• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - dsmol19

#6796


นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ติดตามผลการจัดโครงการ "เพิ่มศักยภาพเกษตรกรในยุคการค้าเสรี" กรณีช่วยสร้างโอกาสทางการค้าให้สินค้าแมลงทอดอบกรอบภายใต้แบรนด์ "แมลงรวย" จาก จ.อุดรธานี ที่ได้ลงพื้นที่ไปแนะนำเรื่องการต่อยอดธุรกิจและการใช้ประโยชน์จาก FTA พบว่าล่าสุดประสบความสำเร็จในการจับคู่ทำธุรกิจทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ โดยในประเทศได้วางจำหน่ายสินค้าแมลงทอดอบกรอบในซูเปอร์มาร์เกตเอกภาพ สาขาสระบุรี และตลาดไทได้แล้ว และในเดือน ก.ย. 2564 มีกำหนดวางจำหน่ายแมลงทอดอบกรอบในร้านสะดวกซื้อ 7-11 ทั่วประเทศ และแมลงแช่แข็งในห้างแม็คโครปลายปีนี้

ส่วนตลาดต่างประเทศ แมลงรวยเตรียมขยายการส่งออกไปยังตลาดสหภาพยุโรป (อียู) สหรัฐฯ เม็กซิโก จีน และอาเซียน ซึ่งแมลงรวยได้ติดต่อทำตลาดแล้ว มีผู้สนใจนำเข้าจำนวนมาก เนื่องจากเป็นสินค้าใหม่ที่ยังไม่มีคู่แข่งในตลาด และมีโอกาสเติบโตสูง เช่น ตลาดคุนหมิง ฮ่องกง และกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมา สปป.ลาว กัมพูชา เวียดนาม ที่ผู้บริโภคมีความคุ้นเคยกับการบริโภคสินค้าแมลงอยู่แล้ว แต่บางตลาด เช่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ผู้บริโภคแมลงมีจำนวนจำกัด เนื่องจากไม่นิยมบริโภค แต่ก็มีโอกาส หากเพิ่มการทำการตลาดและประชาสัมพันธ์สินค้าให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น

ทั้งนี้ ในการทำตลาดส่งออก กรมฯ ได้แนะนำให้ผู้ประกอบการใช้ประโยชน์จาก FTA เพื่อสร้างข้อได้เปรียบทางการค้าให้กับสินค้าไทย เพราะคู่ค้าที่มี FTA กับไทย 13 ฉบับกับ 18 ประเทศ ได้แก่ อาเซียน จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย เปรู และชิลี และอยู่ระหว่างรอการบังคับใช้ความตกลง RCEP ในปี 2565 ไม่มีการเรียกเก็บภาษีศุลกากรนำเข้าจากสินค้าแมลงเพื่อบริโภคที่ส่งออกจากไทยแล้ว การใช้ FTA สร้างแต้มต่อก็จะทำให้สินค้าไทยแข่งขันได้ดีขึ้น และลดต้นทุนได้มากขึ้น

นางอรมนกล่าวว่า สินค้าแมลงรวยสามารถขยายตลาดได้ทั้งในและต่างประเทศเนื่องจากเป็นสินค้าแมลงทอดอบกรอบเป็นรายเดียวในประเทศ เป็นสินค้าที่ได้รับรองมาตรฐานในเรื่องความปลอดภัยและกระบวนการผลิต โดยได้รับเครื่องหมาย อย. GMP, HACCP, CODEX และมาตรฐานวัตถุดิบฟาร์ม GAP และยังมีการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่มีความสวยงาม สีสันสะดุดตา ทันสมัย สะดวกต่อการพกพา และรับประทานง่าย รวมทั้งนำเสนอสินค้าในรูปแบบแปลกใหม่และหลากหลาย มีแมลงทอดอบกรอบทั้งดักแด้ จิ้งหรีด และสะดิ้ง แมลงแช่แข็ง น้ำพริกแมลงละลายน้ำ และผงจิ้งหรีดเพื่อใช้เป็นส่วนผสมในเบเกอรี คุกกี้ ในการเพิ่มโปรตีน เจาะตลาดกลุ่มผู้รักสุขภาพและเป็นทางเลือกใหม่ของผู้บริโภคที่ต้องการเริ่มต้นกินแมลง โดยผงจิ้งหรีดมีโปรตีนสูงถึง 75% มีธาตุเหล็กมากกว่านม 3 เท่า และอุดมไปด้วยกากใย วิตามิน แร่ธาตุต่างๆ ทั้งเหล็ก สังกะสี แคลเซียม รวมทั้งกรดไขมันโอเมกา 3 ที่จำเป็นต่อร่างกาย

นอกจากนี้ แมลงรวยยังอยู่ระหว่างการใช้นวัตกรรมในการพัฒนาเป็นสินค้าเวย์โปรตีนสกัดจากจิ้งหรีด เป็นอาหารเสริมที่มุ่งเจาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นนักกีฬา
#6797


จากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ต่อเนื่องยาวนานมาร่วม 1 ปีครึ่ง โดยการระบาดในช่วงแรก มีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมกองทุนรวมไทยอย่างมาก โดย มีเงินไหลออกจาก "กองทุนรวมตราสารหนี้" สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากตลาดตราสารหนี้ทั่วโลกประสบกับภาวะสภาพคล่องที่ไม่ปกติ จนทำมาสู่มีการไถ่ถอนหน่วยลงทุนรายวันเป็นมูลค่าสูง เป็นเหตุให้ธนาคารแห่งประเทศไทย  (ธปท.)ออกมาตรการดูแล ทำให้หยุดการแพนิกของนักลงทุนและตลาดค่อยๆฟื้นตัวหลังจากนั้น โดยใช้เวลาราว1ปีครึ่งกลับมาฟื้นตัวจากโควิด-19ได้ 

บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) รายงานว่า  ณ ไตรมาส1 ปี2563 มูลค่าทรัพย์สินสุทธิกองทุนรวมไทย (เฉพาะกองทุนเปิด ไม่รวมกองทุนปิด, ETF, REIT, Infrastructure fund)อยู่ที่ 3.6 ล้านล้านบาท ลดลง17.1% จากสิ้นปี 2562 โดยมีเงินไหลออกสุทธิ 3.9 แสนล้านบาท โดยเงินไหลออกจากกองทุนรวมตราสารหนี้ถึง 4.5 แสนล้านบาท 

โดยในช่วงตลอดปี 2563 อุตสาหกรรมกองทุนรวมไทยค่อยๆ เริ่มฟื้นตัวกลับมา การหดตัวของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิเริ่มชะลอตังลง จากเงินลงทุนไหลเข้าสู่กองทุนตลาดเงินและตราสารทุนในไตรมาส2ปี2563 และในช่วงครึ่งปีหลัง2563 การลงทุนเปลี่ยนโหมด เป็นเงินลงทุนไหลเข้ากองทุนตราสารทุนแทน ส่วนใหญ่เป็นกองทุนที่ไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศมากขึ้น

แต่อย่างไรก็ตาม ภาพอุตสาหกรรมกองทุนรวมไทยที่นักลงทุนแพนิกเทขายกองทุนตราสารหนี้ช่วงต้นปีนั้น ยังทำให้ ณ สิ้นปี2563 มูลค่าทรัพย์สินสุทธิกองทุนรวมไทย แม้ในช่วงไตรมาส4ปี2563 ปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า เพิ่มขึ้น 5.8% ไปอยู่ที่ 4.0 ล้านล้านบาท แต่ทั้งปี2563 ยังลดลด 7.3% จากสิ้นปี2562 โดยมีเงินไหลออกสุทธิทั้งปีรวมทั้งสิ้น 2.8 แสนล้านบาท

หลังจากนั้นในปี2564 อุตสาหกรรมกองทุนรวมไทยเริ่มฟื้นตัวจากโควิด-19  มูลค่าทรัพย์สินสุทธิกองทุนรวมไทย อยู่ที่ 4.1 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.6% จากสิ้นปี2563 และสูงกว่ามี.ค. ราว 15% แต่ยังต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ที่เคยอยู่ระดับสูงสุดช่วงธ.ค. 2562 ที่เกือบ 4.3 ล้านล้านบาทโดยในไตรมาสแรกปีนี้มีเงินไหลเข้าสุทธิ 3.3 หมื่นล้านบาท เน้นไปที่เงินไหลเข้าสุทธิกองทุนรวมตราสารทุน 

จนกระทั้งครึ่งปีแรก 2564 จึงฟื้นตัวจากโควิด-19 ได้ มีมูลค่าทรัพย์สินรวม 4.2 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.7%จากไตรมาสแรกปีนี้ หรือ 5.4% จากสิ้นปี2563 จากการเพิ่มขึ้นนี้ทำให้มูลค่าทรัพย์สินเข้าใกล้ระดับก่อนการระบาดของโควิด-19 ที่ 4.3 ล้านล้านบาท หรือต่างกันราว 1 แสนล้านบาท โดยในรอบครี่งปีแรกมีเงินไหลเข้าสุทธิรวม 9.3 หมื่นล้านบาท

ขณะที่แนวโน้มครึ่งปีหลัง2564 อุตสาหกรรมกองทุนรวมไทย ยังมีเทรนด์การเติบโตที่ดี ทั้งจากอานิสงกส์ ลดคุ้มครองเงินฝากเหลือ1ล้านบาท ทำให้มีเงินฝากไหลเข้ามาทะลักมาสู่กองทุนตราสารหนี้

และบลจ.ต่างๆยังคงแนะนำนักลงทุนไทย กระจายเงินลงทุนไปทั่วโลก  เพื่อเพิ่มผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดหุ้นไทย อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงในปีนี้ที่ภาวะการลงทุนมีความผันผวนมาก ทั้งสถานการณ์โควิด-19ที่รุนแรงขึ้นและยาวนานขึ้น เฟดมีสัญญาณลดคิวอีภายในปีนี้ รวมถึงการเมืองในประเทศกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง ซึ่งยังเป็นเทรนด์การลงทุนต่อเนื่องในปีนี้ 

ลองมาดูกันว่า การเติบโตของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ในช่วงวิกฤติโควิดรอบ1ปีครึ่งที่ผ่านมานี้ บลจ.ที่มีการเติบโตสูงสุด5อันดับ ดังนี้ 

