• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - dsmol19

#2201
Q&A ก.ล.ต.-ธปท.ตอบข้อสงสัยออกเกณฑ์ขัดขวางใช้คริปโทซื้อสินค้า-บริการ

นายสุรศักดิ์ ฤทธิ์ทองพิทักษ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายกำกับตลาด สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)เปิดเผยถึงที่มาของการออกเกณฑ์กำกับผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งมีประเด็นหลัก คือ ไม่สนับสนุนการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นสื่อกลางชำระค่าสินค้าหรือบริการ (Means of Payment) หรือไม่สนับสนุนให้เอามาใช้แทนเงินบาทนั้น มีสาเหตุมาจากทางกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และ ก.ล.ต. ได้ติดตามการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนมาระยะหนึ่งแลก และเริ่มเห็นสัญญาณที่อาจเร่งตัวขึ้น ขณะที่ภาครัฐมีความกังวลอย่างยิ่งว่าหากมีสิ่งที่เข้ามาทดแทนเงินบาท อาจจะทำให้เกิดปัญหาและส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินและระบบเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อประชาชนและภาคธุรกิจ

สำหรับหลักเกณฑ์ฯ ดังกล่าว จะประกอบไปด้วย 6 ข้อ ได้แก่

1. ไม่โฆษณา ชักชวน หรือแสดงตนว่าพร้อมบริการ ชำระค่าสินค้าหรือบริการ

2. ไม่จัดทำระบบ หรือเครื่องมืออำนวยความสะดวกในการชำระค่าสินค้าและบริการ

3. ไม่เปิด Wallet เพื่อนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เป็นสื่อกลางชำระค่าสินค้าและบริการ

4. ไม่ให้บริการโอนเงินบาท จากบัญชีของลูกค้าไปยังบัญชีของบุคคลอื่น

5. ไม่ให้บริการโอนสินทรัพย์ดิจิทัลจากบัญชีของลูกค้าไปยังบัญชีอื่น เพื่อการชำระสินค้าหรือบริการด้วยสินทรัพย์ดิจิทัล

6. ไม่ให้บริการอื่นใดในลักษณะที่เป็นการสนับสนุนการชำระค้าสินค้าและบริการ ด้วยสินทรัพย์ดิจิทัล

ทั้งนี้ จากเกณฑ์กำกับฯ ข้างต้น ผู้อำนวยการ ฝ่ายกำกับตลาด (ก.ล.ต.) ร่วมกับนายณพงศ์ธวัช โพธิกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายระบบการชำระเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ตอบข้อสงสัยในประเด็นต่างๆ ดังนี้

Q เหตุผลที่ภาครัฐได้มีการออกเกณฑ์ห้ามผู้ประกอบการสินทรัพย์ดิจิทัลใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ

A มองว่าการนำเอาสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เป็นสื่อของการชำระค่าสินค้าและบริการ จะมีความเสี่ยงอยู่ 2 เรื่องหลัก ได้แก่ ความเสี่ยงต่อประชาชน และห้างร้านต่างๆ หากมีการรับชำระ เนื่องจากสินทรัพย์ดิจิทัลค่อนข้างผันผวน ที่ผ่านมาจะใช้ในการลงทุน การเก็งกำไรเป็นหลัก ซึ่งอยู่ในกลุ่มของคนที่เข้าใจหรือยอมรับความผันผวนของราคาได้

แต่หากมาใช้ชำระสินค้าและบริการจริง อาจสร้างความเสี่ยงต่อผู้ใช้และร้านค้า จึงไม่เหมาะต่อการมาใช้ในเรื่องดังกล่าว อีกทั้งยังมีความเสี่ยงอื่นๆ อีก เช่น ผู้ที่นำเอาสินทรัพย์ดิจิทัลไปจ่ายให้กับร้านค้า ไม่ได้ทำ Know Your Customer (KYC) กับผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ร้านค้าก็อาจถูกใช้เป็นช่องทางหนึ่งในการฟอกเงิน เป็นต้น

อีกประการหนึ่ง เกณฑ์ฯ ปัจจุบันของประเทศไทยก็ไม่อนุญาตให้นำเอาเงินตราต่างประเทศมาใช้ในการชำระสินค้าและบริการในประเทศ เพราะอาจก่อให้เกิดผลที่เรียกว่า Dollarization ซึ่งหากคนส่วนใหญ่ในประเทศมีการถือครองเงินตราต่างประเทศมากขึ้น ก็จะส่งผลให้มีการถือครองเงินบาทน้อยลง และผลที่ตามมา คือการเข้าไปดูแลนโยบายต่างๆ ทั้งดอกเบี้ยเงินฝาก เงินกู้ ก็จะทำได้ยากขึ้น

Q หลักเกณฑ์ฯ ดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อผู้ลงทุนหรือไม่

A เกณฑ์ฯ นี้จะไม่มีผลกระทบต่อผู้ลงทุนตามปกติ โดยลูกค้าที่ต้องการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อการลงทุนยังคงซื้อขาย แลกเปลี่ยน เพื่อการลงทุนได้ตามเดิม แต่จะต้องไม่เข้าข่าย Means of Payment

Q มีการตรวจสอบแล้วพบว่าลูกค้าที่มีการเปิดบัญชีไว้ก่อนแล้ว เพื่อการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไปใช้ในการชำระค่าสินค้าและบริการ จะต้องดำเนินการอย่างไร

A - ให้ผู้ประกอบธุรกิจฯ แจ้งเตือนเกี่ยวกับการใช้บัญชีผิดวัตถุประสงค์ และไม่ตรงกับเงื่อนไขการให้บริการ

หากลูกค้ายังดำเนินการอยู่ ต้องดำเนินการกับลุกค้าที่ไม่ปฎิบัติตามเงื่อนไขการให้บริการ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวรวมถึงระงับการให้บริการชั่วคราว ยกเลิกให้บริการ หรือดำเนินการอื่นใดในทำนองเดียวกัน
Q ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่ให้บริการในลักษณะ Means of Payment อยู่ก่อนแล้ว จะต้องดำเนินการอย่างไร

A ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลจะต้องปฎิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด หรือไปแก้ไขสัญญา ยกเลิก ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ประกาศมีผลบังคับใช้ (1 เม.ย.65) โดยปัจจุบันมีผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่ให้บริการฯ อยู่ทั้งสิ้น 4 ราย

Q ประชาชน กิจการร้านค้า สามารถโอนสินทรัพย์ดิจิทัลระหว่างกันเองได้หรือไม่

A โอนสินทรัพย์ดิจิทัลส่วนบุคคล หรือลักษณะ Wallet to wallet สามารถทำได้ เนื่องจากอยู่นอกขอบเขตอำนาจของสำนักงานก.ล.ต. แต่ด้วยราคาสินทรัพย์ดิจิทัลที่ค่อนข้างมีความผันผวน และอยากให้ประชาชนเข้าใจว่าอาจจะมีความเสี่ยงเรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์ด้วย

Q ร้านค้าที่เปิดรับชำระสินทรัพย์ดิจิทัล ที่ไม่ได้ผ่านตัวกลางหรือผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจะมีแนวทางดูแลอย่างไร

A ยังอยู่ระหว่างติดตามสถานการณ์ว่าจะมีการรับชำระสินค้าและบริการด้วยสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างแพร่หลายหรือไม่ แต่เชื่อว่าคงไม่ได้มีมากนัก เพราะมีเรื่องของต้นทุนในการโอนเหรียญเข้ามาเกี่ยวข้อง และหากผู้ประกอบธุรกิจฯ ไม่ได้ช่วยสนับสนุนแล้ว โอกาสที่จะเป็นวงกว้างคงจะน้อยลง

Q จะเป็นการปิดโอกาสการเติบโตของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคตหรือไม่

A ยืนยันไม่เป็นการปิดโอกาสการเติบโตของอุตสาหกรรมฯ เนื่องจากเป็นเพียงจำกัดขอบเขตในการให้บริการเป็นสื่อกลางการชำระค่าสินค้าและบริการของผู้ประกอบสินทรัพย์ดิจิทัลเท่านั้น นักลงทุนยังสามารถซื้อขายเพื่อการลงทุน เก็งกำไร ได้เหมือนเดิม ขณะเดียวกันนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้ในไทย ก็สามารถมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทกับดีลเลอร์ในไทยได้ เพื่อนำเงินบาทไปจับจ่ายใช้สอยต่อไป

นายณพงศ์ธวัช โพธิกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายระบบการชำระเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า สำหรับ Central Bank Digital Currency (CBDC) หรือเงินสกุลดิจิทัลที่ออกโดย ธปท. จะมีสถานะเป็นเงินตราตามกฎหมาย จะไม่ใช่สินทรัพย์ดิจิทัลโดยตรง ซึ่งจะมาใช้เสริมระบบการชำระเงินในประเทศ และช่วยให้การใช้เงินดิจิทัลมีประโยชน์มากขึ้น

ส่วนการเชื่อมโยงกับสินทรัพย์ดิจิทัลต่างๆ โดยเฉพาะ Stablecoin ก็ยังต้องดูในอนาคตต่อไป โดยปัจจุบัน CBCD กำลังจะเข้าสู่ช่วงของการทดลอง คาดว่าจะเริ่มใช้ได้ในปลายปี 65

 
#2202
ทริสเรทติ้งเพิ่มอันดับเครดิตองค์กร "บ. ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้" เป็น "BBB+" จาก "BBB", และจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันวงเงินไม่เกิน 6 พันล้านบาทที่ "BBB+", แนวโน้ม

ทริสเรทติ้งเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เป็นระดับ ?BBB+? จากเดิมที่ระดับ ?BBB? และเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น ?Stable? หรือ ?คงที่? จาก ?Positive? หรือ ?บวก? พร้อมทั้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 6 พันล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 5 ปี ของบริษัทที่ระดับ ?BBB+? เช่นเดียวกันอีกด้วย ในการนี้ อันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทอยู่ในระดับเท่ากับอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทเนื่องจากอัตราส่วนหนี้สินที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมของบริษัท ณ เดือนธันวาคม 2564 อยู่ที่ระดับ 41.5% ซึ่งต่ำกว่าระดับ 50% ตาม ?เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้? ของทริสเรทติ้ง โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระคืนหนี้หุ้นกู้ชุดเดิมบางส่วนและใช้เป็นเงินทุนในการขยายกิจการ

