• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - dsmol19

#2161
CPF เชื่อปี 65 รายได้ยังโตได้ 10% แม้ต้นปีราคาเนื้อสัตว์ลดลง-ต้นทุนสูงกดดัน

นางกอบบุญ ศรีชัย เลขานุการบริษัทและหัวหน้าฝ่ายงานนักลงทุนสัมพันธ์และตลาดทุน บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 65 โตขึ้น 10% จากปีก่อนที่มีรายได้ราว 5.17 แสนล้านบาท แต่ยอมรับว่าการดำเนินธุรกิจในปีนี้ยังมีความท้าทายค่อนข้างมาก โดยเฉพาะราคาขายเนื้อสัตว์ที่ลดลงมาอย่างต่อเนื่องมาอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปีก่อน ซึ่งเห็นได้ชัดจากราคาหมู หลังจากประเทศจีนใช้มาตรการล็อกดาวน์ และภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้ดีมานด์การบริโภคหมูลดลง จึงส่งผลกระทบต่อราคาขาย

ขณะเดียวกัน ราคาไก่แม้ว่าจะอยู่ในระดับที่ดี และปรับเพิ่มขึ้นมามาก แต่ราคาในจีนยังคงทรงตัวและไม่มีแนวโน้มการปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งจีนถือเป็นตลาดใหญ่ ทำให้มีความท้าทายในส่วนของยอดขาย โดยที่มองว่าจะส่งผลต่อภาพรวมของรายได้ในไตรมาส 1/65 ที่อาจมีแนวโน้มชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ส่วนราคาต้นทุนอาหารสัตว์ในปัจจุบันถือว่าปรับเพิ่มขึ้นสูงค่อนข้างมาก หลังเกิดสงครามระหว่างรัสเซียและยุเครน ซึ่งเป็นประเทศที่ซัพพลายวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่สำคัญ ทำให้ปัจจัยด้านต้นทุนอาหารสัตว์ที่เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรขั้นต้นองบริษัทในช่วงครึ่งปีแรกอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งบริษัทยังคงมองหาแนวทางการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นให้ไม่ต่ำกว่า 17% พร้อมกับจะมีการปรับเพิ่มราคาส่งออกเนื้อสัตว์ในช่วงไตรมาส 2/65 เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนที่สูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม บริษัทมองว่าสถานการณ์ราคาขายเนื้อสัตว์และต้นทุนอาหารสัตว์จะเริ่มเข้าสู่จุดสมดุลในช่วงครึ่งปีหลัง หลังจากที่เศรษฐกิจในแต่ละประเทศมีการเติบโตขึ้น และกลับมาเปิดประเทศมากขึ้น รวมถึงสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนมีโอกาสจบลงได้ ทำให้ปัญหาด้านซัพพลายวัตถุดิบและความกังวลด้านภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวคลี่คลายลง

ด้านงบลทุนของบริษัทในปี 65 ตั้งไว้ที่ 2.5 หมื่นล้านบาท โดยจะใช้งบลงทุนราว 6-7 พันล้านบาทไปปรับปรุงเครื่องจักรในการผลิตให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น และขยายกำลังการผลิตบางโรงงาน ส่วนงบลงทุนที่เหลือจะนำมารองรับการลงทุนด้านอื่นๆ ของบริษัท
#2162
TH บวก 3.52% เทรดคึกคัก โบรกฯคาดธุรกิจ AMC หนุนกำไรปี 65 โตพุ่งกว่า 200%

ราคาหุ้น TH ล่าสุดบวก 3.52% มาอยู่ที่ 4.12 บาท เพิ่มขึ้น 0.14 บาท มูลค่าการซื้อขาย 96.42 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.20 น.โดยเปิดตลาดที่ 4.08 บาท ปรับขึ้นสูงสุดที่ 4.16 บาท และต่ำสุดที่ 4.06 บาท

บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ ยกหุ้น บมจ.ตงฮั้ว (TH) เป็นหุ้นเด่นวันนี้ โดยแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 5.10 บาท เนื่องจากมองว่าการที่บริษัทหันมารุกธุรกิจบริหารหนี้เสีย (AMC) ตั้งแต่ปลายปี 64 ชดเชยธุรกิจหนังสือพิมพ์ภาษาจีนที่ถูกDisrupt โดยเข้าประมูลหนี้ไม่มีหลักประกันมาแล้วกว่า 3 พันลบ. และเริ่มรับรู้รายได้ใน Q4/64 เป็นไตรมาสแรกหนุนกำไรเริ่มโตแรง

ขณะที่บริษัทตั้งเป้าประมูลหนี้ปีละ 6 พันลบ.ใน 3 ปีข้างหน้า คาดกำไรของ TH จะเติบโตอย่างร้อนแรง +250% Y-Y และ +69% Y-Y ในปี 65-66 หรือโตเฉลี่ย +44% CAGR

ทางเทคนิคให้แนวรับ 3.80 บาท แนวต้าน 4.30-4.40 บาท
#2163
รัสเซียเริ่มซ้อมรบบนหมู่เกาะที่พิพาทกับญี่ปุ่น เมินเจรจาหลังถูกคว่ำบาตร

สำนักข่าวอินเทอร์แฟกซ์ของรัสเซียรายงานว่า กองทัพรัสเซียเปิดเผยในวันศุกร์ (25 มี.ค.) ว่า ได้เริ่มทำการซ้อมรบของทหารจำนวนมากกว่า 3,000 นายบนหมู่เกาะต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงหมู่เกาะที่เป็นข้อพิพาทกับญี่ปุ่น

การซ้อมรบบนหมู่เกาะที่เป็นข้อพิพาทดังกล่าวนั้นเป็นการซ้อมรบครั้งแรกนอกชายฝั่งเกาะฮอกไกโดทางเหนือสุดของญี่ปุ่น นับตั้งแต่กระทรวงการต่างประเทศของรัสเซียประกาศเมื่อต้นสัปดาห์นี้ว่า รัสเซียจะระงับการเจรจาเรื่องดินแดนกับญี่ปุ่น

ทั้งนี้ รัสเซียได้ถอนตัวจากการเจรจา เนื่องจากถูกญี่ปุ่นคว่ำบาตรจากกรณีที่รัสเซียบุกโจมตียูเครน

ยานพาหนะทหารหลายร้อยคันเข้าร่วมในการซ้อมรบครั้งนี้ภายใต้สถานการณ์ที่จะทำการตอบโต้กองกำลังของศัตรูในทางบก

รัสเซียได้ถูกมองว่ากำลังสร้างกองกำลังบนหมู่เกาะซึ่งญี่ปุ่นเรียกว่าดินแดนทางเหนือ (Northern Territories) ขณะที่รัสเซียเรียกว่าหมู่เกาะคูริลใต้ (Southern Kurils)

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ข้อพิพาทเรื่องดินแดนทำให้ทั้งสองประเทศไม่สามารถบรรลุสนธิสัญญาสันติภาพหลังสงครามได้

ญี่ปุ่นอ้างว่าสหภาพโซเวียตเข้ายึดหมู่เกาะ 4 แห่งอย่างผิดกฎหมายได้แก่ คูนาชิริ, อีโทโรฟุ, ชิโกตัน และหมู่เกาะฮาโบไม เพียงไม่นานหลังจากญี่ปุ่นยอมแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สองในเดือนส.ค. 2488 ขณะที่รัสเซียโต้แย้งว่า การยึดหมู่เกาะดังกล่าวเป็นการกระทำที่ชอบธรรม
#2164
World Today: สรุปข่าวต่างประเทศวันนี้  25, 2022

ผลสำรวจซึ่งจัดทำโดยเอสแอนด์พี โกล. (S&P Global) ระบุว่า เศรษฐกิจยูโรโซนกำลังถูกกระทบ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นและปัญหาห่วงโซ่อุปทานรอบใหม่ หลังจากการที่รัสเซียบุกโจมตียูเครนทำให้ต้นทุนพลังงานพุ่งขึ้น และส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลก โดยเอสแอนด์พี โกล.ทำการสำรวจดังกล่าวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สงครามรัสเซีย-ยูเครนได้เริ่มส่งผลกระทบต่อยูโรโซน

-- นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐเปิดเผยว่า สหรัฐและกลุ่มนาโตจะตอบโต้ "อย่างสาสม" หากรัสเซียใช้อาวุธเคมีหรืออาวุธชีวภาพในการโจมตียูเครน

นอกจากนี้ ปธน.ไบเดนยังแสดงท่าทีสนับสนุนให้ไล่รัสเซียออกจากการเป็นสมาชิกกลุ่ม G20 ด้วย

-- องค์การยาแห่งยุโรป (EMA) ประกาศเมื่อวานนี้ (24 มี.ค) เกี่ยวกับคำแนะนำให้ใช้ยา "เอวูเชลด์" (Evusheld) ของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าเพื่อป้องกันโรคโควิด-19 ขณะที่ยุโรปกำลังเผชิญกับยอดผู้ติดเชื้อที่พุ่งสูงขึ้น และอัตราการฉีดวัคซีนในผู้ใหญ่ที่ไม่คืบหน้า

-- บรรดาผู้นำของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมทั้ง 7 (G7) ได้ให้คำมั่นเมื่อวานนี้ (24 มี.ค.) ว่า กลุ่ม G7 จะคอยจับตาดูความพยายามของประเทศใด ๆ ที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือรัสเซียให้หลบเลี่ยงการคว่ำบาตรได้ ซึ่งถือเป็นการส่งคำเตือนไปยังประเทศอื่น ๆ อาทิ จีน ที่อาจพยายามส่งความช่วยเหลือให้กับรัสเซีย

-- ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) เรียกร้องให้หน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลกเร่งกำหนดกรอบการใช้กฎระเบียบควบคุมสกุลเงินคริปโทเคอร์เรนซี เพื่อป้องกันไม่ให้สกุลเงินดังกล่าวส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพด้านการเงินเป็นวงกว้าง

-- รัสเซียกำลังพิจารณารับชำระเงินค่าน้ำมันและก๊าซเป็นบิตคอยน์ เนื่องจากเผชิญการคว่ำบาตรที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ จากบรรดาประเทศตะวันตกจากกรณีที่เข้ารุกรานยูเครน

-- คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เตรียมจัดการประชุมอย่างเป็นทางการในวันนี้ เพื่อหารือเกี่ยวกับกรณีที่เกาหลีเหนือทดสอบยิงขีปนาวุธข้ามทวีปเมื่อวานนี้ (24 มี.ค.)

-- การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2565 ลงมาอยู่ที่ 2.6% จากเดิมที่ 3.6% เนื่องจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างยูเครน-รัสเซีย และการเปลี่ยนแปลงนโยบายเศรษฐกิจมหภาคของประเทศต่าง ๆ ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

-- นายโอลาฟ โชลซ์ นายกรัฐมนตรีเยอรมนีปฏิเสธที่จะเปลี่ยนไปใช้สกุลเงินรูเบิลในการชำระค่าก๊าซธรรมชาติให้กับรัสเซียตามที่ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียประกาศไว้

-- ผู้ออกกฎหมายของยุโรปได้ตกลงที่จะออกกฎหมายใหม่ในชื่อกฎหมายตลาดดิจิทัล (Digital Market Act หรือ DMA) เพื่อควบคุมการมีอำนาจเหนือตลาดของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างยาวนานว่าบริษัทเหล่านี้ใช้อำนาจเหนือตลาดจนทำให้บริษัทรายเล็กกว่าแข่งขันด้วยไม่ได้

-- กระทรวงกลาโหมรัสเซียเปิดเผยในวันพฤหัสบดี (24 มี.ค.) ว่า โรสมอนต์ เซเนกา กองทุนเพื่อการลงทุนที่ปัจจุบันดูแลโดยนายฮันเตอร์ ไบเดน บุตรชายของประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐ ได้จัดสรรเงินทุนให้กับโครงการชีวภาพทางทหารของกระทรวงกลาโหมสหรัฐในยูเครน

-- สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวที่ใกล้ชิดว่า สำนักงานบริหารการบินแห่งชาติ (FAA) ของสหรัฐได้เตือนบริษัทโบอิ้ง โคเมื่อช่วงต้นสัปดาห์นี้ว่า เครื่องบินรุ่น 737 MAX อาจไม่ผ่านการรับรองความปลอดภัยก่อนเส้นตายที่สภาคองเกรสกำหนดไว้

-- บริษัทเทเลนอร์ ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ด้านสื่อสารโทรคมนาคมของนอร์เวย์ ประกาศขายธุรกิจในเมียนมาเป็นอันเสร็จสิ้นแล้ว โดยบริษัทที่ซื้อจะจ่ายเงินให้กับเทเลนอร์เป็นเวลา 5 ปี
#2165
ไลอ้อนเปิดวิสัยทัศน์ เดินหน้า 53 ปี สู่ยุคเมตาเวิร์ส ยกระดับนวัตกรรม ในบริบทโลกที่ไม่เหมือนเดิม
 
ไลอ้อน ประเทศไทย เดินหน้ายกระดับนวัตกรรมสู่ยุคเมตาเวิร์ส โดยเริ่มต้นจัดทำบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะ ผู้บริโภคสแกนคิวอาร์โค้ดที่ตัวบรรจุภัณฑ์ เข้าถึงข้อมูลตัวผลิตภัณฑ์ได้ง่าย ลุยทำตลาดสินค้านวัตกรรมอย่างต่อเนื่องตอบโจทย์ผู้บริโภคที่หลากหลาย เผยปีนี้เน้นทำตลาดช่องทางออนไลน์เพิ่มการเข้าถึงผู้บริโภคยุคดิจิตอล คาดปีนี้ยอดขายเติบโตไม่เกิน 5%

นายบุญฤทธิ์ มหามนตรี ประธานกรรมการ บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจของไลอ้อน (ประเทศไทย) จะเดินหน้าสู่แนวทางของโลกเสมือนจริง ผ่านโครงการ Lion Metaverse โดยเริ่มต้นจากการจัดทำบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะ (Smart packaging) ซึ่งผู้บริโภคสามารถใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนสแกนคิวอาร์โค้ดที่ตัวบรรจุภัณฑ์ การออกแบบบรรจุภัณฑ์นอกเหนือจากจะต้องคำนึงถึงการใช้งานและความสวยงามแล้ว ข้อมูลและรายละเอียดของสินค้าก็เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งเทคโนโลยี Smart Packaging จะทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงข้อมูลรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ ได้ง่าย สะดวก และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และยังทำให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบย้อนกลับผลิตภัณฑ์ได้อีกด้วย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูลพร้อมวางแผนการดำเนินงาน โดยคาดว่าภายใน 2-3 เดือน จะได้เห็นรายละเอียดที่ชัดเจนของโครงการนี้มากขึ้น

สำหรับ แนวทางพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ จะมีการทำตลาดสินค้านวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทุกช่วงวัยที่มีความต้องการที่หลากหลาย โดยใช้วัตถุดิบท้องถิ่นนำมาสร้างมูลค่าเพิ่ม ผนวกกับเทคโนโลยีทันสมัยมาใช้ในกระบวนการผลิต อาทิ เมล็ดมะไฟจีน และกากข้าว เป็นการสร้างรายได้เพิ่มให้กับชุมชนควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมุ่งสู่ความยั่งยืน (Sustainable) โดยไลอ้อน (ประเทศไทย) ได้กำหนดนโยบายในปี 2593 จะลดการปล่อย CO2 ให้เป็นศูนย์ และยกเลิกการใช้พลาสติกผลิตใหม่ (virgin plastic) ในบรรจุภัณฑ์

สำหรับการทำตลาดในประเทศที่ผ่านมาในภาพรวมยังไม่เติบโตมากนัก เนื่องจากยังคงเผชิญปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด - 19 ความผันผวนของราคาน้ำมัน ราคาวัตถุดิบที่ยังคงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาในเรื่องของการปรับราคาผลิตภัณฑ์ หากมีการปรับขึ้นจะเป็นไปในราคาที่เหมาะสม พอเพียง และไม่กระทบกับผู้บริโภคมากนัก ขณะที่การทำตลาดต่างประเทศยังคงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศในแถบอาเซียน ยุโรป และรัสเซีย โดยในปี 2564 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มียอดขายรวมอยู่ที่เกือบๆ 20,000 ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมาไม่ถึง 1% คาดว่าเศรษฐกิจในปีนี้น่าจะฟื้นตัวได้ ส่งผลให้ธุรกิจน่าจะมีอัตราการเติบโตไม่เกิน 5%

"ไลอ้อน ประเทศไทย ผ่านวิกฤตมามากมายนับตั้งแต่เริ่มต้นการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยปี 2512 ไม่ว่าจะเป็น วิกฤตน้ำมัน วิกฤตการต่อต้านสินค้าญี่ปุ่น วิกฤตการเมือง วิกฤตต้มยำกุ้ง จนมาถึงวิกฤตการระบาดโรคโควิด-19 ในปัจจุบัน ในทุกวิกฤตล้วนสร้างโอกาสในการดำเนินธุรกิจ บริษัทฯ สามารถปรับตัวและผ่านมาได้ทุกครั้ง ตลอดการดำเนินธุรกิจ 53 ปี ด้วยนโยบายองค์กรคนดี ยึดมั่นในเส้นทางธุรกิจคู่คุณธรรม ภายใต้ความมุ่งมั่นในการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคในภูมิภาคเอเชียอย่างมีคุณธรรม มุ่งยอดขายและทำกำไรอย่างพอเพียง เพื่อสร้างประโยชน์สุขให้กับทุกฝ่าย" นายบุญฤทธิ์ กล่าว

บริษัทฯให้ความสำคัญกับระบบการกำกับดูแลกิจการที่ดีและการบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพควบคู่กับความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ดำเนินโครงการหลายโครงการมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น โครงการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี โครงการเปลี่ยนการจ่ายสู่การจ้างเพื่อผู้พิการ โครงการรางวัลไลอ้อนสุขภาพช่องปาก รวมทั้งโครงการส่งเสริมป้องกันสุขอนามัยช่องปาก เพื่อประโยชน์ต่อผู้บริโภคทุกช่วงวัย สร้างเสริมให้คนไทยมีสุขภาพดี
#2166
เกาหลีเหนือยันยิงขีปนาวุธข้ามทวีปฮวาซอง-17 วานนี้

สำนักข่าวกลางเกาหลี (KCNA) รายงานว่า เกาหลีเหนือยืนยันยิงขีปนาวุธข้ามทวีปชนิดใหม่ที่มีชื่อว่า "ฮวาซอง-17" ภายใต้คำแนะนำของนายคิม จองอึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ

การยิงขีปนาวุธข้ามทวีปเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สหรัฐและพันธมิตรด้านความมั่นคงกำลังทุ่มความสนใจอยู่กับการแก้ปัญหาเหตุบุกโจมตียูเครนของรัสเซีย ขณะเศรษฐกิจของเกาหลีเหนือกำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

KCNA ระบุว่า ขีปนาวุธดังกล่าวซึ่งยิงจากสนามบินนานาชาติเปียงยาง สามารถขึ้นไปที่ระดับความสูงได้สูงสุดถึง 6,248.5 กิโลเมตรและบินได้ไกลถึง 1,090 กิโลเมตร โดยใช้เวลาบิน 67 นาที ก่อนโจมตีเป้าหมายในทะเลญี่ปุ่น

ทั้งนี้ KCNA รายงานโดยอ้างคำพูดของนายคิมว่า "เกาหลีเหนือพร้อมอย่างเต็มที่ในการเผชิญหน้ากับจักรวรรดินิยมสหรัฐมาอย่างยาวนาน" ขณะที่การเจรจาทวิภาคีระหว่างสหรัฐและเกาหลีเหนือเกี่ยวกับการปลดอาวุธนิวเคลียร์ และการผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรหยุดชะงักมานานกว่า 2 ปี
#2167
จำหน่าย ประตูพีวีซี ประตูห้องน้ำ ประตูห้องนอน ประตูห้องนั่งเล่น ผลิตจากโรงงานโดยตรง

ประตูพีวีซี หรือ ประตู PVC ได้ผ่านการรับรองการผลิตตามมาตรฐาน มอก. 1013-2533 จึงทำให้ผู้ใช้มั่นใจได้ในคุณภาพ และมาตรฐาน ผลิตจากพีวีซีชนิดพิเศษที่ผ่านการทดสอบคุณภาพแล้วว่าไม่ดูดซึมความชื้น จึงป้องกันปัญหาการผุกร่อน, ไม่บวมน้ำ, การยืดและหดตัวของประตู รวมถึงช่วยป้องกันปัญหาเชื้อราต่างๆ และปลอดภัยจากปลวก หรือแมลงต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำความสะอาดและติดตั้งง่าย แข็งแรงทนทาน มีหลายแบบให้เลือก *สามารถสั่งทำขนาดพิเศษตามความต้องการของลูกค้าได้ โรงงานเราผลิตประตูหลายแบบหลายขนาดและมีหลากหลายสีให้เลือก เช่น ประตูห้องนอน ประตูห้องน้ำ ประตูห้องนั่งเล่น และเรายังมีสีหลากหลายให้เลือก เช่น ขาวเสี้ยนไม้, ลาเต้, ช็อคโกแลต, น้ำตาลเข้ม, สแปลลี่ วอลนัท สามารถติดต่อสอบถามได้ได้ข้างล่าง

