• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - dsmol19

#2181
จีนเร่งนำกล่องดำไขปริศนาอุบัติเหตุโบอิ้ง 737 ตกในกว่างซีจ้วง

ผู้เชี่ยวชาญด้านการบินของจีนคาดการณ์ว่า การค้นพบกล่องดำกล่องที่ 2 จะช่วยให้สามารถไขปริศนาของเหตุเครื่องบินโบอิ้ง 737 ของสายการบินไชน่า อีสเทิร์น แอร์ไลน์สตกแบบดิ่งพสุธาในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงเมื่อวันที่ 21 มี.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้ผู้โดยสาร 132 รายเสียชีวิตยกลำ

เจ้าหน้าที่ค้นพบกล่องดำกล่องที่ 2 เมื่อวานนี้ (27 มี.ค.) ซึ่งถูกฝังกลบอยู่ใต้ดินห่างจากจุดเกิดเหตุหลักไปราว 40 เมตร ณ หุบเขาใกล้กับเมืองอู๋โจว โดยขณะนี้ได้มีการส่งกล่องดำไปยังกรุงปักกิ่งเพื่อทำการวิเคราะห์ข้อมูลต่อไป

ทั้งนี้ ต้องติดตามต่อไปว่ากล่องดำดังกล่าวจะสามารถกู้คืนข้อมูลได้มากน้อยเพียงไร เนื่องจากเครื่องบินโบอิ้ง 737-800 เอ็นจีประสบอุบัติเหตุที่รุนแรงอย่างมาก และขณะนี้มีการค้นพบชิ้นส่วนเครื่องบินแล้วกว่า 33,700 ชิ้น โดยเจ้าหน้าที่จีนระบุว่า อุบัติเหตุครั้งนี้ได้สร้างหลุมลึกถึง 20 เมตร

สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศจีน เผยว่า บางส่วนของกล่องดำได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ซึ่งอาจทำให้การถอดรหัสข้อมูลภายในกล่องมีความซับซ้อนมากขึ้น

ทั้งนี้ กล่องดำสามารถจัดเก็บพารามิเตอร์การบินได้หลายร้อยรายการ ตั้งแต่ความเร็วและระดับความสูง ไปจนถึงตำแหน่งปีกเครื่องบินและทิศทางที่มุ่งหน้าไป ซึ่งจะช่วยให้สามารถทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงวินาทีสุดท้ายก่อนที่เครื่องบินจะประสบอุบัติเหตุได้

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า เจ้าหน้าที่จีนจะต้องส่งรายงานอุบัติเหตุเบื้องต้นภายใน 30 วันหลังเกิดเหตุ และสามารถส่งรายงานฉบับเต็มได้ภายในช่วง 1 ปีหลังเกิดเหตุ
#2182
ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดพุ่ง $24.9 สงครามยูเครนหนุนแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 2 ในวันพฤหัสบดี (24 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงเดินหน้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ และผลกระทบของการทำสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 24.9 ดอลลาร์ หรือ 1.29% ปิดที่ 1,962.2 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนพ.ค. เพิ่มขึ้น 73.1 เซนต์ หรือ 2.9% ปิดที่ 25.92 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 10.2 ดอลลาร์ หรือ 1% ปิดที่ 1,031.2 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 11.30 ดอลลาร์ หรือ 0.5% ปิดที่ 2530.60 ดอลลาร์/ออนซ์

นักลงทุนยังคงเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ท่ามกลางสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ล่วงเข้าสู่เดือนที่ 2 แล้วในขณะนี้ ทางด้านองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ได้เริ่มเปิดการประชุมฉุกเฉินที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียมเมื่อวานนี้ เพื่อหามาตรการตอบโต้รัสเซียจากการที่ส่งกำลังทหารบุกโจมตียูเครน

นายเยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการนาโตออกแถลงการณ์ว่า นาโตจะเพิ่มกำลังทหารอีก 4 กลุ่มในยุโรปตะวันออก ซึ่งรวมถึงบัลแกเรีย ฮังการี โรมาเนีย และสโลวาเกีย เพื่อรับมือภัยคุกคามจากรัสเซีย พร้อมกับกล่าวว่า ผู้บัญชาการทหารระดับสูงของนาโตได้เตรียมการรับมือการโจมตีด้วยอาวุธเคมี อาวุธชีวภาพ รวมทั้งอาวุธเคมี และการแผ่รังสี

นอกจากนี้ ข้อมูลแรงงานที่แข็งแกร่งของสหรัฐยังเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนลดการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 28,000 ราย สู่ระดับ 187,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2512 และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 212,000 ราย
#2183
วิตามินผิวใสด้วยมิสเอเส้นใย เพียงแต่ 1 แก้วต่อวัน ช่วยควบคุมน้ำหนัก ลดระดับคลอเรสเตอรอล
ลดปริมาณน้ำตาลภายใน
เลือด กำจัดพิษในลำไส้ 
วิตามินผิวใสเติมความละมุนเนียนนุ่ม และกระจ่างขาวใสให้กับผิว กระตุ้นสุขภาพผิวให้แข็งแรง 
วิตามินผิวใสดูกระปรี้กระเปร่า ผิวเรีบบเนียนไม่มีสะดุด หยุดทุกสายตา สร้างเสริมส่วนประกอบของผิวให้มองอ่อนโยนละมุนละมัย ไม่
XXXXX {หยาบกร้าน|
กระด้าhttps://bit.ly/3LbADGk


https://bit.ly/3JGYehS
#2184
รัฐบาลยันดูแลประชาชนทุกกลุ่ม ย้ำเสถียรภาพการคลังแข็งแกร่งคาดส่งออกไทยโต 5-10%

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลภายใต้การนำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญกับการดูแลช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ควบคู่กับทำให้เศรษฐกิจของประเทศเดินหน้าได้ รวมถึงออกมาตรการบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งยูเครน-รัสเซีย แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนด้านต่าง ๆ ทั้งด้านพลังงานและเชื้อเพลิง ค่าครองชีพ ด้านขนส่ง แรงงานและนายจ้าง โดยมุ่งเน้นให้การใช้จ่ายงบประมาณที่มีอยู่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศชาติ และอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การบริหารจัดการที่เป็นไปอย่างมีระบบ มีแผนงาน/โครงการที่ชัดเจน ทำให้ขณะนี้ฐานะทางการเงินการคลังของประเทศไทยยังมีเสถียรภาพที่เข้มแข็ง โดยเสถียรภาพด้านการคลังดูได้จากการบริหารรายได้และรายจ่ายของภาครัฐ ซึ่งฐานะทางการคลังของรัฐบาลตัวเลขล่าสุดใน 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2565 (ตุลาคม 2564 ? กุมภาพันธ์ 2565) ระดับอัตราเงินคงคลังปลายงวดอยู่ที่ประมาณ 400,000 ล้านบาท ซึ่งลดลงตามดุลเงินสดที่ขาดดุลอยู่ในขณะนี้และเป็นไปตามดุลงบประมาณ

นายธนกรกล่าวว่า ในช่วง 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2565 รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น จำนวน 901,414 ล้านบาท ในขณะที่มีการเบิกจ่ายงบประมาณทั้งสิ้น 1,429,194 ล้านบาท โดยรัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุล จำนวน 394,465 ล้านบาท ซึ่งในปี 2565 ได้ตั้งงบประมาณขาดดุลไว้ที่ 700,000 ล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลังปลายงวด ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2565 มีจำนวนทั้งสิ้น 418,588 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับที่รัฐบาลได้มีการกำหนดสภาพคล่องไว้อยู่ที่ประมาณ 400,000 ? 500,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่มีความมั่นคงและมีเสถียรภาพพียงพอ

ทั้งนี้ การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลคาดจะเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดคือ 2.4 ล้านล้านบาท ขณะที่ทุนสำรองระหว่างประเทศในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2565 ยังมีความเข้มแข็งอยู่ที่ประมาณ 245,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอยู่ในระดับสูงและสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้