อันดับเครดิตที่เพิ่มขึ้นสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดของบริษัทที่ดีขึ้น ตลอดจนผลกำไรที่แข็งแกร่ง และระดับภาระหนี้ที่ลดลง ถึงแม้ว่าการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) จะยืดเยื้อ แต่บริษัทก็ยังมีรายได้เพิ่มขึ้นและสามารถรักษากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ให้อยู่ที่ระดับประมาณ 4-5 พันล้านบาทรวมทั้งเงินทุนจากการดำเนินงานให้อยู่ที่ระดับประมาณ 2.6-3.2 พันล้านบาทได้ นอกจากนี้ อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัท (รวมภาระหนี้ตามสัดส่วนของบริษัทในโครงการร่วมทุน) ก็ลดลงมาอยู่ที่ 56% ในปี 2564 จากระดับประมาณ 67% ในปี 2562 อีกด้วย

อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงความสามารถในการทำกำไรของบริษัทที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรม ตลอดจนมูลค่ายอดขายที่รอรับรู้เป็นรายได้จำนวนมาก และส่วนแบ่งกำไรจากโครงการร่วมค้าที่คาดว่าจะมีจำนวนมากในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงภาระหนี้ของบริษัทที่อยู่ในระดับค่อนข้างสูงจากผลของการขยายธุรกิจแบบเชิงรุกทั้งในธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่ยืดเยื้อของโรคโควิด 19 ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเพิ่มความกดดันให้แก่อุปสงค์คอนโดมิเนียมต่อไปอีกด้วย

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

เพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดทั้งในกลุ่มสินค้าคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรร

สถานะทางการตลาดของบริษัททั้งในตลาดคอนโดมิเนียมและโครงการบ้านจัดสรรปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดยบริษัทสามารถสร้างยอดขายและยอดโอนที่ระดับเกินกว่า 1 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าอุปสงค์ที่อยู่อาศัยจะซบเซาลงจากผลกระทบของโรคโควิด 19 แต่ยอดขายของบริษัท (รวมยอดขายจากโครงการร่วมค้า) ในปี 2564 ยังเพิ่มขึ้นเป็น 1.65 หมื่นล้านบาทจากเพียง 1.09 หมื่นล้านบาทในปี 2563 จากอานิสงส์ของยอดขายจากโครงการบ้านจัดสรรที่เพิ่มขึ้นอย่างมากซึ่งเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 4.7 พันล้านบาทในปี 2564 จากระดับ 2.5 พันล้านบาทในปี 2563 และจากระดับที่เกือบไม่มีเลยในปี 2560 ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากสินค้าพร้อมขายที่มีอยู่และแผนการเปิดโครงการที่อยู่อาศัยใหม่จำนวนมากของบริษัททำให้ทริสเรทติ้งคาดว่ายอดขายในปี 2565 ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นประมาณ 20%-25% จากปีก่อนหน้าและจะเพิ่มขึ้นอีก 5%-10% ในปี 2566 และปี 2567

บริษัทมีสินค้าอสังหาริมทรัพย์ที่ครอบคลุมทุกระดับราคา โดยโครงการคอนโดมิเนียมมีช่วงราคาอยู่ที่ 60,000-200,000 บาทต่อตารางเมตร (ตร.ม.) ในขณะที่โครงการบ้านจัดสรรมีราคาอยู่ที่ 2.5-50 ล้านบาทต่อหลัง ส่วนโครงการคอนโดมิเนียมของบริษัทนั้นประกอบด้วยแบรนด์ที่หลากหลาย อาทิ ?Brixton? ?The Origin? และ ?Origin Plug and Play? ซึ่งเน้นลูกค้าเป้าหมายในกลุ่มราคาระดับปานกลาง ในขณะที่แบรนด์ ?Knightsbridge? ?So Origin? และ ?Park Origin? เน้นลูกค้าเป้าหมายในกลุ่มราคาระดับสูงถึงหรูหรา ซึ่งแบรนด์คอนโดมิเนียมเหล่านี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ซื้อ ส่วนแบรนด์โครงการบ้านจัดสรรของบริษัทนั้นประกอบด้วย ?Brighton? และ ?Britania? ซึ่งเน้นลูกค้าเป้าหมายในกลุ่มราคาระดับปานกลาง ในขณะที่แบรนด์ ?Grand Britania? และ ?Belgravia? เน้นลูกค้าเป้าหมายในกลุ่มราคาระดับสูงถึงหรูหรา ซึ่งโครงการบ้านจัดสรรก็ได้รับการตอบรับเพิ่มมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน

บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัยระหว่างการพัฒนา ณ สิ้นปี 2564 ซึ่งประกอบไปด้วยโครงการบ้านจัดสรรจำนวน 19 โครงการ โครงการคอนโดมิเนียมของบริษัทเองจำนวน 34 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียมที่พัฒนาภายใต้การร่วมทุนอีกจำนวน 16 โครงการ ทั้งนี้ สินค้าเหลือขายทั้งหมดรวมทั้งที่สร้างแล้วเสร็จและอยู่ระหว่างการก่อสร้างคิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 4.41 หมื่นล้านบาทซึ่งประกอบไปด้วยบ้านจัดสรรในสัดส่วน 31% คอนโดมิเนียมของบริษัทเอง 40% และคอนโดมิเนียมร่วมทุนอีก 29% บริษัทยังวางแผนเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่มูลค่ารวม 4.2 หมื่นล้านบาทอีกในปี 2565 โดยประกอบไปด้วยโครงการบ้านจัดสรรใหม่มูลค่า 1.34 หมื่นล้านบาทและโครงการคอนโดมิเนียม (รวมโครงการร่วมทุน) มูลค่า 2.86 หมื่นล้านบาท

มีกำไรที่แข็งแกร่งแม้ว่าโรคโควิด 19 ยังคงแพร่ระบาด

ถึงแม้ว่าโรคโควิด 19 ยังคงแพร่ระบาดไม่หยุด ทว่าผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2564 ยังสูงกว่าประมาณการของทริสเรทติ้ง รายได้ของบริษัทในปี 2564 เพิ่มขึ้นเป็น 1.53 หมื่นล้านบาทจาก 1.09 หมื่นล้านบาทในปี 2563 และ 1.37 หมื่นล้านบาทในปี 2562 โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นผลมาจากรายได้จากโครงการบ้านจัดสรรที่เติบโตอย่างมากตามที่ได้กล่าวไปแล้ว นอกจากนี้ EBITDA ของบริษัทก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 5.1 พันล้านบาทในปี 2564 จากประมาณ 4.1-4.8 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2562-2563 ในขณะที่อัตรากำไรจาก EBITDA ของบริษัทยังคงอยู่ในช่วง 34%-37% ในระยะ 3 ปีที่ผ่านมาซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ระดับ 20%-25%

ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะอยู่ในช่วง 1.3-1.6 หมื่นล้านบาทต่อปีโดยบริษัทจะมีรายได้จากโครงการบ้านจัดสรรในสัดส่วน 40%-50% ของรายได้รวม ในขณะที่ EBITDA นั้นคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 4.3-5.7 พันล้านบาทต่อปีในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งประมาณการรายได้ดังกล่าวมีปัจจัยสนับสนุนจากมูลค่ายอดขายคอนโดมิเนียมที่รอรับรู้เป็นรายได้จำนวนมากของบริษัทและการคาดการณ์ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์จะมีการฟื้นตัว ทั้งนี้ ณ เดือนธันวาคม 2564 บริษัทมีมูลค่ายอดขายรอโอนอยู่ที่ประมาณ 3.46 หมื่นล้านบาทซึ่งแบ่งออกเป็นยอดขายจากโครงการของบริษัทเองมูลค่า 7.6 พันล้านบาทและยอดขายจากโครงการร่วมทุนมูลค่า 2.7 หมื่นล้านบาท โดยยอดขายรอโอนของบริษัทจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ที่ประมาณ

5.2 พันล้านบาทในปี 2565 ประมาณ 0.2 พันล้านบาทในปี 2566 และประมาณ 2.2 พันล้านบาทในปี 2567 ในขณะที่ยอดขายรอโอนของโครงการร่วมค้าจะทยอยส่งมอบให้แก่ลูกค้าที่มูลค่าประมาณ 1.1-1.2 หมื่นล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2565-2566 และส่วนที่เหลือในปี 2567 ดังนั้น บริษัทจึงคาดว่าจะมีส่วนแบ่งกำไรจากโครงการร่วมค้าประมาณ 1.3-1.8 พันล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2565-2567

เป็นปีที่มีความท้าทายสำหรับอุตสาหกรรมพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย

ทริสเรทติ้งคาดว่าอุปสงค์ที่อยู่อาศัยในปี 2565 จะเติบโตที่ระดับ 5%-10% จากปีก่อนหน้าโดยมีปัจจัยสนับสนุนคือแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเนื่องจากผลกระทบของโรคโควิด 19 มีสัญญาณบรรเทาลง นอกจากนี้ การขยายระยะเวลาผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยโดยยังคงเพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (Loan-to-value Ratio -- LTV) ให้อยู่ที่ระดับ 100% จาก 70%-90% สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภทและการลดค่าโอนและค่าจดจำนองสำหรับบ้านที่มีราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทไปจนถึงสิ้นปี 2565 นั้นก็น่าจะช่วยกระตุ้นอุปสงค์ที่อยู่อาศัยให้เติบโตขึ้นได้ในปีนี้อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ยังคงมีประเด็นที่ท้าทายสำหรับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์อีกหลายประการในระยะสั้นถึงปานกลางนี้ โดยการแข่งขันในหมู่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยจะยังคงรุนแรงต่อไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งบ้านในกลุ่มระดับราคาที่ไม่แพง ดังนั้น บริษัทจึงจำเป็นต้องมีการปรับปรุงพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สอดคล้องกับอุปสงค์ของตลาดและต้องเพิ่มการรับรู้เกี่ยวกับแบรนด์สินค้าของบริษัทให้เกิดในกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเพื่อที่จะคงอัตราการเติบโตของรายได้เอาไว้ นอกจากนี้ หนี้ครัวเรือนที่ค่อนข้างสูงและอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นก็อาจส่งผลทำให้กำลังซื้อของผู้ซื้อบ้านลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสินค้าบ้านระดับราคาปานกลางถึงต่ำ ในขณะที่การปล่อยสินเชื่อของธนาคารที่เข้มงวดยิ่งขึ้นก็ยังคงเป็นประเด็นท้าทายสำหรับผู้ประกอบการอีกเช่นกัน