 สินค้าราคาโรงงาน ขาย ปลีก-ส่ง
 รับประกันคุณภาพสินค้าทุกชิ้น
 มีระบบผ่อนจ่าย ตามความสะดวกของลูกค้า
 สามารถผลิตในแบรนด์ของลูกค้าเองได้
 มีบริการจัดส่ง – ติดตั้ง ทั่วประเทศ
 สอบถาม-ปรึกษา(ฟรี)

สนใจดูตัวอย่างสินค้า/เป็นตัวแทนขาย
Inbox: m.me/CCTGROUPCompany
 Email : info@cctgroup.co.th
 Line: Lakkana99
โทร : 0816428556 (คุณลักขณา)
 Website : https://www.cctgroup.co.th
Facebook : บัวเชิงผนัง พื้นไม้ลามิเนต กระเบื้องยาง By CCT Group  
#2168
ฉีดหัวหน่าวอาเซียนบิวตี้คลีนิคศัลยกรรมต้นๆของประเทศดูแลทุกปัญหาความงาม  
ผิวพรรณ ศัลยกรรมตกแต่ง รวมทั้งเวชศาสตร์ชะลอวัย พร้อมการดูแลความสวยงาม
ฉีดหัวหน่าวแบบองค์รวม ตั้งแต่ศีรษะถึงปลายเท้า โดยแพทย์ผู้ชำนาญ  
และก็ คณะทำงานมืออาชีพ 
ฉีดหัวหน่าวอีกทั้งไทยรวมทั้งต่างแดน 


https://bit.ly/35aMIMQ
#2169
ภาวะตลาดหุ้นออสเตรเลีย: S&P/ASX 200 ปิดบวก 9.2 จุด รับแรงซื้อหุ้นพลังงาน

ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดบวกในวันนี้ โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มเหมืองแร่ เนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์พุ่งขึ้นหลังจากข้อพิพาทระหว่างรัสเซียและยูเครนยังไม่มีแนวโน้มคลี่คลายลง และยิ่งเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับภาวะอุปทานทั่วโลก

ดัชนี S&P/ASX 200 ปิดที่ 7,387.10 จุด เพิ่มขึ้น 9.20 จุด หรือ +0.12% และดัชนี All Ordinaries ปิดที่ 7,669.00 จุด เพิ่มขึ้น 4.00 จุด หรือ +0.05%

ดัชนีหุ้นกลุ่มโลหะและเหมืองแร่พุ่งขึ้น 1.1% หลังจากราคาแร่เหล็กและโลหะพื้นฐานปรับตัวสูงขึ้น โดยหุ้นริโอทินโท และหุ้นบีเอชพี กรุ๊ป พุ่งขึ้น 2.1% และ 1.8% ตามลำดับ

ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นเกือบ 2% โดยหุ้นวู้ดไซด์ ปิโตรเลียม และหุ้นซานโตส ทะยานขึ้น 2.8% และ 1.5% ตามลำดับ

อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีลดลง 0.8% โดยปรับตัวลงตามทิศทางหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในตลาดวอลล์สตรีทเมื่อคืนนี้

ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มการเงินขยับลง 0.4% โดยหุ้นออสเตรเลีย แอนด์ นิวซีแลนด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป และหุ้นแมคควารี กรุ๊ป ปรับตัวลง 0.6% และ 1.7% ตามลำดับ
#2170
เคทีซีปรับโฉมออฟฟิศแบบ Co Working Space เอาใจพนักงาน เพิ่มไอเดียการทำงาน

นางสาวชนิดาภา สุริยา ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร-ปฎิบัติการ "เคทีซี" หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "เคทีซีได้มีการปรับปรุงพื้นที่สำนักงานชั้น 11 สำนักงานใหญ่ สุขุมวิท 33 โดยเปิดรับแนวคิดและแรงบันดาลใจจากความเห็นของตัวแทนพนักงานทุกสายงาน เพื่อให้พนักงานมีความสุขกับการทำงานมากที่สุดทุกที่ทุกเวลา รองรับวิถีการทำงานที่เปลี่ยนแปลง"

"เคทีซีมีความตั้งใจปรับปรุงออฟฟิศในครั้งนี้ เพื่อต้องการให้พนักงานมีส่วนร่วมกับองค์กรและสามารถทำงานได้ทุกพื้นที่ โดยไม่จำเป็นต้องนั่งประจำอยู่แต่ที่โต๊ะทำงาน และยังสามารถแชร์ไอเดีย หรือประชุมออนไลน์ได้ตลอดเวลา เพื่อตอบรับเทรนด์การทำงานรูปแบบใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ของคนทำงานหลายเจนเนอเรชั่นที่เปลี่ยนไปตามเทคโนโลยีและสภาพสังคมปัจจุบัน เน้นการสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย โปร่งโล่งตามสไตล์มินิมัล พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกและนวัตกรรมที่เอื้อต่อการทำงาน รวมทั้งมีมุมนั่งเล่น ห้องคุยโทรศัพท์ส่วนตัว ตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ มุมนั่งคุยงานสบายๆ เพราะเราเชื่อว่า เมื่อบุคลากรในองค์กรมีความสุข ประสิทธิภาพการทำงานก็จะดีขึ้น และพร้อมส่งต่อผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณค่าให้กับสมาชิก และพันธมิตรธุรกิจได้อย่างเต็มที่"
#2171
ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร "บ. ซีเค พาวเวอร์" ที่ "A", และหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันที่ "A-", แนวโน้ม "Stable"

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?A? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทที่ระดับ ?A-? หุ้นกู้ของบริษัทมีอันดับเครดิตต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กรอยู่ 1 ขั้นเนื่องจากหุ้นกู้นี้มีลักษณะการด้อยสิทธิทางโครงสร้างเมื่อเทียบกับเงินกู้ของบริษัทย่อยของบริษัทที่มีอยู่ในปัจจุบัน

อันดับเครดิตสะท้อนถึงกระแสเงินสดรับที่เชื่อถือได้จากการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement -- PPA) กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) (ได้รับอันดับเครดิต ?AAA/Stable? จากทริสเรทติ้ง) และประวัติการดำเนินงานที่น่าพอใจของบริษัท อันดับเครดิตยังรวมถึงความคาดหวังว่าระดับหนี้สินจะค่อย ๆ ลดลง ในทางกลับกัน อันดับเครดิตดังกล่าวก็มีข้อจำกัดจากความไม่แน่นอนของปริมาณน้ำและความเสี่ยงของประเทศ (Country Risk) ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว)

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

รายได้ที่เชื่อถือได้

เงินลงทุนหลักในธุรกิจไฟฟ้าของบริษัทประกอบด้วยโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่ 2 แห่งใน สปป.ลาว และโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิง 2 แห่ง ปัจจุบัน บริษัทมีกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นในโรงไฟฟ้าทั้งสิ้น 1,003 เมกะวัตต์ โดยโรงไฟฟ้าพลังน้ำมีกำลังการผลิตคิดเป็น 83% ของกำลังการผลิตทั้งหมดหรือ 829 เมกะวัตต์ โดยบริษัทถือหุ้นใหญ่ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำน้ำงึม 2 และโครงการไซยะบุรี กำลังการผลิตที่เหลือมาจากโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ 2 แห่งขนาด 155 เมกะวัตต์ (15%) และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 19 เมกะวัตต์ (2%)

กลุ่มธุรกิจไฟฟ้าของบริษัทมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับผู้ซื้อไฟฟ้าที่น่าเชื่อถือ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการชำระเงินและความเสี่ยงด้านตลาด ทั้งนี้ กฟผ. เป็นผู้ซื้อไฟฟ้ารายใหญ่โดยรับซื้อประมาณ 96% ของกำลังการผลิตติดตั้งทั้งหมด ส่วนกำลังการผลิตที่เหลือรับซื้อโดย Electricite Du Laos (EDL) กลุ่มลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรม และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ของประเทศไทย

บริษัทมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง โครงการน้ำงึม 2 ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าหลักของบริษัทมีความพร้อมในการดำเนินงานอยู่ในระดับสูงตั้งแต่เริ่มเปิดดำเนินการ ในขณะเดียวกัน โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมได้ดำเนินการตามเงื่อนไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของ กฟผ. อย่างสม่ำเสมอ

โรงไฟฟ้าพลังน้ำสร้างกำไรเป็นส่วนใหญ่

กำไรของบริษัทขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังน้ำเป็นอย่างมาก ในปี 2564 บริษัท มีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ 4.5 พันล้านบาท โดยประมาณ 2.9 พันล้านบาท (หรือประมาณ 64%) มาจากโครงการน้ำงึม 2 และ 296 ล้านบาท (หรือประมาณ 7%) ) มาจากโครงการไซยะบุรี โรงไฟฟ้าพลังน้ำมีต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับโรงไฟฟ้าประเภทอื่น เนื่องจากไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง ส่งผลให้มีกำไรค่อนข้างสูงกว่าโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิล

สัญญาซื้อขายไฟฟ้าพลังน้ำมีโครงสร้างที่ดี

ความเสี่ยงที่สำคัญของการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำคือความไม่แน่นอนของปริมาณน้ำ กำลังไฟฟ้าส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างมากในแต่ละปี ปริมาณน้ำที่ผันผวนสูงจะส่งผลต่อความแน่นอนของปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตได้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเพียงพอของกระแสเงินสดที่ใช้รองรับต้นทุนคงที่ได้

เพื่อลดความเสี่ยงของปริมาณน้ำที่มีความผันผวน สัญญาซื้อขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังน้ำของบริษัทมีโครงสร้างสัญญาที่ช่วยทำให้กระแสเงินสดมีเสถียรภาพแม้ว่าปริมาณน้ำจะมีความผันผวน โดยสัญญาจะมีกลไกที่เอื้อให้บริษัทสามารถจำหน่ายไฟฟ้าได้เกินกว่าปริมาณเป้าหมายในปีที่มีน้ำมาก ในขณะที่ปีแล้งบริษัทก็จะได้รับค่าตอบแทนชดเชย และในกรณีที่บริษัทจำหน่ายไฟฟ้าได้ต่ำกว่าปริมาณไฟฟ้าเป้าหมายต่อปี ปริมาณไฟฟ้าในส่วนที่ขาดนี้ก็สามารถนำไปทบกับปริมาณไฟฟ้าเป้าหมายของปีถัด ๆ ไปได้