นายธนกรกล่าวด้วยว่า ขณะเดียวกันเสถียรภาพทางด้านราคา ซึ่งดูจากอัตราเงินเฟ้อที่วัดจากดัชนีผู้บริโภคนั้น อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2565 ปรับตัวสูงขึ้นจากราคาพลังงาน โดยเดือนมกราคม อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 3% และเดือนกุมภาพันธ์ อัตราเงินเฟ้อประมาณ 5% แต่หากดูอัตราเงินเฟ้อที่ไม่รวมเรื่องพลังงานกับอาหารสด อัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นเพียงประมาณ 0.5 ในเดือนมกราคม และเดือนกุมภาพันธ์ อัตราเงินเฟ้อเพิ่มที่ 1.8 ซึ่งรัฐบาลก็ได้เข้ามาดูแลช่วยเหลือประชาชนระยะสั้นในการลดต้นทุน และการช่วยเหลือค่าครองชีพต่าง ๆ ผ่าน 10 มาตรการสำคัญโดยพุ่งเป้าเน้นช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างแท้จริง พร้อมมีการติดตามประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อปรับมาตรการต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในระยะต่อไป

ส่วนอัตราการว่างงานในไตรมาสที่ 4 ปี 2564 ปรับตัวลงมาอยู่ที่ร้อยละ 1.6 ของแรงงานรวม ซึ่งเป็นผลมาจากที่รัฐบาลได้มีการผ่อนคลายมาตรการและเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามนโยบายเปิดประเทศของรัฐบาลเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา รวมไปถึงการดำเนินโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ผู้ประกอบการด้านโรงแรมสามารถกลับมาเริ่มดำเนินกิจการและรักษาการจ้างงานได้ รวมทั้งประชาชนมีความมั่นใจที่จะเดินทางมากขึ้นภายใต้มาตรการด้านสาธารณสุขป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19

นอกจากนี้ การค้าขายระหว่างประเทศทั้งการนำเข้า-ส่งออกของประเทศไทยทั้งในปี 2563 และปี 2564 แม้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะผลกระทบ Global supply chain disruption ที่เกิดขึ้นทั่วโลกทั้งเรื่องของวัตถุดิบ อุปกรณ์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อภาคการผลิตทั้งห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การผลิตสินค้า การขนส่ง ไปจนถึงผู้บริโภค ทำให้เกิดการชะลอตัวในการผลิตในปี 2563 แต่จากที่มีการป้องกันระดับโรงงาน คือ Factory quarantine ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นโดยลำดับ และส่งผลให้ภาคการส่งออกของไทยปี 2564 ปรับตัวดีขึ้น โดยมีอัตราการเติบโตในมูลค่าของดอลลาร์สหรัฐประมาณ 17 ? 20% ซึ่งในปีนี้คาดว่าตัวเลขการขยายตัวของภาคการส่งออกของไทยจะอยู่ที่ 5 ? 10%

นายธนกรกล่าวอีกว่า จากข้อมูลของกระทรวงการคลัง พบว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้คือภาคเกษตร และการค้าขายชายแดน ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านในรอบอาเซียนยังคงพึ่งพาสินค้าอุปโภคบริโภคอยู่ ทั้งนี้ ตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญในปี 2565 คือภาคการส่งออกที่ยังขยายตัวได้ แรงขับเคลื่อนจากภาครัฐทั้งการใช้จ่ายงบประมาณปี 2565 และการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ รวมถึงในส่วนของภาคเอกชนที่ได้มีการระดมทุน โดยเฉพาะการออกหุ้นกู้ทั้งบริษัทที่อยู่ในตลาดและนอกตลาดในปี 2564 ที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก จึงทำให้ภาคการลงทุนของภาคเอกชนเริ่มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายการส่งเสริมอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ได้รับการตอบรับจากนักลงทุน ทั้งค่ายรถเดิมที่มีอยู่และค่ายรถใหม่ แสดงให้เห็นได้ว่าภาคเอกชนยังมีการลงทุนอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศที่สำคัญด้วย
#2185
นายกฯดันเทรนทำงานท่องเที่ยวกระตุ้นตลาดท่องเที่ยวไทยได้ดีแม้โควิดยังระบาด

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินหน้าแผนส่งเสริมการท่องเที่ยวในปีนี้ ภายใต้การรักษาสมดุลทางเศรษฐกิจและมาตรการสาธารณสุข โดยกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ขานรับนโยบายพลิกโฉมการท่องเที่ยวมุมมองใหม่ในยุควิถีใหม่ ในโครงการ Workation Paradise Throughout Thailand เป็นการต่อยอดการท่องเที่ยวในรูปแบบท่องเที่ยวพร้อมการทำงาน ตามแนวคิดการท่องเที่ยววิถีใหม่ หรือ New Normal ตอบโจทย์การเดินทางภายใต้สถานการณ์ของโรคโควิด-19 ส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวในประเทศไทยเดินทางท่องเที่ยวในวันธรรมดา เพื่อช่วยกระตุ้นตลาดท่องเที่ยวของไทย และช่วยให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวสามารถปรับเปลี่ยน พัฒนาธุรกิจ โดยเฉพาะผู้ประกอบการจากธุรกิจที่พักแบบเดิมสู่มิติใหม่ของการบริการ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการในปัจจุบัน คือการทำงาน และท่องเที่ยว ได้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งการนำเสนอสินค้าและบริการนี้ จะช่วยเพิ่มโอกาส สร้างรายได้เข้าสู่อุตสาหกรรมท่องเที่ยว พร้อมกับยกระดับธุรกิจท่องเที่ยวของประเทศไทย ให้สามารถเดินหน้าได้อย่างยั่งยืน

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ปีนี้กระทรวงการท่องเที่ยวฯ คาดว่าไทยจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวอยู่ที่ราว 1.3-1.8 ล้านล้านบาท คาดว่าจะมีต่างชาติเที่ยวไทย อยู่ที่ระหว่าง 5-15 ล้านคน สร้างรายได้ราว 8 แสนล้านบาท ส่วนการเดินทางเที่ยวในประเทศ คาดว่าจะอยู่ที่ 160 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้ราว 7 แสนล้าน

ทั้งนี้ โครงการ Workation Paradise Throughout Thailand จะสามารถส่งเสริมให้เกิดการเดินทางที่สามารถทำงานไปด้วยได้ เป็นโอกาสใหม่ของภาคธุรกิจโรงแรมที่พักในการพัฒนาและยกระดับการให้บริหารเพื่อให้สามารถรองรับรูปแบบการทำงานที่เป็นอิสระของนักท่องเที่ยวที่จะสามารถเลือกสถานที่ทำงานได้ตามความต้องการ เปิดประสบการณ์ สร้างแรงบันดาลใจ และเติมเต็มความสุขจากการเดินทางท่องเที่ยวไปพร้อมกัน

"รัฐบาลยังคงเดินหน้ากระตุ้นไทยเที่ยวไทยอย่างต่อเนื่อง แม้การแพร่ระบาดของโอมิครอนจะยังคงมีอยู่ แต่ก็มีการวางแผนเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านการระบาดของโรคโควิด?19 สู่โรคประจำถิ่น ที่สอดคล้องกับระดับสถานการณ์ โดยคำนึงถึงสุขภาพของคนไทย และการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานติดตามประเมินสถานการณ์ทั้งภายในประเทศ และศึกษากรณีของต่างประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อวางแผนเดินหน้าฟื้นประเทศภายใต้การรักษาสมดุลทางเศรษฐกิจและสาธารณสุขต่อไป ในส่วนของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ได้มีการเตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์ซึ่งทุกโครงการจะดำเนินการตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด" นายธนกรฯ กล่าว
#2186
จมูกโล่งสบาย หายใจเข้าปอดได้เต็มที่
Balance Ucore เสริมภูมิคุ้มกันดีๆ ให้ร่างกายเราได้ทุกวันเลยจ้า
ยิ่งใคร ภูมิแพ้อากาศ ถามหา ยิ่งประทับใจ 10 เต็ม 10 เลย!
เราจัดเต็มสมุนไพรธรรมชาติ เข้มข้น 13 ชนิด!
ทานแค่วันละ 1-2 เม็ดก่อนนอน ก็ลดโอกาสภูมิแพ้ถามหาง่าย
ตัวช่วยดูแลสุขภาพ ที่คนอยากกันไว้ดีกว่าแก้ รักหมดใจ!
ราคาพิเศษ! 1 กระปุก 990 บาท
ซื้อ 2 แถมฟรี! 1 คุ้มมาก! 
สอบถาม LINE: @balances
รายละเอียด Balance Ucore
#2187
ก.ล.ต.แถลงแผนยุทธศาสตร์ปี 65/ศูนย์วิจัยกสิกรฯ แถลงวิกฤตรัสเซีย-ยูเครนผลต่อศก.ไทย
 