1.บลจ.กสิกรไทย มูลค่าทรัพย์สิน 1.06 ล้านล้านบาท มีส่วนแบ่งตลาด 25.2%

2.บลจ.ไทยพาณิชย์ มูลค่าทรัพย์สิน 6.9 แสนล้านบาท มีส่วนแบ่งตลาด16.4%

3.บลจ.บัวหลวง มูลค่าทรัพย์สิน 5.8 แสนล้านบาท มีส่วนแบ่งตลาด 13.7%

4.บลจ.กรุงไทย มูลค่าทรัพย์สิน 4.1 แสนล้านบาท มีส่วนแบ่งตลาด 9.8% 

5.บลจ.กรุงศรี มูลค่าทรัพย์สิน 4 แสนล้านบาท มีส่วนแบ่งตลาด 9.4%

"ชญานี จึงมานนท์"  นักวิเคราะห์อาวุโส บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในภาพรวมอุตสาหกรรมกองทุนรวมไทยมีบลจ.กสิกรไทย เป็นผู้นำด้วยมูลค่าทรัพย์สินสูงสุด 1.06 ล้านล้านบาท หรือสัดส่วน 1 ใน 4 ของทั้งอุตสาหกรรม และเป็นเพียงบลจ.แห่งเดียวที่มีมูลค่าทรัพย์สินมากกว่า 1 ล้านล้านบาท การเติบโตนั้นมีส่วนมาจากทั้งกองทุนตราสารหนี้และกองทุนหุ้นต่างประเทศ กองทุนที่มีเงินไหลเข้ามากที่สุดในช่วง 1 ปีครึ่งที่ผ่านมาคือกองทุน K SF Plus รวมเกือบ 4 หมื่นล้านบาท

"บลจ.ไทยพาณิชย์"ที่มีส่วนแบ่งตลาดอันดับสองราว 16.4% จากมูลค่าทรัพย์สิน 6.9 แสนล้านบาท หรือมูลค่าทรัพย์สินลดลงจากช่วงก่อนโควิด 11.5% โดยมีส่วนมาจากมูลค่ากองทุน term fund และกองทุนผสมที่ลดลงอย่างมากหรือรวมกันมากกว่า 1 แสนล้านบาท กองทุนที่มีเงินไหลเข้ามากที่สุดในช่วง 1 ปีครึ่งที่ผ่านมาคือSCB Short Term Fixed Income Plus A ที่ 2.7 หมื่นล้านบาท

"บลจ.บัวหลวง"ยังคงมีมูลค่าทรัพย์สินสูงสุดเป็นอันดับสามด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 5.8 แสนล้านบาท หรือเท่ากับสัดส่วน 13.7% ซึ่งถือว่าค่อนข้างทรงตัวจากปี 2562 โดยกองทุนบัวหลวงมีมูลค่าทรัพย์สินขนาดใหญ่อยู่ในกลุ่มหุ้นไทยที่เป็นกองทุน LTF แม้ว่าเงินลงทุนในส่วนนี้จะค่อย ๆ ลดลง แต่การขายกองทุนต่างประเทศในกลุ่ม Global Equity, China Equity หรือ Global Technology หรือกองทุนตราสารตลาดเงิน ก็ยังช่วยให้มีกระแสเงินไหลเข้าสุทธิ รวมเป็นมากกว่า 4 หมื่นล้านบาทตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา กองทุนที่มีเงินไหลเข้ามากที่สุดในช่วง 1 ปีครึ่งที่ผ่านมา (ไม่รวมกองทุน term fund) คือ Bualuang Treasury 1.5 หมื่นล้านบาท

"บลจ.กรุงไทย" มีส่วนแบ่งตลาด 9.8% ด้วยมูลค่าทรัพย์สินรวม 4.1 แสนล้านบาท หรือเติบโต 17.2% จากสิ้นปี 2562 โดยมีการเติบโตจากกองทุนหุ้นจีนที่เคยมีมูลค่าราว 2 พันล้านบาทในปี 2562 และเพิ่มขึ้นเป็น 3.1 หมื่นล้านบาทในปัจจุบัน ประกอบกับการเติบโตจากกองทุน Asia Pacific ex-Japan Equity รวมไปถึงกองทุนเพื่อความยั่งยืน ทำให้บลจ.กรุงไทยที่เคยมีมูลค่าทรัพย์สินที่อันดับ 6 ขยับขึ้นมาเป็นอันดับ 4 กองทุนที่มีเงินไหลเข้ามากที่สุดในช่วง 1 ปีครึ่งที่ผ่านมาคือ KTAM China A Shares Equity A ที่ 1.9 หมื่นล้านบาท

"บลจ.กรุงศรี" มีมูลค่าทรัพย์สินรวมเกือบ 4 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.4% จากสิ้นปี 2562 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากกองทุนตราสารทุนเช่นกองทุนหุ้นจีน กองทุนหุ้นทั่วโลกเช่นเดียวกับบลจ.รายอื่น มีส่วนแบ่งตลาดที่ 9.4% เพิ่มขึ้นจากเดิมเล็กน้อยที่ 9.0% กองทุนที่มีเงินไหลเข้ามากที่สุดในช่วง 1 ปีครึ่งที่ผ่านมาคือ Krungsri Smart Fixed Income ที่ 2.5 หมื่นล้านบาท

"การเติบโตของบลจ.รายใหญ่ 5 อันดับแรกมีความคล้ายกันคือมีการเติบโตของมูลค่าการลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะตราสารทุน เช่น กองทุนหุ้นจีน หุ้นทั่วโลก และการเติบโตในลักษณะเดียวกันนี้เองทำให้ส่วนแบ่งตลาดส่วนใหญ่หรือราว 75% ยังอยู่ในบลจ. 5 อันดับแรกเช่นเดิม"

"ชญานี" กล่าวว่า  ขณะที่ บลจ.รายอื่นที่มีการเติบโตดี ได้แก่ "บลจ.ทิสโก้" มีมูลค่าทรัพย์สินสูงขึ้น 46.0% มาอยู่ที่ระดับ 7 หมื่นล้านบาท ทำให้ขยับขึ้นมาเป็นหนึ่งในบลจ.ขนาดใหญ่ที่สุด 10 อันดับแรก

นอกจากนี้ยังมีบลจ.ที่มีการเติบโตมากกว่า 100% โดยจะเป็นบลจ.ขนาดเล็กลงมาเช่น "บลจ.วรรณ" เติบโต 106.2% มูลค่าทรัพย์สินล่าสุด 7.1 หมื่นล้านบาท "บลจ.บางกอกแคปปิตอล" 318.6% มูลค่าทรัพย์สินล่าสุด 1.4 หมื่นล้านบาท และ "บลจ.เอ็กซ์สปริง" เติบโต 213% มูลค่าทรัพย์สิน 75.2 ล้านบาท
#6798


โดย พชร ธนภัทรกุล

ชาวแต้จิ๋วเรียกวันนี้ว่า ชิก-ง้วย-ปั่ว-โจ่ย (七月半节) แปลว่าวันสารทกลางเดือนเจ็ด มีบ้างที่เรียกว่า กุยโจ่ย (鬼) คือวันงานของผี ซึ่งตามปฏิทินจันทรคติจีนแล้ว จะตรงกับวันที่ 15 เดือนเจ็ดของทุกปี

ปกติแล้ว ไม่ว่าเทศกาลไหนของจีน ก็จะมีของกินที่เป็นสัญลักษณ์ของเทศกาลนั้นๆ เช่น ตรุษจีน มีขนมเข่งขนมฟู วันเช็งเม้ง ชาวแต้จิ๋วในจีนมี จี-พก-ก้วย(积朴粿) แต่ชาวแต้จิ๋วในไทย ดูเหมือนจะไม่มีของกินประจำเทศกาลนี้ เทศกาลตวนอู่หรือวันไหว้บ๊ะจ่าง ก็มีบ๊ะจ่าง เทศกาลตังโจ่ยหรือขนมอี๊ ก็จะมีขนมอี๊ (คล้ายบัวลอย)

แต่เทศกาลสารทจีน สำหรับชาวแต้จิ๋วทั้งในจีนและในไทย ดูจะไม่มีของกินประจำเทศกาล คงมีเพียงของกินที่เป็นของเซ่นเครื่องไหว้เท่านั้น ซึ่งก็เป็นอะไรที่คล้ายๆกับของเซ่นเครื่องไหว้ในเทศกาลอื่น ไม่มีอะไรเด่นเป็นพิเศษ

ชาวจีนเชื่อกันว่า ตลอดเดือนเจ็ดของทุกปีตามปฏิทินจีน ประตูเมืองผีจะเปิดตั้งแต่วันแรกไปจนถึงวันสิ้นเดือน เพื่อให้บรรดาผีทั้งหลายได้มีโอกาสออกจากเมืองนรกกลับมายังโลกมนุษย์เป็นเวลาหนึ่งเดือน เพื่อมา "เยี่ยม" ลูกหลาน มาดูว่า ในรอบปีที่ผ่านมา พวกเขาทำดีทำชั่วอะไรไว้ และอยู่ดีมีสุขกันไหม

การไหว้ผีไม่มีญาติ (ไม่จัดโต๊ะ) ขอบคุณภาพจาก http://www.chinalanguages.org/show_cy_lei.aspx?idxiaolei=%E4%B8%83%E6%9C%88%E5%8D%81%E4%BA%94
การไหว้ผีไม่มีญาติ (ไม่จัดโต๊ะ) ขอบคุณภาพจาก http://www.chinalanguages.org/show_cy_lei.aspx?idxiaolei=%E4%B8%83%E6%9C%88%E5%8D%81%E4%BA%94

เมื่อบรรดาผีบรรพชนอุตส่าห์เดินทางจากเมืองผี มา "เยี่ยม" ทั้งที คนบนโลกก็ควรมีพิธีต้อนรับขับสู้กันหน่อย ลูกหลานชาวจีนจึงเลือกเอาวันที่ 15 ของเดือนนี้ จัดเครื่องเซ่นของไหว้ มาเซ่นไหว้บรรพชน

แต่หากไม่มีการเซ่นไหว้ และพ้นวันนี้ไปแล้ว ผีบรรพชนที่ไม่ได้รับการเซ่นไหว้ ก็จะต้องกลายเป็นผีเร่ร่อนติดอยู่บนโลกมนุษย์ กลับไปเมืองผีไม่ได้ ต้องรอไปอีกหนึ่งปี เมื่อมีการเซ่นไหว้แล้วนั่นแหละ ถึงจะได้กลับไปเมืองผีกัน