ความไม่แน่นอนของปริมาณน้ำยังคงเป็นความเสี่ยงที่สำคัญ

แม้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าจะมีกลไกช่วยลดความเสี่ยง แต่ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทยังคงมีความเสี่ยงสูงด้านอุทกวิทยา เนื่องจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำถือเป็นสัดส่วนหลักในธุรกิจไฟฟ้าของบริษัท ภัยแล้งที่ยืดเยื้ออาจส่งผลให้รายได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงเวลาดังกล่าว เห็นได้จากรายได้ของโครงการน้ำงึม 2 ที่ได้รับผลกระทบจากปริมาณน้ำที่อยู่ในระดับต่ำในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

โรงไฟฟ้าพลังน้ำยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญในการเติบโต

ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการพัฒนา ?โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำหลวงพระบาง? (โครงการหลวงพระบาง) ในจังหวัดหลวงพระบางของ สปป. ลาว โครงการนี้เป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบน้ำไหลผ่านตลอดปี (Run-of-river) ขนาดใหญ่ในแม่น้ำแม่โขงซึ่งมีกำลังการผลิตติดตั้งประมาณ 1,460 เมกะวัตต์ บริษัทถือหุ้น 42% ในบริษัทที่ดำเนินโครงการคือ บริษัท หลวงพระบาง พาวเวอร์ จำกัด บริษัทคาดว่าจะสามารถเริ่มการก่อสร้างโครงการได้ในปี 2565 และเปิดดำเนินงานโรงไฟฟ้าได้ในปี 2573 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทต้องใช้เงินลงทุนราว 1.6 หมื่นล้านบาทในช่วงที่พัฒนาโครงการ ปัจจุบัน บริษัทได้ใช้เงินลงทุนไปในโครงการแล้ว 2.7 พันล้านบาท

มีความเสี่ยงของประเทศใน สปป. ลาว

การที่โรงไฟฟ้าหลัก ๆ ของบริษัทตั้งอยู่ใน สปป. ลาว จึงทำให้บริษัทต้องเผชิญกับความเสี่ยงของประเทศใน สปป. ลาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสี่ยงในกรณีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการผลิตไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงดังกล่าวก็ได้รับการบรรเทาลงได้ด้วยสัญญาสัมปทานที่มีกับรัฐบาล สปป. ลาว และสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่มีกับ กฟผ. ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าพลังน้ำ 2 แห่งใน สปป. ลาว มีข้อตกลงในการชำระค่าขายไฟฟ้า โดย กฟผ. ชำระค่าซื้อไฟฟ้าโดยตรงเข้าบัญชีรายได้ของโรงไฟฟ้าในประเทศไทย นอกจากนี้ (EDL-Generation Public Company -- EDL-Gen) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของ สปป. ลาว ก็ยังเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนของทั้งโครงการน้ำงึม 2 และโครงการไซยะบุรีอีกด้วย ทริสเรทติ้งคาดว่าโคงการหลวงพระบางจะดำเนินการในรูปแบบเดียวกัน และคาดว่าว่ารัฐบาล สปป. ลาว จะเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการหลวงพระบางด้วยเช่นกัน

สถานะการเงินที่คาดว่าจะดีขึ้น

การคงอันดับเครดิตตอกย้ำความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าสถานะทางการเงินของบริษัทจะดีขึ้นโดยมีภาระหนี้สินที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ประมาณการกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งอิงตามระดับน้ำเมื่อต้นปี 2565 และสมมติฐานที่ระมัดระวังเกี่ยวกับปริมาณน้ำที่ไหลเข้า โดยคาดการณ์ว่าโครงการน้ำงึม 2 จะผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 1,600-1,650 ล้านหน่วย ในปี 2565 และฟื้นตัวขึ้นไปใกล้ระดับเฉลี่ยในช่วงปี 2566-2567 นอกจากนี้ ยังคาดว่าโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมจะยังคงสร้างกระแสเงินสดที่แน่นอนได้ประมาณปีละ 1.1-1.2 พันล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทจะได้รับเงินปันผลจากโครงการไซยะบุรี 200 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2567 เป็นผลให้ EBITDA ของบริษัทจะอยู่ในช่วง 4.0-4.7 พันล้านบาทต่อปีในปี 2565-2567 และเงินทุนจากการดำเนินงาน (FFO) คาดว่าจะอยู่ที่ 2.8-3.5 พันล้านบาทต่อปีในช่วงเวลาเดียวกัน

ภาระหนี้คาดว่าจะลดลง

ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นจนถึงระดับที่ต่ำกว่า 4 เท่าในปี 2567 โดยเชื่อว่าบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายในการลงทุนทั้งหมด 1.2 พันล้านบาทระหว่างปี 2565-2567 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงมุ่งเน้นการขยายธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้านและใช้จุดแข็งเพื่อพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่ เนื่องจากโครงการไฟฟ้าพลังน้ำโดยทั่วไปจะใช้เวลาหลายปีในการพัฒนา ทริสเรทติ้งจึงไม่คาดว่าสินทรัพย์ของบริษัทจะเติบโตอย่างมากในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ตามประมาณการกรณีพื้นฐานทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 40% ในช่วงปี 2565-2567

โครงสร้างหนี้สิน

ณ เดือนธันวาคม 2564 งบการเงินรวมของบริษัทมีหนี้สินทั้งหมดจำนวน 3.11 หมื่นล้านบาท โดยมีจำนวน 1.86 หมื่นล้านบาทที่ถูกพิจารณาว่าเป็นหนี้ที่มีลำดับได้รับชำระคืนก่อน (Priority Debt) ซึ่งประกอบไปด้วยหนี้ของบริษัทย่อย อัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินทั้งหมดคือ 60% ทำให้เจ้าหนี้หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทนั้นด้อยสิทธิกว่าเจ้าหนี้ที่มีสิทธิได้รับชำระคืนก่อนอย่างมีนัยสำคัญในกรณีที่ต้องเรียกร้องสิทธิในทรัพย์สินของบริษัท หุ้นกู้ของบริษัทจึงมีอันดับเครดิตต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทอยู่ 1 ขั้น

สถานะสภาพคล่องที่เพียงพอ

ในงบการเงินรวมนั้น บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดซึ่งรวมถึงเงินสดที่มีภาระผูกผันสำหรับเงินกู้โครงการอยู่ที่ประมาณ 7.5 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2564 นอกจากนี้ บริษัทยังมีวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกใช้ (ทั้งแบบที่สามารถและไม่สามารถยกเลิกวงเงินได้) อีกประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานประมาณ 2.8 พันล้านบาทในปี 2565 ดังนั้น เงินสดในมือ รวมทั้งวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกใช้ และเงินทุนจากการดำเนินงานจึงน่าจะเพียงพอใช้ชำระหนี้เงินกู้ระยะยาวและหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในช่วงปี 2565-2567 จำนวนรวมประมาณ 8.6 พันล้านบาทได้ นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2565-2567 จำนวน 4 พันล้านบาทโดยการออกหุ้นกู้ชุดใหม่เพื่อรักษาสภาพคล่องของบริษัทอีกด้วย

จากประมาณการของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทย่อยต่าง ๆ ของบริษัทน่าจะสามารถสร้างกระแสเงินสดได้เพียงพอสำหรับการชำระคืนหนี้ทั้งหุ้นกู้และเงินกู้โครงการ นอกจากนี้ บริษัทย่อยเหล่านี้ยังต้องมีเงินฝากในบัญชีเงินสำรองสำหรับใช้ชำระคืนหนี้เงินกู้ด้วย โดยบัญชีดังกล่าวจะช่วยบรรเทาความเสี่ยงให้แก่ผู้ให้กู้ในกรณีที่ผลการดำเนินงานของบริษัทย่อยดังกล่าวไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

? ปริมาณไฟฟ้าที่โครงการน้ำงึม 2 ขายให้ กฟผ. เท่ากับ 1,600-1,650 ล้านหน่วยในปี 2565 และ 2,000 ล้านหน่วยในปี 2566-2567

? โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมขายไฟฟ้าจำนวน 1,526-1,545 ล้านหน่วย

? เงินลงทุนทั้งหมดจะอยู่ที่ประมาณ 1.2 พันล้านบาทในระหว่างปี 2565-2567

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต 'Stable' หรือ 'คงที่' สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าโรงไฟฟ้าของบริษัทจะสามารถดำเนินงานได้ตามเป้าหมาย นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะยังคงได้รับกระแสเงินสดที่แน่นอนจากการลงทุน และคาดว่าโครงสร้างทางการเงินจะค่อย ๆ ดีขึ้นโดยกระแสเงินสดเมื่อเทียบกับหนี้สินทางการเงินของบริษัทจะอยู่ในระดับเดียวกับประมาณการของทริสเรทติ้ง

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

โอกาสที่บริษัทจะได้รับการปรับอันดับเครดิตเพิ่มขึ้นในระยะ 12-18 เดือนข้างหน้านั้นมีค่อนข้างจำกัด ในขณะที่ปัจจัยที่อาจมีผลต่อการลดอันดับเครดิตอาจเกิดจากผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าของบริษัทที่อ่อนแอกว่าประมาณการอย่างมีนัยสำคัญซึ่งอาจจะเกิดจากปริมาณน้ำที่อยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง หรือเกิดจากการลงทุนขนาดใหญ่ที่ใช้เงินกู้เป็นหลักซึ่งส่งผลให้สถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 13 มกราคม 2564

- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562

บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) (CKP)

อันดับเครดิตองค์กร: A

อันดับเครดิตตราสารหนี้:

CKP22NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 A-

CKP23NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A-

CKP245A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A-

CKP265A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 A-

CKP27NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 A-

CKP285A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 A-

CKP286A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 A-

CKP31OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2574 A-

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว 
#2172
Q&A ก.ล.ต.-ธปท.ตอบข้อสงสัยออกเกณฑ์ขัดขวางใช้คริปโทซื้อสินค้า-บริการ

นายสุรศักดิ์ ฤทธิ์ทองพิทักษ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายกำกับตลาด สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)เปิดเผยถึงที่มาของการออกเกณฑ์กำกับผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งมีประเด็นหลัก คือ ไม่สนับสนุนการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นสื่อกลางชำระค่าสินค้าหรือบริการ (Means of Payment) หรือไม่สนับสนุนให้เอามาใช้แทนเงินบาทนั้น มีสาเหตุมาจากทางกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และ ก.ล.ต. ได้ติดตามการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนมาระยะหนึ่งแลก และเริ่มเห็นสัญญาณที่อาจเร่งตัวขึ้น ขณะที่ภาครัฐมีความกังวลอย่างยิ่งว่าหากมีสิ่งที่เข้ามาทดแทนเงินบาท อาจจะทำให้เกิดปัญหาและส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินและระบบเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อประชาชนและภาคธุรกิจ