สัดส่วนกำไรจากธุรกิจอื่น ๆ ยังมีน้อย

บริษัทขยายกิจการไปยังธุรกิจโรงแรมและบริการในปี 2560 และขยายสู่ธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่าในปีนี้ บริษัทได้ก่อสร้างโรงแรม 2 แห่งแล้วเสร็จซึ่งประกอบด้วย ?Holiday Inn Siracha? และ ?Staybridge Thonglor? และได้เริ่มเปิดดำเนินงานแล้ว ส่วนโรงแรมอีก 3 แห่งและอาคารสำนักงานอีก 1 แห่ง คือ ?Intercontinental Sukhumvit? ?Staybridge Phromphong? ?Holiday Inn Express Phayathai? และอาคารสำนักงานที่สนามเป้านั้นจะเปิดดำเนินงานได้ในช่วงปี 2565-2567 นอกจากนี้ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 บริษัทยังได้ซื้อกิจการโรงแรมอีก 3 แห่งจาก บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) รวมมูลค่ารวมประมาณ 1 พันล้านบาทอีกด้วย ซึ่งรายได้จากธุรกิจโรงแรมคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 200-300 ล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า

นอกจากนี้ บริษัทยังได้มีการลงทุนในธุรกิจอีกหลายประเภท อาทิธุรกิจโกดังสินค้าให้เช่า ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ ธุรกิจด้านสุขภาพ และธุรกิจพลังงาน โดยบริษัทได้มีความร่วมมือกับผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละธุรกิจ เช่น บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) ในธุรกิจโกดังสินค้าให้เช่า Kin และ Senizens ในธุรกิจดูแลสุขภาพ และ บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) ในธุรกิจพลังงาน โดยการขยายไปในธุรกิจอื่น ๆ ดังกล่าวนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ดังนั้น ความสำเร็จในการลงทุนของบริษัทในธุรกิจใหม่ ๆ ดังกล่าวจึงยังคงต้องติดตามต่อไป

ทริสเรทติ้งมองว่าธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยยังคงเป็นธุรกิจหลักในการทำกำไรให้แก่บริษัทโดยมีสัดส่วนเกินกว่า 80% ของกำไรรวมของบริษัทในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม หากบริษัทประสบความสำเร็จในการขยายไปในธุรกิจอื่น ๆ เหล่านี้ก็จะช่วยขยายสัดส่วนของธุรกิจให้แก่บริษัทและช่วยให้บริษัทมีผลกำไรที่มีเสถียรภาพในระยะยาว

อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทคาดว่าจะต่ำกว่า 60%

ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะต่ำกว่าระดับ 60% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทอยู่ที่ระดับ 55.6% ณ สิ้นปี 2564 ลดลงจากระดับ 63%-67% ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จากแผนการลงทุนในธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยจำนวนมากและการลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ จะส่งผลทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 58%-59% ทั้งนี้ ภายใต้เงื่อนไขทางการเงินของเงินกู้ยืมที่มีกับธนาคารและหุ้นกู้ บริษัทจะต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นไม่ให้เกินกว่า 2.5 เท่า ในขณะที่อัตราส่วนดังกล่าวของบริษัท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564 อยู่ที่ระดับ 0.97 เท่า ทริสเรทติ้งจึงเชื่อว่าบริษัทจะสามารถบริหารโครงสร้างทางการเงินให้สอดคล้องกับเงื่อนไขทางการเงินของเงินกู้ยืมเอาไว้ได้ในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า

ภายใต้ประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะเปิดตัวโครงการใหม่ที่มูลค่าประมาณ 4.2 หมื่นล้านบาท (รวมโครงการร่วมทุน) ในปี 2565 และประมาณ 1.5-2.0 หมื่นล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2566-2567 บริษัทตั้งงบประมาณในการซื้อที่ดินไว้ที่ประมาณ 5-7 พันล้านบาทต่อปี ในขณะที่ต้นทุนค่าก่อสร้างจะอยู่ที่ระดับ 35%-40% ของมูลค่าโครงการ บริษัทมีแผนการลงทุนที่ประมาณ 300 ล้านบาทต่อปีสำหรับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ เช่น โรงแรมและอาคารสำนักงานให้เช่า ส่วนงบประมาณการลงทุนสำหรับธุรกิจใหม่ ๆ ซึ่งประกอบด้วยธุรกิจโกดังสินค้าให้เช่า ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ และธุรกิจด้านสุขภาพนั้นจะอยู่ที่ระดับประมาณ 1.5-2.0 พันล้านบาทโดยรวมในช่วง 3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ บริษัทวางแผนการลงทุนในธุรกิจเหล่านี้ส่วนใหญ่ด้วยวิธีการร่วมทุนซึ่งจะช่วยลดความต้องการเงินลงทุนไปได้ส่วนหนึ่ง

สภาพคล่องที่บริหารจัดการได้

ทริสเรทติ้งประเมินว่าสภาพคล่องของบริษัทจะยังคงอยู่ในวิสัยที่สามารถบริหารจัดการได้ โดยแหล่งเงินทุนของบริษัทประกอบด้วยเงินสดในมือจำนวน 2 พันล้านบาทและวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกจำนวน 1.6 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2564 นอกจากนี้ กระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 12 เดือนข้างหน้าก็คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 3.0-3.2 พันล้านบาท ในขณะที่บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 8.5 พันล้านบาทซึ่งประกอบด้วยเงินกู้ระยะสั้นจำนวน 2.3 พันล้านบาท เงินกู้โครงการจำนวน 2.7 พันล้านบาท และหุ้นกู้จำนวน 3.5 พันล้านบาท โดยบริษัทใช้เงินกู้ระยะสั้นส่วนใหญ่เป็นเงินทุนหมุนเวียนและเป็นเงินกู้ชั่วคราวเพื่อใช้ในการซื้อที่ดินซึ่งคาดว่าจะเปลี่ยนมาเป็นเงินกู้โครงการต่อไป ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะจ่ายชำระหนี้เงินกู้โครงการด้วยกระแสเงินสดจากการโอนโครงการที่อยู่อาศัย ในขณะเดียวกัน บริษัทก็มีแผนจะออกหุ้นกู้ชุดใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดด้วย

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

? บริษัทจะเปิดตัวโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยใหม่ที่มูลค่า 4.2 หมื่นล้านบาทในปี 2565 และ 1.5-2 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2566-2567

? รายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 1.3-1.6 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2567 และส่วนแบ่งกำไรจากโครงการร่วมค้าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 1.3-1.8 พันล้านบาทต่อปีเนื่องจากโครงการร่วมทุนคาดว่าจะโอนคอนโดมิเนียมที่มูลค่าประมาณ 1.0-1.2 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า

? งบประมาณในการซื้อที่ดินซึ่งรวมโครงการร่วมทุนจะอยู่ที่ประมาณ 5-7 พันล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า

? เงินลงทุนในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์และธุรกิจอื่น ๆ จะมีมูลค่ารวม 3.0-3.5 พันล้านบาทในช่วงปี 2565-2567

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันและสถานะทางการตลาดเอาไว้ได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงสามารถส่งมอบสินค้าจำนวนมากได้ตามแผนการที่วางไว้ และแม้จะมีแผนการขยายธุรกิจแบบเชิงรุก ทริสเรทติ้งก็ยังคาดว่าบริษัทจะรักษาผลการดำเนินงานที่ดีเอาไว้ได้และรักษาอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนให้ต่ำกว่าระดับ 60% ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินยังคงอยู่ที่ระดับ 10%-15% ต่อไปได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้าถึงแม้ว่าอุปสงค์ที่อยู่อาศัยจะชะลอตัวและภาวะเศรษฐกิจจะยังคงไม่ฟื้นตัวจากผลของการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ก็ตาม

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตของบริษัทอาจมีการปรับเพิ่มขึ้นได้หากฐานรายได้และกระแสเงินสดของบริษัทเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญโดยที่บริษัทยังสามารถรักษาความสามารถในการทำกำไรเอาไว้ได้และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนอยู่ที่ระดับประมาณ 50%-55% ได้อย่างต่อเนื่อง ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจมีการปรับลดลงหากผลการดำเนินงานหรือสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงจากระดับปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญจนเป็นผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นจนอยู่ในระดับที่เกินกว่า 60% และ/หรืออัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินลดลงต่ำกว่า 10% เป็นเวลาที่ต่อเนื่อง

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564

- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562

บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (ORI)

อันดับเครดิตองค์กร: BBB+

อันดับเครดิตตราสารหนี้:

หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ในวงเงินไม่เกิน 6,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 5 ปี BBB+

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว
#2203
ตัดแคมในอาเซียนบิวตี้คลีนิคศัลยกรรมต้นๆของประเทศดูแลทุกปัญหาความงาม  
ผิวพรรณ ศัลยกรรมตกแต่ง แล้วก็เวชศาสตร์ชะลอวัย พร้อมการดูแลความสวยงาม
ตัดแคมใน  แบบองค์รวม ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า โดยแพทย์ผู้ชำนาญ  
และ คณะทำงานมืออาชีพ 
ตัดแคมในทั้งไทยรวมทั้งต่างถิ่น 


https://bit.ly/3wwDs0P
#2204
สวัสดีค่ะ ชื่อโอ๋นะคะ วันนี้โอ๋มีผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ช่วยแก้ปัญหาไซนัสอักเสบ อยากจะมาแนะนำให้เพื่อนๆได้รู้จักกันนะคะ
นี่เลยค่ะ อาหารเสริม Ucore ค่ะ ส่วนตัวป่วยเป็นไซนัสอักเสบประมาณ2ปีแล้ว เนื่องจากงานที่โอ๋ทำทำ
ต้องเจอกับฝุ่น ควัน มลภาวะ อยู่ทุกๆวันเลย ทำให้ไซนัสอักเสบเป็นๆหายๆ คือรักษาอย่างไรไม่หายขาดซักที..เลยไปหาวิธีรักษาไซนัสอักเสบ
เจอ Ucore ทานมา2 เดือนแล้ว ตอนนี้ไม่มีอาการไซนัสอักเสบเลย .. จึงอยากมาแนะนำให้เพื่อนๆ ใช้แล้วเห็นผลจึงมาบอกต่อค่ะ"

จดทะเบียนในชื่อ ยูคอร์ (ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดแคปซูลนิ่ม)
Ucore (SOFT GEL DIETARY SUPPLEMENT PRODUCT)
เลขที่ อย. 13-1-07458-5-0233
ขนาดบรรจุ 30 แคปซูล
ราคาพิเศษเพียง 990 บาท
*รบกวนแจ้งอาการและยาที่ทานก่อนครับ
มีผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์คอยให้คำปรึกษา
แอดไลน์ สอบถามปรึกษา
Line : @balances 
รายละเอียดเพิ่มเติมสอบถามปรึกษา Ucore
#2205
ตลาดหุ้นเอเชียปิดเช้าลบ จับตาผู้นำโลกถกคว่ำบาตรรัสเซียวันนี้

ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าในแดนลบตามทิศทางตลาดหุ้นนิวยอร์ก โดยถูกกดดันจากราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้น และจากความเห็นของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่สนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์สงครามในยูเครน

ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดภาคเช้าที่ระดับ 27,727.76 จุด ลดลง 312.40 จุด หรือ -1.11%, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนปิดภาคเช้าที่ 3,253.31 จุด ลดลง 17.72 จุด หรือ -0.54% และดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดภาคเช้าที่ 22,195.96 จุด เพิ่มขึ้น 41.88 จุด หรือ +0.19%

นักลงทุนจะติดตามการประชุมขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต), กลุ่มประเทศ G7 และสหภาพยุโรป (EU) ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียมในวันนี้ หลังจากที่รัสเซียเปิดฉากบุกโจมตียูเครนครบ 1 เดือน เพื่อหาทางเพิ่มแรงกดดันให้รัสเซียยุติการโจมตีและขัดขวางความพยายามของประเทศอื่น ๆ ในการช่วยเหลือรัสเซียทำสงคราม นอกจากนี้ บรรดาผู้นำนาโตได้เตรียมเรียกร้องให้จีนหลีกเลี่ยงการสนับสนุนให้รัสเซียรุกรานยูเครน

ตลาดยังถูกกดดันหลังจากที่นางลอเรตตา เมสเตอร์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาคลีฟแลนด์ระบุว่า เฟดสามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและเริ่มการปรับลดขนาดงบดุลในการประชุมครั้งเดียวกัน โดยนางเมสเตอร์สนับสนุนให้เฟดเร่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีแรกนี้ โดยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมบางครั้ง
#2206
รับสมัครตัวแทนจำหน่าย cci  สร้างรายได้บนโลกออนไลน์ ธุรกิจสมุนไพรไทยเปลี่ยนชีวิต
Dropship ไม่ต้องสต๊อคสินค้า - รับตัวแทนจำหน่าย สินค้าออนไลน์

สมุนไพรไทยเปลี่ยนชีวิต รับสมัครตัวแทนจำหน่าย CCI สร้างรายได้บนโลกออนไลน์
รับตัวแทนจำหน่าย สินค้าออนไลน์  นวัตกรรมสมุนไพร ดร.ณสพน โพธิ์วิจิตร
สมัครตัวแทนจําหน่ายฟรี ลงทุนต่ำ ไม่สต๊อกสินค้า. ตัวแทนหรือสมาชิก CCI สร้างรายได้จากการจำหน่าย 
รับตัวแทนจำหน่าย cci ขายของออนไลน์ อาชีพเสริม สร้างรายได้เสริม ขายของออนไลน์อะไรดี ที่นี่มีคำตอบ กำไรขายปลีกสูงถึง 400 บาท ต่อกล่อง
นวัตกรรมสมุนไพร ระดับโลก  โรงงานผลิตได้มาตรฐาน ก่อตั้งมากกว่า 20 ปี  มีสถาบันวิจัย พร้อมทีมนักวิจัยกว่า 30 ท่าน ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมสมุนไพร คุณภาพระดับโลก ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง เป็นสมุนไพรสกัดเข้มข้น

รับตัวแทนจำหน่าย CCI มาตรฐานระดับสากล มั่นใจในคุณภาพ ธุรกิจนี้ดี อาชีพเสริม ทำแล้วรวย สุขภาพดี รายได้มั่นคง  

สนใจ กรอกข้อมูลรับรายละเอียด+ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่เว็บไซด์...
 
 https://www.saleherb.com

รับสมัครตัวแทนธุรกิจ 
Line : @saleherb(มี@นำหน้า)


#2207
ออกแบบมาสคอตและสติกเกอร์ไลน์กับ ChatStick ดียังไง------------------------------------------------------------------------------------สนใจบริการ รับออกแบบการ์ตูน คาแรคเตอร์ โลโก้ วาดตัวมาสคอต โดยมืออาชีพ | บริการรับออกแบบมาสคอต ออกแบบตัวการ์ตูน Character รับทำสติ๊กเกอร์ไลน์ภาพวาด | รับทำสติ๊กเกอร์ไลน์ภาพถ่าย | รับทำสติ๊กเกอร์ไลน์ดารา | รับทำสติ๊กเกอร์ไลน์ศิลปิน | รับทำสติ๊กเกอร์ไลน์นักร้อง | รับทำสติ๊กเกอร์ไลน์บริษัท | รับทำสติ๊กเกอร์ไลน์องค์กร| รับออกแบบสติ๊กเกอร์ไลน์อนิเมชั่น | รับทำสติ๊กเกอร์ไลน์อนิเมชั่น | รับออกแบบสติ๊กเกอร์ไลน์เคลื่อนไหวได้ | รับออกแบบสติ๊กเกอร์ไลน์ดุ๊กดิ๊ก | รับทำAnimated Sticker Line | Animated Stickers"StickerLine สติ๊กเกอร์ไลน์รูปถ่าย สติ๊กเกอร์ไลน์รูปภาพ สามารถติดต่อเราได้ตลอด 24 ชั่วโมง ตัวอย่าง ผลงานออกแบบสติ๊กเกอร์ไลน์ บริษัท แบรนด์ และ องค์กร>> https://www.chatstickmarket.com/stickerportตัวอย่าง ผลงานออกแบบสติ๊กเกอร์ไลน์ ศิลปิน ดารา และ ผู้มีชื่อเสียง>> https://www.chatstickmarket.com/celebportตัวอย่าง ตัวอย่างผลงานมาสคอต (Mascot) ธุรกิจ องค์กร และ ศิลปิน>> https://www.chatstickmarket.com/mascotport
#2208
หากพูดถึงกระเป๋าผู้หญิงสำหรับวัยทำงานแล้วเชื่อเหลือเกินว่าจะต้องมีกระเป๋าโท้ทอยู่ด้วยอย่างแน่นอน ก็เพราะว่าเป็นกระเป๋าทรงสวยที่เหมาะสำหรับวัยทำงานและใช้ประโยชน์ต่าง ๆ ได้ดี จุดสำคัญคือ เป็นกระเป๋าทรงสี่เหลี่ยมสำหรับสะพายข้าง มีหลายขนาดให้เลือก เป็นกระเป๋าที่มีลักษณะคล้ายกับถุงผ้า แต่ออกแบบมาให้ทันสมัยและใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย ทำให้เป็นกระเป๋าที่นิยมในวัยทำงาน ทำจากวัสดุหลายประเภท อาทิเช่น หนังสัตว์ หนังเทียม หนังกลับ หนังฟูลเกรน ผ้าคอตตอน ผ้าแคนวาส PVC นีโอพรีน ไนลอน โพลีเอสเตอร์ โพลียูรีเทน ฯลฯ

กระเป๋า tote มีทรงอะไรให้เลือกใช้บ้าง ทรงไหนที่ได้รับความนิยม
• ทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส เป็นทรงที่ได้รับความนิยมในวัยทำงาน ก็เพราะว่ามีขนาดที่กำลังพอดี ไม่ใหญ่จนเกินไป ดีไซน์มาเป็นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส บางรุ่นดีไซน์มาให้พื้นด้านล่างกระเป๋ากางออกได้เพื่อจุของได้มากขึ้น ไม่เสียทรงง่าย อยู่ทรง ได้ทรงสวย แมทช์เข้ากับชุดทำงานได้ง่าย
• ทรงสี่เหลี่ยมทรงสูง เป็นสี่เหลี่ยมทรงสูงที่สามารถใส่เอกสารหรือของที่มีความสูงได้ เช่น ร่ม แฟ้ม ฯลฯ จุของได้ค่อนข้างเยอะ เหมาะกับวัยทำงาน ช่วยเสริมลุคให้ดูเป็น Business Women ขึ้นได้
• ทรง Shopping Bag เป็นสี่เหลี่ยมทรงสูงที่มีลักษณะคล้ายกับถุงช้อปปิ้ง แต่ออกแบบมาให้ทันสมัยขึ้น มีความโดดเด่น
• ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า เป็นทรงที่มีความสูงไม่มากแต่จะเน้นไปที่ความยาว จุของในแนวนอนได้เยอะ

การเลือกกระเป๋าโท้ทผู้หญิงควรพิจารณาจากอะไรบ้าง?
• ขนาดของกระเป๋า เพื่อน ๆอาจคิดว่ากระเป๋า tote นั้นมีขนาดเดียวแต่ความจริงแล้วมีให้เลือกหลายขนาด มีตั้งแต่ไซส์ S - XL
• ดีไซน์และการออกแบบ แต่ละรุ่นดีไซน์มาไม่เหมือนกัน และเลือกใช้วัสดุที่ไม่เหมือนกัน บางรุ่นเป็นซิปเปิด - ปิด บางรุ่นเป็นกระดุม บางรุ่นเป็นแบบเปิดโล่ง สามารถเลือกดีไซน์ที่ตรงกับการใช้งานได้
• พื้นที่การจัดเก็บ สำหรับท่านไหนที่มีของมากควรเลือกรุ่นที่มีช่องเก็บของหลายช่อง ไม่ว่าจะเป็นด้านนอกหรือด้านใน จะช่วยให้จุของได้มากขึ้น
• ความยาวของสายสะพาย ความยาวที่เหมาะสมคือ 50 - 60 เซนติเมตร จะช่วยให้สะพายได้ง่ายขึ้น ไม่รัดต้นแขนจนเกินไป แต่นอกจากนี้ยังก็มีขนาดอื่น ๆ ด้วย ควรลองสะพายดูก่อนว่าพอดีกับแขนและรูปร่างหรือไม่เพื่อความสะดวกในการใช้งาน
• เลือกจากวัสดุ วัสดุแต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติการใช้งานที่แตกต่างกัน ดังเช่น ผ้าไนล่อน PVC หนังฟูลเกรน ฯลฯ ที่สามารถกันน้ำได้ ช่วยป้องกันไม่ให้ของด้านในเปียกน้ำ 

สำหรับสาววัยทำงานคนไหนที่กำลังมองหากระเป๋าโท้ทผู้หญิงอยู่ก็เลือกรุ่นที่ชอบกันได้เลย มีหลายรุ่นให้เลือก มีรุ่นที่ต่อสายเพื่อใช้งานแบบสะพายพาดลำตัวได้ด้วย

ชมสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.charleskeith.co.th/th/bags/totebags

#2209
ANZ ขึ้นแท่นธนาคารออสซี่แห่งแรกออกเหรียญ Stablecoin

ธนาคารออสเตรเลีย แอนด์ นิวซีแลนด์ แบงกิง กรุ๊ป (ANZ) ก้าวขึ้นเป็นธนาคารออสเตรเลียแห่งแรกที่สร้างเหรียญประเภท Stablecoin ซึ่งจะอิงกับมูลค่าของสกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลีย

ANZ ระบุว่า ทางธนาคารได้ส่งเหรียญ Stablecoin ที่มีชื่อว่า A$DC ให้กับบริษัทวิคเตอร์ สมอร์กอน กรุ๊ป (Victor Smorgon Group) ซึ่งเป็นบริษัทบริหารจัดการความมั่งคั่งส่วนบุคคล ผ่านแพลตฟอร์มการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลซีโร่แคป (Zerocap)

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) เปิดเผยเมื่อปีที่ผ่านมาว่า ยอดการใช้งานกระเป๋าเงินดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นอย่างมากนั้นอาจเปิดโอกาสให้ RBA ออกนโยบายรองรับการซื้อขายแลกเปลี่ยนโทเคนหรือสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ ได้ แม้ขณะนี้ธนาคารกลางจะยังมีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้งานคริปโทเคอร์เรนซีก็ตาม

อนึ่ง ANZ ระบุว่า ทางธนาคารได้สร้างเหรียญ A$DC มูลค่า 30 ล้านดอลลาร์ โดยใช้ชุดคำสั่งที่เรียกว่า สมาร์ท คอนแทรค (Smart Contract) โดยเหรียญดังกล่าวได้ถูกโอนให้กับคู่สัญญา และแลกคืนเป็นสกุลเงินปกติในภายหลัง
#2210
ลู่วิ่งไฟฟ้า สำหรับออกกำลังกาย ลู่วิ่งไฟฟ้าฟิตเนส

ลู่วิ่งไฟฟ้า (Treadmills) เป็นลู่วิ่งไฟฟ้าที่ใช้สำหรับออกกำลังกายเหมาะสำหรับการใช้ภายในบ้าน ราคาถูกและได้คุณภาพเกรด USA ใช้พื้นที่น้อย ลู่วิ่งออกกำลังกายมีหลายแบบหลายประเภททั้งแบบที่ใช้สำหรับภายในบ้านและลู่วิ่งไฟฟ้าที่ใช้สำหรับภายในยิม ลู่วิ่งไฟฟ้าฟิตเนส เลือกชมสินค้าได้จากด้านล่างนี้เลยครับ

สนใจสอบถามข้อมูล ทางนี้เลย
Facebook : CCT Fitness นำเข้าเครื่องออกกำลังกาย
Tel: 089-750-7380
สนใจชมตัวอย่างสินค้า >> https://goo.gl/maps/RBNaNTLmk8LD3T2A8
#2211
เจริญอุตสาหกรรม ยื่นไฟลิ่งขาย IPO 160 ล้านหุ้น-เข้า SET ปรับปรุงรง.-สร้างคลังสินค้า

บมจ.เจริญอุตสาหกรรม (CH) ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญออกใหม่ตอ่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 160 ล้านหุ้น คิดเป็น 20.00% ของจำนวนหุ้นสามัญที่จำหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) โดยมี บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

บริษัทมีวัตถุประสงค์การใช้เงินจากการระดมทุนเพื่อ ลงทุนปรับปรุงโรงงานผลิตสินค้า และก่อสร้างคลังสินค้าเพิ่มเติม รวมทั้งใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ในช่วงปี 65-66

CH หรือชื่อเดิมคือ จิ้นฮ่วย และบริษัทย่อย ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลไม้และอาหารแปรรูป โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ (1) ผลไม้อบแห้ง (2) ปลากระป๋อง และ (3) ขนมเพื่อสุขภาพ บริษัทเน้นส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา แคนาดา ญี่ปุ่น เมียนมา จีน อิตาลี เนเธอร์แลนด์ อินเดีย ญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน อิตาลี ฝรั่งเศส คูเวต สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นต้น ในช่วงปี 62-64 บริษัทมีสัดส่วนการขายสินค้าไปยังต่างประเทศ เท่ากับ 71-74% ของรายได้จากการขายรวม

บริษัทมีรูปแบบการจำหน่ายสินค้าแบบรับจ้างการผลิตตามคำสั่งซื้อของลูกค้า (OEM) จำหน่ายสินค้าเป็นแพ็คใหญ่ (Bulk Pack) ให้กับกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมและกลุ่มลูกค้าธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่ และจำหน่ายสินค้าภายใต้ตราสินค้าของบริษัท อาทิ EROS ซูมาโก้ เรือรบ Meble และ ChinHuay เป็นต้น ให้กับกลุ่มลูกค้าร้านค้าทั่วไป

บริษัทมีบริษัทย่อย 3 แห่ง ประกอบด้วย

1) Chin Huay (Cambodia) Company Limited (CHC) เพื่อขยายฐานการผลิตผลิตภัณฑ์ผลไม้อบแห้งในกัมพูชา ซึ่งเป็นแหล่งวัตถุดิบมะม่วงสายพันธุ์ที่เหมาะสมกับการทำมะม่วงอบแห้งแบบ Soft-Dried และมีราคาถูกกว่าเพาะปลูกในประเทศไทย ประกอบกับมีอัตราค่าแรงงานที่ต่ำกว่า อีกทั้งเพื่อรองรับการขยายตลาดลูกค้าต่างประเทศ

2) Chin Huay Holding (Singapore) Pte. Ltd. (CHHS) ประกอบธุรกิจลงทุนในกิจการของบริษัทที่จะจัดตั้งหรือร่วมทุนกับพันธมิตรในต่างประเทศ

3) Chin Huay Trading (Singapore) Pte. Ltd. (CHTS) ประกอบธุรกิจเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของ CHC ไปต่างประเทศ และเป็นตัวแทนจัดซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศให้แก่ CHC โดย CHHS ถือหุ้นในสัดส่วน 99.99% ของทุนจดทะเบียน CHTS

ปัจจุบันบริษัทและบริษัทย่อยมีโรงงานผลิต รวม 2 แห่ง ได้แก่ โรงงาน CH ในท่าฉลอม จังหวัดสมุทรสาคร ผลิตผลไม้อบแห้ง ปลากระป๋อง และขนมเพื่อสุขภาพ และ (2) โรงงาน CHC ในประเทศกัมพูชา ผลิตผลไม้อบแห้ง

ณ วันที่ 30 ก.ย.64 บริษัทมีทุนจดทะเบียน 400 ล้านบาท หรือคิดเป็น 800 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท โดยเป็นทุนเรียกชำระแล้ว 320 ล้านบาท หรือคิดเป็น 640 ล้านหุ้น และภายหลังเสนอขายหุ้น IPO จะมีทุนชำระแล้วเต็มจำนวน

โครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ 5 อันดับแรก ณ วันที่ 31 ธ.ค.64 ได้แก่ บริษัท ซีเอช แฟมิลี่ จำกัด ถือหุ้นอันดับ 1 ในสัดส่วน 38.13% ภายหลังเสนอขายหุ้น IPO จะลดสัดส่วนหุ้นลงเหลือ 30.50% นายประวิทย์ ศรีแสงนาม ถือหุ้น 5.01% จะลดลงเหลือ 4.01% กลุ่มนายประทีป ศรีสกาวกุล ถือหุ้น 4.07% จะลดลงเหลือ 3.26% นายณรงค์ คงคาวนา ถือหุ้น 3.76% จะลดลงเหลือ 3.01% นายสุเมธ คุโณภาสวรกุล ถือหุ้น 2.87% จะลดลงเหลือ 2.29% โดยมี นพ.อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม อดีตรมว.สาธารณสุข เป็นประธานกรรมการบริษัท

ผลประกอบการในปี 62-64 บริษัทมีรายได้จากการขาย 1,656.76 ล้านบาท, 1,634.47 ล้านบาท และ 1,442.28 ล้านบาท ตามลำดับ บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากการขายภายใต้ตราสินค้าอื่นในรูปแบบสั่งผลิตหรือสินค้า OEM และในรูปแบบบรรจุภัณฑ์ขนาดใหญ่หรือสินค้าขายส่ง (Bulk Pack) เพื่อลูกค้านำไปบรรจุใหม่เป็นบรรจุภัณฑ์ขนาดเล็ก (Re-pack) สำหรับจำหน่ายต่อ คิดเป็นสัดส่วนรายได้เฉลี่ย 3 ปีเท่ากับ 93.3% ของรายได้ ในขณะสัดส่วนรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้าบริษัทเฉลี่ย 3 ปีเท่ากับ 6.7%

ด้านกำไรสุทธิ อยู่ที่ 7.90 ล้านบาท, 67.29 ล้านบาท และ 67.07 ล้านบาท ตามลำดับ อัตรากำไรขั้นต้น 13.07%, 19.85% และ 18.01% ตามลำดับ อัตรากำไรสุทธิ 0.47%, 4.09% และ 4.49% ตามลำดับ ทั้งนี้ ในปี 62 บริษัทมีกำไรสุทธิ และอัตรากำไรสุทธิต่ำกว่าระดับปกติ สาเหตุหลักมาจากระดับอัตรากำไรขั้นต้นกลุ่มผลไม้อบแห้งที่ต่ำกว่าระดับปกติ เนื่องจากราคาวัตถุดิบเฉลี่ยทั้งปีที่สูงขึ้นจากภาวะภัยแล้ง

ณ วันที่ 31 ธ.ค.64 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 1,700.51 ล้านบาท หนี้สินรวม 881.40 ล้านบาท และส่วนผู้ถือหุ้น 819.11 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ (งบการเงินเฉพาะบริษัท) หลังหักเงินสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กฎหมายกำหนดและตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ
#2212
GRAMMY คาดปี 65 ฟื้นต่อเนื่องจากกลับมาจัดอีเว้นท์-หนังเข้าฉายเพิ่ม,หวัง NFT บูม

นายธนากร มนูญผล รองกรรมการผู้อำนวยการหน่วยงาน Group Investment บมจ.จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ (GRAMMY) เปิดเผยว่า บริษัทคาดรายได้ปี 65 จะสามารถฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง และยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ใกล้เคียงระดับ 43% แม้ว่าจะมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ยังคงมีอยู่ แต่ผลกระทบไม่ได้มากเหมือนช่วงแรกของการแพร่ระบาดในปีก่อนๆ ขณะเดียวกันภาครัฐได้มีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ธุรกิจบริหารจัดการศิลปินและธุรกิจจัดงานคอนเสิร์ตและอีเว้นท์กลับมามากขึ้น
ขณะที่ในปีนี้จะมีภาพยนตร์ในเครือ GDH วางแผนเข้าฉายถึง 5 เรื่อง จากปีก่อนที่เข้าฉายได้เพียง 1 เรื่อง นอกจากนี้ยังมีส่วนแบ่งรายได้และกำไรจากบริษัทย่อยอื่นๆ ที่จะเข้ามาเพิ่มมากขึ้นด้วย นอกจากนี้บริษัทยังคงมุ่งที่จะพัฒนาผลงานเพลงคุณภาพ พัฒนาศิลปินใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะเข้ามารองรับความต้องการของตลาด โดยได้วางงบลงทุนไว้ราว 300-500 ล้านบาท ด้านธุรกิจ MUSIC Non-Fungible Token (NFT) ในปีนี้บริษัทคาดหวังรายได้หลักสิบล้าน โดยได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในกลุ่มศิลปินและนักสะสม สอดรับกับพฤติกรรมใหม่ของผู้บริโภคที่ชื่นชอบผลงาน และให้การสนับสนุนสินค้าต่างๆ ของศิลปิน "หลังจากเราได้มีการปรับโครงสร้างต่างๆภายใน ที่ช่วยให้ค่าใช้จ่ายด้านต่างๆปรับตัวลง ขณะที่ปีนี้เราจะเริ่มกลับมามีการฟื้นตัวหลังจากผลกระทบของโควิด-19 น้อยลง ส่งผลให้การจัดงานกิจกรรมต่างๆ กลับมาได้มากขึ้น ในขณะเดียวกันเรายังมีทั้งส่วนแบ่งรายได้และกำไรเข้ามาช่วยหนุนการเติบโตด้วย"นายธนากร กล่าว
#2213
'สิริฮับ โทเคน' แจกส่วนแบ่งรายได้งวดแรกรวมกว่า 64 ลบ.5 เม.ย.นี้

บริษัท เอ็กซ์สปริง ดิจิทัล จำกัด ผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนสิริฮับ (SiriHub Investment Token) โทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนที่อ้างอิงหรือมีกระแสรายรับจากอสังหาริมทรัพย์ตัวแรกของไทย (Real Estate-Backed ICO) ประกาศจ่ายส่วนแบ่งรายได้ครั้งแรก งวดวันที่ 11 ต.ค.64-31 มี.ค.65 เป็นจำนวนเงินรวมประมาณ 64 ล้านบาท แก่ผู้ถือโทเคนดิจิทัลสิริฮับ ทั้งสิริฮับ A และสิริฮับ B ในวันที่ 5 เม.ย.65 นี้

ทั้งนี้ ผู้ถือโทเคนดิจิทัลสามารถแจ้งความประสงค์เลือกช่องทางการรับผลตอบแทนผ่านบัญชีธนาคารได้ โดยดำเนินการผูกบัญชีธนาคารกับศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล อีอาร์เอ็กซ์ (ERX) ซึ่งจะใช้ระยะเวลาตรวจสอบและอนุมัติภายใน 3 วันทำการ หรือเลือกรับส่วนแบ่งรายได้ผ่านบัญชี Cash Balance ที่เปิดไว้กับ ERX โดยอัตโนมัติ

บริษัท เอสพีวี 77 จำกัด ในฐานะผู้ออกโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนสิริฮับ ได้แจ้งการจัดสรรส่วนแบ่งรายได้ งวดวันที่ 11 ต.ค.64-31 มี.ค.65 ให้แก่ผู้ถือโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนสิริฮับ ทั้งสิริฮับ A และสิริฮับ B ที่ยังคงถือโทเคนดิจิทัลอยู่ ณ เวลา 23.59 น. ของวันที่ 31 มี.ค.65 (วันกำหนดสิทธิ)

ผู้ถือโทเคนดิจิทัลสิริฮับ A จะได้รับส่วนแบ่งรายได้รายไตรมาส ในอัตราส่วนแบ่งรายได้ต่อมูลค่าการเสนอขายโทเคนดิจิทัลสิริฮับ A ไม่เกินร้อยละ 4.50 ต่อปี
ผู้ถือโทเคนดิจิทัลสิริฮับ B จะได้รับส่วนแบ่งรายได้รายไตรมาส ในอัตราส่วนแบ่งรายได้ต่อมูลค่าการเสนอขายโทเคนดิจิทัลสิริฮับ B ไม่เกินร้อยละ 8.0 ต่อปี
ทั้งนี้ผู้ถือโทเคนดิจิทัลทั้ง 2 ประเภท สามารถเลือกช่องทางการรับผลตอบแทนดังกล่าวผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ภายใน 1 วันทำการนับแต่วันกำหนดสิทธิ โดยต้องดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้

กรณีที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนบัญชีธนาคารในระบบของ ERX และต้องการรับส่วนแบ่งรายได้ผ่านบัญชีธนาคาร ผู้ถือโทเคนดิจิทัลต้องทำการลงทะเบียนบัญชีธนาคารกับ ERX ภายในวันที่ 28 มี.ค.65 โดยจะอนุมัติภายใน 3 วันทำการ

กรณีที่ต้องการรับส่วนแบ่งรายได้ผ่านบัญชี Cash Balance ที่เปิดไว้กับ ERX เพื่อใช้ซื้อขายในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ผู้ถือโทเคนดิจิทัลไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนบัญชีธนาคาร แต่เมื่อประสงค์ถอนเงินจากบัญชี Cash Balance จะต้องเสียค่าธรรมเนียมการถอนตามที่ ERX กำหนด

สำหรับโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนสิริฮับ (SiriHub Investment Token) เป็นโทเคนดิจิทัลที่อ้างอิงหรือมีกระแสรายรับจากอสังหาริมทรัพย์ตัวแรกของประเทศไทย (Real Estate-Backed ICO) เสนอขายแก่ประชาชนทั่วไปจำนวน 240 ล้านโทเคน รวมมูลค่าการเสนอขายจำนวน 2,400 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 1) โทเคนดิจิทัลสิริฮับ A จำนวน 160 ล้านโทเคน มูลค่า 1,600 ล้านบาท 2) โทเคนดิจิทัลสิริฮับ B จำนวน 80 ล้านโทเคน มูลค่า 800 ล้านบาท

โทเคนดิจิทัลสิริฮับเป็นการลงทุนในกระแสรายรับจากค่าเช่าของกลุ่มอาคารสำนักงานสิริ แคมปัส โครงการที่มีศักยภาพซึ่งตั้งอยู่ภายใน T77 คอมมูนิตี้แห่งการอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตใจกลางอ่อนนุช โดยมี บมจ. แสนสิริ (SIRI) เป็นผู้เช่าอาคารสำนักงานสิริ แคมปัส เต็มพื้นที่ 100% และเป็นสัญญาเช่าระยะยาว 12 ปี

 
#2214
GPI เริ่มจำหน่ายไฟฟ้าโครงการโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะที่เข้าร่วมลงทุน ผลักดันผลการดำเนินงานเติบโตก้าวกระโดด

'บมจ.กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล' หรือ GPI เริ่ม COD โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงจากขยะแปรรูป โดยมีสัญญาเสนอขายไฟฟ้าแก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคทั้งสิ้น 9 MW ในจังหวัดนครสวรรค์ หลังได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าเป็นที่เรียบร้อย ผลักดันผลการดำเนินงานเติบโตก้าวกระโดด เสริมความแข็งแกร่งให้แก่บริษัทฯ

นายพีระพงศ์ เอี่ยมลำเนา ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ GPI ผู้นำสร้างสรรค์การจัดกิจกรรมให้บริการข่าวสาร ข้อมูล สาระ เพื่อสร้างประสบการณ์ และความบันเทิงที่น่าประทับใจตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้ยานยนต์ เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทฯ เข้าร่วมลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงจากขยะแปรรูป (Refuse Derived Fuel หรือ RDF) โดยเข้าถือหุ้น 25.75% ในบริษัท ทรูเอ็นเนอร์จี จำกัด ซึ่งเป็นผู้พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงจากขยะแปรรูปในจังหวัดนครสวรรค์ เพื่อเป็นอีกหนึ่งธุรกิจหลักที่จะสร้างผลกำไรแก่บริษัทฯ อย่างต่อเนื่องในระยะยาว ล่าสุดโครงการโรงไฟฟ้าดังกล่าวได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เป็นที่เรียบร้อย ปัจจุบันได้เริ่มจำหน่ายกระแสไฟฟ้าเชิงพาณิชย์หรือ Commercial Operate Date (COD) แล้วเมื่อวันที่ 23 มีนาคม ที่ผ่านมา

โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงจากขยะแปรรูปดังกล่าว โดยมีสัญญาเสนอขายแก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.)ทั้งสิ้น 9 เมกะวัตต์ (สัญญา 5 ปีและต่อครั้งละ 5 ปีโดยอัตโนมัติ) ซึ่งจะได้รับส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) ในอัตรา 3.50 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง (Kwh) เพิ่มจากค่าไฟฐานเป็นระยะเวลา 7 ปี และบริษัทฯได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุน BOI เป็นเวลา 8 ปีนับจากวันที่เริ่มจำหน่ายไฟฟ้าแก่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค

บริษัทฯ คาดว่าผลการดำเนินงานในปีนี้มีแนวโน้มเติบโตก้าวกระโดดและเสริมความแข็งแกร่งให้กับบริษัทฯ เนื่องจากการลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าดังกล่าวจะช่วยสร้างผลกำไรเข้ามาอย่างสม่ำเสมอในระยะยาว เนื่องจากมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟภ.ที่แน่นอน จากปัจจุบันที่มีรายได้หลักจากการจัดงานบางกอก อินเตอร์ เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์

ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าดังกล่าวได้รับการออกแบบและก่อสร้างตามมาตรฐานสากล คำนึงถึงการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน โดยให้ความสำคัญกับการติดตั้งระบบและดำเนินการตามมาตรการป้องกันและลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและชุมชนใกล้เคียง ตามหลักการปฏิบัติที่จัดเตรียมไว้ เช่น อาคารโรงไฟฟ้าถูกออกแบบเป็นระบบปิด, ติดตั้งเครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศจากปล่องระบายมลพิษแบบต่อเนื่อง, ปฏิบัติตามมาตรการควบคุมการปล่อยสารมลพิษตามเกณฑ์มาตรฐาน, ควบคุมคุณสมบัติเชื้อเพลิง RDF ตามมาตรฐาน เป็นต้น เพื่อให้ความมั่นใจแก่ชาวบ้านที่พักอาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงโรงไฟฟ้า นอกจากนี้โรงไฟฟ้ายังมีส่วนช่วยกำจัดขยะชุมชนเพื่อลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

"การลงทุนครั้งนี้คาดว่าจะใช้ระยะเวลาคืนทุนประมาณ 5 ปี ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานอย่างสม่ำเสมอ จากปัจจุบันที่มีธุรกิจหลัก 3 กลุ่มคือ ธุรกิจการจัดงานแสดงสินค้าด้านยานยนต์และกิจกรรมส่งเสริมการตลาด ธุรกิจรับจ้างพิมพ์และธุรกิจสื่อ ที่สร้างรายได้หลักแก่บริษัทฯ อย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา" นายพีระพงศ์ กล่าว

 
#2215
ภาวะตลาดเงินบาท: เปิด 33.49 แข็งค่าจากวานนี้ ตลาดจับตาปัจจัยใน-ตปท. คาดกรอบ 33.40 - 33.60

นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ระดับ 33.49 บาท/ดอลลาร์ แข็ง ค่าเล็กน้อยจากเย็นวานนี้ที่ปิดตลาดที่ระดับ 33.51 บาท/ดอลลาร์

วันนี้คาดว่าเงินบาทคงแกว่งอยู่ในกรอบ เนื่องจากตลาดติดตามทิศทางของ flow จากต่างประเทศทั้งเข้า-ออก ใน ตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตร รวมถึงสถานการณ์ราคาน้ำมัน และการออกมาส่งสัญญาณจากทางธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

"ช่วงนี้บาทคงแกว่งๆ รอดู flow ต่างประเทศ ทั้งเข้าและออกในตลาดหุ้น และตลาดพันธบัตรบ้านเรา" นักบริหาร
เงิน ระบุ
นักบริหารเงิน คาดว่า วันนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 33.40 - 33.60 บาท/ดอลลาร์ โดยคืนนี้ ต้องติดตาม การรายงานยอดขายบ้านใหม่เดือน ก.พ.ของสหรัฐ

THAI BAHT FIX 3M (22 มี.ค.) อยู่ที่ระดับ 0.39961% ส่วน THAI BAHT FIX 6M อยู่ที่ระดับ 0.54426%

SPOT ล่าสุด อยู่ที่ระดับ 33.48000 บาท/ดอลลาร์

ปัจจัยสำคัญ
เงินเยนอยู่ที่ระดับ 121.07 เยน/ดอลลาร์ จากเย็นวานนี้ที่ระดับ 120.73 เยน/ดอลลาร์
เงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.1020 ดอลลาร์/ยูโร จากเย็นวานนี้ที่ระดับ 1.0997 ดอลลาร์/ยูโร
อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท/ดอลลาร์ ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักระหว่างธนาคารของธปท.อยู่ที่ระดับ 33.632 บาท/
ดอลลาร์
สศช. ฟันธงเศรษฐกิจพลาดเป้า 3.5-4.5% ชี้ปัจจัยลบมากกว่าปัจจัยบวก กรุงศรีหั่นจีดีพีเหลือ 2.8% ตามแรงกด
ดัน เงินเฟ้อพุ่ง ส่งออกลด และนักท่องเที่ยวหด
ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) เปิดเผยว่า ในปี 2564 ที่ผ่านมายอดเงินฝากภายใต้ความคุ้มครอง
ของไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 14.936 ล้านล้านบาท เป็น 15.592 ล้านล้านบาท เติบโตขึ้น 6.56 แสนล้านบาท หรือ 4.39% เป็น
เพราะความกังวลของคนไทยที่มีต่อการแพร่ระบาดของโควิด ขณะที่ผู้ฝากซึ่งได้รับการคุ้มครองเต็มจำนวน ปรับเพิ่มขึ้นจาก 82.38
ล้านราย เป็น 85.83 ล้านราย เติบโตขึ้น 3.45 ล้านราย หรือ 4.19%
รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า วันที่ 23 มี.ค. จะมีการประชุมร่วมเพื่อพิจารณาเรื่องวัตถุดิบอาหารสัตว์ ระหว่าง
กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเกษตรกรชาวไร่ข้าวโพด ชาวไร่มัน
สำปะหลัง ปศุสัตว์ ที่มีผลกระทบเรื่องต้นทุนอาหารสัตว์ ทำให้ราคาเนื้อสัตว์มีต้นทุนสูงขึ้น และผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ผลิตอาหาร
สัตว์ ซึ่งจะต้องหารือให้มีข้อยุติร่วมกัน และให้ได้ทางออกในเรื่องนี้
รัฐบาลญี่ปุ่น เตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและในตลาดการ
เงินที่เกิดขึ้นจากวิกฤตยูเครน ขณะที่รัฐสภาญี่ปุ่นได้อนุมัติงบประมาณแผ่นดิน สำหรับปีงบประมาณ 2565 เป็นวงเงิน 9 แสนล้าน
ดอลลาร์ ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันอังคาร
(22 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายดอลลาร์ซึ่งเป็นสกุลเงินปลอดภัย และหันเข้าซื้อสกุลเงินที่เป็นสินทรัพย์เสี่ยง เช่นยูโร และ
ปอนด์ หลังจากตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรปดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร (22 มี.ค.) โดยตลาดถูกกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล
สหรัฐที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี และจากการที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่า
เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 0.25% เพื่อสกัดเงินเฟ้อ
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงยอดขายบ้านใหม่เดือนก.พ., จำนวนผู้ขอรับ
สวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนก.พ., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนมี.ค.จาก
มาร์กิต, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือนมี.ค.จากมาร์กิต, ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย
(pending home sales) เดือนก.พ. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมี.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
#2216
บลจ.วรรณ แนะทยอยสะสมหุ้นเติบโตสูงช่วงผันผวน-กลุ่ม New Economyเสริมพอร์ต
 
นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ เปิดเผยว่า ภาพรวมของตลาดหุ้นโลกเริ่มฟื้นตัวขึ้นในระยะสั้น นำโดยหุ้นเติบโตและกลุ่มเทคโนโลยี หลังจากที่ถูกเทขายอย่างต่อเนื่องในช่วงก่อนหน้าที่ผ่านมาเนื่องจากมองว่า ปัจจัยเรื่องทิศทางอัตราดอกเบี้ยหลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีการประกาศปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ตามที่ตลาดคาดการณ์ สู่ระดับ 0.25%-0.50% โดยแนวโน้มของดอกเบี้ย (Dot plot) ชี้ว่า Fed จะปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องอีก 6 ครั้งในปีนี้เพื่อควบคุมเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง

ประกอบกับความกังวลระหว่างรัสเซียและยูเครนที่เริ่มผ่อนคลาย หลังประเทศยูเครนประกาศจะไม่เข้าร่วมเป็นสมาชิก NATO ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อเรียกร้องจากทางประเทศรัสเซีย และทั้งสองฝ่ายต่างเดินหน้าเจรจากันอย่างต่อเนื่อง แม้โดยรวมความขัดแย้งของทั้งสองชาติจะยังมีความไม่แน่นอนสูง แต่บลจ.วรรณคาดว่า ตลาดรับรู้ข่าวร้ายจากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์มาแล้วบางส่วน แต่หากมองในเชิงของปัจจัยพื้นฐานหุ้นในกลุ่มเติบโตและเทคโนโลยียังมีศักยภาพในการเติบโต และยังได้รับการสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐ

"ที่ผ่านมา หุ้นเติบโตและกลุ่มเทคโนโลยี ได้รับแรงกดดันจากการติดตามทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกอบกับบรรยากาศการลงทุนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างยูเครนและรัสเซีย อย่างไรก็ดี หุ้นเติบโตสูง ยังมีความน่าสนใจ โดยมองว่าหุ้นในกลุ่มนี้ยังได้รับปัจจัยบวกจากการที่รัฐบาลจีนมีแผนที่จะใช้มาตรการต่างๆ เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจให้บรรลุเป้าหมายการเติบโตปีนี้ที่กำหนดไว้ราว 5.5% และจะมีมาตรการที่หนุนตลาดทุนในหลากหลายมิติ อาทิ สนับสนุนหากบริษัทจีนต้องการจดทะเบียนในสหรัฐฯ มาตรการด้านกฎระเบียบที่เข้มงวดของกลุ่มเทคโนโลยีควรจะจบสิ้นเร็วๆนี้ สนับสนุนให้กองทุนในจีนถือหุ้นจีนเพิ่มในระยะยาว และ เสริมมาตรการพยุงและรักษาเสถียรภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์" นายพจน์กล่าว
อย่างไรก็ดี หากมองไปในระยะข้างหน้า บลจ.วรรณคาดว่า ตลาดหุ้นโลกมีแนวโน้มที่จะปรับตัวผันผวนในปีนี้ ดังนั้น การกระจายการลงทุนและใช้โอกาสจากความผันผวนเป็นจังหวะเพื่อทยอยเข้าลงทุนในระยะยาว โดยเน้นการลงทุนแบบ Selective มากขึ้น ซึ่งเป็นกลยุทธ์หลักในการลงทุนของปีนี้ บริษัทมองว่านักลงทุนมีแนวโน้มที่จะกลับมาให้น้ำหนักต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งสะท้อนพื้นฐานการเติบโตของบริษัทที่มีความสามารถในการแข่งขันและมีความสามารถในการกำหนดราคาสินค้าและบริการจากผู้บริโภค

สำหรับนักลงทุน "ระยะสั้นที่รับความเสี่ยงได้สูงมาก" ยังคงมองเป็นจังหวะที่จะกลับเข้าลงทุนบางส่วนเพื่อปิดความเสี่ยงหากตลาดกลับมาเป็นขาขึ้น (Upside risk) ในระยะสั้น ในกองทุนเปิดวรรณ อัลติเมท โกล. โกรว์ธ หน่วยลงทุนชนิดไม่จ่ายเงินปันผล สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป (ONE-UGG-RA) หรือ กองทุนเปิด วรรณ ดิสคัฟเวอรี่ หน่วยลงทุนชนิดไม่จ่ายเงินปันผล สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป (ONE-DISC-RA)

ส่วนนักลงทุนระยะยาว มองเป็นโอกาสในการเริ่มทยอยสะสมกองทุนเพิ่มเติม จากมูลค่าหุ้นในปัจจุบัน "มีความสมเหตุสมผล" สำหรับโอกาสการเติบโตในระยะยาว ขณะที่นักลงทุนที่มีการลงทุนแบบ DCA อยู่แล้วยังคงแนะนำให้ทำตามวินัยการลงทุนเดิม โดยเฉพาะที่เพิ่งเริ่มลงทุนในปี 2021 ซึ่งเป็นช่วงที่ต้นทุนราคาของกองทุนสูงกว่าปัจจุบันค่อนข้างมาก เป็นโอกาสสำหรับการถัวเฉลี่ยต้นทุนให้ต่ำลง แต่หากต้องการจับจังหวะการลงทุนเพิ่มเติม แนะนำแบ่งซื้อสะสมหลายๆไม้ ในต้นทุนที่แตกต่างกัน

