บวันที่ 1 ส.ค. เป็นต้นไปเพื่อให้การบริการเป็นระบบ จะไม่มีออนไซต์และวอล์กอินอีก จะเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนผ่านค่ายมือถือทั้ง 4 ค่าย โดยจะยังเน้น 60 ปีขึ้นไป และกลุ่ม 18 ปีขึ้นไปแต่จะสดส่วนน้อยกว่าผู้สูงอายุ  โดยได้ตกลงกับ 4 ค่ายมือถือเรียบร้อยแล้ว  เพราะถ้าลงทะเบียนจะบอกได้ว่าแต่ช่วงเวลามีผู้รับบริการกี่คน

    "นโยบายการให้บริการฉีดวัคซีนของศูนย์ฉีดสถานีกลางบางซื่อ ตรงนี้เป็นที่เก็บตกช่วยเสริมในพื้นที่กทม. โดยฉีดให้กับคนมีภูมิลำเนาในกทม. ผู้ที่มาทำงานในกทม.ที่ภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัด ผู้สูงอายุในกทม.ปริมณฑลที่มีภูมิลำเนาชัดเจน  คนไร้บ้าน และชาวต่างชาติที่มีถถิ่นพำนักในประเทศไทยอย่างถูกกฎหมาย เน้นที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป เหมือนคนไทย เป็นนโยบายที่พยายามเก็บตกในกทม.ทั้งหมด"นพ.สมศักดิ์กล่าว  

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/951732
#3036
สำนักพรเทวะ (มหาสารคาม)


ศูนย์รวมวัตถุมงคล เครื่องราง ของขลัง ดูดวง รับสอนการพยากรณ์ด้วยไพ่ออราเคิล แก้อาถรรพ์ร่างกาย รับลงนะ ลงทอง สาริกาลิ้นทอง เมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ รับทำเทียนสะเดาะเคราะห์ สืบชะตา รับโชค แก้ชง เสริมดวงเสริมบารมีต่างๆ เรียกคู่ เรียกจิต สักน้ำมันว่านยา 108 ให้บูชาน้ำมันว่านสาวหลง น้ำมันว่านดอกทอง อื่น ๆ รับวิเคราะห์ชื่อ(ฟรี) รับตั้งชื่อ จำหน่ายเพนดูลั่มลูกดิ่งพลังจิต ให้บูชาคัมภีร์พระเวทย์

สนใจติดต่อ
นายธีรพัชร์ วงศ์วรนิตย์ (อ.ทองเอก พรเทวะ)
โทร 0846623662
website :  http://goo.gl/Y5nYSO
Facebook: facebook.com/teerapat992018

Line : teerapat999

lazada : https://www.lazada.co.th/shop/porntaywa/?spm=a2o4m.pdp_revamp.delivery_options.1.6dbbfeeao328sS&itemId=1863368460&channelSource=pdp

shopee :   https://shopee.co.th/teerapat992018 
 
#3037
Room Fiberry รูมไฟเบอรี่ ดีท็อกซ์ชนิดผงชงดื่ม ดื่มง่าย ถ่ายคล่อง
 

สุขภาพดีเริ่มต้นที่.. " การขับถ่าย "ROOM FIBERRY (รูม ไฟเบอร์รี่)ตัวช่วยของคนรักสุขภาพ เติมเต็มส่วนที่ขาด กำจัดส่วนเกินกินทุกวันแต่ไม่ขับถ่ายทุกวัน ต้นเหตุของ "โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง"อาทิเช่น ท้องผูก ท้องเสีย มะเร็งลำไส้ใหญ่อ้วนลงพุง และโรคต่างๆ ที่เกี่ยวกับการดูดซึมของเสีย หรือสารพิษที่ไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ในร่างกายทำให้เซลล์ถูกทำลายจากสารอนุมูลอิสระต่างๆ
 