สำหรับหลักเกณฑ์ฯ ดังกล่าว จะประกอบไปด้วย 6 ข้อ ได้แก่

1. ไม่โฆษณา ชักชวน หรือแสดงตนว่าพร้อมบริการ ชำระค่าสินค้าหรือบริการ

2. ไม่จัดทำระบบ หรือเครื่องมืออำนวยความสะดวกในการชำระค่าสินค้าและบริการ

3. ไม่เปิด Wallet เพื่อนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เป็นสื่อกลางชำระค่าสินค้าและบริการ

4. ไม่ให้บริการโอนเงินบาท จากบัญชีของลูกค้าไปยังบัญชีของบุคคลอื่น

5. ไม่ให้บริการโอนสินทรัพย์ดิจิทัลจากบัญชีของลูกค้าไปยังบัญชีอื่น เพื่อการชำระสินค้าหรือบริการด้วยสินทรัพย์ดิจิทัล

6. ไม่ให้บริการอื่นใดในลักษณะที่เป็นการสนับสนุนการชำระค้าสินค้าและบริการ ด้วยสินทรัพย์ดิจิทัล

ทั้งนี้ จากเกณฑ์กำกับฯ ข้างต้น ผู้อำนวยการ ฝ่ายกำกับตลาด (ก.ล.ต.) ร่วมกับนายณพงศ์ธวัช โพธิกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายระบบการชำระเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ตอบข้อสงสัยในประเด็นต่างๆ ดังนี้

Q เหตุผลที่ภาครัฐได้มีการออกเกณฑ์ห้ามผู้ประกอบการสินทรัพย์ดิจิทัลใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ

A มองว่าการนำเอาสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เป็นสื่อของการชำระค่าสินค้าและบริการ จะมีความเสี่ยงอยู่ 2 เรื่องหลัก ได้แก่ ความเสี่ยงต่อประชาชน และห้างร้านต่างๆ หากมีการรับชำระ เนื่องจากสินทรัพย์ดิจิทัลค่อนข้างผันผวน ที่ผ่านมาจะใช้ในการลงทุน การเก็งกำไรเป็นหลัก ซึ่งอยู่ในกลุ่มของคนที่เข้าใจหรือยอมรับความผันผวนของราคาได้

แต่หากมาใช้ชำระสินค้าและบริการจริง อาจสร้างความเสี่ยงต่อผู้ใช้และร้านค้า จึงไม่เหมาะต่อการมาใช้ในเรื่องดังกล่าว อีกทั้งยังมีความเสี่ยงอื่นๆ อีก เช่น ผู้ที่นำเอาสินทรัพย์ดิจิทัลไปจ่ายให้กับร้านค้า ไม่ได้ทำ Know Your Customer (KYC) กับผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ร้านค้าก็อาจถูกใช้เป็นช่องทางหนึ่งในการฟอกเงิน เป็นต้น

อีกประการหนึ่ง เกณฑ์ฯ ปัจจุบันของประเทศไทยก็ไม่อนุญาตให้นำเอาเงินตราต่างประเทศมาใช้ในการชำระสินค้าและบริการในประเทศ เพราะอาจก่อให้เกิดผลที่เรียกว่า Dollarization ซึ่งหากคนส่วนใหญ่ในประเทศมีการถือครองเงินตราต่างประเทศมากขึ้น ก็จะส่งผลให้มีการถือครองเงินบาทน้อยลง และผลที่ตามมา คือการเข้าไปดูแลนโยบายต่างๆ ทั้งดอกเบี้ยเงินฝาก เงินกู้ ก็จะทำได้ยากขึ้น

Q หลักเกณฑ์ฯ ดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อผู้ลงทุนหรือไม่

A เกณฑ์ฯ นี้จะไม่มีผลกระทบต่อผู้ลงทุนตามปกติ โดยลูกค้าที่ต้องการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อการลงทุนยังคงซื้อขาย แลกเปลี่ยน เพื่อการลงทุนได้ตามเดิม แต่จะต้องไม่เข้าข่าย Means of Payment

Q มีการตรวจสอบแล้วพบว่าลูกค้าที่มีการเปิดบัญชีไว้ก่อนแล้ว เพื่อการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไปใช้ในการชำระค่าสินค้าและบริการ จะต้องดำเนินการอย่างไร

A - ให้ผู้ประกอบธุรกิจฯ แจ้งเตือนเกี่ยวกับการใช้บัญชีผิดวัตถุประสงค์ และไม่ตรงกับเงื่อนไขการให้บริการ

หากลูกค้ายังดำเนินการอยู่ ต้องดำเนินการกับลุกค้าที่ไม่ปฎิบัติตามเงื่อนไขการให้บริการ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวรวมถึงระงับการให้บริการชั่วคราว ยกเลิกให้บริการ หรือดำเนินการอื่นใดในทำนองเดียวกัน
Q ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่ให้บริการในลักษณะ Means of Payment อยู่ก่อนแล้ว จะต้องดำเนินการอย่างไร

A ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลจะต้องปฎิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด หรือไปแก้ไขสัญญา ยกเลิก ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ประกาศมีผลบังคับใช้ (1 เม.ย.65) โดยปัจจุบันมีผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่ให้บริการฯ อยู่ทั้งสิ้น 4 ราย

Q ประชาชน กิจการร้านค้า สามารถโอนสินทรัพย์ดิจิทัลระหว่างกันเองได้หรือไม่

A โอนสินทรัพย์ดิจิทัลส่วนบุคคล หรือลักษณะ Wallet to wallet สามารถทำได้ เนื่องจากอยู่นอกขอบเขตอำนาจของสำนักงานก.ล.ต. แต่ด้วยราคาสินทรัพย์ดิจิทัลที่ค่อนข้างมีความผันผวน และอยากให้ประชาชนเข้าใจว่าอาจจะมีความเสี่ยงเรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์ด้วย

Q ร้านค้าที่เปิดรับชำระสินทรัพย์ดิจิทัล ที่ไม่ได้ผ่านตัวกลางหรือผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจะมีแนวทางดูแลอย่างไร

A ยังอยู่ระหว่างติดตามสถานการณ์ว่าจะมีการรับชำระสินค้าและบริการด้วยสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างแพร่หลายหรือไม่ แต่เชื่อว่าคงไม่ได้มีมากนัก เพราะมีเรื่องของต้นทุนในการโอนเหรียญเข้ามาเกี่ยวข้อง และหากผู้ประกอบธุรกิจฯ ไม่ได้ช่วยสนับสนุนแล้ว โอกาสที่จะเป็นวงกว้างคงจะน้อยลง

Q จะเป็นการปิดโอกาสการเติบโตของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคตหรือไม่

A ยืนยันไม่เป็นการปิดโอกาสการเติบโตของอุตสาหกรรมฯ เนื่องจากเป็นเพียงจำกัดขอบเขตในการให้บริการเป็นสื่อกลางการชำระค่าสินค้าและบริการของผู้ประกอบสินทรัพย์ดิจิทัลเท่านั้น นักลงทุนยังสามารถซื้อขายเพื่อการลงทุน เก็งกำไร ได้เหมือนเดิม ขณะเดียวกันนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้ในไทย ก็สามารถมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทกับดีลเลอร์ในไทยได้ เพื่อนำเงินบาทไปจับจ่ายใช้สอยต่อไป

นายณพงศ์ธวัช โพธิกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายระบบการชำระเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า สำหรับ Central Bank Digital Currency (CBDC) หรือเงินสกุลดิจิทัลที่ออกโดย ธปท. จะมีสถานะเป็นเงินตราตามกฎหมาย จะไม่ใช่สินทรัพย์ดิจิทัลโดยตรง ซึ่งจะมาใช้เสริมระบบการชำระเงินในประเทศ และช่วยให้การใช้เงินดิจิทัลมีประโยชน์มากขึ้น

ส่วนการเชื่อมโยงกับสินทรัพย์ดิจิทัลต่างๆ โดยเฉพาะ Stablecoin ก็ยังต้องดูในอนาคตต่อไป โดยปัจจุบัน CBCD กำลังจะเข้าสู่ช่วงของการทดลอง คาดว่าจะเริ่มใช้ได้ในปลายปี 65

 
#2173
ทริสเรทติ้งเพิ่มอันดับเครดิตองค์กร "บ. ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้" เป็น "BBB+" จาก "BBB", และจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันวงเงินไม่เกิน 6 พันล้านบาทที่ "BBB+", แนวโน้ม

ทริสเรทติ้งเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เป็นระดับ ?BBB+? จากเดิมที่ระดับ ?BBB? และเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น ?Stable? หรือ ?คงที่? จาก ?Positive? หรือ ?บวก? พร้อมทั้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 6 พันล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 5 ปี ของบริษัทที่ระดับ ?BBB+? เช่นเดียวกันอีกด้วย ในการนี้ อันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทอยู่ในระดับเท่ากับอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทเนื่องจากอัตราส่วนหนี้สินที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมของบริษัท ณ เดือนธันวาคม 2564 อยู่ที่ระดับ 41.5% ซึ่งต่ำกว่าระดับ 50% ตาม ?เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้? ของทริสเรทติ้ง โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระคืนหนี้หุ้นกู้ชุดเดิมบางส่วนและใช้เป็นเงินทุนในการขยายกิจการ

อันดับเครดิตที่เพิ่มขึ้นสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดของบริษัทที่ดีขึ้น ตลอดจนผลกำไรที่แข็งแกร่ง และระดับภาระหนี้ที่ลดลง ถึงแม้ว่าการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) จะยืดเยื้อ แต่บริษัทก็ยังมีรายได้เพิ่มขึ้นและสามารถรักษากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ให้อยู่ที่ระดับประมาณ 4-5 พันล้านบาทรวมทั้งเงินทุนจากการดำเนินงานให้อยู่ที่ระดับประมาณ 2.6-3.2 พันล้านบาทได้ นอกจากนี้ อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัท (รวมภาระหนี้ตามสัดส่วนของบริษัทในโครงการร่วมทุน) ก็ลดลงมาอยู่ที่ 56% ในปี 2564 จากระดับประมาณ 67% ในปี 2562 อีกด้วย

อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงความสามารถในการทำกำไรของบริษัทที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรม ตลอดจนมูลค่ายอดขายที่รอรับรู้เป็นรายได้จำนวนมาก และส่วนแบ่งกำไรจากโครงการร่วมค้าที่คาดว่าจะมีจำนวนมากในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงภาระหนี้ของบริษัทที่อยู่ในระดับค่อนข้างสูงจากผลของการขยายธุรกิจแบบเชิงรุกทั้งในธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่ยืดเยื้อของโรคโควิด 19 ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเพิ่มความกดดันให้แก่อุปสงค์คอนโดมิเนียมต่อไปอีกด้วย