ส่วนที่เลือกเซ่นไหว้ผีบรรพชนในวันที่ 15 เดือนเจ็ด ก็เพราะเป็นช่วงที่เริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง พืชผลบางชนิด เช่น ข้าวโพด มันเทศ งาและถั่วต่างๆ พุดซาจีน สาลี่ ลูกท้อ ลูกพลับ แม้แต่ฝ้าย ก็เริ่มสุกแก่เก็บเกี่ยวได้แล้ว เพื่อบอกกล่าวถึงผลเก็บเกี่ยวที่ได้ให้บรรพชนได้รับทราบ

ที่เล่ามานี้ เป็นเค้าลางบอกที่มาของวันสารทจีนว่า มาจากอิทธิพลคำสอนของขงจื๊อที่สอนให้ชาวจีนยึดถือความกตัญญูกตเวทิตาเป็นที่ตั้ง คือรู้คุณและแทนคุณ

ต่อมา ทั้งฝ่ายเต๋าและฝ่ายพุทธ ได้มองเห็นว่า ชาวจีนให้ความสำคัญกับวันนี้กันมาก จึงได้กำหนดให้วันนี้เป็นวันสำคัญของฝ่ายตนบ้าง กล่าวคือ

ของเซ่นเต้าหู้ (จานตรงกลาง) ขอบคุณภาพจากhttp://blog.sina.com.cn/s/blog_4d9d9ecd0102wvht.html?tj=1
ของเซ่นเต้าหู้ (จานตรงกลาง) ขอบคุณภาพจากhttp://blog.sina.com.cn/s/blog_4d9d9ecd0102wvht.html?tj=1

ฝ่ายเต๋ากำหนดให้เป็นวันเกิดของเทพเจ้าผู้ดูแลเมืองผี มีชื่อยาวเหยียดว่า 中元二品七炁赦罪地官洞灵清虚大帝青灵帝君 (ขอไม่ถอดเสียงอ่าน เพราะมันยาวเยิ่นเย้อ) แต่ชาวจีนเรียกกันสั้นๆว่า "จง-หยวน-ตี้-กวน" (中元地官) จึงเรียกวันนี้ว่า จง-หยวน-เจี๋ย (中元节)

ไหนๆเป็นวันเกิดทั้งที ท่านเทพเจ้าแห่งเมืองผีเลยใจดี อภัยโทษชั่วคราวแก่ผีทั้งหลาย พร้อมเปิดประตูเมืองผี ให้บรรดาผีไม่มีญาติได้มีโอกาสไป "เที่ยว" บนโลกมนุษย์ ยาวนานถึงหนึ่งเดือนเต็ม กลายเป็นวันหยุดยาวของบรรดาผีทั้งหลาย แล้วเกิดเป็นประเพณีเซ่นไหว้ผีไม่มีญาติขึ้น แยกต่างหากจากการเซ่นไหว้ผีบรรพชน

ส่วนทางฝ่ายพุทธ (มหายาน) ก็กำหนดให้วันนี้เป็นวัน "หวี-หลัน-ผึน (盂兰盆节) หรืออุลลัมพัน (ullambana) บอกเล่าเรื่องราวที่ภิกขุมู่เหลียน (目莲) บุกเมืองผีช่วยแม่ให้พ้นจากขุมนรก มาเป็นต้นเรื่อง กลายมาเป็นงานประเพณี ที่ชื่อว่า หวี-หลัน-ผึน-หุ้ย (盂兰盆会) ที่ชาวแต้จิ๋วในไทยเรียก หู่-หลั่ง-เส่ง-หวย (盂兰盛会-เสียงแต้จิ๋ว) โดยในงานจะมีพิธี "โพว-โต่ว-ซิ-โกว" (普度施孤) หรือที่เรารู้จักกันว่า งานประเพณีทิ้งกระจาด จุดประสงค์เดิม คือการแจกทานแก่ผีไม่มีญาติ เพื่อนำพาผีเหล่านี้ให้พ้นจากห้วงทุกข์ ต่อมาก็เลยแจกทานให้ทั้งผีทั้งคน (เน้นคนจน)

จากที่เล่ามา ชาวจีนมีการเซ่นไหว้ผีสองกลุ่ม คือกลุ่มผีไม่มีญาติ กับกลุ่มผีบรรพชนของตัวเอง ซึ่งก็เซ่นไหว้ต่างกัน มาเริ่มกันที่การเซ่นไหว้ผีไม่มีญาติกันก่อน

ชาวแต้จิ๋วเลี่ยงไม่เรียกผีไม่มีญาติทั้งหลายว่า กุ้ย (鬼) ที่แปลว่า ผี โดยตรง แต่เลี่ยงไปใช้คำที่มีความหมายดีกว่า เช่น โกวเอี๊ย (孤爷) อันเป็นการเรียกยกย่องเปรียบผีไม่มีญาติเหล่านี้ เป็นเจ้าใหญ่นายโต หรือ ฮอเฮียตี๋ (好兄弟) ซึ่งเป็นการเรียกที่แสดงความสนิทชิดเชื้อความเป็นกันเอง และความนับถือพวกเขาเสมือนพี่น้องเครือญาติ ดังนั้น จึงเรียกพิธีเซ่นไหว้ผีไม่มีญาติเหล่านี้ว่า "ไป้โกวเอี๊ย" (拜孤爷) หรือ"ไป้ฮอเฮียตี๋" (拜好兄弟)

การเซ่นไหว้ผีไม่มีญาติจะทำกันหลังเที่ยงวันไปแล้ว มีบ้างที่ไหว้หลังบ่ายสามโมงหรือหลังห้าโมงเย็น ต่างกันตามประเพณีของแต่ละถิ่น ชาวแต้จิ๋วในไทยมักไหว้ผีไม่มีญาติกันหลังเที่ยงวัน

ขนมโซวเกี้ยว หรือเกี๊ยวกรอบ (คล้ายกะหรี่ปับ) ขอบคุณภาพจาก http://blog.sina.com.cn/s/blog_4d9d9ecd0102wvht.html?tj=1
ขนมโซวเกี้ยว หรือเกี๊ยวกรอบ (คล้ายกะหรี่ปับ) ขอบคุณภาพจาก http://blog.sina.com.cn/s/blog_4d9d9ecd0102wvht.html?tj=1

ข้อสำคัญในพิธีเซ่นไหว้ คือไม่จัดโต๊ะไหว้ แค่ปูเสื่อปูผ้าวางอาหาร ผลไม้และของเซ่นไหว้ไว้บริเวณริมทางหน้าประตูบ้านนอกตัวอาคารก็พอ

เวลาไหว้ให้หันหน้าออกนอกอาคาร ไม่หันหน้าเข้าหาอาคาร เพื่อไม่เป็นการเชื้อเชิญผีไม่มีญาติเหล่านี้เข้าบ้าน

กระถางธูปให้ใช้กระป๋องหรือกระบอกไม้ไผ่ ใส่ข้าวสารไว้สัก 7 ส่วนทำเป็น "กระถางลอย" คือไม่ต้องเขียนชื่อใดๆติดไว้ คงตั้งลอยไว้อย่างนั้น ตั้งเทียนจีนไว้สองข้างกระถาง พร้อมกะละมังใบใหม่ใส่น้ำครึ่งหนึ่งและผ้าใหม่หนึ่งผืนไว้ให้ "ผี" ล้างหน้าล้างตา และล้างมือก่อนรับอาหารเครื่องเซ่นไหว้

เครื่องเซ่นไหว้ให้จัดอาหารปรุงจากเนื้อเป็ด เนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อปลา และผัก รวม 5 อย่าง ทำเป็นอาหารต่างๆราว 6-10-12 ชาม บ้างก็เพิ่มชุดเนื้อสัตว์ 3 อย่างที่เรียกว่า ซาแซ (三牲) มีห่าน (หรือเป็ดไก่) 1 ตัว เนื้อหมูต้มสุก 1 ชิ้น ปลานึ่งสุก 1 ตัว เหล้า 3-5-7-9-11 จอก น้ำชา 3 จอก ข้าวสวยตามจำนวนจอกเหล้า ขนมโก๋ ขนมเปี้ย ขนมโซวเกี้ยว (คล้ายกะหรี่ปับ) ขนมอิ่วจุ๋ง (คล้ายขนมกรอบเกลียว) เส้นหมี่ ข้าวของเครื่องใช้ชุดใหม่ ของแห้ง เช่น เครื่องกระป๋อง น้ำขวด น้ำอัดลม ข้าวสาร และอื่นๆ ที่ขาดไม่ได้คือ เฮียงหู่ (香腐) หรือเต้าหู้แข็ง นัยว่าเต้าหู้นี้เป็นเสมือนพาสปอร์ตวีซ่าใช้ผ่านประตูผีกลับไปเมืองผีได้

ขนมอิ่วจุ๋ง (คล้ายขนมกรอบเกลียว) ขอบคุณภาพจาก http://blog.sina.com.cn/s/blog_4d9d9ecd0102wvht.html?tj=1
ขนมอิ่วจุ๋ง (คล้ายขนมกรอบเกลียว) ขอบคุณภาพจาก http://blog.sina.com.cn/s/blog_4d9d9ecd0102wvht.html?tj=1

สำหรับผลไม้ เลือกใช้ผลไม้ต่างๆตามฤดูกาล ยกเว้นกล้วย ลูกไหน สาลี่ ฝรั่ง มังคุด น้อยหน่า มะเขือเทศ ที่เป็นผลไม้ต้องห้าม เหตุผลน่าจะมาจากชื่อจีนของผลไม้เหล่านี้ ที่ผู้ไหว้คิดว่าไม่เป็นมงคลหรือไม่อยากให้เกิดผลตามชื่อนั้นๆ จึงงดเสียไม่นำมาไหว้ เรื่องของต้องห้ามเหล่านี้แตกต่างกันไปตามประเพณีแต่ละท้องถิ่น จึงเกิดสสภาพที่ ผลไม้อย่างเดียวกัน จีนถิ่นนี้ห้ามนาเซ่นไหว้ แต่จีนถิ่นโน้น เอามาเซ่นไหว้ได้ คือไม่มีข้อห้ามร่วมกันชัดเจน