ติดตามงานสัมมนาออนไลน์แถลงแผนยุทธศาสตร์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ปี 2565 โดยมี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เป็นประธานเปิดงาน พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ "นโยบายพัฒนาตลาดทุนไทย กลไกการพลิกฟื้นเศรษฐกิจหลังโควิด-19"

ต่อจากนั้น น.ส.รื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการฯ และคณะผู้บริหาร ก.ล.ต.จะร่วมกันแถลงแผนยุทธศาสตร์ฯ เสร็จแล้วจะมีการเสวนาในหัวข้อ "แผนยุทธศาสตร์ ก.ล.ต.กับทิศทางเศรษฐกิจและตลาดทุนปี 2565" โดย นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย, นายนณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโสสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย และ นายศุภกฤษฎ์ บุญสาตร์ นายกสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย แถลงข่าว "วิกฤตรัสเซีย-ยูเครน และผลต่อทิศทางเศรษฐกิจไทยปี 2565"
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า แถลงสถิติการจดทะเบียนธุรกิจประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2565
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จัดกิจกรรม Opportunity Day ผลการดำเนินงานงบปี 2564 ได้แก่ บมจ.สยามเทคนิคคอนกรีต (STECH) , บมจ.ทีพีไอ โพลีน (TPIPL) , บมจ.นวนคร (NNCL) , บมจ.โฮม พอตเทอรี่ (HPT) , บมจ.เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง (ASK) , บมจ.เด็มโก้ (DEMCO) และ บมจ.ที.กรุงไทยอุตสาหกรรม (TKT)
สายการบินไทย ไลอ้อนแอร์ เปิดดำเนินการเที่ยวบินปฐมฤกษ์ในเส้นทางกรุงเทพฯ-น่าน
สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 วันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 26,050 ราย และมีผู้เสียชีวิต 69 ราย ขณะที่สมาคมผู้ประกอบธุรกิจถนนข้าวสาร และเครือข่ายผู้ประกอบการถนนคนเดินในจังหวัดต่างๆ จะเดินทางไปยื่นหนังสือต่อศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เพื่อขอให้ผ่อนคลายมาตรการควบคุมฯ ให้เล่นน้ำในช่วงเทศกาลสงกรานต์ได้
ยังคงต้องตามบรรยากาศการเลือกตั้งท้องถิ่น ที่วันนี้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะออกประกาศกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นของของกรุงเทพมหานครและเมืองพัทยาอย่างเป็นทางการ
ด้านนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ได้โพสต์เฟซบุ๊กขอความร่วมมือผู้ที่สนับสนุนผม ขอให้งดการจัดกิจกรรมที่อาจสุ่มเสี่ยงต่อการฝ่าฝืนกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งทุกประเภท และขอให้การสนับสนุนในทางใดๆ ดำเนินการในกรอบของกฎหมายและระเบียบ กกต.อย่างเคร่งครัด

พรรคประชาธิปัตย์ จัดงาน "Go Together, Go Further" โดยมีการปาฐกถาพิเศษจาก นายศุภชัย พานิชภักดิ์ เรื่อง "เศรษฐกิจไทย เศรษฐกิจโลก" และการแสดงวิสัยทัศน์จากนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรคหัวข้อ"ยุทธศาสตร์ การนำเศรษฐกิจไทยผ่านพ้นวิกฤตโควิด"
ฟากการเลือกตั้งนายกเมืองพัทยา นายสนธยา คุณปลื้ม ได้ประกาศอำลาตำแหน่ง พร้อมส่งผู้สมัคร "นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ " ชิงตำแหน่งนายกเมืองพัทยา

ภารกิจของคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ ไม่มีการแจ้งวาระงานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ส่วนวาระงานของ รมต.คนอื่นที่น่าสนใจ ได้แก่
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการสิ่งก่อสร้างรุกล้ำลำน้ำสาธารณะ ครั้งที่ 1/2565 ผ่านระบบประชุมทางไกล
นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ต่างประเทศ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ ครั้งที่ 1/2565 ผ่านระบบประชุมทางไกลจากห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล
นายอนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงาน "สานสัมพันธ์เครือข่ายประชาสัมพันธ์และจัดแสดงดนตรีสร้างสุข" ณ สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ ศาลากลางจังหวัดชัยนาท
น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่รับฟังแนวคิดการเชื่อมโยงตลาดพืชผักอินทรีย์ของเกษตรรุ่นใหม่ ณ สหกรณ์การเกษตรยั่งยืนแม่ทา ต.แม่ทา อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่
#2188
ส่งสินค้าทางเรือไปเวียดนาม สอบถามค่าส่ง ราคาโปโมชั่นพวกเราบริการขนส่งผลิตภัณฑ์ทั่วทั้งโลก
มีประสบการณ์ในด้านธุรกิจขนส่งผลิตภัณฑ์รวมทั้งเป็นคนที่มีประสบการณ์อื่นๆ
ที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมการขนส่งทั้งยังในแล้วก็
ต่างแดนซึ่งเกี่ยวพันในอุตสาหกรรมการขนส่ง

ส่งสินค้าทางเรือไปเวียดนาม สอบถามค่าส่ง ราคาโปโมชั่นการมอบผลิตภัณฑ์ระหว่างประเทศมาก
กว่า 22 ปีด้วยความมุ่งมั่นที่
อยากได้ย้ำให้ลูกค้าเพื่อได้รับ
ความพอใจรวมทั้งบริการอย่างยิ่ง
ส่งสินค้าทางเรือไปเวียดนาม สอบถามค่าส่ง ราคาโปโมชั่นสุด โดยจากจุดเริ่มแรกที่เราเริ่มด้วยบุคลากรที่มี
ความจริงจัง
สำหรับเพื่อการให้บริการซึ่งได้รับ
การฝึกหัดมา{เป็นอย่างดี|อย่างดีเยี่ยม


https://bit.ly/3qAXvHC
#2189
ขายที่ดินร้อยเอ็ดเหมาะจัดสรรแบ่งขาย ทำโครงการบ้าน  เส้นตลาดฮิมคลอง ขายต่ำกว่าราคาประเมิน 
  ทำโครงการบ้าน   ขายต่ำกว่าราคาประเมิน ใกล้สี่แยกวัดบูรพา เส้นตลาดฮิมคลอง

ขายที่ดินในเมืองร้อยเอ็ด ขายต่ำกว่าราคาประเมิน เหมาะจัดสรรแบ่งขาย ทำโครงการบ้าน ติดถนนริมคลอง 
ขายที่ดินริมคลองในเมืองร้อยเอ็ด ขายที่ดินในเมืองร้อยเอ็ด ขายต่ำกว่าราคาประเมิน เหมาะจัดสรรแบ่งขาย ทำโครงการบ้าน ติดถนนริมคลอง 3 ไร่ 1 งาน 54 ตรว. หน้ากว้าง 25 เมตร ลึก 225 เมตร ราคาไร่ละ 10,000,000 บาท ขายต่ำกว่าราคาประเมิน ติดถนนริมคลองใกล้สี่แยกวัดบูรพา เส้นตลาดฮิมคลอง
อยู่ในเขต รร.อนุบาลร้อยเอ็ด รร.ร้อยเอ็ดวิทยาลัย


ติดถนนริมคลอง ใกล้สี่แยกวัดบูรพา ขายที่ดินเมืองร้อยเอ็ด| ขายต่ำกว่าราคาประเมิน

ที่ดินร้อยเอ็ดใกล้สี่แยกวัดบูรพา
สถานที่ใกล้เคียง
-วัดบูรพาภิราม
-โรงเรียนอนุบาลร้อยเอ็ด
-โรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัย
-สนามฟุต.บูรพาซอคเกอร์
-ร้อยเอ็ดพลาซ่า
-ตลาดโต้รุ่งร้อยเอ็ด
-ตลาดฮิมคลอง

ขายที่ดินในเมืองร้อยเอ็ด ขายต่ำกว่าราคาประเมิน เหมาะจัดสรรแบ่งขาย ทำโครงการบ้าน ติดถนนริมคลอง

ขายที่ดินริมคลองในเมืองร้อยเอ็ด
สนใจติดต่อ 094-926-6655 089-181-8884


ขายที่ดินในเมืองร้อยเอ็ด ขายต่ำกว่าราคาประเมิน เหมาะจัดสรรแบ่งขาย ทำโครงการบ้าน ติดถนนริมคลอง