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

เพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดทั้งในกลุ่มสินค้าคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรร

สถานะทางการตลาดของบริษัททั้งในตลาดคอนโดมิเนียมและโครงการบ้านจัดสรรปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดยบริษัทสามารถสร้างยอดขายและยอดโอนที่ระดับเกินกว่า 1 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าอุปสงค์ที่อยู่อาศัยจะซบเซาลงจากผลกระทบของโรคโควิด 19 แต่ยอดขายของบริษัท (รวมยอดขายจากโครงการร่วมค้า) ในปี 2564 ยังเพิ่มขึ้นเป็น 1.65 หมื่นล้านบาทจากเพียง 1.09 หมื่นล้านบาทในปี 2563 จากอานิสงส์ของยอดขายจากโครงการบ้านจัดสรรที่เพิ่มขึ้นอย่างมากซึ่งเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 4.7 พันล้านบาทในปี 2564 จากระดับ 2.5 พันล้านบาทในปี 2563 และจากระดับที่เกือบไม่มีเลยในปี 2560 ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากสินค้าพร้อมขายที่มีอยู่และแผนการเปิดโครงการที่อยู่อาศัยใหม่จำนวนมากของบริษัททำให้ทริสเรทติ้งคาดว่ายอดขายในปี 2565 ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นประมาณ 20%-25% จากปีก่อนหน้าและจะเพิ่มขึ้นอีก 5%-10% ในปี 2566 และปี 2567

บริษัทมีสินค้าอสังหาริมทรัพย์ที่ครอบคลุมทุกระดับราคา โดยโครงการคอนโดมิเนียมมีช่วงราคาอยู่ที่ 60,000-200,000 บาทต่อตารางเมตร (ตร.ม.) ในขณะที่โครงการบ้านจัดสรรมีราคาอยู่ที่ 2.5-50 ล้านบาทต่อหลัง ส่วนโครงการคอนโดมิเนียมของบริษัทนั้นประกอบด้วยแบรนด์ที่หลากหลาย อาทิ ?Brixton? ?The Origin? และ ?Origin Plug and Play? ซึ่งเน้นลูกค้าเป้าหมายในกลุ่มราคาระดับปานกลาง ในขณะที่แบรนด์ ?Knightsbridge? ?So Origin? และ ?Park Origin? เน้นลูกค้าเป้าหมายในกลุ่มราคาระดับสูงถึงหรูหรา ซึ่งแบรนด์คอนโดมิเนียมเหล่านี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ซื้อ ส่วนแบรนด์โครงการบ้านจัดสรรของบริษัทนั้นประกอบด้วย ?Brighton? และ ?Britania? ซึ่งเน้นลูกค้าเป้าหมายในกลุ่มราคาระดับปานกลาง ในขณะที่แบรนด์ ?Grand Britania? และ ?Belgravia? เน้นลูกค้าเป้าหมายในกลุ่มราคาระดับสูงถึงหรูหรา ซึ่งโครงการบ้านจัดสรรก็ได้รับการตอบรับเพิ่มมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน

บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัยระหว่างการพัฒนา ณ สิ้นปี 2564 ซึ่งประกอบไปด้วยโครงการบ้านจัดสรรจำนวน 19 โครงการ โครงการคอนโดมิเนียมของบริษัทเองจำนวน 34 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียมที่พัฒนาภายใต้การร่วมทุนอีกจำนวน 16 โครงการ ทั้งนี้ สินค้าเหลือขายทั้งหมดรวมทั้งที่สร้างแล้วเสร็จและอยู่ระหว่างการก่อสร้างคิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 4.41 หมื่นล้านบาทซึ่งประกอบไปด้วยบ้านจัดสรรในสัดส่วน 31% คอนโดมิเนียมของบริษัทเอง 40% และคอนโดมิเนียมร่วมทุนอีก 29% บริษัทยังวางแผนเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่มูลค่ารวม 4.2 หมื่นล้านบาทอีกในปี 2565 โดยประกอบไปด้วยโครงการบ้านจัดสรรใหม่มูลค่า 1.34 หมื่นล้านบาทและโครงการคอนโดมิเนียม (รวมโครงการร่วมทุน) มูลค่า 2.86 หมื่นล้านบาท

มีกำไรที่แข็งแกร่งแม้ว่าโรคโควิด 19 ยังคงแพร่ระบาด

ถึงแม้ว่าโรคโควิด 19 ยังคงแพร่ระบาดไม่หยุด ทว่าผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2564 ยังสูงกว่าประมาณการของทริสเรทติ้ง รายได้ของบริษัทในปี 2564 เพิ่มขึ้นเป็น 1.53 หมื่นล้านบาทจาก 1.09 หมื่นล้านบาทในปี 2563 และ 1.37 หมื่นล้านบาทในปี 2562 โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นผลมาจากรายได้จากโครงการบ้านจัดสรรที่เติบโตอย่างมากตามที่ได้กล่าวไปแล้ว นอกจากนี้ EBITDA ของบริษัทก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 5.1 พันล้านบาทในปี 2564 จากประมาณ 4.1-4.8 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2562-2563 ในขณะที่อัตรากำไรจาก EBITDA ของบริษัทยังคงอยู่ในช่วง 34%-37% ในระยะ 3 ปีที่ผ่านมาซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ระดับ 20%-25%

ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะอยู่ในช่วง 1.3-1.6 หมื่นล้านบาทต่อปีโดยบริษัทจะมีรายได้จากโครงการบ้านจัดสรรในสัดส่วน 40%-50% ของรายได้รวม ในขณะที่ EBITDA นั้นคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 4.3-5.7 พันล้านบาทต่อปีในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งประมาณการรายได้ดังกล่าวมีปัจจัยสนับสนุนจากมูลค่ายอดขายคอนโดมิเนียมที่รอรับรู้เป็นรายได้จำนวนมากของบริษัทและการคาดการณ์ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์จะมีการฟื้นตัว ทั้งนี้ ณ เดือนธันวาคม 2564 บริษัทมีมูลค่ายอดขายรอโอนอยู่ที่ประมาณ 3.46 หมื่นล้านบาทซึ่งแบ่งออกเป็นยอดขายจากโครงการของบริษัทเองมูลค่า 7.6 พันล้านบาทและยอดขายจากโครงการร่วมทุนมูลค่า 2.7 หมื่นล้านบาท โดยยอดขายรอโอนของบริษัทจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ที่ประมาณ

5.2 พันล้านบาทในปี 2565 ประมาณ 0.2 พันล้านบาทในปี 2566 และประมาณ 2.2 พันล้านบาทในปี 2567 ในขณะที่ยอดขายรอโอนของโครงการร่วมค้าจะทยอยส่งมอบให้แก่ลูกค้าที่มูลค่าประมาณ 1.1-1.2 หมื่นล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2565-2566 และส่วนที่เหลือในปี 2567 ดังนั้น บริษัทจึงคาดว่าจะมีส่วนแบ่งกำไรจากโครงการร่วมค้าประมาณ 1.3-1.8 พันล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2565-2567

เป็นปีที่มีความท้าทายสำหรับอุตสาหกรรมพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย

ทริสเรทติ้งคาดว่าอุปสงค์ที่อยู่อาศัยในปี 2565 จะเติบโตที่ระดับ 5%-10% จากปีก่อนหน้าโดยมีปัจจัยสนับสนุนคือแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเนื่องจากผลกระทบของโรคโควิด 19 มีสัญญาณบรรเทาลง นอกจากนี้ การขยายระยะเวลาผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยโดยยังคงเพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (Loan-to-value Ratio -- LTV) ให้อยู่ที่ระดับ 100% จาก 70%-90% สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภทและการลดค่าโอนและค่าจดจำนองสำหรับบ้านที่มีราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทไปจนถึงสิ้นปี 2565 นั้นก็น่าจะช่วยกระตุ้นอุปสงค์ที่อยู่อาศัยให้เติบโตขึ้นได้ในปีนี้อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ยังคงมีประเด็นที่ท้าทายสำหรับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์อีกหลายประการในระยะสั้นถึงปานกลางนี้ โดยการแข่งขันในหมู่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยจะยังคงรุนแรงต่อไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งบ้านในกลุ่มระดับราคาที่ไม่แพง ดังนั้น บริษัทจึงจำเป็นต้องมีการปรับปรุงพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สอดคล้องกับอุปสงค์ของตลาดและต้องเพิ่มการรับรู้เกี่ยวกับแบรนด์สินค้าของบริษัทให้เกิดในกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเพื่อที่จะคงอัตราการเติบโตของรายได้เอาไว้ นอกจากนี้ หนี้ครัวเรือนที่ค่อนข้างสูงและอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นก็อาจส่งผลทำให้กำลังซื้อของผู้ซื้อบ้านลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสินค้าบ้านระดับราคาปานกลางถึงต่ำ ในขณะที่การปล่อยสินเชื่อของธนาคารที่เข้มงวดยิ่งขึ้นก็ยังคงเป็นประเด็นท้าทายสำหรับผู้ประกอบการอีกเช่นกัน

สัดส่วนกำไรจากธุรกิจอื่น ๆ ยังมีน้อย

บริษัทขยายกิจการไปยังธุรกิจโรงแรมและบริการในปี 2560 และขยายสู่ธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่าในปีนี้ บริษัทได้ก่อสร้างโรงแรม 2 แห่งแล้วเสร็จซึ่งประกอบด้วย ?Holiday Inn Siracha? และ ?Staybridge Thonglor? และได้เริ่มเปิดดำเนินงานแล้ว ส่วนโรงแรมอีก 3 แห่งและอาคารสำนักงานอีก 1 แห่ง คือ ?Intercontinental Sukhumvit? ?Staybridge Phromphong? ?Holiday Inn Express Phayathai? และอาคารสำนักงานที่สนามเป้านั้นจะเปิดดำเนินงานได้ในช่วงปี 2565-2567 นอกจากนี้ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 บริษัทยังได้ซื้อกิจการโรงแรมอีก 3 แห่งจาก บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) รวมมูลค่ารวมประมาณ 1 พันล้านบาทอีกด้วย ซึ่งรายได้จากธุรกิจโรงแรมคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 200-300 ล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า

นอกจากนี้ บริษัทยังได้มีการลงทุนในธุรกิจอีกหลายประเภท อาทิธุรกิจโกดังสินค้าให้เช่า ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ ธุรกิจด้านสุขภาพ และธุรกิจพลังงาน โดยบริษัทได้มีความร่วมมือกับผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละธุรกิจ เช่น บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) ในธุรกิจโกดังสินค้าให้เช่า Kin และ Senizens ในธุรกิจดูแลสุขภาพ และ บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) ในธุรกิจพลังงาน โดยการขยายไปในธุรกิจอื่น ๆ ดังกล่าวนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ดังนั้น ความสำเร็จในการลงทุนของบริษัทในธุรกิจใหม่ ๆ ดังกล่าวจึงยังคงต้องติดตามต่อไป