สิ่งที่ต้องเตรียมอีกรายการคือ กระดาษไหว้ ที่คนแต้จิ๋วเรียกว่า จั๋วจี๊ /จั๊วงึ่ง (纸钱/纸银) ซึ่งเมื่อไหว้เสร็จจะเผาส่งไปให้ผีไม่มีญาติเหล่านี้นำกลับไปใช้ยังเมืองผี ที่ต้องเตรียมมีเสียงึ้ง (小银) เป็นกระดาษติดเงินเปลวใบเล็ก

โกวอี (孤衣) คือกระดาษไหว้พิมพ์ลายหรือตัดพับเป็นรูปข้าวของเครื่องใช้ต่างๆในชีวิตประจำวัน เช่น เสื้อผ้า รองเท้า หมวก เป็นต้น

อวงแซจั้ว (往生钱) เป็นกระดาษไหว้ที่พิมพ์บทสวดให้กลับชาติไปเกิดใหม่ สี่มุมพิมพ์คำว่า แดนสุขาวดีตามความเชื่อของพุทธมหายาน

กิมงึ้งไฉ่ป้อ (金银财宝) เป็นกระดาษไหว้ที่พับเป็นเงินก้อนบ้าง ทองแท่งบ้าง

การไหว้เริ่มจากจัดวางตะเกียบให้ครบตามจำนวนจอกเหล้าและชามข้าวสวย จุดเทียนจีน รินน้ำชา รินเหล้า จุดธูปตามจำนวนของเซ่นไหว้บวกเพิ่มอีก 3 ดอก ไหว้แล้วปักธูป 3 ดอกไว้ในกระถางลอย ธูปที่เหลือปักไว้บนของเซ่นไหว้ให้ครบทุกที่ จากนั้นเผากระดาษไหว้โกวอีก่อน เสมือนหนึ่งให้ผีได้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนมากินของเซ่น พอธูปหมดไปครึ่งดอก ให้เผากระดาษไหว้ "เสียงึ้ง" และ"กิมงึ้งไฉ่ป้อ" เรียงลำดับจากใหญ่ไปเล็ก เผาเสร็จ เอาเหล้าที่เซ่นไหว้เทใส่เถ้ากระดาษไหว้ บ้างมีการโปรยข้าวสารโปรยเกลือไปตามทางเดิน เพื่อขับไล่ความโชคร้าย แล้วไหว้ลา เสร็จพิธี

ผลไม้และขนม ขอบคุณภาพจาก http://blog.sina.com.cn/s/blog_4d9d9ecd0102wvht.html?tj=1
ผลไม้และขนม ขอบคุณภาพจาก http://blog.sina.com.cn/s/blog_4d9d9ecd0102wvht.html?tj=1

พิธีไหว้บรรพชนก็ทำคล้ายคลึงกัน ต่างกันที่ต้องจัดโต๊ะวางของเซ่นไหว้ มีป้ายชื่อบรรพชน และกระถางไหว้ประจำตระกูล (ไม่ใช่กระถางลอย) จำนวนกับข้าวจะมี 6-8-12 ชาม เวลาไหว้ต้องเริ่มก่อนเที่ยงราว 11 โมงเช้า ในระหว่างไหว้ อาจทอดเวลาออกไปได้ไม่เกินบ่ายโมง ขั้นตอนการไหว้นั้นเหมือนกัน เพียงไม่ต้องปักธูปไว้บนของเซ่นไหว้ กระดาษไหว้ใช้เหมือนกัน แต่ให้เปลี่ยนใช้ตั่วงึ้ง (กระดาษเงินใหญ่) แทนเสียงึ้ง และเพิ่มกิมจั้ว ส่วนธนบัตรกงเต๊กและของมีค่าอื่นๆจะเพิ่มด้วยหรือไม่ก็ได้ พอธูปหมดไปครึ่งดอก ให้จุดธูปไหว้รอบสองและสาม พอธูปรอบสามหมดไปหนึ่งในสามดอก ให้ยกกระดาษไหว้ขึ้นลา การเผาก็ไล่ลำดับเริ่มจากเผาโกวอี กิมจั้ว ตั่วงึ้ง และกิมงึ้งไฉ่ป้อ จากใหญ่ไปหาเล็ก เทเหล้าใส่เถ้ากระดาษไหว้ เก็บของเซ่นไหว้ เสร็จพิธีไหว้บรรพชน

วัฒนธรรมในเรื่องผีของชาวจีนมากด้วยเนื้อหา คงไม่อาจสรุปเอาง่ายๆว่าเป็นเรื่องงมงาย มีเรื่องราวเกี่ยวกับคุณธรรมจริยธรรมหยั่งรากลึกอยู่ในนั้น สอนในเรื่องทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วจากทั้งฝ่ายเต๋าและฝ่ายพุทธ รวมทั้งความกตัญญูรู้คุณจากคำสอนของขงจื๊อ ซึ่งมีบทบาทอย่างสำคัญยิ่งในการจรรโลงคุณธรรมของสังคมชุมชนชาวจีน และช่วยสร้างคนดีให้กับครอบครัว สังคมชาวจีน และบ้านเมืองโดยรวม

ดังนั้น เมื่อละเนื้อหาส่วนที่งมงายเสีย ประเพณีสารทจีนจึงเป็นประเพณีที่ดีงามที่สมควรได้รับการสืบทอดต่อๆไปตราบนานเท่านาน
#6799


เพื่อให้คลังเวชภัณฑ์ทำงานอัตโนมัติ, สร้างระบบเก็บ-รับ-ส่ง-ประมวล-แสดงผลข้อมูลการเข้า-ออก และตำแหน่งปัจจุบันของเวชภัณฑ์แต่ละชนิดอย่างละเอียด เรียลไทม์ ในรูปแบบดิจิทัล ทำให้โรงพยาบาลสามารถวางแผนและจัดเตรียมเวชภัณฑ์ให้เพียงพอต่อการใช้รักษาผู้ป่วยโควิด-19 อย่างมีประสิทธิภาพ

ผศ.กานดา บุญโสธรสถิตย์ หัวหน้าศูนย์นวัตกรรมโลจิสติกส์ บัณฑิตวิทยาลัยการจัดการและนวัตกรรม มจธ. และหัวหน้าโครงการวิจัยและพัฒนาคลังเวชภัณฑ์อัจฉริยะฯ กล่าวว่า หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เวชภัณฑ์ในโรงพยาบาล โดยเฉพาะชุด PPE, หน้ากาก N95 และเวชภัณฑ์อื่นๆ ที่มีกว่า 130 ชนิด (SKU) ซึ่งจำเป็นต่อการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 มีไม่เพียงพอ หรือ ขาดสต๊อก มาจากปัญหาข้อมูลเวชภัณฑ์ในระบบไม่อัปเดต เพราะต้องใช้แรงงานคนในการติดตามการใช้งานและนับสต็อก ก่อนการคีย์ข้อมูลเข้าระบบจำนวนมาก ใช้เวลานาน

และไม่สามารถอัปเดตได้ตลอดเวลา ข้อมูลปริมาณการใช้งานและจำนวนคงเหลือที่มีอยู่ในระบบจึงไม่สะท้อนความจริง ทำให้กระทรวงสาธารณสุขไม่สามารถจัดสรรจำนวนเวชภัณฑ์ให้โรงพยาบาลได้อย่างเหมาะสม รวมถึงประชาชนที่ต้องการบริจาคเวชภัณฑ์เพื่อช่วยสนับสนุนการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ก็ไม่สามารถบริจาคได้ตามความขาดแคลนที่แท้จริง นี่จึงเป็นที่มาของโครงการพัฒนาคลังเวชภัณฑ์อัจฉริยะ ที่เชื่อว่าจะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้

"เรานำนวัตกรรมโลจิสติกส์มาพัฒนาคลังเวชภัณฑ์ที่มีอยู่เดิมให้ทันสมัยขึ้น โดยอัปเกรดอุปกรณ์ในคลัง เช่น รถเข็น, ตะกร้า, กล่องรักษา-ควบคุมอุณหภูมิ, ชั้นวางของ, ตู้แช่เย็น ด้วยกลุ่มเทคโนโลยี IoT ได้แก่ เทคโนโลยี RFID ที่ติดตั้งแท็กบนเวชภัณฑ์และอุปกรณ์ ทำให้สามารถรับและส่งข้อมูลเวชภัณฑ์ได้อัตโนมัติ เช่น ประเภทของเวชภัณฑ์ หมายเลขล็อตหรือแบ็ทช์, สถานที่ผลิต, วันผลิต, วันหมดอายุ, ตำแหน่งการวางและหยิบเวชภัณฑ์ในคลัง เป็นต้น ทดแทนการใช้คนจดบันทึกและคีย์ข้อมูลเข้าระบบ โดยโรงพยาบาลสามารถนำไปเชื่อมต่อเข้ากับระบบสารสนเทศของโรงพยาบาล (Hospital Information System: HIS) สำหรับการจัดการเวชภัณฑ์คงคลัง ด้วย Economic Order Quantity (EOQ) เพื่อมาคำนวณว่า ควรสั่งเวชภัณฑ์แต่ละประเภทปริมาณเท่าใด และเมื่อไหร่ ทั้งนี้ ข้อมูลเวชภัณฑ์จะอัปเดตทันทีเมื่อมีการนำเวชภัณฑ์เข้าและออกจากคลัง ช่วยให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายสามารถเช็คข้อมูลสต๊อกได้ถูกต้อง ตรงกัน และสั่งเวชภัณฑ์ได้ทันเวลา"


โดย ทีมวิจัยฯ เลือกใช้เทคโนโลยีแบบผสมผสาน เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งาน แก้ปัญหาที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ กำลังเผชิญ ด้วยงบประมาณที่สมเหตุสมผล เช่น การบันทึกปริมาณการใช้เวชภัณฑ์ สามารถเลือกใช้การติดตั้งตราชั่ง หรือ โหลดเซลล์ บนอุปกรณ์ ร่วมกับแท็ก RFID บนชั้นวางสำหรับเวชภัณฑ์ราคาสูงและ/หรือมีขนาดเล็ก เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่มีราคาแพง ส่วนเวชภัณฑ์อื่นๆ สามารถเลือกใช้เทคโนโลยีคิวอาร์โค้ดหรือบาร์โค้ด ซึ่งมีราคาย่อมเยากว่าได้