คำค้น

ขายที่ดินในเมืองร้อยเอ็ด ทีดินร้อยเอ็ดขายต่ำกว่าราคาประเมิน ขายที่ดินร้อยเอ็ดเหมาะจัดสรรแบ่งขาย ที่ดินในเมืองร้อยเอ็ดเหมาะทำโครงการบ้าน ขายที่ดินเมืองร้อยเอ็ดติดถนนริมคลอง
#2190
CPF เชื่อปี 65 รายได้ยังโตได้ 10% แม้ต้นปีราคาเนื้อสัตว์ลดลง-ต้นทุนสูงกดดัน

นางกอบบุญ ศรีชัย เลขานุการบริษัทและหัวหน้าฝ่ายงานนักลงทุนสัมพันธ์และตลาดทุน บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 65 โตขึ้น 10% จากปีก่อนที่มีรายได้ราว 5.17 แสนล้านบาท แต่ยอมรับว่าการดำเนินธุรกิจในปีนี้ยังมีความท้าทายค่อนข้างมาก โดยเฉพาะราคาขายเนื้อสัตว์ที่ลดลงมาอย่างต่อเนื่องมาอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปีก่อน ซึ่งเห็นได้ชัดจากราคาหมู หลังจากประเทศจีนใช้มาตรการล็อกดาวน์ และภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้ดีมานด์การบริโภคหมูลดลง จึงส่งผลกระทบต่อราคาขาย

ขณะเดียวกัน ราคาไก่แม้ว่าจะอยู่ในระดับที่ดี และปรับเพิ่มขึ้นมามาก แต่ราคาในจีนยังคงทรงตัวและไม่มีแนวโน้มการปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งจีนถือเป็นตลาดใหญ่ ทำให้มีความท้าทายในส่วนของยอดขาย โดยที่มองว่าจะส่งผลต่อภาพรวมของรายได้ในไตรมาส 1/65 ที่อาจมีแนวโน้มชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ส่วนราคาต้นทุนอาหารสัตว์ในปัจจุบันถือว่าปรับเพิ่มขึ้นสูงค่อนข้างมาก หลังเกิดสงครามระหว่างรัสเซียและยุเครน ซึ่งเป็นประเทศที่ซัพพลายวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่สำคัญ ทำให้ปัจจัยด้านต้นทุนอาหารสัตว์ที่เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรขั้นต้นองบริษัทในช่วงครึ่งปีแรกอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งบริษัทยังคงมองหาแนวทางการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นให้ไม่ต่ำกว่า 17% พร้อมกับจะมีการปรับเพิ่มราคาส่งออกเนื้อสัตว์ในช่วงไตรมาส 2/65 เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนที่สูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม บริษัทมองว่าสถานการณ์ราคาขายเนื้อสัตว์และต้นทุนอาหารสัตว์จะเริ่มเข้าสู่จุดสมดุลในช่วงครึ่งปีหลัง หลังจากที่เศรษฐกิจในแต่ละประเทศมีการเติบโตขึ้น และกลับมาเปิดประเทศมากขึ้น รวมถึงสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนมีโอกาสจบลงได้ ทำให้ปัญหาด้านซัพพลายวัตถุดิบและความกังวลด้านภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวคลี่คลายลง

ด้านงบลทุนของบริษัทในปี 65 ตั้งไว้ที่ 2.5 หมื่นล้านบาท โดยจะใช้งบลงทุนราว 6-7 พันล้านบาทไปปรับปรุงเครื่องจักรในการผลิตให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น และขยายกำลังการผลิตบางโรงงาน ส่วนงบลงทุนที่เหลือจะนำมารองรับการลงทุนด้านอื่นๆ ของบริษัท
#2191
TH บวก 3.52% เทรดคึกคัก โบรกฯคาดธุรกิจ AMC หนุนกำไรปี 65 โตพุ่งกว่า 200%

ราคาหุ้น TH ล่าสุดบวก 3.52% มาอยู่ที่ 4.12 บาท เพิ่มขึ้น 0.14 บาท มูลค่าการซื้อขาย 96.42 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.20 น.โดยเปิดตลาดที่ 4.08 บาท ปรับขึ้นสูงสุดที่ 4.16 บาท และต่ำสุดที่ 4.06 บาท

บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ ยกหุ้น บมจ.ตงฮั้ว (TH) เป็นหุ้นเด่นวันนี้ โดยแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 5.10 บาท เนื่องจากมองว่าการที่บริษัทหันมารุกธุรกิจบริหารหนี้เสีย (AMC) ตั้งแต่ปลายปี 64 ชดเชยธุรกิจหนังสือพิมพ์ภาษาจีนที่ถูกDisrupt โดยเข้าประมูลหนี้ไม่มีหลักประกันมาแล้วกว่า 3 พันลบ. และเริ่มรับรู้รายได้ใน Q4/64 เป็นไตรมาสแรกหนุนกำไรเริ่มโตแรง

ขณะที่บริษัทตั้งเป้าประมูลหนี้ปีละ 6 พันลบ.ใน 3 ปีข้างหน้า คาดกำไรของ TH จะเติบโตอย่างร้อนแรง +250% Y-Y และ +69% Y-Y ในปี 65-66 หรือโตเฉลี่ย +44% CAGR

ทางเทคนิคให้แนวรับ 3.80 บาท แนวต้าน 4.30-4.40 บาท
#2192
รัสเซียเริ่มซ้อมรบบนหมู่เกาะที่พิพาทกับญี่ปุ่น เมินเจรจาหลังถูกคว่ำบาตร

สำนักข่าวอินเทอร์แฟกซ์ของรัสเซียรายงานว่า กองทัพรัสเซียเปิดเผยในวันศุกร์ (25 มี.ค.) ว่า ได้เริ่มทำการซ้อมรบของทหารจำนวนมากกว่า 3,000 นายบนหมู่เกาะต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงหมู่เกาะที่เป็นข้อพิพาทกับญี่ปุ่น

การซ้อมรบบนหมู่เกาะที่เป็นข้อพิพาทดังกล่าวนั้นเป็นการซ้อมรบครั้งแรกนอกชายฝั่งเกาะฮอกไกโดทางเหนือสุดของญี่ปุ่น นับตั้งแต่กระทรวงการต่างประเทศของรัสเซียประกาศเมื่อต้นสัปดาห์นี้ว่า รัสเซียจะระงับการเจรจาเรื่องดินแดนกับญี่ปุ่น

ทั้งนี้ รัสเซียได้ถอนตัวจากการเจรจา เนื่องจากถูกญี่ปุ่นคว่ำบาตรจากกรณีที่รัสเซียบุกโจมตียูเครน

ยานพาหนะทหารหลายร้อยคันเข้าร่วมในการซ้อมรบครั้งนี้ภายใต้สถานการณ์ที่จะทำการตอบโต้กองกำลังของศัตรูในทางบก

รัสเซียได้ถูกมองว่ากำลังสร้างกองกำลังบนหมู่เกาะซึ่งญี่ปุ่นเรียกว่าดินแดนทางเหนือ (Northern Territories) ขณะที่รัสเซียเรียกว่าหมู่เกาะคูริลใต้ (Southern Kurils)

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ข้อพิพาทเรื่องดินแดนทำให้ทั้งสองประเทศไม่สามารถบรรลุสนธิสัญญาสันติภาพหลังสงครามได้

ญี่ปุ่นอ้างว่าสหภาพโซเวียตเข้ายึดหมู่เกาะ 4 แห่งอย่างผิดกฎหมายได้แก่ คูนาชิริ, อีโทโรฟุ, ชิโกตัน และหมู่เกาะฮาโบไม เพียงไม่นานหลังจากญี่ปุ่นยอมแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สองในเดือนส.ค. 2488 ขณะที่รัสเซียโต้แย้งว่า การยึดหมู่เกาะดังกล่าวเป็นการกระทำที่ชอบธรรม
#2193
World Today: สรุปข่าวต่างประเทศวันนี้  25, 2022

ผลสำรวจซึ่งจัดทำโดยเอสแอนด์พี โกล. (S&P Global) ระบุว่า เศรษฐกิจยูโรโซนกำลังถูกกระทบ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นและปัญหาห่วงโซ่อุปทานรอบใหม่ หลังจากการที่รัสเซียบุกโจมตียูเครนทำให้ต้นทุนพลังงานพุ่งขึ้น และส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลก โดยเอสแอนด์พี โกล.ทำการสำรวจดังกล่าวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สงครามรัสเซีย-ยูเครนได้เริ่มส่งผลกระทบต่อยูโรโซน

-- นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐเปิดเผยว่า สหรัฐและกลุ่มนาโตจะตอบโต้ "อย่างสาสม" หากรัสเซียใช้อาวุธเคมีหรืออาวุธชีวภาพในการโจมตียูเครน

นอกจากนี้ ปธน.ไบเดนยังแสดงท่าทีสนับสนุนให้ไล่รัสเซียออกจากการเป็นสมาชิกกลุ่ม G20 ด้วย

-- องค์การยาแห่งยุโรป (EMA) ประกาศเมื่อวานนี้ (24 มี.ค) เกี่ยวกับคำแนะนำให้ใช้ยา "เอวูเชลด์" (Evusheld) ของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าเพื่อป้องกันโรคโควิด-19 ขณะที่ยุโรปกำลังเผชิญกับยอดผู้ติดเชื้อที่พุ่งสูงขึ้น และอัตราการฉีดวัคซีนในผู้ใหญ่ที่ไม่คืบหน้า

-- บรรดาผู้นำของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมทั้ง 7 (G7) ได้ให้คำมั่นเมื่อวานนี้ (24 มี.ค.) ว่า กลุ่ม G7 จะคอยจับตาดูความพยายามของประเทศใด ๆ ที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือรัสเซียให้หลบเลี่ยงการคว่ำบาตรได้ ซึ่งถือเป็นการส่งคำเตือนไปยังประเทศอื่น ๆ อาทิ จีน ที่อาจพยายามส่งความช่วยเหลือให้กับรัสเซีย

-- ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) เรียกร้องให้หน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลกเร่งกำหนดกรอบการใช้กฎระเบียบควบคุมสกุลเงินคริปโทเคอร์เรนซี เพื่อป้องกันไม่ให้สกุลเงินดังกล่าวส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพด้านการเงินเป็นวงกว้าง

-- รัสเซียกำลังพิจารณารับชำระเงินค่าน้ำมันและก๊าซเป็นบิตคอยน์ เนื่องจากเผชิญการคว่ำบาตรที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ จากบรรดาประเทศตะวันตกจากกรณีที่เข้ารุกรานยูเครน

-- คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เตรียมจัดการประชุมอย่างเป็นทางการในวันนี้ เพื่อหารือเกี่ยวกับกรณีที่เกาหลีเหนือทดสอบยิงขีปนาวุธข้ามทวีปเมื่อวานนี้ (24 มี.ค.)

-- การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2565 ลงมาอยู่ที่ 2.6% จากเดิมที่ 3.6% เนื่องจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างยูเครน-รัสเซีย และการเปลี่ยนแปลงนโยบายเศรษฐกิจมหภาคของประเทศต่าง ๆ ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

-- นายโอลาฟ โชลซ์ นายกรัฐมนตรีเยอรมนีปฏิเสธที่จะเปลี่ยนไปใช้สกุลเงินรูเบิลในการชำระค่าก๊าซธรรมชาติให้กับรัสเซียตามที่ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียประกาศไว้

-- ผู้ออกกฎหมายของยุโรปได้ตกลงที่จะออกกฎหมายใหม่ในชื่อกฎหมายตลาดดิจิทัล (Digital Market Act หรือ DMA) เพื่อควบคุมการมีอำนาจเหนือตลาดของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างยาวนานว่าบริษัทเหล่านี้ใช้อำนาจเหนือตลาดจนทำให้บริษัทรายเล็กกว่าแข่งขันด้วยไม่ได้

-- กระทรวงกลาโหมรัสเซียเปิดเผยในวันพฤหัสบดี (24 มี.ค.) ว่า โรสมอนต์ เซเนกา กองทุนเพื่อการลงทุนที่ปัจจุบันดูแลโดยนายฮันเตอร์ ไบเดน บุตรชายของประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐ ได้จัดสรรเงินทุนให้กับโครงการชีวภาพทางทหารของกระทรวงกลาโหมสหรัฐในยูเครน

-- สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวที่ใกล้ชิดว่า สำนักงานบริหารการบินแห่งชาติ (FAA) ของสหรัฐได้เตือนบริษัทโบอิ้ง โคเมื่อช่วงต้นสัปดาห์นี้ว่า เครื่องบินรุ่น 737 MAX อาจไม่ผ่านการรับรองความปลอดภัยก่อนเส้นตายที่สภาคองเกรสกำหนดไว้

-- บริษัทเทเลนอร์ ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ด้านสื่อสารโทรคมนาคมของนอร์เวย์ ประกาศขายธุรกิจในเมียนมาเป็นอันเสร็จสิ้นแล้ว โดยบริษัทที่ซื้อจะจ่ายเงินให้กับเทเลนอร์เป็นเวลา 5 ปี
#2194
ไลอ้อนเปิดวิสัยทัศน์ เดินหน้า 53 ปี สู่ยุคเมตาเวิร์ส ยกระดับนวัตกรรม ในบริบทโลกที่ไม่เหมือนเดิม
 
ไลอ้อน ประเทศไทย เดินหน้ายกระดับนวัตกรรมสู่ยุคเมตาเวิร์ส โดยเริ่มต้นจัดทำบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะ ผู้บริโภคสแกนคิวอาร์โค้ดที่ตัวบรรจุภัณฑ์ เข้าถึงข้อมูลตัวผลิตภัณฑ์ได้ง่าย ลุยทำตลาดสินค้านวัตกรรมอย่างต่อเนื่องตอบโจทย์ผู้บริโภคที่หลากหลาย เผยปีนี้เน้นทำตลาดช่องทางออนไลน์เพิ่มการเข้าถึงผู้บริโภคยุคดิจิตอล คาดปีนี้ยอดขายเติบโตไม่เกิน 5%

นายบุญฤทธิ์ มหามนตรี ประธานกรรมการ บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจของไลอ้อน (ประเทศไทย) จะเดินหน้าสู่แนวทางของโลกเสมือนจริง ผ่านโครงการ Lion Metaverse โดยเริ่มต้นจากการจัดทำบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะ (Smart packaging) ซึ่งผู้บริโภคสามารถใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนสแกนคิวอาร์โค้ดที่ตัวบรรจุภัณฑ์ การออกแบบบรรจุภัณฑ์นอกเหนือจากจะต้องคำนึงถึงการใช้งานและความสวยงามแล้ว ข้อมูลและรายละเอียดของสินค้าก็เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งเทคโนโลยี Smart Packaging จะทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงข้อมูลรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ ได้ง่าย สะดวก และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และยังทำให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบย้อนกลับผลิตภัณฑ์ได้อีกด้วย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูลพร้อมวางแผนการดำเนินงาน โดยคาดว่าภายใน 2-3 เดือน จะได้เห็นรายละเอียดที่ชัดเจนของโครงการนี้มากขึ้น

สำหรับ แนวทางพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ จะมีการทำตลาดสินค้านวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทุกช่วงวัยที่มีความต้องการที่หลากหลาย โดยใช้วัตถุดิบท้องถิ่นนำมาสร้างมูลค่าเพิ่ม ผนวกกับเทคโนโลยีทันสมัยมาใช้ในกระบวนการผลิต อาทิ เมล็ดมะไฟจีน และกากข้าว เป็นการสร้างรายได้เพิ่มให้กับชุมชนควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมุ่งสู่ความยั่งยืน (Sustainable) โดยไลอ้อน (ประเทศไทย) ได้กำหนดนโยบายในปี 2593 จะลดการปล่อย CO2 ให้เป็นศูนย์ และยกเลิกการใช้พลาสติกผลิตใหม่ (virgin plastic) ในบรรจุภัณฑ์

สำหรับการทำตลาดในประเทศที่ผ่านมาในภาพรวมยังไม่เติบโตมากนัก เนื่องจากยังคงเผชิญปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด - 19 ความผันผวนของราคาน้ำมัน ราคาวัตถุดิบที่ยังคงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาในเรื่องของการปรับราคาผลิตภัณฑ์ หากมีการปรับขึ้นจะเป็นไปในราคาที่เหมาะสม พอเพียง และไม่กระทบกับผู้บริโภคมากนัก ขณะที่การทำตลาดต่างประเทศยังคงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศในแถบอาเซียน ยุโรป และรัสเซีย โดยในปี 2564 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มียอดขายรวมอยู่ที่เกือบๆ 20,000 ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมาไม่ถึง 1% คาดว่าเศรษฐกิจในปีนี้น่าจะฟื้นตัวได้ ส่งผลให้ธุรกิจน่าจะมีอัตราการเติบโตไม่เกิน 5%