ทริสเรทติ้งมองว่าธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยยังคงเป็นธุรกิจหลักในการทำกำไรให้แก่บริษัทโดยมีสัดส่วนเกินกว่า 80% ของกำไรรวมของบริษัทในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม หากบริษัทประสบความสำเร็จในการขยายไปในธุรกิจอื่น ๆ เหล่านี้ก็จะช่วยขยายสัดส่วนของธุรกิจให้แก่บริษัทและช่วยให้บริษัทมีผลกำไรที่มีเสถียรภาพในระยะยาว

อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทคาดว่าจะต่ำกว่า 60%

ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะต่ำกว่าระดับ 60% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทอยู่ที่ระดับ 55.6% ณ สิ้นปี 2564 ลดลงจากระดับ 63%-67% ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จากแผนการลงทุนในธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยจำนวนมากและการลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ จะส่งผลทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 58%-59% ทั้งนี้ ภายใต้เงื่อนไขทางการเงินของเงินกู้ยืมที่มีกับธนาคารและหุ้นกู้ บริษัทจะต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นไม่ให้เกินกว่า 2.5 เท่า ในขณะที่อัตราส่วนดังกล่าวของบริษัท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564 อยู่ที่ระดับ 0.97 เท่า ทริสเรทติ้งจึงเชื่อว่าบริษัทจะสามารถบริหารโครงสร้างทางการเงินให้สอดคล้องกับเงื่อนไขทางการเงินของเงินกู้ยืมเอาไว้ได้ในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า

ภายใต้ประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะเปิดตัวโครงการใหม่ที่มูลค่าประมาณ 4.2 หมื่นล้านบาท (รวมโครงการร่วมทุน) ในปี 2565 และประมาณ 1.5-2.0 หมื่นล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2566-2567 บริษัทตั้งงบประมาณในการซื้อที่ดินไว้ที่ประมาณ 5-7 พันล้านบาทต่อปี ในขณะที่ต้นทุนค่าก่อสร้างจะอยู่ที่ระดับ 35%-40% ของมูลค่าโครงการ บริษัทมีแผนการลงทุนที่ประมาณ 300 ล้านบาทต่อปีสำหรับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ เช่น โรงแรมและอาคารสำนักงานให้เช่า ส่วนงบประมาณการลงทุนสำหรับธุรกิจใหม่ ๆ ซึ่งประกอบด้วยธุรกิจโกดังสินค้าให้เช่า ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ และธุรกิจด้านสุขภาพนั้นจะอยู่ที่ระดับประมาณ 1.5-2.0 พันล้านบาทโดยรวมในช่วง 3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ บริษัทวางแผนการลงทุนในธุรกิจเหล่านี้ส่วนใหญ่ด้วยวิธีการร่วมทุนซึ่งจะช่วยลดความต้องการเงินลงทุนไปได้ส่วนหนึ่ง

สภาพคล่องที่บริหารจัดการได้

ทริสเรทติ้งประเมินว่าสภาพคล่องของบริษัทจะยังคงอยู่ในวิสัยที่สามารถบริหารจัดการได้ โดยแหล่งเงินทุนของบริษัทประกอบด้วยเงินสดในมือจำนวน 2 พันล้านบาทและวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกจำนวน 1.6 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2564 นอกจากนี้ กระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 12 เดือนข้างหน้าก็คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 3.0-3.2 พันล้านบาท ในขณะที่บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 8.5 พันล้านบาทซึ่งประกอบด้วยเงินกู้ระยะสั้นจำนวน 2.3 พันล้านบาท เงินกู้โครงการจำนวน 2.7 พันล้านบาท และหุ้นกู้จำนวน 3.5 พันล้านบาท โดยบริษัทใช้เงินกู้ระยะสั้นส่วนใหญ่เป็นเงินทุนหมุนเวียนและเป็นเงินกู้ชั่วคราวเพื่อใช้ในการซื้อที่ดินซึ่งคาดว่าจะเปลี่ยนมาเป็นเงินกู้โครงการต่อไป ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะจ่ายชำระหนี้เงินกู้โครงการด้วยกระแสเงินสดจากการโอนโครงการที่อยู่อาศัย ในขณะเดียวกัน บริษัทก็มีแผนจะออกหุ้นกู้ชุดใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดด้วย

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

? บริษัทจะเปิดตัวโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยใหม่ที่มูลค่า 4.2 หมื่นล้านบาทในปี 2565 และ 1.5-2 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2566-2567

? รายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 1.3-1.6 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2567 และส่วนแบ่งกำไรจากโครงการร่วมค้าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 1.3-1.8 พันล้านบาทต่อปีเนื่องจากโครงการร่วมทุนคาดว่าจะโอนคอนโดมิเนียมที่มูลค่าประมาณ 1.0-1.2 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า

? งบประมาณในการซื้อที่ดินซึ่งรวมโครงการร่วมทุนจะอยู่ที่ประมาณ 5-7 พันล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า

? เงินลงทุนในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์และธุรกิจอื่น ๆ จะมีมูลค่ารวม 3.0-3.5 พันล้านบาทในช่วงปี 2565-2567

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันและสถานะทางการตลาดเอาไว้ได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงสามารถส่งมอบสินค้าจำนวนมากได้ตามแผนการที่วางไว้ และแม้จะมีแผนการขยายธุรกิจแบบเชิงรุก ทริสเรทติ้งก็ยังคาดว่าบริษัทจะรักษาผลการดำเนินงานที่ดีเอาไว้ได้และรักษาอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนให้ต่ำกว่าระดับ 60% ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินยังคงอยู่ที่ระดับ 10%-15% ต่อไปได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้าถึงแม้ว่าอุปสงค์ที่อยู่อาศัยจะชะลอตัวและภาวะเศรษฐกิจจะยังคงไม่ฟื้นตัวจากผลของการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ก็ตาม

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตของบริษัทอาจมีการปรับเพิ่มขึ้นได้หากฐานรายได้และกระแสเงินสดของบริษัทเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญโดยที่บริษัทยังสามารถรักษาความสามารถในการทำกำไรเอาไว้ได้และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนอยู่ที่ระดับประมาณ 50%-55% ได้อย่างต่อเนื่อง ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจมีการปรับลดลงหากผลการดำเนินงานหรือสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงจากระดับปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญจนเป็นผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นจนอยู่ในระดับที่เกินกว่า 60% และ/หรืออัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินลดลงต่ำกว่า 10% เป็นเวลาที่ต่อเนื่อง

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564

- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562

บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (ORI)

อันดับเครดิตองค์กร: BBB+

อันดับเครดิตตราสารหนี้:

หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ในวงเงินไม่เกิน 6,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 5 ปี BBB+

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว
#2174
ตัดแคมในอาเซียนบิวตี้คลีนิคศัลยกรรมต้นๆของประเทศดูแลทุกปัญหาความงาม  
ผิวพรรณ ศัลยกรรมตกแต่ง แล้วก็เวชศาสตร์ชะลอวัย พร้อมการดูแลความสวยงาม
ตัดแคมใน  แบบองค์รวม ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า โดยแพทย์ผู้ชำนาญ  
และ คณะทำงานมืออาชีพ 
ตัดแคมในทั้งไทยรวมทั้งต่างถิ่น 


https://bit.ly/3wwDs0P
#2175
สวัสดีค่ะ ชื่อโอ๋นะคะ วันนี้โอ๋มีผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ช่วยแก้ปัญหาไซนัสอักเสบ อยากจะมาแนะนำให้เพื่อนๆได้รู้จักกันนะคะ
นี่เลยค่ะ อาหารเสริม Ucore ค่ะ ส่วนตัวป่วยเป็นไซนัสอักเสบประมาณ2ปีแล้ว เนื่องจากงานที่โอ๋ทำทำ
ต้องเจอกับฝุ่น ควัน มลภาวะ อยู่ทุกๆวันเลย ทำให้ไซนัสอักเสบเป็นๆหายๆ คือรักษาอย่างไรไม่หายขาดซักที..เลยไปหาวิธีรักษาไซนัสอักเสบ
เจอ Ucore ทานมา2 เดือนแล้ว ตอนนี้ไม่มีอาการไซนัสอักเสบเลย .. จึงอยากมาแนะนำให้เพื่อนๆ ใช้แล้วเห็นผลจึงมาบอกต่อค่ะ"

จดทะเบียนในชื่อ ยูคอร์ (ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดแคปซูลนิ่ม)
Ucore (SOFT GEL DIETARY SUPPLEMENT PRODUCT)
เลขที่ อย. 13-1-07458-5-0233
ขนาดบรรจุ 30 แคปซูล
ราคาพิเศษเพียง 990 บาท
*รบกวนแจ้งอาการและยาที่ทานก่อนครับ
มีผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์คอยให้คำปรึกษา
แอดไลน์ สอบถามปรึกษา
Line : @balances 
รายละเอียดเพิ่มเติมสอบถามปรึกษา Ucore
#2176
ตลาดหุ้นเอเชียปิดเช้าลบ จับตาผู้นำโลกถกคว่ำบาตรรัสเซียวันนี้

ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าในแดนลบตามทิศทางตลาดหุ้นนิวยอร์ก โดยถูกกดดันจากราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้น และจากความเห็นของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่สนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์สงครามในยูเครน

ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดภาคเช้าที่ระดับ 27,727.76 จุด ลดลง 312.40 จุด หรือ -1.11%, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนปิดภาคเช้าที่ 3,253.31 จุด ลดลง 17.72 จุด หรือ -0.54% และดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดภาคเช้าที่ 22,195.96 จุด เพิ่มขึ้น 41.88 จุด หรือ +0.19%

นักลงทุนจะติดตามการประชุมขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต), กลุ่มประเทศ G7 และสหภาพยุโรป (EU) ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียมในวันนี้ หลังจากที่รัสเซียเปิดฉากบุกโจมตียูเครนครบ 1 เดือน เพื่อหาทางเพิ่มแรงกดดันให้รัสเซียยุติการโจมตีและขัดขวางความพยายามของประเทศอื่น ๆ ในการช่วยเหลือรัสเซียทำสงคราม นอกจากนี้ บรรดาผู้นำนาโตได้เตรียมเรียกร้องให้จีนหลีกเลี่ยงการสนับสนุนให้รัสเซียรุกรานยูเครน

ตลาดยังถูกกดดันหลังจากที่นางลอเรตตา เมสเตอร์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาคลีฟแลนด์ระบุว่า เฟดสามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและเริ่มการปรับลดขนาดงบดุลในการประชุมครั้งเดียวกัน โดยนางเมสเตอร์สนับสนุนให้เฟดเร่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีแรกนี้ โดยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมบางครั้ง
#2177
รับสมัครตัวแทนจำหน่าย cci  สร้างรายได้บนโลกออนไลน์ ธุรกิจสมุนไพรไทยเปลี่ยนชีวิต
Dropship ไม่ต้องสต๊อคสินค้า - รับตัวแทนจำหน่าย สินค้าออนไลน์

สมุนไพรไทยเปลี่ยนชีวิต รับสมัครตัวแทนจำหน่าย CCI สร้างรายได้บนโลกออนไลน์
รับตัวแทนจำหน่าย สินค้าออนไลน์  นวัตกรรมสมุนไพร ดร.ณสพน โพธิ์วิจิตร
สมัครตัวแทนจําหน่ายฟรี ลงทุนต่ำ ไม่สต๊อกสินค้า. ตัวแทนหรือสมาชิก CCI สร้างรายได้จากการจำหน่าย 
รับตัวแทนจำหน่าย cci ขายของออนไลน์ อาชีพเสริม สร้างรายได้เสริม ขายของออนไลน์อะไรดี ที่นี่มีคำตอบ กำไรขายปลีกสูงถึง 400 บาท ต่อกล่อง
นวัตกรรมสมุนไพร ระดับโลก  โรงงานผลิตได้มาตรฐาน ก่อตั้งมากกว่า 20 ปี  มีสถาบันวิจัย พร้อมทีมนักวิจัยกว่า 30 ท่าน ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมสมุนไพร คุณภาพระดับโลก ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง เป็นสมุนไพรสกัดเข้มข้น

รับตัวแทนจำหน่าย CCI มาตรฐานระดับสากล มั่นใจในคุณภาพ ธุรกิจนี้ดี อาชีพเสริม ทำแล้วรวย สุขภาพดี รายได้มั่นคง  

สนใจ กรอกข้อมูลรับรายละเอียด+ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่เว็บไซด์...
 
 https://www.saleherb.com

รับสมัครตัวแทนธุรกิจ 
Line : @saleherb(มี@นำหน้า)


#2178
ออกแบบมาสคอตและสติกเกอร์ไลน์กับ ChatStick ดียังไง------------------------------------------------------------------------------------สนใจบริการ รับออกแบบการ์ตูน คาแรคเตอร์ โลโก้ วาดตัวมาสคอต โดยมืออาชีพ | บริการรับออกแบบมาสคอต ออกแบบตัวการ์ตูน Character รับทำสติ๊กเกอร์ไลน์ภาพวาด | รับทำสติ๊กเกอร์ไลน์ภาพถ่าย | รับทำสติ๊กเกอร์ไลน์ดารา | รับทำสติ๊กเกอร์ไลน์ศิลปิน | รับทำสติ๊กเกอร์ไลน์นักร้อง | รับทำสติ๊กเกอร์ไลน์บริษัท | รับทำสติ๊กเกอร์ไลน์องค์กร| รับออกแบบสติ๊กเกอร์ไลน์อนิเมชั่น | รับทำสติ๊กเกอร์ไลน์อนิเมชั่น | รับออกแบบสติ๊กเกอร์ไลน์เคลื่อนไหวได้ | รับออกแบบสติ๊กเกอร์ไลน์ดุ๊กดิ๊ก | รับทำAnimated Sticker Line | Animated Stickers"StickerLine สติ๊กเกอร์ไลน์รูปถ่าย สติ๊กเกอร์ไลน์รูปภาพ สามารถติดต่อเราได้ตลอด 24 ชั่วโมง ตัวอย่าง ผลงานออกแบบสติ๊กเกอร์ไลน์ บริษัท แบรนด์ และ องค์กร>> https://www.chatstickmarket.com/stickerportตัวอย่าง ผลงานออกแบบสติ๊กเกอร์ไลน์ ศิลปิน ดารา และ ผู้มีชื่อเสียง>> https://www.chatstickmarket.com/celebportตัวอย่าง ตัวอย่างผลงานมาสคอต (Mascot) ธุรกิจ องค์กร และ ศิลปิน>> https://www.chatstickmarket.com/mascotport
#2179
หากพูดถึงกระเป๋าผู้หญิงสำหรับวัยทำงานแล้วเชื่อเหลือเกินว่าจะต้องมีกระเป๋าโท้ทอยู่ด้วยอย่างแน่นอน ก็เพราะว่าเป็นกระเป๋าทรงสวยที่เหมาะสำหรับวัยทำงานและใช้ประโยชน์ต่าง ๆ ได้ดี จุดสำคัญคือ เป็นกระเป๋าทรงสี่เหลี่ยมสำหรับสะพายข้าง มีหลายขนาดให้เลือก เป็นกระเป๋าที่มีลักษณะคล้ายกับถุงผ้า แต่ออกแบบมาให้ทันสมัยและใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย ทำให้เป็นกระเป๋าที่นิยมในวัยทำงาน ทำจากวัสดุหลายประเภท อาทิเช่น หนังสัตว์ หนังเทียม หนังกลับ หนังฟูลเกรน ผ้าคอตตอน ผ้าแคนวาส PVC นีโอพรีน ไนลอน โพลีเอสเตอร์ โพลียูรีเทน ฯลฯ

กระเป๋า tote มีทรงอะไรให้เลือกใช้บ้าง ทรงไหนที่ได้รับความนิยม
• ทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส เป็นทรงที่ได้รับความนิยมในวัยทำงาน ก็เพราะว่ามีขนาดที่กำลังพอดี ไม่ใหญ่จนเกินไป ดีไซน์มาเป็นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส บางรุ่นดีไซน์มาให้พื้นด้านล่างกระเป๋ากางออกได้เพื่อจุของได้มากขึ้น ไม่เสียทรงง่าย อยู่ทรง ได้ทรงสวย แมทช์เข้ากับชุดทำงานได้ง่าย
• ทรงสี่เหลี่ยมทรงสูง เป็นสี่เหลี่ยมทรงสูงที่สามารถใส่เอกสารหรือของที่มีความสูงได้ เช่น ร่ม แฟ้ม ฯลฯ จุของได้ค่อนข้างเยอะ เหมาะกับวัยทำงาน ช่วยเสริมลุคให้ดูเป็น Business Women ขึ้นได้
• ทรง Shopping Bag เป็นสี่เหลี่ยมทรงสูงที่มีลักษณะคล้ายกับถุงช้อปปิ้ง แต่ออกแบบมาให้ทันสมัยขึ้น มีความโดดเด่น
• ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า เป็นทรงที่มีความสูงไม่มากแต่จะเน้นไปที่ความยาว จุของในแนวนอนได้เยอะ

การเลือกกระเป๋าโท้ทผู้หญิงควรพิจารณาจากอะไรบ้าง?
• ขนาดของกระเป๋า เพื่อน ๆอาจคิดว่ากระเป๋า tote นั้นมีขนาดเดียวแต่ความจริงแล้วมีให้เลือกหลายขนาด มีตั้งแต่ไซส์ S - XL
• ดีไซน์และการออกแบบ แต่ละรุ่นดีไซน์มาไม่เหมือนกัน และเลือกใช้วัสดุที่ไม่เหมือนกัน บางรุ่นเป็นซิปเปิด - ปิด บางรุ่นเป็นกระดุม บางรุ่นเป็นแบบเปิดโล่ง สามารถเลือกดีไซน์ที่ตรงกับการใช้งานได้
• พื้นที่การจัดเก็บ สำหรับท่านไหนที่มีของมากควรเลือกรุ่นที่มีช่องเก็บของหลายช่อง ไม่ว่าจะเป็นด้านนอกหรือด้านใน จะช่วยให้จุของได้มากขึ้น
• ความยาวของสายสะพาย ความยาวที่เหมาะสมคือ 50 - 60 เซนติเมตร จะช่วยให้สะพายได้ง่ายขึ้น ไม่รัดต้นแขนจนเกินไป แต่นอกจากนี้ยังก็มีขนาดอื่น ๆ ด้วย ควรลองสะพายดูก่อนว่าพอดีกับแขนและรูปร่างหรือไม่เพื่อความสะดวกในการใช้งาน
• เลือกจากวัสดุ วัสดุแต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติการใช้งานที่แตกต่างกัน ดังเช่น ผ้าไนล่อน PVC หนังฟูลเกรน ฯลฯ ที่สามารถกันน้ำได้ ช่วยป้องกันไม่ให้ของด้านในเปียกน้ำ 

สำหรับสาววัยทำงานคนไหนที่กำลังมองหากระเป๋าโท้ทผู้หญิงอยู่ก็เลือกรุ่นที่ชอบกันได้เลย มีหลายรุ่นให้เลือก มีรุ่นที่ต่อสายเพื่อใช้งานแบบสะพายพาดลำตัวได้ด้วย

ชมสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.charleskeith.co.th/th/bags/totebags

#2180
ANZ ขึ้นแท่นธนาคารออสซี่แห่งแรกออกเหรียญ Stablecoin

ธนาคารออสเตรเลีย แอนด์ นิวซีแลนด์ แบงกิง กรุ๊ป (ANZ) ก้าวขึ้นเป็นธนาคารออสเตรเลียแห่งแรกที่สร้างเหรียญประเภท Stablecoin ซึ่งจะอิงกับมูลค่าของสกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลีย

ANZ ระบุว่า ทางธนาคารได้ส่งเหรียญ Stablecoin ที่มีชื่อว่า A$DC ให้กับบริษัทวิคเตอร์ สมอร์กอน กรุ๊ป (Victor Smorgon Group) ซึ่งเป็นบริษัทบริหารจัดการความมั่งคั่งส่วนบุคคล ผ่านแพลตฟอร์มการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลซีโร่แคป (Zerocap)

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) เปิดเผยเมื่อปีที่ผ่านมาว่า ยอดการใช้งานกระเป๋าเงินดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นอย่างมากนั้นอาจเปิดโอกาสให้ RBA ออกนโยบายรองรับการซื้อขายแลกเปลี่ยนโทเคนหรือสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ ได้ แม้ขณะนี้ธนาคารกลางจะยังมีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้งานคริปโทเคอร์เรนซีก็ตาม

อนึ่ง ANZ ระบุว่า ทางธนาคารได้สร้างเหรียญ A$DC มูลค่า 30 ล้านดอลลาร์ โดยใช้ชุดคำสั่งที่เรียกว่า สมาร์ท คอนแทรค (Smart Contract) โดยเหรียญดังกล่าวได้ถูกโอนให้กับคู่สัญญา และแลกคืนเป็นสกุลเงินปกติในภายหลัง