 ด้าน รศ.นพ. พฤหัส ต่ออุดม ผู้อำนวยการโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ กล่าวว่า ปัจจุบันระบบการเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างคลังเวชภัณฑ์ใหญ่ กับคลังย่อยของวอร์ดต่างๆในโรงพยาบาลยังไม่เชื่อมต่อกัน ทำให้การตรวจสอบปริมาณที่แท้จริงของเวชภัณฑ์แต่ละชนิดที่มีและใช้อยู่เป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะช่วงสถานการณ์โควิด-19 เวชภัณฑ์อย่างชุด PPE, หน้ากาก N95 เป็นเวชภัณฑ์ป้องกันที่จำเป็นและขาดไม่ได้ การพัฒนาคลังเวชภัณฑ์อัจฉริยะ จะเข้ามาช่วยให้การบริหารจัดการเวชภัณฑ์ทั้งระบบดีขึ้น ทำให้รับรู้ปริมาณของที่มีถูกต้อง และช่วงเวลาที่ควรสั่งซื้อ จนถึงความเหมาะสมในการนำเวชภัณฑ์แต่ละชนิดไปใช้ ซึ่งหากระบบนี้สำเร็จจะช่วยป้องกันปัญหาเวชภัณฑ์ขาดแคลนได้ เป็นประโยชน์โดยตรงต่อการรักษาผู้ป่วย และการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์
"นอกจากประโยชน์โดยตรงต่อการรักษาและความปลอดภัยของผู้ป่วย ซึ่งเป็นพันธกิจหลักของโรงพยาบาล คลังอัจฉริยะยังส่งผลดีต่อการบริหารจัดการภายในโรงพยาบาล ช่วยลดภาระงานของบุคลากรในงานด้านข้อมูล หมดปัญหาเวชภัณฑ์หมดอายุ เพราะมีการบันทึกวันเข้าและวันออกจากคลังแบบเรียลไทม์ ขณะเดียวกันก็ยังเชื่อมโยงสู่ระบบโลจิสติกส์ เพราะภายในโรงพยาบาลจะมีคลังย่อยต่างๆ แต่การบริหารจัดการแบบภาครัฐ จะให้ความสำคัญกับคลังใหญ่เป็นหลัก มีการเช็คข้อมูลสต๊อก ของเข้าและออกในคลังใหญ่ แต่ยังไม่มีระบบจัดการข้อมูลในคลังย่อย หากเป็นไปได้ก็อยากเห็นทุกโรงพยาบาลในประเทศไทยมีระบบคลังอัจฉริยะที่เชื่อมโยงข้อมูลไปถึงคลังย่อยแบบครบวงจร สามารถดูภาพรวมของที่มีอยู่ในโรงพยาบาลได้ทั้งหมด จะทำให้เห็นภาพได้ชัดเจน" รศ.นพ. พฤหัส กล่าวเพิ่มเติม 

โครงการพัฒนาคลังเวชภัณฑ์อัจฉริยะ เป็นความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ร่วมกับโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ และบริษัททำน้อยได้มากจำกัด ผู้ให้บริการด้านระบบการจัดการคลังสินค้า และผู้ให้คำปรึกษาด้านลีน ที่มาร่วมกันพัฒนาคลังเวชภัณฑ์เพื่อรองรับการทำงานของโรงพยาบาลต่อการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 โดยขณะนี้ยังอยู่ในช่วงหาทุนสนับสนุนวิจัย เมื่อได้รับทุนแล้วก็พร้อมลงมือพัฒนาคลังเวชภัณฑ์อัจฉริยะได้ทันที
#6800


จีนจะเปิดทางให้คู่สมรสมีความชอบธรรมทางกฎหมายในการมีบุตรสูงสุด 3 คน ท่ามกลางความกังวลจำนวนประชาชนในวัยทำงานในประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกแห่งนี้กำลังลดลงเร็วเกินไป ซึ่งอาจเป็นภัยคุกคามต่อความหวังของปักกิ่ง ที่ปรารถนาเพิ่มความเจริญรุ่งเรืองและยกระดับอิทธิพลในเวทีโลกในอนาคต

สมาชิกสภานิติบัญญัติจีนได้ปรับแก้กฎหมายวางแผนครอบครัวและประชากรเมื่อวันศุกร์ (20 ส.ค.) ส่วนหนึ่งในความพยายามปรับเปลี่ยนข้อบังคับที่มีมาอย่างยาวนานหลายทศวรรษของพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งควบคุมขนาดของครอบครัวด้วยคำสั่งทางการเมือง

สำนักงานซินหัว สื่อมวลชนแห่งรัฐของจีน รายงานย้อนกลับไปในเดือนพฤษภาคมว่า ข้อเสนอแก้ไขกฎหมายได้รับความเห็นชอบระหว่างการประชุมคณะกรรมการกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์ที่มีประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เป็นประธาน

พรรคคอมมิวนิสต์บังคับใช้มาตรการจำกัดการมีบุตรมาตั้งแต่ปี 1980 เพื่อควบคุมการขยายตัวของประชาชน อัตราการเกิดที่ลดลงของจีน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากนโยบายลูกคนเดียวในปี 1979 ประเทศแห่งนี้โอ้อวดมาช้านานว่านโยบายดังกล่าวประสบความสำเร็จในการป้องกันการเกิดใหม่ถึง 400 ล้านคน ปกป้องทรัพยากรต่างๆ และช่วยขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ

คู่สมรสที่ไม่ปฏิบัติตามนโยบายลูกคนเดียวมีสิทธิตกงานและถูกปรับเงิน ในบางกรณีคุณแม่หลายคนยังถูกบังคับทำแท้งหรือทำหมัน และด้วยที่ครอบครัวต่างๆ ชอบลูกชายมากกว่าลูกสาว มันยังทำให้หลายครอบครัวตัดสินใจทำแท้งทารกเพศหญิง นำมาซึ่งความไม่สมดุลอย่างมากในอัตราส่วนระหว่างเพศชายและเพศหญิง

ข้อจำกัดต่างๆ ที่กำหนดต่อครอบครัวในกฎหมายวางแผนครอบครัวและประชากร มีการผ่อนปรนเป็นครั้งแรกในปี 2015 เปิดทางให้คู่สมรสมีบุตรได้สูงสุด 2 คน ในขณะที่เจ้าหน้าที่ยอมรับว่ามันเป็นผลลัพธ์จากอัตราการเกิดที่ลดลงอย่างมาก แต่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่งผลกระทบเพียงเล็กน้อยต่ออัตราการเกิดที่ลดลงของประเทศ

จากข้อมูลพบว่า มีทารกลืมตาดูโลก 12 ล้านรายเมื่อปีที่แล้ว ลดลง 18% จาก 14.65 ล้านคนในปี 2019 แตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 6 ปี ในขณะเดียวกัน ประชากรวัยชราอายุ 60 ปีขึ้นไปของจีนพุ่งแตะ 264 ล้านคน คิดเป็น 18.7% ของประชากรทั้งหมดในปี 2020 เพิ่มขึ้นจากช่วงปี 2010 ถึงเกือบ 6%

ในช่วงเวลาเดียวกัน ประชากรวัยทำงานของจีนลดลงเหลือ 63.3% จากระดับ 70.1% เมื่อ 1 ทศวรรษก่อน

ณ ที่ประชุมเมื่อวันศุกร์ (20 ส.ค.) คณะกรรมาธิการสามัญประจำสภาประชาชนแห่งชาติ (Standing Committee of the National People's Congress) ยกเลิกข้อกำหนดปรับเงินสำหรับผู้ละเมิดข้อบังคับต่างๆ ก่อนหน้านี้ และเรียกร้องให้สิทธิลาคลอดเพิ่มเติมและเพิ่มเติมทรัพยากรดูแลเด็ก โดยในกฎหมายฉบับแก้ไขระบุว่า ควรนำมาตรการใหม่มาใช้ ทั้งในด้านการเงิน ภาษี การศึกษา ที่อยู่อาศัยและการจ้างาน เพื่อแบ่งเบาภาระแต่ละครอบครัว

นอกจากนี้แล้วในกฎหมายฉบับแก้ไขยังหาทางจัดการกับปัญหาที่เรื้อรังมานานเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติกับผู้หญิงตั้งครรภ์และคุณแม่มือใหม่ในสถานที่ทำงาน ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาหลักที่ขัดขวางการมีบุตรเพิ่ม เช่นเดียวกับค่าใช้จ่ายระดับสูงและความคับแคบแออัดของที่พักอาศัย

(ที่มา : เอพี/เอ็นบีซีนิวส์)
#6801


บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) มีแผนที่จะลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยกลางเดือน ส.ค.2564 "ยัง หลิว" ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฟ็อกซ์คอนน์ กรุ๊ป จากไต้หวัน ได้ประกาศแผนการลงทุนผลิตรถ EV ในประเทศไทยและสหรัฐในปี 2565 โดยโรงงานดังกล่าวจะดำเนินการผลิตแบบแมสโปรดักชันในปี 2566 

โรงงานผลิตรถ EV ของฟ็อกซ์คอนน์ในประเทศไทยจะเป็นการร่วมลงทุนกับ ปตท.โดยจะเป็นการพัฒนาแพลตฟอร์ม EV พร้อมขึ้นไลน์ผลิตเพื่อรองรับตลาดในประเทศและส่งออกไปยังประเทศในอาเซียน ด้วยกำลังการผลิตปีละ 150,000-200,000 คัน

อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เปิดเผย "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า ที่ผ่านมา ปตท.ได้ศึกษาร่วมกับฟ็อกซ์คอนน์มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกำลังการผลิตที่ฟ็อกซ์คอนน์ประกาศออกมาดังกล่าวก็อยู่ในการศึกษาร่วมกัน โดยที่ผ่านมาทั้ง 2 ฝ่าย ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โครงการลงทุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย กับ บริษัท หงไห่ พริซิชั่น อินดัสทรี จำกัด หรือ ฟ็อกซ์คอนน์ กรุ๊ป เมื่อวันที่ 31 พ.ค.2564

ทั้งนี้ เมื่อได้ลงนามบันทึกความร่วมมือกับฟ็อกซ์คอนน์แล้วได้มีการหารือในรายละเอียด เพื่อยกระดับความร่วมมือตาม MOU ขึ้นมาเป็นกิจการร่วมค้า หรือ Joint Venture เพื่อเริ่มดำเนินการลงทุนตามที่ศึกษาไว้ ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปี 2564