"ไลอ้อน ประเทศไทย ผ่านวิกฤตมามากมายนับตั้งแต่เริ่มต้นการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยปี 2512 ไม่ว่าจะเป็น วิกฤตน้ำมัน วิกฤตการต่อต้านสินค้าญี่ปุ่น วิกฤตการเมือง วิกฤตต้มยำกุ้ง จนมาถึงวิกฤตการระบาดโรคโควิด-19 ในปัจจุบัน ในทุกวิกฤตล้วนสร้างโอกาสในการดำเนินธุรกิจ บริษัทฯ สามารถปรับตัวและผ่านมาได้ทุกครั้ง ตลอดการดำเนินธุรกิจ 53 ปี ด้วยนโยบายองค์กรคนดี ยึดมั่นในเส้นทางธุรกิจคู่คุณธรรม ภายใต้ความมุ่งมั่นในการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคในภูมิภาคเอเชียอย่างมีคุณธรรม มุ่งยอดขายและทำกำไรอย่างพอเพียง เพื่อสร้างประโยชน์สุขให้กับทุกฝ่าย" นายบุญฤทธิ์ กล่าว

บริษัทฯให้ความสำคัญกับระบบการกำกับดูแลกิจการที่ดีและการบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพควบคู่กับความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ดำเนินโครงการหลายโครงการมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น โครงการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี โครงการเปลี่ยนการจ่ายสู่การจ้างเพื่อผู้พิการ โครงการรางวัลไลอ้อนสุขภาพช่องปาก รวมทั้งโครงการส่งเสริมป้องกันสุขอนามัยช่องปาก เพื่อประโยชน์ต่อผู้บริโภคทุกช่วงวัย สร้างเสริมให้คนไทยมีสุขภาพดี
#2195
เกาหลีเหนือยันยิงขีปนาวุธข้ามทวีปฮวาซอง-17 วานนี้

สำนักข่าวกลางเกาหลี (KCNA) รายงานว่า เกาหลีเหนือยืนยันยิงขีปนาวุธข้ามทวีปชนิดใหม่ที่มีชื่อว่า "ฮวาซอง-17" ภายใต้คำแนะนำของนายคิม จองอึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ

การยิงขีปนาวุธข้ามทวีปเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สหรัฐและพันธมิตรด้านความมั่นคงกำลังทุ่มความสนใจอยู่กับการแก้ปัญหาเหตุบุกโจมตียูเครนของรัสเซีย ขณะเศรษฐกิจของเกาหลีเหนือกำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

KCNA ระบุว่า ขีปนาวุธดังกล่าวซึ่งยิงจากสนามบินนานาชาติเปียงยาง สามารถขึ้นไปที่ระดับความสูงได้สูงสุดถึง 6,248.5 กิโลเมตรและบินได้ไกลถึง 1,090 กิโลเมตร โดยใช้เวลาบิน 67 นาที ก่อนโจมตีเป้าหมายในทะเลญี่ปุ่น

ทั้งนี้ KCNA รายงานโดยอ้างคำพูดของนายคิมว่า "เกาหลีเหนือพร้อมอย่างเต็มที่ในการเผชิญหน้ากับจักรวรรดินิยมสหรัฐมาอย่างยาวนาน" ขณะที่การเจรจาทวิภาคีระหว่างสหรัฐและเกาหลีเหนือเกี่ยวกับการปลดอาวุธนิวเคลียร์ และการผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรหยุดชะงักมานานกว่า 2 ปี
#2196
จำหน่าย ประตูพีวีซี ประตูห้องน้ำ ประตูห้องนอน ประตูห้องนั่งเล่น ผลิตจากโรงงานโดยตรง

ประตูพีวีซี หรือ ประตู PVC ได้ผ่านการรับรองการผลิตตามมาตรฐาน มอก. 1013-2533 จึงทำให้ผู้ใช้มั่นใจได้ในคุณภาพ และมาตรฐาน ผลิตจากพีวีซีชนิดพิเศษที่ผ่านการทดสอบคุณภาพแล้วว่าไม่ดูดซึมความชื้น จึงป้องกันปัญหาการผุกร่อน, ไม่บวมน้ำ, การยืดและหดตัวของประตู รวมถึงช่วยป้องกันปัญหาเชื้อราต่างๆ และปลอดภัยจากปลวก หรือแมลงต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำความสะอาดและติดตั้งง่าย แข็งแรงทนทาน มีหลายแบบให้เลือก *สามารถสั่งทำขนาดพิเศษตามความต้องการของลูกค้าได้ โรงงานเราผลิตประตูหลายแบบหลายขนาดและมีหลากหลายสีให้เลือก เช่น ประตูห้องนอน ประตูห้องน้ำ ประตูห้องนั่งเล่น และเรายังมีสีหลากหลายให้เลือก เช่น ขาวเสี้ยนไม้, ลาเต้, ช็อคโกแลต, น้ำตาลเข้ม, สแปลลี่ วอลนัท สามารถติดต่อสอบถามได้ได้ข้างล่าง

 สินค้าราคาโรงงาน ขาย ปลีก-ส่ง
 รับประกันคุณภาพสินค้าทุกชิ้น
 มีระบบผ่อนจ่าย ตามความสะดวกของลูกค้า
 สามารถผลิตในแบรนด์ของลูกค้าเองได้
 มีบริการจัดส่ง – ติดตั้ง ทั่วประเทศ
 สอบถาม-ปรึกษา(ฟรี)

สนใจดูตัวอย่างสินค้า/เป็นตัวแทนขาย
Inbox: m.me/CCTGROUPCompany
 Email : info@cctgroup.co.th
 Line: Lakkana99
โทร : 0816428556 (คุณลักขณา)
 Website : https://www.cctgroup.co.th
Facebook : บัวเชิงผนัง พื้นไม้ลามิเนต กระเบื้องยาง By CCT Group  
#2197
ฉีดหัวหน่าวอาเซียนบิวตี้คลีนิคศัลยกรรมต้นๆของประเทศดูแลทุกปัญหาความงาม  
ผิวพรรณ ศัลยกรรมตกแต่ง รวมทั้งเวชศาสตร์ชะลอวัย พร้อมการดูแลความสวยงาม
ฉีดหัวหน่าวแบบองค์รวม ตั้งแต่ศีรษะถึงปลายเท้า โดยแพทย์ผู้ชำนาญ  
และก็ คณะทำงานมืออาชีพ 
ฉีดหัวหน่าวอีกทั้งไทยรวมทั้งต่างแดน 


https://bit.ly/35aMIMQ
#2198
ภาวะตลาดหุ้นออสเตรเลีย: S&P/ASX 200 ปิดบวก 9.2 จุด รับแรงซื้อหุ้นพลังงาน

ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดบวกในวันนี้ โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มเหมืองแร่ เนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์พุ่งขึ้นหลังจากข้อพิพาทระหว่างรัสเซียและยูเครนยังไม่มีแนวโน้มคลี่คลายลง และยิ่งเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับภาวะอุปทานทั่วโลก

ดัชนี S&P/ASX 200 ปิดที่ 7,387.10 จุด เพิ่มขึ้น 9.20 จุด หรือ +0.12% และดัชนี All Ordinaries ปิดที่ 7,669.00 จุด เพิ่มขึ้น 4.00 จุด หรือ +0.05%

ดัชนีหุ้นกลุ่มโลหะและเหมืองแร่พุ่งขึ้น 1.1% หลังจากราคาแร่เหล็กและโลหะพื้นฐานปรับตัวสูงขึ้น โดยหุ้นริโอทินโท และหุ้นบีเอชพี กรุ๊ป พุ่งขึ้น 2.1% และ 1.8% ตามลำดับ

ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นเกือบ 2% โดยหุ้นวู้ดไซด์ ปิโตรเลียม และหุ้นซานโตส ทะยานขึ้น 2.8% และ 1.5% ตามลำดับ

อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีลดลง 0.8% โดยปรับตัวลงตามทิศทางหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในตลาดวอลล์สตรีทเมื่อคืนนี้

ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มการเงินขยับลง 0.4% โดยหุ้นออสเตรเลีย แอนด์ นิวซีแลนด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป และหุ้นแมคควารี กรุ๊ป ปรับตัวลง 0.6% และ 1.7% ตามลำดับ
#2199
เคทีซีปรับโฉมออฟฟิศแบบ Co Working Space เอาใจพนักงาน เพิ่มไอเดียการทำงาน