นอกจากหุ้นในกลุ่มเติบโตและกลุ่มเทคโนโลยีที่สามารถกลับเข้าทยอยลงทุนบางส่วนได้แล้วนั้น ภาพระยะยาว หุ้นกลุ่ม New Economy ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตของกำไรได้อย่างต่อเนื่องและโดดเด่นจากศักยภาพในการแข่งขันและธุรกิจที่ตอบโจทย์กับการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ อาทิ Robots, Artificial Intelligence, Drones, Blockchain, Virtual reality, 3D Printing รวมถึง Biotech และ Health-tech เป็นต้น ได้เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวก เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการต่างๆ และลดต้นทุนในการทำธุรกิจในภาพรวม ซึ่งมีการเติบโตอย่างโดดเด่นและมีการระบาดของ Covid-19 เป็นตัวเร่งการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้

"บริษัทมองว่าหุ้นในกลุ่มเหล่านี้มีความสามารถในการสร้างรายได้ (Organic growth) และมีศักยภาพในการแข่งขันทางธุรกิจสูง แตกต่างจากภาพเศรษฐกิจที่กลับสู่ภาวะปกติในระยะข้างหน้า ดังนั้น หุ้นกลุ่ม New Economy จะเป็นหุ้นที่ควรจัดสรรในพอร์ตการลงทุนของท่าน ซึ่งบลจ.วรรณ แนะนำจัดสรรบางส่วนเพื่อเพิ่มผลตอบแทนโดยรวมของพอร์ตการลงทุนระยะยาวในกองทุนเปิด วรรณ เมตาเวิร์ส อิควิตี้ ONE-METAVERSE" นายพจน์กล่าว
#2217
Тайский массаж рядом с аэропортомทางร้านวราลีสปา หวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะมีผลให้
ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดี 
ผ่อนคลาย เพลินใจ
Тайский массаж рядом с аэропортомไปกับบริการของทางร้านพวกเรา ที่คัดสรรและ
ตั้งมั่นมาให้แก่ท่านจาก
Тайский массаж рядом с аэропортомใจในราคาประหยัดว์
สบายกระเป๋า วราลีสปายินดีต้อนรับจ้ะ

https://bit.ly/3NezYWv
#2218
ทองคำ 34,000 บาทอาจแค่เอื้อม !? เทรดสไตล์ "รายย่อย" คว้ากำไรยุคสงคราม

เป็นเวลาร่วมเกือบ 1 เดือนที่ผู้คนทั่วโลกเผชิญกับความไม่แน่นอนของวิกฤติสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน แม้ว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะมีการเจรจากันหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ยังคงไร้สัญญาณข้อสรุปยุติในเร็วๆนี้ ส่งผลให้เม็ดเงินลงทุนจำนวนมากไหลเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัยอย่าง "ทองคำ" เป็นแรงผลักดันราคาทองคำในตลาดโลกในเดือน มี.ค.ดีดตัวแรงทะลุ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เช่นเดียวกับราคาทองคำในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นทุบสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ผ่าน 32,000 บาทต่อบาททองคำ ก่อนจะเริ่มมีแรงขายสลับออกมาเป็นระยะ ส่วนหนึ่งตอบรับกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่กำลังจะเป็นขาขึ้นอย่างชัดเจนตลอดทั้งปีนี้ ทำให้วันนี้เริ่มมีการตั้งข้อสงสัยว่าราคาทองคำได้ผ่านพ้นจุดสูงสุดรอบนี้ไปแล้วหรือยัง ?? จุดต่ำสุดของราคาทองคำรอบนี้จะอยู่ตรงไหน ??

ไปไขทุกคำตอบเรื่องของ "ทองคำ" กับนางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)

ทั้งนี้ รายการ "Wealth Me Please" จะนำข้อมูลความรู้ด้านการเงินและการลงทุน ผ่านมุมมองของผู้เชี่ยวชาญหลายๆท่านนำมาต่อยอดช่วยสร้างความมั่งคั่งได้ด้วยตัวเอง 
#2219
ภาวะตลาดหุ้นไทยปิดเช้าบวก 0.25 จุด แกว่งแคบรับแรงขายกลุ่มแบงก์สลับแรงซื้อกลุ่มพลังงาน

SET ปิดเช้านี้ที่ระดับ 1,674.12 จุด เพิ่มขึ้น 0.25 จุด (+0.01%) มูลค่าการซื้อขายราว 42,017 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ เผยตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่งแคบบวก-ลบตามปัจจัยที่เข้ามา โดยเฉพาะความกังวลเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น และ S&P ลดอันดับเครดิต 4 แบงก์ไทย กดดันให้มีแรงขายกลุ่มแบงก์ สลับแรงซื้อกลุ่มพลังงานตามราคาน้ำมันโลก ส่วนสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครนก็ยังไม่แน่นอน ช่วงบ่ายคาดตลาดแกว่งแคบตอ่ไป ให้แนวรับ 1,670 จุด แนวต้าน 1,685 จุด

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดช่วงเช้าวันนี้ที่ระดับ 1,674.12 จุด เพิ่มขึ้น 0.25 จุด (+0.01%) มูลค่าการซื้อขายราว 42,788 ล้านบาท

การซื้อขายหุ้นช่วงเช้าวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยชะลอตัวลง โดยทำระดับสูงสุด 1,679.14 จุด และระดับต่ำสุด 1,670.55 จุด

นายชัยยศ จิวางกูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรี กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่งตัวบวกและลบเล็กน้อย ตามปัจจัยทั้งบวกและลบที่เข้ามา ขณะที่วอลุ่มค่อนข้างน้อย โดยตลาดกังวลอัตราเงินเฟ้อสหรัฐเร่งตัวขึ้นจะกดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรงขึ้น และ S&P ลดอันดับเครดิตของ 4 ธนาคารของไทย คือ SCB, KBANK, KTB, TTB ส่งผลให้มีแรงขายกลุ่มแบงก์ แต่ได้แรงซื้อกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบตลาดโลกปรับตัวขึ้นสูงอีกครั้ง

ขณะที่สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครนที่แม้จะมีการเจรจา แต่ก็ยังมีการโจมตีจากฝั่งของรัสเซีย ทำให้สถานการณ์กลับมาตึงเครียดขึ้น ทำให้เกิดความไม่แน่นอน จึงยังต้องติดตามข่าวอย่างต่อเนื่อง

แนวโน้มการลงทุนในช่วงบ่าย คาดว่าตลาดจะแกว่งตัวแคบคล้ายช่วงเช้า ให้แนวรับ 1,670 จุด แนวต้าน 1,685 จุด

ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์

PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 2,825.91 ล้านบาท ปิดที่ 153.00 บาท เพิ่มขึ้น 7.00 บาท

PTT มูลค่าการซื้อขาย 2,334.89 ล้านบาท ปิดที่ 39.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท

KBANK มูลค่าการซื้อขาย 2,085.36 ล้านบาท ปิดที่ 155.50 บาท ลดลง 3.00 บาท

EA มูลค่าการซื้อขาย 1,406.58 ล้านบาท ปิดที่ 93.75 บาท เพิ่มขึ้น 4.00 บาท

SCB มูลค่าการซื้อขาย 1,063.24 ล้านบาท ปิดที่ 112.00 บาท ลดลง 2.50 บาท
#2220
ครม.ไฟเขียว 10 มาตรการช่วยประชาชนจากปัญหาราคาพลังงานสูงช่วง พ.ค.-ก.ค.65

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุมครม. ได้มีมติเห็นชอบมาตรการเพิ่มเติมจากมาตรการต่างๆ ที่รัฐได้ออกไปแล้วและยังใช้อยู่ในขณะนี้ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มต้นได้ตั้งแต่เดือน พ.ค.-ก.ค.65 อย่างน้อย 10 มาตรการในการช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าครองชีพจากปัญหาราคาพลังงานให้กับประชาชน ประกอบด้วย

1.การเพิ่มเงินช่วยเหลือเพื่อซื้อก๊าซหุงต้มสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 3.6 ล้านคน โดยเพิ่มเงินเป็น 100 บาท/เดือน จกาเดิม 45 บาท

2. ส่วนลดซื้อก๊าซหุงต้ม เดือนละ 100 บาทสำหรับผู้ค้าหาบเร่แผงลอยที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 5,500 คน

3. ช่วยเหลือค่าน้ำมันให้กับผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมการขนส่งทางบก จำนวน 157,000 คน โดยช่วยลดค่าใช้จ่ายน้ำมันแก๊สโซฮอลล์ 250 บาทต่อเดือน และขอให้กรมการขนส่งทางบกกำกับราคาการให้บริการเพื่อให้ประชาชนที่ต้องใช้บริการมอเตอร์ไซค์รับจ้างมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางเท่าเดิม

4. คงราคาขายปลีกผู้ที่ใช้ก๊าซ NGV ไว้ที่ 15.59 บาท/กก.

5. ผู้ขับขี่แท๊กซี่มิเตอร์ภายใต้โครงการลมหายใจเดียวกัน สามารถซื้อก๊าซได้ในราคา 13.62 บาท/กก.

6. ช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้นสำหรับผู้ที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน โดยลดค่า Ft ลง 22 สตางค์ต่อหน่วยในช่วงเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม

7.ตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลที่ 30 บาทต่อลิตร ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2565 หลังจากนั้น รัฐบาลจะเข้าไปช่วยเหลือส่วนที่ราคาน้ำมันดีเซลปรับเพิ่มขึ้นครึ่งนึง

8. กำกับดูแลการปรับราคาก๊าซหุงต้มในช่วงตั้งแต่เดือนเมษายน - มิถุนายน โดยใช้กองทุนน้ำมันเข้าไปช่วยลดผลกระทบจากการปรับราคาให้ไม่ขึ้นสูงเกินไป

9. ลดอัตราเงินสบทบของนายจ้างและลูกจ้างที่อยู่ในระบบประกันสังคมมาตรา 33 จาก 5% เหลือ 1% เพื่อให้ลูกจ้างและนายจ้างสามารถมีกำลังในการใช้จ่ายและผู้ประกอบการสามารถมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นในการดำเนินธุรกิจในช่วงถัดไป

10. ลดอัตราเงินสมทบผู้ประกันตนมาตรา 39 จาก 9% เหลือ 1.9% และลดอัตราเงินสมทบของผู้ประกันตนมาตรา 40 ลงเหลือ 42-180 บาทต่อเดือน