Room Fiberry (รูม ไฟเบอร์รี่) มีส่วนช่วยในการดีท็อกซ์ร่างกายมากถึง 5 ระบบ
- ระบบลำไส้
- ระบบตับ
- ระบบไต
- ระบบเลือด
- ระบบผิวหนัง
 
•รวบรวมสารสกัดจากผักผลไม้ถึง 36 ชนิด
• อุดมไปด้วยวิตามินและใยอาหารที่จำเป็นจากผักและผลไม้ 7 สี
• เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ 100%
• กวาดเศษปฏิกูลของเสียออกจากส่วนที่ติดค้างในลำไส้
• ดูดสารพิษและกลิ่นเน่าเหม็น
• ขับถ่ายตามเวลาภายใน 8-12 ชั่วโมง
• ช่วยให้ผิวพรรณสดใสมากขึ้น
• ช่วยให้ร่างกานผ่อนคลายและหลับสบายยิ่งขึ้น
• รสชาติมิกซ์เบอร์รี่ หอม อร่อย ทานง่าย
 
Room Fiberry"ไม่มีผลในการป้องกันหรือรักษาโรค""อ่านคำเตือนในฉลากก่อนบริโภค""ควรกินอาหารหลากหลายครบ 5 หมู่ ในสัดส่วนที่เหมาะสมเป็นประจำ"ผ่านการตรวจสอบจากองค์การอาหารและยา
 
ขึ้นทะเบียน เลขที่ 13-1-01760-3-0002
 
บรรจุ 1 กล่อง / 14 ซอง
วิธีรับประทาน ชงน้ำเย็น 50-100 ml/1 ซอง ดื่มก่อนนอน วันละ 1 ซอง
 ราคา  590 บาท

สนใจติดต่อสอบถาม/สั่งซื้อ
Tel. 0846623662
Line id : teerapat999

ข้อมูลเพิ่มเติม   http://porntaywa99.lnwshop.com/p/1233

 
#รูมไฟเบอรี่ดีท็อกซ์กระชับสัดส่วน#ROOMFIBERRY ดูแลผิวพรรณป้องกันความอ้วน##ดีท๊อก#ดีท๊อกลำไส้ #ดีท๊อกของเสีย #วิตามิน #เพื่อสุขภาพที่ดี #ลดพุง #ถ่ายคล่อง #สินค้าดี
#3038



ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ เตรียม เปิดจองคิวฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เข็มที่ 1 โดย ลงทะเบียนฉีดวัคซีนล่วงหน้าผ่านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือเท่านั้น  เปิดให้ลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด-19 สำหรับกลุ่มคนที่ยังไม่เคยลงทะเบียน เริ่มลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป เริ่มฉีดตั้งแต่วันที่ 1-31 สิงหาคม 2564

รายละเอียดการ ลงทะเบียนฉีดวัคซีน โควิด-19

1. ประชาชนทั่วไปอายุตั้งแต่ 18 ปี วันละ 10,000 โดส

- เบื้องต้น มีโควต้าการจองต่อวัน 2,000 คนต่อค่ายมือถือ

2. ผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป และผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง วันละ 10,000 โดส

เฉพาะ กลุ่ม 7 โรคเรื้อรัง โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง  โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง  โรคอ้วน  โรคมะเร็ง  โรคเบาหวา ต้องมีการเช็คกับกรมการแพทย์ประกอบด้วย และกรณีที่ลงทะเบียนไม่ผ่าน ต้องเช็คกับโรงพยาบาลที่ทำการรักษาเพื่อส่งข้อมูลเข้าไปตรงส่วนกลาง

-เบื้องต้น มีโควต้าการจองต่อวัน  3,500 คนต่อค่ายมือถือ (โปรดเช็คข้อมูลอายุกับ บัตรประชาชน ที่ออกโดยกระทรวงหาดไทย)

ผู้สนใจ เตรียมคลิกเข้าดูรายละเอียดผ่านช่องทางของแต่ละค่ายมือถือ เอไอเอส ทรู และ ดีแทค รวมถึง บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ หรือเอ็นที


ช่องทางการ ลงทะเบียนฉีดวัคซีน โควิด-19

ช่องทางลงทะเบียนฉีดวัคซีนที่ ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ เบื้องต้น ผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปตรวจสอบได้ 3 ช่องทาง คือ 

1. AIS ลงทะเบียนได้ที่ เว็บไซต์ ais.th/vaccine หรือ คลิกที่นี่ 

2. TRUE ลงทะเบียนได้ที่ ระบบ USSD กด *707# โทรออก หรือ เว็บไซต์ vaccine.trueid.net หรือ คลิกที่นี่ 

3. DTAC ลงทะเบียนได้ที่ ดีแทค แอพ และ เว็บไซต์ dtac.co.th/vaccine หรือ คลิกที่นี่

ส่วน เอ็นที สามารถคลิกเข้าไปดูข้อมูลได้ที่ covid19vaccine.ntplc.co.th หรือ คลิกที่นี่  สำหรับโควต้า การจองฉีดวัคซีน ผ่านทาง เอ็นที จะได้โควต้าการจองที่น้อยกว่า 3 ค่ายมือถือ 

วัคซีนที่จะได้รับ จะเป็น แอสตร้าเซนเนก้า 


เงื่อนไขการลงทะเบียนฉีดวัคซีน โควิด-19
อายุ 18 ปีขึ้นไป เฉพาะเข็มแรก จองฉีดวัคซีนผ่านการลงทะเบียนล่วงหน้ากับค่ายมือถือ เปิดจอง 29 ก.ค.นี้  เริ่มฉีด 1 ส.ค.ที่สถานีกลางบางซื่อ
กลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้ตั้งครรภ์ 12 สัปดาห์ กลุ่มที่มีน้ำหนักเกิน 100 ก.ก. เปิดให้วอล์คอินถึง 31 ก.ค. นี้ หลังจากนั้นลงทะเบียนอย่างเดียว
กลุ่มอายุ 75 ปีขึ้นไปและคนท้อง อายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป ยังคงสามารถ วอล์คอิน เข้าไปรับวัคซีนได้ โดยไม่ต้องจอง
รายงานข่าว ระบุด้วยว่า สำหรับคนที่มีนัดฉีดเข็มแรกที่เคยจองไว้กับค่ายมือถือไว้ก่อนหน้านี้ ไปตามนัดได้เหมือนเดิม
#3039



ถือได้ว่าการปล่อยอัลบั้มเต็มครั้งแรกในชีวิตของ มิว ศุภศิษฏ์ จงชีวีวัฒน์ กับอัลบั้ม "365" (Three Six Five) ในวันแรกบน iTunes ช่างร้อนแรงและสั่นสะเทือนทุกชาร์ตของ iTunes ทั่วโลก เพราะหลังจากที่ปล่อยอัลบั้มออกมาในเวลาไม่ถึง 12 ชั่วโมง ทั้งตัวอัลบั้มและเพลงต่างๆ ล้วนทะยานขึ้นสู่อันดับ 1 และ Top10 ในหลายประเทศทั่วโลก

และยังเป็นเพียงศิลปินไทยหนึ่งเดียวที่สามารถพุ่งทะยานเข้าสู่ อันดับ 13 Global Digital Artists Rankings ท่ามกลางศิลปินอินเตอร์ระดับโลกในอันดับ Top20 นี้

เรียกได้ว่า มิว ศุภศิษฏ์ สร้างสถิติใหม่อันน่าทึ่งขึ้นอีกครั้ง กับการปล่อยอัลบั้ม "365"(Three Six Five) บน iTunes เพราะได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากแฟนคลับทั่วโลก จนสามารถไต่อันดับสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนเข้าสู่ Top10 และติดอันดับ 1 ในหลายประเทศทั่วโลก ทั้งในส่วนของตัวเพลงในอัลบั้ม และตัวอัลบั้มเอง

ดูได้จากชาร์ตล่าสุดในตอนนี้ที่เพลงฮิตมาแรงน่าจะเป็น Drowning ขึ้นอันดับ 1 ทั้งของประเทศไทยและในหลายที่ เช่น สิงคโปร์, ไต้หวัน, มาเลเซีย และยังทะยานขึ้นสู่ชาร์ตต่างๆ ในอีกกว่า 28 ประเทศทั่วโลก และที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ การเข้าสู่อันดับที่ 13 บน Global Digital Artists Rankings ที่ยังไม่เคยเห็นมีศิลปินไทยได้ขึ้นมาสูงผ่านเข้ามาในอันดับ Top20 ได้


ก็ต้องเรียกว่าการที่ มิว ศุภศิษฏ์ ขึ้นมาสู่อันดับ 13 อยู่ท่ามกลางศิลปินที่มีชื่อเสียงระดับโลกมากมายในชาร์ตนี้ ถือได้ว่าประสบความสำเร็จในฐานะนักร้องอย่างสุดๆ และนับว่าแฟนคลับต่างภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก ที่มีศิลปินไทยสามารถเข้าสู่ชาร์ตนี้และติด 1 ใน Top20 ได้ ถือว่าได้รับการยอมรับในการเป็นศิลปินอย่างเต็มตัวจากอัลบั้มนี้

นี่ถือเป็นเพียงก้าวแรกของ อัลบั้ม "365" (Three Six Five) เท่านั้น เพราะในวันที่ 1 สิงหาคม จะสามารถฟังอัลบั้มนี้กันได้แบบเต็มๆ ผ่านทุกแพลตฟอร์ม ถึงเวลานั้น สถิติต่างๆ น่าจะเกิดการขยับขึ้นอีกครั้ง.
#3040



นายสุรช ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) หรือ LOXLEY ได้รับแจ้งจากบริษัท ล็อกซเล่ย์ จีเท็ค เทคโนโลยี จำกัด (ล็อกซเล่ย์ จีเท็ค) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมที่บริษัทถือหุ้นทางตรง และ ทางอ้อมรวมเป็นจำนวน 35% ว่า เตรียมรับเงินค่าชดเชยจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นเงินกว่า 1.6 พันล้านบาทภายในเดือนส.ค.นี้ โดยทั้งสองฝ่ายได้เข้าทำบันทึกข้อตกลงและยื่นต่อสำนักบังคับคดีปกครอง สำนักงานศาลปกครองเรียบร้อยแล้ว

ตามที่ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ชำระเงิน 1,654,604,627.54 บาท ให้แก่ บริษัท ล็อกซเล่ย์ จีเท็ค เทคโนโลยี จำกัด พร้อมดอกเบี้ยในอัตรา 7.5% ต่อปี นับจากวันฟ้องจนถึง 10 เม.ย. 2564 ต่อจากนั้นอัตราดอกเบี้ยจะเป็น 3% บวกเงินเพิ่มอีก 2% จนถึงวันชำระเสร็จ โดยให้ชำระเสร็จภายใน 60 วัน ตามหนังสือที่อ้างถึงนั้น


โดยที่ประชุมคณะกรรมการสำนักงานสลากได้มีมติชำระหนี้กรณีสัญญาจ้างบริการระบบเกมสลากให้แก่ ล็อกซเล่ย์ จีเท็ค ดังนี้ 1. ชำระหนี้จำนวน 1,654,604,627.54 บาท ภายในเดือนสิงหาคม 2564

2. ชำระดอกเบี้ยจำนวน 444,745,338.27 บาท ภายในปีงบประมาณ 2565 โดยชำระงวดแรกภายในวันที่ 1 ตุลาคม 2564 งวดที่สองภายในวันที่ 4 มกราคม 2565 งวดที่สามภายในวันที่ 1 เมษายน 2565 และงวดที่สี่ภายในวันที่ 1 กรกฎาคม 2565 โดยแบ่งจ่ายงวดละเท่า ๆ กัน