นางสาวชนิดาภา สุริยา ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร-ปฎิบัติการ "เคทีซี" หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "เคทีซีได้มีการปรับปรุงพื้นที่สำนักงานชั้น 11 สำนักงานใหญ่ สุขุมวิท 33 โดยเปิดรับแนวคิดและแรงบันดาลใจจากความเห็นของตัวแทนพนักงานทุกสายงาน เพื่อให้พนักงานมีความสุขกับการทำงานมากที่สุดทุกที่ทุกเวลา รองรับวิถีการทำงานที่เปลี่ยนแปลง"

"เคทีซีมีความตั้งใจปรับปรุงออฟฟิศในครั้งนี้ เพื่อต้องการให้พนักงานมีส่วนร่วมกับองค์กรและสามารถทำงานได้ทุกพื้นที่ โดยไม่จำเป็นต้องนั่งประจำอยู่แต่ที่โต๊ะทำงาน และยังสามารถแชร์ไอเดีย หรือประชุมออนไลน์ได้ตลอดเวลา เพื่อตอบรับเทรนด์การทำงานรูปแบบใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ของคนทำงานหลายเจนเนอเรชั่นที่เปลี่ยนไปตามเทคโนโลยีและสภาพสังคมปัจจุบัน เน้นการสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย โปร่งโล่งตามสไตล์มินิมัล พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกและนวัตกรรมที่เอื้อต่อการทำงาน รวมทั้งมีมุมนั่งเล่น ห้องคุยโทรศัพท์ส่วนตัว ตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ มุมนั่งคุยงานสบายๆ เพราะเราเชื่อว่า เมื่อบุคลากรในองค์กรมีความสุข ประสิทธิภาพการทำงานก็จะดีขึ้น และพร้อมส่งต่อผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณค่าให้กับสมาชิก และพันธมิตรธุรกิจได้อย่างเต็มที่"
#2200
ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร "บ. ซีเค พาวเวอร์" ที่ "A", และหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันที่ "A-", แนวโน้ม "Stable"

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?A? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทที่ระดับ ?A-? หุ้นกู้ของบริษัทมีอันดับเครดิตต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กรอยู่ 1 ขั้นเนื่องจากหุ้นกู้นี้มีลักษณะการด้อยสิทธิทางโครงสร้างเมื่อเทียบกับเงินกู้ของบริษัทย่อยของบริษัทที่มีอยู่ในปัจจุบัน

อันดับเครดิตสะท้อนถึงกระแสเงินสดรับที่เชื่อถือได้จากการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement -- PPA) กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) (ได้รับอันดับเครดิต ?AAA/Stable? จากทริสเรทติ้ง) และประวัติการดำเนินงานที่น่าพอใจของบริษัท อันดับเครดิตยังรวมถึงความคาดหวังว่าระดับหนี้สินจะค่อย ๆ ลดลง ในทางกลับกัน อันดับเครดิตดังกล่าวก็มีข้อจำกัดจากความไม่แน่นอนของปริมาณน้ำและความเสี่ยงของประเทศ (Country Risk) ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว)

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

รายได้ที่เชื่อถือได้

เงินลงทุนหลักในธุรกิจไฟฟ้าของบริษัทประกอบด้วยโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่ 2 แห่งใน สปป.ลาว และโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิง 2 แห่ง ปัจจุบัน บริษัทมีกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นในโรงไฟฟ้าทั้งสิ้น 1,003 เมกะวัตต์ โดยโรงไฟฟ้าพลังน้ำมีกำลังการผลิตคิดเป็น 83% ของกำลังการผลิตทั้งหมดหรือ 829 เมกะวัตต์ โดยบริษัทถือหุ้นใหญ่ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำน้ำงึม 2 และโครงการไซยะบุรี กำลังการผลิตที่เหลือมาจากโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ 2 แห่งขนาด 155 เมกะวัตต์ (15%) และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 19 เมกะวัตต์ (2%)

กลุ่มธุรกิจไฟฟ้าของบริษัทมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับผู้ซื้อไฟฟ้าที่น่าเชื่อถือ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการชำระเงินและความเสี่ยงด้านตลาด ทั้งนี้ กฟผ. เป็นผู้ซื้อไฟฟ้ารายใหญ่โดยรับซื้อประมาณ 96% ของกำลังการผลิตติดตั้งทั้งหมด ส่วนกำลังการผลิตที่เหลือรับซื้อโดย Electricite Du Laos (EDL) กลุ่มลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรม และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ของประเทศไทย

บริษัทมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง โครงการน้ำงึม 2 ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าหลักของบริษัทมีความพร้อมในการดำเนินงานอยู่ในระดับสูงตั้งแต่เริ่มเปิดดำเนินการ ในขณะเดียวกัน โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมได้ดำเนินการตามเงื่อนไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของ กฟผ. อย่างสม่ำเสมอ

โรงไฟฟ้าพลังน้ำสร้างกำไรเป็นส่วนใหญ่

กำไรของบริษัทขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังน้ำเป็นอย่างมาก ในปี 2564 บริษัท มีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ 4.5 พันล้านบาท โดยประมาณ 2.9 พันล้านบาท (หรือประมาณ 64%) มาจากโครงการน้ำงึม 2 และ 296 ล้านบาท (หรือประมาณ 7%) ) มาจากโครงการไซยะบุรี โรงไฟฟ้าพลังน้ำมีต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับโรงไฟฟ้าประเภทอื่น เนื่องจากไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง ส่งผลให้มีกำไรค่อนข้างสูงกว่าโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิล

สัญญาซื้อขายไฟฟ้าพลังน้ำมีโครงสร้างที่ดี

ความเสี่ยงที่สำคัญของการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำคือความไม่แน่นอนของปริมาณน้ำ กำลังไฟฟ้าส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างมากในแต่ละปี ปริมาณน้ำที่ผันผวนสูงจะส่งผลต่อความแน่นอนของปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตได้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเพียงพอของกระแสเงินสดที่ใช้รองรับต้นทุนคงที่ได้

เพื่อลดความเสี่ยงของปริมาณน้ำที่มีความผันผวน สัญญาซื้อขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังน้ำของบริษัทมีโครงสร้างสัญญาที่ช่วยทำให้กระแสเงินสดมีเสถียรภาพแม้ว่าปริมาณน้ำจะมีความผันผวน โดยสัญญาจะมีกลไกที่เอื้อให้บริษัทสามารถจำหน่ายไฟฟ้าได้เกินกว่าปริมาณเป้าหมายในปีที่มีน้ำมาก ในขณะที่ปีแล้งบริษัทก็จะได้รับค่าตอบแทนชดเชย และในกรณีที่บริษัทจำหน่ายไฟฟ้าได้ต่ำกว่าปริมาณไฟฟ้าเป้าหมายต่อปี ปริมาณไฟฟ้าในส่วนที่ขาดนี้ก็สามารถนำไปทบกับปริมาณไฟฟ้าเป้าหมายของปีถัด ๆ ไปได้

ความไม่แน่นอนของปริมาณน้ำยังคงเป็นความเสี่ยงที่สำคัญ

แม้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าจะมีกลไกช่วยลดความเสี่ยง แต่ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทยังคงมีความเสี่ยงสูงด้านอุทกวิทยา เนื่องจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำถือเป็นสัดส่วนหลักในธุรกิจไฟฟ้าของบริษัท ภัยแล้งที่ยืดเยื้ออาจส่งผลให้รายได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงเวลาดังกล่าว เห็นได้จากรายได้ของโครงการน้ำงึม 2 ที่ได้รับผลกระทบจากปริมาณน้ำที่อยู่ในระดับต่ำในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

โรงไฟฟ้าพลังน้ำยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญในการเติบโต

ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการพัฒนา ?โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำหลวงพระบาง? (โครงการหลวงพระบาง) ในจังหวัดหลวงพระบางของ สปป. ลาว โครงการนี้เป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบน้ำไหลผ่านตลอดปี (Run-of-river) ขนาดใหญ่ในแม่น้ำแม่โขงซึ่งมีกำลังการผลิตติดตั้งประมาณ 1,460 เมกะวัตต์ บริษัทถือหุ้น 42% ในบริษัทที่ดำเนินโครงการคือ บริษัท หลวงพระบาง พาวเวอร์ จำกัด บริษัทคาดว่าจะสามารถเริ่มการก่อสร้างโครงการได้ในปี 2565 และเปิดดำเนินงานโรงไฟฟ้าได้ในปี 2573 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทต้องใช้เงินลงทุนราว 1.6 หมื่นล้านบาทในช่วงที่พัฒนาโครงการ ปัจจุบัน บริษัทได้ใช้เงินลงทุนไปในโครงการแล้ว 2.7 พันล้านบาท