"การตั้งโรงงานจะเริ่มขึ้นในปี 2565 และแผนที่ศึกษาไว้ว่าจะผลิตแบบแมสโปรดักชั่นในปี 2566 ก็มีโอกาสที่จะเป็นไปได้ และจะเป็นการผลิตเพื่อทำการตลาดทั้งในประเทศไทยและส่งออกไปในภูมิภาคอาเซียน" นายอรรถพล กล่าว

การเข้ามาลงทุนในธุรกิจ EV ของกลุ่ม ปตท.เพื่อรองรับการพัฒนา New S-Curve ซึ่ง ปตท.จะมุ่งเน้นการลงทุนในเทรนด์หลักที่สำคัญของโลก 2 ด้าน คือ Go Green และ Go Electric โดยในอนาคตปริมาณรถ EV จะมีเพิ่มมากขึ้น และรัฐบาลได้กำหนดเป้าหมายการผลิตรถ EV อย่างชัดเจน รวมทั้งในการลงทุนของกลุ่ม ปตท.ครั้งนี้ จะเป็นการพัฒนาแพลตฟอร์ม EV เพื่อรองรับการให้บริการที่ครอบคลุมเครือข่ายอีวีทั้งหมด จะเป็นลักษณะของแอพพลิเคชั่นที่ออกมารองรับการใช้งาน



รายงานข่าวจาก ปตท.ระบุว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการเจรจาระละเอียดเพื่อพัฒนาเป็น Joint Venture และเมื่อได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการร่วมลงทุนก็จะยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนกับ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ซึ่งมีแพ็คเก็จส่งเสริมการลงทุนผลิตรถ EV อยู่แล้ว และคงไม่ได้กำหนดสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม

ทั้งนี้ กลุ่ม ปตท.ได้เริ่มลงทุนใน EV Value Chain ซึ่งครอบคลุมการพัฒนา EV Charging Platform รวมถึงการพัฒนา EV Station และการตั้งโรงงานผลิตรถ EV ทั้งรถ 2 ล้อ รถ 4 ล้อ และรถบรรทุก

บริษัท โกล. เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) ได้ลงทุนตั้งโรงงานผลิตหน่วยกักเก็บพลังงาน G-Cell โดยใช้เทคโนโลยี SemiSolid กำลังการผลิตเริ่มต้น 30 MWh (เมกะวัตต์ชั่วโมง) ต่อปี ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง และมีแผนขยายกำลังการผลิตเป็นเป็น 5 GWh ต่อปี ใน 5 ปีข้างหน้า ก่อนขยายสู่กำลังการผลิต 10 GWh (กิกะวัตต์ชั่วโมง) ต่อปี ใน 10 ปี เพื่อป้อนความต้องการใช้รถอีวีในประเทศ เช่น รถบัสไฟฟ้า เรือไฟฟ้า รถตุ๊กต๊กไฟฟ้า รถไฟฟ้าสี่ล้อขนาดเล็ก รถมอเตอร์ไซด์ไฟฟ้า

ในขณะที่บริษัท สวอพ แอนด์ โก จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ ปตท.ได้นำเข้ารถจักรยานยนต์ไฟฟ้า และมีการตั้งจุดทดลองให้สามารถ Swap หรือการแลกเปลี่ยนแบตเตอรี่แบบการสลับแบตเตอรี่ ด้วยการถอดเอาแบตเตอรี่ออก แล้วใส่แบตเตอรี่ลูกใหม่เปลี่ยนพร้อมใช้งานทันที โดยไม่ต้องจอดรอชาร์จไฟฟ้า

ส่วนการพัฒนาสถานีอัดประจุไฟฟ้า ในส่วนที่จัดตั้งในปั๊มน้ำมันทางบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จํากัด (มหาชน) หรือ OR ได้จัดตั้งแล้ว 30 แห่ง และจะเพิ่มเป็น 100 แห่ง ในสิ้นปี 2564 ส่วนการจัดตั้งนอกปั๊มน้ำมันจะดำเนินการโดยบริษัท ออน-ไอออน โซลูชั่นส์ จำกัด ซึ่งมีเป้าหมายจะติดตั้ง 100 แห่ง ในสิ้นปีนี้ ดังนั้น ภายในสิ้นปีนี้กลุ่ม ปตท.จะมีปั๊มชาร์จไฟฟ้าทั้งหมด 200 แห่ง

นอกจากนี้ มีการตั้งบริษัทได้จัดตั้งบริษัท อีวีมีพลัส จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 1,000ล้านบาท และมีทุนชำระเริ่มแรก 340 ล้านบาท เพื่อดำเนินการในธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์ New S-Curve ของ ปตท.ผ่านการให้บริการด้านดิจิทัลแพลตฟอร์ม รวมทั้งจะเป็นการส่งเสริมและสร้างระบบนิเวศธุรกิจให้เกิดการใช้ EV เช่น บริการให้เช่ายานยนต์ไฟฟ้า บริการข้อมูลเกี่ยวกับ สถานีอัดประจุไฟฟ้าและสถานีซ่อมบำรุง EV

รายงานข่าวจากกระทรวงอุตสาหกรรมระบุว่า ที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ได้กำหนดเป้าหมายใหม่ในการผลักดันยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย ซึ่งต้องเป็นรถยนต์ ZEV หรือรถยนต์ที่ไม่ปล่อยมลพิษ โดยจะมีการเร่งรัดให้ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 100% ในปี 2578 หรือ อีก 14 ข้างหน้า ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายเดิมในปี 2583 หรือเร็วขึ้นกว่าเดิม 5 ปี ขณะที่ปี 2573 จะต้องผลิตรถไฟฟ้าให้ถึง 50% ของปริมาณการผลิตรถทุกชนิด

สำหรับเป้าหมายใหม่ แบ่งเป็นการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสะสม ในปี 2568 ที่ 1.05 ล้านคัน แบ่งเป็น รถยนต์นั่ง รถปิคอัพ 400,000 คัน รถจักรยานยนต์ 620,000 คัน รถบัส รถบรรทุก 31,000 คัน

และปี 2578 จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสะสม 18.41 ล้านคัน แบ่งเป็น รถยนต์นั่ง รถปิคอัพ 8.62 ล้านคัน รถจักรยานยนต์ 9.33 ล้านคัน รถบัส รถบรรทุก 458,000 คัน

ส่วนเป้าหมายการใช้รถไฟฟ้าสะสม ในปี 2568 อยู่ที่ 1.05 ล้านคัน แบ่งเป็น รถยนต์นั่ง รถปิคอัพ 402,000 คัน รถจักรยานยนต์ 622,000 คัน รถบัส รถบรรทุก 31,000 คัน

และปี 2578 จะมีการใช้รถไฟฟ้าสะสม 15.58 ล้านคัน แบ่งเป็น รถยนต์นั่ง รถปิคอัพ 6.40 ล้านคัน รถจักรยานยนต์ 8.75 ล้านคัน รถบัส รถบรรทุก 430,000 คัน

 
#6803


ช่วง Work from home หลายคนก็อาจจะมองหาเคล็ดลับการดูแลผิว ที่เขาว่าดีว่าเด็ดมาทดลองใช้ เพื่อให้มีผิวหน้าที่เรียบเนียน แข็งแรง สดใส อยู่เสมอ เวลาที่ต้องแต่งหน้าทำคอนเทนต์อยู่บ้านหรือจะวิดีโอคอล ประชุม ก็ดูสวยเป็นธรรมชาติ และสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง แต่ก็ยังมีข้อข้องใจเกี่ยวกับปัญหาผิวบางอย่างที่แก้ด้วยวิธีไหนก็ไม่ตอบโจทย์ ไม่ทันใจ ลองมาร่วมหาคำตอบกัน

เมิร์ซ เอสเธติกส์ ไทยแลนด์ ได้เชิญ นายแพทย์ ดิษฐพงศ์ สัตตบงกช แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและความงาม มาร่วมให้เกร็ดความรู้และคำแนะนำดีๆเกี่ยวกับการดูแลผิว พร้อมเคล็ดลับการดูแลผิวแบบฉบับ กวาง-วรรณปิยะ ออมสินนพกุล หรือ กวาง เดอะเฟซ ให้สวยใสอยู่ตลอดเวลา เพื่อสร้าง Confidence to be...สวยมั่นใจในแบบฉบับที่เป็นตัวเอง

นพ. ดิษฐพงศ์ เผยว่า "การดูแลผิวเริ่มต้นได้ง่ายๆ จากเรื่องพื้นฐาน อย่างกิน อยู่ หลับนอน คือการกินอาหารที่มีประโยชน์ ใช้ชีวิตอย่างเหมาะสม และนอนหลับให้เพียงพอ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้เลย และการดูแลผิวเองทั้งในแบบที่เราดูแลตัวเองที่บ้านหรือในแบบที่เข้าคลินิกเสริมความงาม โดยมีผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ดูแล ต่างเปรียบเสมือนการออกกำลังกาย ยิ่งเราออกกำลังกายเร็ว เราก็จะมีสุขภาพที่แข็งแรงเร็วกว่าคนที่ออกกำลังกายทีหลังเรา หรือคนที่ไม่ออกกำลังกายเลยเป็นต้น ดังนั้น หากเราเริ่มดูแลผิวเร็ว ผิวเราก็จะได้รับการบำรุงให้แข็งแรงสดใสมากขึ้นเร็วเท่านั้น"



ด้าน กวาง เดอะเฟซ เผยเทคนิคการดูแลผิวของตัวเองให้สวยอยู่เสมอแม้ใช้ไลฟ์สไตล์อย่างเต็มที่ว่า "กวางบ้าการดูแลผิวมาก ปัญหาผิวของกวางที่กวนใจตัวเองมากๆ คือ รูขุมขนกว้าง ซึ่งจะทำให้หน้าเรามันและดูแก่ ไม่สดชื่น ทำอย่างไรก็ไม่หาย"

ทั้งนี้ คุณหมอและกวางยังได้เผย 5 เคล็ดลับและวิธีดูแลปัญหาผิว ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน ดังนี้



1. จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว ไม่ใช่แค่จิตใจที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของเรา ยังส่งผลต่อความงาม โดยเฉพาะ เรื่องของผิวพรรณอีกด้วย หากสภาพจิตใจเราแย่หรือเวลาที่เราเครียด ร่างกายก็จะหลั่งสารที่ส่งผลเสียต่อผิวออกมา ทำให้ผิวดูหม่นหมอง ขาดความสมดุล ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิวหรือผื่นแพ้ หรืออาจเกิดริ้วรอยขึ้นได้ เช่นเดียวกับเวลาที่เราสดชื่น ร่างกายก็จะหลั่งสารเอ็นโดรฟิน ทำให้ใบหน้าและผิวดูอวบอิ่ม สดใสและแสดงให้เห็นว่าเรากำลังมีความสุข และยิ่งผิวหนัง เป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย เป็นสิ่งแรกที่คนจะสังเกตเห็นได้มากที่สุด ดังนั้น หากเรามีจิตใจที่แจ่มใสย่อมมีผลต่อสภาพผิวให้สดใสจากภายในสู่ภายนอกอยู่เสมอ



2. บำรุงผิวอย่างล้ำลึก ด้วย MASK การมาส์กหน้า เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยดูแลและบำรุงผิวได้เป็นอย่างดี หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า มาส์ก ไม่ได้มีดีแค่ส่วนผสมที่เข้มข้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผิวซึมซับเนื้อครีมจากมาส์กได้ดีขึ้น และมากกว่าการทาครีมบำรุงผิวในขั้นตอนแบบปกติ ซึ่งจะช่วยให้เห็นประสิทธิภาพในการบำรุงผิวได้สูง โดยความถี่ในการมาส์กหน้าก็ขึ้นอยู่กับประเภทของมาส์กที่เราใช้ด้วย แต่โดยทั่วไปจะแนะนำให้มาส์กสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวแห้งเกินไป

3. รูขุมขนกว้างกวนใจ แก้อย่างไรก็ไม่หาย เกิดจาก 3 สาเหตุหลักคือ ต่อมไขมันใหญ่ ทำให้รูขุมขนซึ่งเป็นท่อทางออกของน้ำมันที่เราสร้างขึ้นมีขนาดใหญ่ไปด้วย หรือช่วงอายุที่มากขึ้น ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินเริ่มเสื่อมสภาพ ทำให้รูขุมขนกว้างขึ้น และอาจเกิดจากพฤติกรรมที่เราทำบางอย่างกับผิวหน้าอย่างผิดวิธี เช่น การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม มีความรุนแรงของกรดหรือด่างมากเกินไป หรือการกระทำอะไรกับผิวหน้าที่รุนแรง ก็ล้วนส่งผลให้เกิดรูขุมขนกว้าง การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ช่วยกระชับรูขุมขน ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี



4. ผิวแห้งทำง่าย แต่ผิวอิ่มฟูทำยาก หลักๆ คือต้องทำให้ผิวหน้ามีความบาลานซ์และอิ่มน้ำที่เพียงพอ ตัวช่วยช่วงนี้ของหลายคนคงหนีไม่พ้นการบำรุงด้วยครีมหรือเซรัม แต่ต้องอย่าลืมทานน้ำและพักผ่อนให้เพียงพอ เน้นการทานอาหารหรือวิตามินเสริมที่มีวิตามินซีและคอลลาเจน ก็สามารถช่วยได้



5. โดนแดดบ่อยแล้วผิวแก่เร็ว ใครที่เป็นสายเที่ยวทะเล อาบแดด หรือต้องโดนแดดบ่อยๆในชีวิตประจำวัน ต้องระวัง! เนื่องจากแสงแดด เป็นตัวทำลายสิ่งที่สำคัญของผิว อย่าง คอลลาเจน ซึ่งอาจทำให้หลายคนที่มีไลฟ์สไตล์ชอบเที่ยวและต้องโดดแดดบ่อยๆ อาจทำให้ผิวแก่ก่อนวัย และยิ่งช่วงอายุมากขึ้น คอลลาเจนก็ยิ่งหายด้วยเช่นกัน
#6804
สำนักพรเทวะ ศูนย์รวมวัตถุมงคล เครื่องราง ของขลัง เมตตามหานิยม มหาเสน่ห์
สนใจติดต่อ
อ.ทองเอก พรเทวะ
โทร 0846623662
Line : teerapat999 
#6805
 
 มากกว่าคำว่ากาแฟ Room Coffee อร่อยดี ไม่มีอ้วน




ประโยชน์เพียบจากสารสกัด 36 ชนิด
เสริมภูมิคุ้มกัน บำรุงร่างกาย ชงง่าย
ชงได้ทั้งน้ำร้อนน้ำเย็น อยากกินต้องได้กิน

มีสารสกัดทั้งหมดมากถึง 36 ชนิด
เช่น โสม ถั่วเช่า เห็ดหลินจือ เมล็ดเจีย คอลลาเจน (สูตรเจ) และอีก...เยอะ
ที่ให้คุณ 5 คุณประโยชน์
Detox ขับสารพิษ
Block บล็อกแป้งและน้ำตาลที่มาใหม่
Burn ช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญ
Build  ช่วยสร้างเสริมกล้ามเนื้อให้กระชับ
Boost  เพิ่มพลังงานให้กระฉับกระเฉง

และยังช่วยเสริมภูมิต้านทาน ให้ไกลจากโรคหวัดและโรคต่างๆอีกด้วย ทุกอย่างรวมไว้ให้คุณขนาดนี้ บอกเลย คุ้

Room Coffee 1 ห่อ มี 10 ซอง ราคา 299 บาท
สนใจติดต่อสอบถาม/สั่งซื้อ

Tel. 0846623662

Line id : teerapat999
ข้อมูลเพิ่มเติม/รีวิวสินค้า https://teerapat99.iconroomcoffee.com/

#6806
6 วัน 6 วิชา ขายออนไลน์อย่างไร...ให้ปัง
#6807


นายสมนึก ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) เผยว่า สำหรับผลการดำเนินงานของครึ่งปีแรกปี 2564 มีรายได้จากการขาย 1,401.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวด 6 เดือนแรกของ ปี 2563 ซึ่งมีรายได้จากการขาย 849.12 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 552.57 ล้านบาท หรือคิดเป็น 65.08% บริษัทมีรายได้รวม 522.29 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 51.99 ล้านบาท ในไตรมาส2/2564 ทำให้มีมีผลประกอบการ 6 เดือน กำไรสุทธิ 132.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 93.38% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อีกทั้งบริษัทฯ ยังมีต้นทุนทางการเงินลดลง ร้อยละ 47.58 ด้วยปัจจัยสนับสนุนความต้องการที่อยู่อาศัยประเภทโครงการแนวราบในระดับราคา 3-5 ล้านบาทอยู่ในระดับสูง บริษัทพร้อมเดินตามแผน เตรียมพัฒนาโครงการใหม่ตลาดระดับราคาบ้าน 3-5 ล้านบาท บนทำเลศักยภาพหลัก อาทิโซนเหนือ และโซนตะวันออก ในไตรมาส 3 นี้ เพื่อเร่งหนุนรายได้ทั้งปีโตอย่างต่อเนื่อง

"เอ็น.ซี มีการปรับตัวได้ดี มีการควบคุมเข้มเรื่องการบริหารต้นทุนในองค์กร มีระบบบริการออกมาดูแลลูกค้า ให้ความสะดวกสบายยิ่งขึ้น โดยผนวกนวัตกรรม Smart Eco, Smart Care"

นายสมนึก กล่าวถึงสถานการณ์ COVID-19 ยังส่งผลให้อุปสงค์ของผู้บริโภคยังมีความไม่มั่นใจ อย่างไรก็ตามในไตรมาส 3 เอ็น.ซี มีความพร้อมที่จะเปิดโครงการใหม่เพิ่มอีก 2 โครงการ มูลค่ารวม 2,500 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนยอดขายให้เติบโต สำหรับยอดขาย เป็นที่น่าพอใจสามารถทำยอดขายได้กว่า 2,200 ล้านบาท

พร้อมยังกล่าวเสริมต่อ เอ็น.ซี คงมุ่งเดินหน้าเพื่อเปิดตัวโครงการแนวราบใหม่ในปี 2564 ตามเป้า 7 โครงการ มูลค่ารวม 5,000 ล้านบาท พัฒนาสินค้าทาวน์เฮาส์, บ้านแฝด, บ้านเดี่ยว ระดับราคา 3-5 ล้านบาท ด้วยราคาที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดบ้านแนวราบ โดยขยายทำเลเพิ่มครอบคลุมพื้นที่ 4 ทำเลศักยภาพ (โซนเหนือ , โซนตะวันตก,โซนใต้ และโซนตะวันออก ของกรุงเทพฯและปริมณฑล) เพิ่มกำลังการผลิตบ้านด้วยระบบเทคโนโลยีการก่อสร้างทันสมัยขยายฐานลูกค้าใหม่ในกลุ่มตลาดบ้านแนวราบ ทำให้ เอ็น.ซี มีความพร้อมที่จะเดินตามแผน ในตลาดศักยภาพใหม่ๆ รุกต่อด้วยเป้ายอดขาย 3,500 ล้านบาท และรับรู้รายได้ปีที่ 2,000 ล้านบาท.
#6808


นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง ได้แถลงข่าวประกาศแจ้งเตือนการชักชวนให้ลงทุนในระบบออนไลน์ที่มีลักษณะเป็นแชร์ลูกโซ่ เพื่อให้ประชาชนเกิดความชัดเจนและระมัดระวังในการเข้าร่วมลงทุนออนไลน์ซึ่งอาจเข้าข่ายกระทำความผิดตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 (พระราชกำหนดการกู้ยืมเงินฯ) จึงขอชี้แจงดังนี้

สืบเนื่องจากปัจจุบันมีกลุ่มบุคคลหรือบริษัทหลายแห่งได้จัดหาวิธีการหรือรูปแบบการระดมทุนในรูปแบบใหม่ ๆ เพื่อจูงใจให้ประชาชนทั่วไปเข้าร่วมลงทุน อาทิ การชักชวนให้ลงทุนเก็งกำไรในอัตราแลกเปลี่ยน (Forex) การเล่นแชร์ออมเงินออมทอง แชร์บัตรเติมเงิน แชร์ลอตเตอรี่ หรือการซื้อขายสินค้าออนไลน์ที่มีลักษณะเป็นการเน้นหาสมาชิกรายใหม่ให้เข้าร่วมลงทุน


กระทรวงการคลังจึงขอแจ้งเตือนประชาชนให้ระมัดระวัง เนื่องจากพฤติการณ์ดังกล่าวน่า​จะมีลักษณะเป็นการหลอกลวงและอาจเข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินฯ กล่าวคือ มีลักษณะของการโฆษณาหรือประกาศให้ปรากฏต่อประชาชน โดยสัญญาว่าจะจ่ายหรืออาจจะจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนในอัตราที่สูงจากการเข้าร่วมลงทุน จากนั้นก็ใช้วิธีการหมุนเวียนเงินจ่ายให้กับผู้ร่วมลงทุนโดยนำเงินจากผู้ร่วมลงทุนรายใหม่จ่ายคืนให้กับผู้ร่วมลงทุนรายต้นๆ โดยมิได้มีการประกอบกิจการที่ชอบด้วยกฎหมายที่จะให้ผลประโยชน์ตอบแทนในอัตราที่สูงตามที่สัญญานั้นได้

ทั้งนี้ ประชาชนที่ถูกชักชวนให้ร่วมลงทุนออนไลน์ ขอให้ตระหนักไว้ว่า ปัจจุบันได้มีกลุ่มมิจฉาชีพที่แฝงตัวมาเพื่อหลอกลวงประชาชนอยู่เป็นจำนวนมาก หากร่วมลงทุนออนไลน์แล้วอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของท่านได้ ส่วนประชาชนที่ร่วมลงทุนออนไลน์แล้วเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินสามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่สถานีตำรวจในท้องที่ที่เกิดเหตุ (เพื่อไม่ให้คดีขาดอายุความ) หรือส่งเรื่องร้องเรียนมาที่สำนักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ซึ่ง สศค. จะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมายให้ถึงที่สุด
หากท่านมีข้อสงสัยประการใด สามารถสอบถามได้ที่ ส่วนป้องปรามการเงินนอกระบบ สำนักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ถนนพระราม 6 เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทร. 0 2169 7128 ถึง 36 ต่อ 153 - 160 หรือศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ โทร. 1359 หรือ e-mail 1359@mof.go.th
#6809
 
 
 
 
ข้าวอินทรีย์ (Organic Rice) ข้าวอินทรีย์แฟร์เทรด  เป็นข้าวที่ได้จากการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นวิธีการผลิตที่ไม่ใช้สารเคมีหรือสารสังเคราะห์ต่างๆ เป็นต้นว่า ปุ๋ยเคมี สารควบคุมการเจริญเติบโต สารควบคุมและกำจัดวัชพืช สารป้องกันกำจัดโรค แมลงและสัตว์ศัตรูข้าวในทุกขั้นตอนการผลิตและในระหว่างการเก็บรักษาผลผลิต หากมีความจำเป็นแนะนำให้ใช้วัสดุจากธรรมชาติ และสารสกัดจากพืชที่ไม่มีพิษต่อคนหรือไม่มีสารพิษตกค้างปนเปื้อนในผลผลิต ในดินและในน้ำ ในขณะเดียวกันก็เป็นการรักษาสภาพแวดล้อม ทำให้ได้ผลิตผล ข้าวจังหวัดสุรินทร์ที่มีคุณภาพดีและปลอดภัย ส่งผลให้ผู้บริโภคมีสุขอนามัยและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ข้าวorganic (Organic Rice) เป็นข้าวที่ได้จากการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นวิธีการผลิตที่ไม่ใช้สารเคมีหรือสารสังเคราะห์ต่างๆ เป็นต้นว่า ปุ๋ยเคมี สารควบคุมและสารกำจัดวัชพืช สารป้องกันกำจัดโรค แมลงและสัตว์ศัตรูข้าวในทุกขั้นตอนการผลิตและในระหว่างการเก็บรักษาผลผลิต หากมีความจำเป็นแนะนำให้ใช้วัสดุจากธรรมชาติ และสารสกัดจากพืชที่ไม่มีพิษต่อคนหรือไม่มีสารพิษตกค้างปนเปื้อนในผลผลิต ในดินและในน้ำ ในขณะเดียวกันก็เป็นการรักษาสภาพแวดล้อม ทำให้ได้ผลิตผลข้าวแฟร์เทรด ที่มีคุณภาพดีและปลอดภัย ส่งผลให้ผู้บริโภคมีสุขอนามัยและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

 
       ประเภทของข้าวอินทรีย์
   1. ข้าวอินทรีย์รับรองมาตรฐาน Certified Organic เป็นระบบการผลิตที่ไม่ใช้สารเคมีป้องกันศัตรูพืช มีการขอรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์จากหน่วยงานอิสระ โดยมีทั้งภาครัฐ เอกชนและหน่วยงานจากต่างประเทศ มีตราสัญลักษณ์ติดที่ผลิตภัณฑ์ และจะต้องมีการตรวจเพื่อต่ออายุใบรับรองทุกปี
 
   2. ข้าวอินทรีย์ระยะปรับเปลี่ยน In-conversion เป็นข้าวที่อยู่ในช่วงระยะเวลาที่เริ่มทำเกษตรอินทรีย์ในปีแรกก่อนจะได้รับการรับรองผลผลิตว่าเป็นเกษตรอินทรีย์ โดยระยะปรับเปลี่ยนเป็นการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและความอุดมสมบูรณ์ของดิน
 
   3. ข้าวอินทรีย์แบบยังไม่รับรอง Non Certified เป็นการปลูกข้าวอินทรีย์แบบพึ่งตนเอง ส่วนใหญ่เป็นการทำเกษตรแบบพื้นบ้านหรือปลูกในระบบผสมผสานหรือในไร่หมุนเวียน ไม่มีการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานใดๆ เกษตรกรกลุ่มนี้อาจเป็นกลุ่มที่ทำการผลิตเพื่อบริโภคในครัวเรือนและนำผลผลิตส่วนเกินมาจำหน่ายผ่านระบบตลาดท้องถิ่น ทั้งนี้อาจมีการรับรองกันเองในระบบกลุ่มหรือชุมชน ข้าวอินทรีย์แฟร์เทรด  ข้าวหอมมะลิอินทรีย์ คือ ข้าวที่ได้จากการผลิตภายใต้ระบบการผลิตข้าวอินทรีย์ซึ่งมีการจัดการการผลิตข้าวที่เกื้อกูลต่อระบบนิเวศรวมถึงความหลากหลายทางชีวภาพ เน้นใช้วัสดุธรรมชาติ ไม่ใช้วัตถุดิบสังเคราะห์และมีการจัดการกับผลิตภัณฑ์โดยเน้นการแปรรูปด้วยความระมัดระวังเพื่อรักษาสภาพการเป็นข้าวอินทรีย์และคุณภาพที่สำคัญของผลิตภัณฑ์ข้าวอินทรีย์ 
ขั้นตอนการผลิตข้าวอินทรีย์  ข้าวกล้องออร์แกนิคส่งทั่วไทย ถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทได้แก่
ข้าวอินทรีย์วิถีพื้นบ้าน
เป็นระบบการผลิต  กลุ่มข้าวอินทรีย์ส่งทั่วไทย ที่ไม่ใช้สารเคมีทางการเกษตรทุกชนิด เช่น ปุ๋ยเคมี สารควบคุมการเจริญเติบโตสารควบคุมและกำจัดวัชพืช สารป้องกันกำจัดโรคแมลงและสัตว์ศัตรูข้าวตลอดจนสารเคมีที่ใช้รมเพื่อป้องกันกำจัดแมลงศัตรูข้าวในโรงเก็บ การผลิตข้าวอินทรีย์นอกจากจะทำให้ผลผลิตข้าวมีคุณภาพ ปลอดภัยจากสารพิษแล้วยังเป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นการพัฒนาการเกษตรแบบยั่งยืน
ข้าวอินทรีย์มาตรฐานสากล
การผลิตข้าวอินทรีย์มาตรฐานสากล มีกระบวนการผลิตการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตภัณฑ์อินทรีย์ และห้ามใช้สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุ์หรือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุ์ในกระบวนการผลิตและแปรรูปข้าวอินทรีย์ ซึ่งผู้ผลิตและผู้ประกอบการต้องผฏิบัติตามเพื่อให้ได้รับการรับรอง มีขั้นตอนการปฏิบัติเป็นลำดับขั้น ดังนี้
1.เกษตรกรจะต้องมีการปฏิบัติตามข้อกำหนดในการผลิตข้าวอินทรีย์ (  รูปภาพสำหรับข้าวอินทรีย์ )
2.เกษตรกรจัดทำบันทึกขั้นตอนการใช้ปัจจัยการผลิต โดยแสดงแหล่งที่มาและปริมาณการใช้
3.สมัครขอรับรองต่อกรมการข้าว เกษตรกรต้องแสดงข้อมูลต่อไปนี้
- ประวัติการใช้พื้นที่
- ประวัติการใช้สารเคมี และผลการวิเคราะห์สารพิษตกค้างในดินและน้ำ (ถ้ามี)
- แผนที่และแผนผังแปลงนาที่ขอการรับรองและพื้นที่ข้างเคียง
- แผนการผลิตในทุกขั้นตอน
- บันทึกขั้นตอนการใช้ปัจจัยการผลิต
- บันทึกกิจกรรมในแปลงนา และข้อมูลอื่นๆ

นาข้าวอินทรีย์  ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์    การตรวจสอบข้าวอินทรีย์ 277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
Facebook :https://www.facebook.com/Hor.Organic
Twitter : https://twitter.com/hor_boutique
IG : https://www.instagram.com/hor.boutique/
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1.  ข้าวกล้องหอมมะลิออร์แกนิค
2.  ข้าวกล้องหอมมะลิปลอดสารพิษ
3.  ปลูกข้าวปะกาอำปึลออแกนิค #ข้าวพื้นถิ่นสุรินทร์
4. ข้าวผสมหลายสายพันธุ์ปลอดสารพิษสุรินทร์
5. ข้าวกล้องอินทรีย์หอมมะลิแดง
6.ข้าวมะลินิลอินทรีย์สุรินทร์
7. ข้าวไรซ์เบอร์รี่เพื่อสุขภาพ 

ข้าว Hor พร้อมขายแล้วที่ Shopee & Lazada
https://shopee.co.th/hor.boutique
https://www.lazada.co.th/shop/horboutique/

#ข้าวออร์แกนิกสุรินทร์
#ข้าวออแกนิคสุรินทร์
#ข้าวออแกนิกสุรินทร์
#ข้าวอินทรีย์สุรินทร์
#ข้าวคุณภาพสุรินทร์