มีความเสี่ยงของประเทศใน สปป. ลาว

การที่โรงไฟฟ้าหลัก ๆ ของบริษัทตั้งอยู่ใน สปป. ลาว จึงทำให้บริษัทต้องเผชิญกับความเสี่ยงของประเทศใน สปป. ลาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสี่ยงในกรณีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการผลิตไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงดังกล่าวก็ได้รับการบรรเทาลงได้ด้วยสัญญาสัมปทานที่มีกับรัฐบาล สปป. ลาว และสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่มีกับ กฟผ. ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าพลังน้ำ 2 แห่งใน สปป. ลาว มีข้อตกลงในการชำระค่าขายไฟฟ้า โดย กฟผ. ชำระค่าซื้อไฟฟ้าโดยตรงเข้าบัญชีรายได้ของโรงไฟฟ้าในประเทศไทย นอกจากนี้ (EDL-Generation Public Company -- EDL-Gen) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของ สปป. ลาว ก็ยังเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนของทั้งโครงการน้ำงึม 2 และโครงการไซยะบุรีอีกด้วย ทริสเรทติ้งคาดว่าโคงการหลวงพระบางจะดำเนินการในรูปแบบเดียวกัน และคาดว่าว่ารัฐบาล สปป. ลาว จะเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการหลวงพระบางด้วยเช่นกัน

สถานะการเงินที่คาดว่าจะดีขึ้น

การคงอันดับเครดิตตอกย้ำความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าสถานะทางการเงินของบริษัทจะดีขึ้นโดยมีภาระหนี้สินที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ประมาณการกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งอิงตามระดับน้ำเมื่อต้นปี 2565 และสมมติฐานที่ระมัดระวังเกี่ยวกับปริมาณน้ำที่ไหลเข้า โดยคาดการณ์ว่าโครงการน้ำงึม 2 จะผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 1,600-1,650 ล้านหน่วย ในปี 2565 และฟื้นตัวขึ้นไปใกล้ระดับเฉลี่ยในช่วงปี 2566-2567 นอกจากนี้ ยังคาดว่าโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมจะยังคงสร้างกระแสเงินสดที่แน่นอนได้ประมาณปีละ 1.1-1.2 พันล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทจะได้รับเงินปันผลจากโครงการไซยะบุรี 200 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2567 เป็นผลให้ EBITDA ของบริษัทจะอยู่ในช่วง 4.0-4.7 พันล้านบาทต่อปีในปี 2565-2567 และเงินทุนจากการดำเนินงาน (FFO) คาดว่าจะอยู่ที่ 2.8-3.5 พันล้านบาทต่อปีในช่วงเวลาเดียวกัน

ภาระหนี้คาดว่าจะลดลง

ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นจนถึงระดับที่ต่ำกว่า 4 เท่าในปี 2567 โดยเชื่อว่าบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายในการลงทุนทั้งหมด 1.2 พันล้านบาทระหว่างปี 2565-2567 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงมุ่งเน้นการขยายธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้านและใช้จุดแข็งเพื่อพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่ เนื่องจากโครงการไฟฟ้าพลังน้ำโดยทั่วไปจะใช้เวลาหลายปีในการพัฒนา ทริสเรทติ้งจึงไม่คาดว่าสินทรัพย์ของบริษัทจะเติบโตอย่างมากในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ตามประมาณการกรณีพื้นฐานทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 40% ในช่วงปี 2565-2567

โครงสร้างหนี้สิน

ณ เดือนธันวาคม 2564 งบการเงินรวมของบริษัทมีหนี้สินทั้งหมดจำนวน 3.11 หมื่นล้านบาท โดยมีจำนวน 1.86 หมื่นล้านบาทที่ถูกพิจารณาว่าเป็นหนี้ที่มีลำดับได้รับชำระคืนก่อน (Priority Debt) ซึ่งประกอบไปด้วยหนี้ของบริษัทย่อย อัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินทั้งหมดคือ 60% ทำให้เจ้าหนี้หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทนั้นด้อยสิทธิกว่าเจ้าหนี้ที่มีสิทธิได้รับชำระคืนก่อนอย่างมีนัยสำคัญในกรณีที่ต้องเรียกร้องสิทธิในทรัพย์สินของบริษัท หุ้นกู้ของบริษัทจึงมีอันดับเครดิตต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทอยู่ 1 ขั้น

สถานะสภาพคล่องที่เพียงพอ

ในงบการเงินรวมนั้น บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดซึ่งรวมถึงเงินสดที่มีภาระผูกผันสำหรับเงินกู้โครงการอยู่ที่ประมาณ 7.5 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2564 นอกจากนี้ บริษัทยังมีวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกใช้ (ทั้งแบบที่สามารถและไม่สามารถยกเลิกวงเงินได้) อีกประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานประมาณ 2.8 พันล้านบาทในปี 2565 ดังนั้น เงินสดในมือ รวมทั้งวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกใช้ และเงินทุนจากการดำเนินงานจึงน่าจะเพียงพอใช้ชำระหนี้เงินกู้ระยะยาวและหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในช่วงปี 2565-2567 จำนวนรวมประมาณ 8.6 พันล้านบาทได้ นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2565-2567 จำนวน 4 พันล้านบาทโดยการออกหุ้นกู้ชุดใหม่เพื่อรักษาสภาพคล่องของบริษัทอีกด้วย

จากประมาณการของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทย่อยต่าง ๆ ของบริษัทน่าจะสามารถสร้างกระแสเงินสดได้เพียงพอสำหรับการชำระคืนหนี้ทั้งหุ้นกู้และเงินกู้โครงการ นอกจากนี้ บริษัทย่อยเหล่านี้ยังต้องมีเงินฝากในบัญชีเงินสำรองสำหรับใช้ชำระคืนหนี้เงินกู้ด้วย โดยบัญชีดังกล่าวจะช่วยบรรเทาความเสี่ยงให้แก่ผู้ให้กู้ในกรณีที่ผลการดำเนินงานของบริษัทย่อยดังกล่าวไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

? ปริมาณไฟฟ้าที่โครงการน้ำงึม 2 ขายให้ กฟผ. เท่ากับ 1,600-1,650 ล้านหน่วยในปี 2565 และ 2,000 ล้านหน่วยในปี 2566-2567

? โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมขายไฟฟ้าจำนวน 1,526-1,545 ล้านหน่วย

? เงินลงทุนทั้งหมดจะอยู่ที่ประมาณ 1.2 พันล้านบาทในระหว่างปี 2565-2567

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต 'Stable' หรือ 'คงที่' สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าโรงไฟฟ้าของบริษัทจะสามารถดำเนินงานได้ตามเป้าหมาย นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะยังคงได้รับกระแสเงินสดที่แน่นอนจากการลงทุน และคาดว่าโครงสร้างทางการเงินจะค่อย ๆ ดีขึ้นโดยกระแสเงินสดเมื่อเทียบกับหนี้สินทางการเงินของบริษัทจะอยู่ในระดับเดียวกับประมาณการของทริสเรทติ้ง

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

โอกาสที่บริษัทจะได้รับการปรับอันดับเครดิตเพิ่มขึ้นในระยะ 12-18 เดือนข้างหน้านั้นมีค่อนข้างจำกัด ในขณะที่ปัจจัยที่อาจมีผลต่อการลดอันดับเครดิตอาจเกิดจากผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าของบริษัทที่อ่อนแอกว่าประมาณการอย่างมีนัยสำคัญซึ่งอาจจะเกิดจากปริมาณน้ำที่อยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง หรือเกิดจากการลงทุนขนาดใหญ่ที่ใช้เงินกู้เป็นหลักซึ่งส่งผลให้สถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 13 มกราคม 2564

- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562

บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) (CKP)

อันดับเครดิตองค์กร: A

อันดับเครดิตตราสารหนี้:

CKP22NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 A-

CKP23NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A-

CKP245A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A-

CKP265A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 A-

CKP27NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 A-

CKP285A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 A-

CKP286A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 A-

CKP31OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2574 A-

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว