• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Cindy700

#3021


ในสถานการณ์ที่ส่อเค้า 'เลวร้าย' แสนสิริ และออริจิ้น 'ยักษ์ใหญ่' ในวงการอสังหาฯ ที่มีฐานะการเงินมั่นคงและมั่งคั่ง ที่มีเป้าหมายขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง มองเห็น 'โอกาสลงทุนใหม่' ในธุรกิจให้เช่าโรงงาน-คลังสินค้า

โดย แสนสิริ ได้มีการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนแห่งใหม่ กับ พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) เพื่อดำเนินธุรกิจพัฒนาพื้นที่และประกอบธุรกิจประเภทกิจการคลังสินค้าและอาคารโรงงานให้เช่าในพื้นที่ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา บนที่ดินทั้งหมด 145 ไร่ ประมาณ 110,000 ตร.ม.ตั้งอยู่ในทำเลอันเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของภาคอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ไม่ไกลจากนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ รวมถึงโครงการเขตพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor) หรือ อีอีซี โดยจะเริ่มก่อสร้างช่วงปลายปีพ.ศ. 2564 และจะสามารถส่งมอบพื้นที่เฟสแรกภายในช่วงต้นปีพ.ศ. 2566

ขณะที่ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ได้ร่วมมือกับบริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) เตรียมเปิดตัวธุรกิจเพื่อการอุตสาหกรรมพร้อมบริการครบวงจร เนื่องจากโลจิสติกส์เป็นหนึ่งในปัจจัยขับเคลื่อนความสำเร็จทางเศรษฐกิจในยุคนิวนอร์มอลพฤติกรรมการบริโภคเปลี่ยนมาซื้อสินค้าและบริการผ่านออนไลน์มากขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจกระจายสินค้ามีบทบาทเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้เนื่องจากธุรกิจให้เช่า"โรงงาน-คลังสินค้า"เป็นธุรกิจดาวรุ่งพุ่งแรงสวนกระแสโควิด-19 มาตั้งแต่ปี2563 เพราะได้รับผลกระทบ"เชิงบวก"จากการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมอร์ซที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น4แสนล้านบาท


"ภัทรชัย ทวีวงศ์ "ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยและการสื่อสารคอลลิเออร์ส ประเทศไทย ระบุว่า ภาพรวมธุรกิจคลังสินค้าและโรงงานให้เช่าในช่วงครึ่งหลังปี2564 ยังสามารถเติบโตได้ดี เพราะมีความต้องการเช่าพื้นที่คลังสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าแต่ละราย(Built-to-Suit)และ Warehouse Farm ซึ่งเป็นโครงการที่ให้บริการทั้งในรูปแบบ Built-to-Suit และแบบสำเร็จรูป (General Warehouse) ยังคงเติบโตต่อเนื่อง

ทั้งนี้ เนื่องจากผู้ประกอบการต่างชาติยังมีความสนใจจะลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรมในประเทศไทย ประกอบกับความต้องการในภาคการส่งออกสินค้าหลายกลุ่ม เช่น ธุรกิจแปรรูปอาหาร ธุรกิจเกี่ยวกับอุปกรณ์ทางการแพทย์ เครื่องมือแพทย์และเวชภัณฑ์ ธุรกิจออกแบบและผลิตบรรจุภัณฑ์ อีกทั้งยังมีปัจจัยสำคัญจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาซื้อขายทางออนไลน์เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจทั้งซัพพลายเชนไม่ว่าจะเป็นอีคอมเมิร์ซ ระบบโลจิสติกส์ โรงงานและคลังสินค้าเติบโตตามไปด้วย แม้ว่าการระบาดโควิด-19 ในประเทศไทยจะยังคงมีแน้วโน้มจำนวนผู้ติดเชื้อปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้งในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา แต่ธุรกิจคลังสินค้าและโรงงานยังสามารถดำเนินการได้เป็นอย่างดี


ภัทรชัย กล่าวว่า ภาพรวมซัพพลายคลังสินค้าและโรงงานครึ่งปีแรกเปิดบริการใหม่ยังคงปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น 1.16% จากในช่วงครึ่งหลังของปีที่ผ่านมา จากการเปิดตัวคลังสินค้าและโรงงานใหม่ของ ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น ที่เปิดตัวโครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ แหลมฉบัง แห่งที่ 2 บนพื้นที่รวมทั้งหมดกว่า 50,000 ตร.ม.มีผู้เช่าหลักเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ด้านอิเล็กทรอนิกส์และกลุ่มโลจิสติกส์เพื่อใช้เป็นศูนย์กระจายสินค้าสำหรับประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน , ไวส์ โลจิสติกส์ เปิดตัวคลังสินค้าแห่งใหม่ ถ.บางนา–ตราด กม.18 ด้วยพื้นที่ทั้งหมด 10,000 ตร.ม.มีลูกค้าเข้าใช้บริการแล้ว 60%

ขณะที่เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล เปิดตัวเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ บางพลี 7โลจิสติกส์เซ็นเตอร์บนทำเลย่านบางพลี โดยโครงการดังกล่าวประกอบไปด้วยศูนย์กระจายสินค้า 3 อาคาร มีพื้นที่อาคารรวม 74,000 ตร.ม. มีลงนามเซ็นสัญญาเช่าพื้นที่ไปแล้วกว่า60% ก่อนเปิดตัวคลังสินค้าอาคารแรกอย่างเป็นทางการ และอยู่ระหว่างการการพัฒนาคลังสินค้าแบบสร้างตามความต้องการแห่งใหม่ พื้นที่กว่า 34,000 ตร.ม. ตั้งอยู่ใน เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โลจิสติกส์ พาร์ค (วังน้อย 2) จ.พระนครศรีอยุธยาให้กับไทยเบฟเวอเรจ และยังมีแผนการพัฒนาพัฒนาพื้นที่ใหม่เพื่อเสริมสร้างพอร์ตโฟลิโออีกกว่า 1 ล้าน ตร.ม.ในอีก 5 ปีข้างหน้า

จากข้อมูลพบว่า ซัพพลายสะสมพื้นที่คลังสินค้าและโรงงานในพื้นที่จ.สมุทรปราการยังคงสูงสุด คิดเป็น 38.00% หรือ 2,691,6022 ตร.ม. ตามมาด้วยในพื้นที่อีอีซี คิดเป็น 32.00 % หรือ 2,255,517 ตร.ม. และยังคงพบว่าผู้ประกอบการรายใหญ่ยังคงพยายามขยายธุรกิจคลังสินค้าและโรงงานให้เช่าอย่างต่อเนื่อง คาดการณ์ว่า ทั้งปี2564 จะมีคลังสินค้าและโรงงานให้เช่าเปิดบริการใหม่อีกกว่า 200,000 ตร.ม. โดยเฉพาะในพื้นที่จ.สมุทรปราการ พระนครศรีอยุธยา และในพื้นที่อีอีซี(จ.ระยอง ชลบุรีและฉะเชิงเทรา)

ครึ่งแรกของปี2564 มีพื้นที่คลังสินค้าและโรงงานในประเทศไทยถูกใช้ไปแล้วทั้งหมด 6.099 ล้านตร.ม.จากพื้นที่ทั้งหมด 6.963 ล้านตร.ม. ซึ่งคิดเป็น 87.60% ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.10% จากในช่วงครึ่งหลังของปีที่ผ่านมา โดยพื้นที่กรุงเทพฯ ยังคงเป็นพื้นที่ที่มีอัตราการเช่าสูงสุดอยู่ที่91.70% ของพื้นที่คลังสินค้าและโรงงานทั้งหมด รองลงมาคือในพื้นที่จ.สมุทรปราการซึ่งถือว่าเป็นพื้นที่ที่มีความต้องการทางด้านโลจิสติกส์ค่อนข้างสูง เนื่องจากมีการเชื่อมต่อกับศูนย์กลางการผลิตและการกระจายสินค้า โดยพบว่ามีอัตราการเช่าอยู่ที่91.00% ตามด้วยพื้นที่อีอีซี ที่มีอัตราการเช่าอยู่ที่ 77.80%

ส่วนราคาค่าเช่าเฉลี่ยสำหรับพื้นที่คลังสินค้าและโรงงานทุกพื้นที่ในช่วงครึ่งแรกของปี2564 ที่ผ่านมาปรับตัวมาอยู่ที่ 155 บาทต่อตร.ม.เพิ่มขึ้นจากในช่วงครึ่งหลังของปีก่อนหน้า 3 บาท หรือคิดเป็น 1.97% ผู้พัฒนาส่วนใหญ่ปรับราคาค่าเช่าเพิ่มขึ้นเล็กน้อย พื้นที่กรุงเทพฯยังคงเป็นพื้นที่ที่มีราคาค่าเช่าเฉลี่ยสูงที่สุดที่ 180 บาทต่อตร.ม. ซึ่งคลังสินค้าให้เช่าบางแห่งในพื้นที่กรุงเทพฯ มีราคาเสนอเช่าสูงกว่า 200 บาท สัญญาเช่า 3 ปี ตามด้วยค่าเช่าในพื้นที่จ.สมุทรปราการอยู่ที่ 156 บาทต่อตร.ม. และในพื้นที่อีอีซี 153 บาทต่อตร.ม.
#3022


เพราะความห่วงใย และกำลังใจนั้นสำคัญ ท่ามกลางวิกฤติสถานการณ์โควิด-19 ที่ยังคงระบาดหนักธุรกิจร้านอาหารได้รับผลกระทบหนักมากที่สุด เพื่อร่วมยืนหยัดและสู้ไปด้วยกัน ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรี่ยม และ ดิ เอ็มควอเทียร์ โดยผู้บริหาร อรธิรา ภาคสุวรรณ ผู้อำนวยการใหญ่ ออกมาตรการเร่งด่วน เพื่อหวังเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยสนับสนุนธุรกิจให้ดีขึ้นในเร็ววัน

"หน้าที่ของทางศูนย์การค้าฯ คือช่วยเหลือผู้ประกอบการ จัดมาตรการเยียวยาทั้งทางธุรกิจและจิตใจ เราช่วยเหลือเรื่องการงดเว้นค่าเช่า ให้กับร้านอาหารในช่วงที่ยังไม่สามารถนั่งทานอาหารในร้านได้ รวมถึงช่วยในการหาช่องทางการขายใหม่ๆ โดยมีการจัดบริการพิเศษ Restaurant Concierge Service "โทรสั่งครั้งเดียว อร่อยได้หลายร้าน" ให้ลูกค้าเลือกสั่งอาหารจากหลายร้านในรอบเดียว พร้อมบริการส่งอาหารให้กับลูกค้าที่รถ และถึงบ้านผ่านบริการนี้ เสริมด้วยบริการตั้งจุด Pick up & Delivery รวมถึงการดูแลสุขลักษณะอนามัย Rider Care ที่ให้ลูกค้ามั่นใจว่าสั่งอาหารที่เราสะอาด ปลอดภัยแน่นอน"





เสียงจากเซเลบริตี้คนดังในฐานะเจ้าของร้านผู้ประกอบการร้านอาหาร เผยมุมมองวิกฤตครั้งนี้ที่เราพร้อมจะสู้ไปด้วยกัน เริ่มจาก หมู-พลพัฒน์ อัศวะประภา เจ้าของร้านอาหาร ซาว่า ออลเดย์ ไดนิ่ง (SAVA All Day Dining) "ธุรกิจไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ได้รับผลกระทบทั้งหมด ความโชคดีของเราคือทีมบริหารศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรี่ยม ดิ เอ็มควอเทียร์ ดูแลผู้เช่าดีมาก ช่วยเหลือทุกอย่าง มันไม่เหมือนบิสซิเนสพาร์ทเนอร์ แต่เหมือนเพื่อน เหมือนครอบครัว ยินดีรับฟังปัญหาและคอยให้ความช่วยเหลือ รู้สึกประทับใจมาก มันเป็นกำลังใจให้เราต้องสู้ แม้ช่วงนี้ทุกคนลำบากมาก ก็อยากจะฝากให้เราคิดบวกและสร้างสรรค์ อยู่ด้วยกันแบบรักและสามัคคีเพื่อให้ผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน"





ก้อง-กมลสุทธิ์ ทัพพะรังสี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ร้านอาหารญี่ปุ่น มูเกนได เพนท์เฮ้าส์ (Mugendai Penthouse) "ข้อจำกัดของร้านอาหารญี่ปุ่นความที่เป็นเมนูพรีเมี่ยมทำให้การทำเดลิเวอรี่นั้นลำบาก ความอร่อยหายไป 70% จึงทำให้เราต้องปิดร้านไปตามระเบียบของรัฐ จำเป็นต้องให้พนักงานกลับบ้านแต่เรายังดูแลเหมือนเดิม ก็เหมือนกับที่ทางศูนย์การค้าฯ ดูแลเรามาดีกว่า 7 ปีแล้ว ปรับกลยุทธ์ด้วยกันอย่างทันท่วงทีช่วยเหลือให้เราขายต่อไปได้บ้าง ผมแฮปปี้มากที่ทางศูนย์ฯ ช่วยเหลือร้านอาหารทุกร้าน ขอบคุณมากๆ ขอให้ทุกคนสู้ๆ ไปด้วยกันครับ"





แสง-แสงณรงค์ มนตรีวัต CEO ผู้ก่อตั้งร้านลูกไก่ทอง "เมื่อไม่ได้นั่งทานอาหารในร้าน ลูกค้ากลุ่มแฟมิลี่ก็หายไป แต่เราก็ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ต่างๆ ชูเมนูที่สั่งกลับบ้านแล้วยังอร่อยเพื่อให้ได้ยอดขายกลับมา สิ่งที่เราได้นอกเหนือจากเราปรับตัวเองคือการยื่นมือเข้ามาช่วยของศูนย์การค้าฯ เหมือนเราอยู่บ้านเดียวกันเป็นครอบครัวเดียวกัน เมื่อเดือดร้อนเราก็ต้องช่วยเหลือกันขอบคุณทุกฝ่ายที่คอยซัพพอร์ตร้านของเราอย่างดีเสมอ ขอบคุณมากๆ ครับ"





ตู๋-เลิศรินิญฒ์ สิปปภาค เจ้าของร้าน คาเฟ่ชิลลี่ (Café Chilli) และ เสือใต้ (South Tiger) "แม้สถานการณ์ทุกอย่างจะย่ำแย่ลูกค้าหดหาย รายได้ลดลง เราก็พร้อมจะปรับตัวเอง ลุยทำการตลาดทุกช่องทาง ผลกระทบครั้งนี้เราดีใจที่ได้รับความช่วยเหลือจากทางศูนย์การค้าฯ ยื่นมือเข้ามาช่วยเราตั้งแต่วันแรกที่มีมาตราการต่างๆของทางภาครัฐ แล้วเราเองก็พร้อมให้ร่วมมืออย่างเต็มที่และจะสู้เคียงข้างไปด้วยกัน"





นอกจากความช่วยเหลือต่างๆ แล้ว ยังมีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับร้านอาหารต่างๆ โดยลูกค้า Restaurant Concierge Service เมื่อสั่งอาหารครบ 800 บาท รับฟรีส่วนลดค่าส่งสูงสุด 100 บาท พร้อมมอบกำนัลรับประทานอาหารสูงสุด 500 บาท เมื่อซื้ออาหารที่ร้านอาหารชั้นนำในศูนย์การค้าฯ และพิเศษสำหรับลูกค้าบัตรเครดิตกรุงศรีอยุธยา คะแนนแลกรับเครดิตเงินคืน 13% โดยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Line : @emdistrict และ Facebook : Emporium Emquartier
#3023


วันนี้ สามารถตรวจสอบรายชื่อ ผู้ที่ได้รับทุนได้ที่ www.มิสทินสู้โควิด.com ประกาศครั้งที่ 2 จำนวน 3,000 ทุน เวลาเที่ยง

คลิกที่นี่ 

"มิสทินสู้โควิด" สามารถตรวจสอบสิทธิ์ได้ในวันที่ 23 ส.ค. 64

วิธีตรวจสอบสิทธิ์

1. คลิกที่นี่ หรือเข้าเว็บไซต์ มิสทินสู้โควิด.com
2. คลิกปุ่ม ตรวจสอบสิทธิ์
3. กรอกเลขที่บัตรประชาชน
4. คลิกปุ่ม ตรวจสอบสิทธิ์
5. แสดงผล


ทั้งนี้ เครื่องสำอางมิสทิน และมูลนิธิ ดร.อมรเทพ ดีโรจนวงศ์ ตั้งงบ 10,000,000 บาท (สิบล้านบาท) สำหรับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในเวลานี้

ทุน "มิสทินสู้โควิด" รวมมูลค่า 10,000,000 บาท มอบให้ครอบครัวละ 1 ทุน ทั้งหมด 5,000 ทุน (ขอสงวนสิทธิ์สำหรับที่อยู่และนามสกุลเดียวกัน) โดยแต่ละทุนประกอบด้วย เงินสด 1,000 บาท และ กล่องสินค้ามิสทินเพื่อดำรงชีพ มูลค่า 1,000 บาท

กรณีผู้ที่ตรวจสอบสิทธิ์และผ่านการพิจารณา ระบบจะแจ้งว่า "ชื่อ -นามสกุล"ได้รับเงินทุนมิสทินสู้โควิดมูลค่า 2,000 บาท รายละเอียดเพิ่มเติมดังต่อไปนี้

1. หลังจากประกาศผู้ได้รับพิจารณามอบทุนมิสทินสู้โควิดแล้ว ทางเครื่องสำอางมิสทิน และมูลนิธิ ดร.อมรเทพ ดีโรจนวงศ์ จะส่ง SMS ไปที่เบอร์ที่ลงทะเบียนไว้ เพื่อเป็นการยืนยันผลการพิจารณา

2. การมอบเงินทุน เครื่องสำอางมิสทิน และมูลนิธิ ดร.อมรเทพ ดีโรจนวงศ์ จะรับเงินทุน 1,000 บาท เข้าสู่บัญชีธนาคารตามที่ได้ลงทะเบียนไว้ การโอนเงินจะดำเนินการในวันที่ 31 สิงหาคม 2564

3. การส่งกล่องยังชีพและเงื่อนไขการรับกล่องยังชีพ ซึ่งเครื่องสำอางมิสทินและมูลนิธิ ดร.อมรเทพ ดีโรจนวงศ์ จะดำเนินการจัดส่งกล่องยังชีพให้ตามที่อยู่ที่ได้ลงทะเบียนไว้ โดยจะทำการจัดส่งตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม 2564 ถึง 30 กันยายน 2564 ผู้รับกล่องยังชีพจะต้องเป็นผู้ลงทะเบียน หรือ คนในครอบครัว หรืออาศัยอยู่ เลขที่บ้านที่ทำการลงทะเบียนไว้เท่านั้น หากผู้รับกล่องยังชีพ ไม่ใช่บุคคลที่ลงทะเบียนไว้ จะต้องยื่นสำเนาบัตรประชาชน พร้อมเซ็นกำกับเพื่อรับกล่องยังชีพ หากไม่มีสำเนา ทางเครื่องสำอางมิสทินและมูลนิธิ ดร.อมรเทพ ดีโรจนวงศ์ ขอไม่นำส่งกล่องยังชีพ เพื่อเป็นการปกป้องสิทธิ์ ของผู้ที่ได้รับสิทธิ์มอบทุน

4. กรณีที่ได้รับสิทธิ์แต่ไม่ได้รับการโอนเงิน หลังจากวันที่ 31 สิงหาคม โปรดติดต่อ 02-118-5111 ได้ตั้งแต่เวลา 08.30 - 17.30 น.



อ้างอิง - www.มิสทินสู้โควิด.com , มิสทิน
#3024

ยังคงเป็นประเด็นเชิงเศรษฐกิจที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดสำหรับ 'พื้นที่เขตส่งเสริมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก' ซึ่งย่อมาจาก Eastern Economic Corridor (EEC)

ยังคงเป็นประเด็นเชิงเศรษฐกิจที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดสำหรับ 'พื้นที่เขตส่งเสริมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก' ซึ่งย่อมาจาก Eastern Economic Corridor (EEC) แผนยุทธศาสตร์ภายใต้ ไทยแลนด์ 4.0 ที่ภาครัฐเร่งผลักดันอย่างต่อเนื่อง โดยคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกได้กำหนดโซนอีอีซี จำนวน 5 พื้นที่ เช่น โซนการบินภาคตะวันออก สนามบินอู่ตะเภา, โซนส่งเสริมนวัตกรรม EECi, โซนส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล, โซนอุตสาหกรรม Smart Park และ โซนอุตสาหกรรมเหมราช ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัดในภาคตะวันออก ได้แก่ จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง

สิ่งที่คนจับตามองเป็นอันดับต้นๆ คงเป็นเรื่อง รายละเอียดของกฎหมายต่างๆ และสิทธิประโยชน์ โดยหากมองจาก "พระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก" หรือเรียกกันสั้นๆ ว่า "พ.ร.บ. อีอีซี"จะพบว่า พื้นที่โซนอีอีซีได้มีกฎหมายแยกออกมาจากกฎหมายปกติเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการดำเนินการต่างๆ ประกอบด้วย

1. กฎหมายว่าด้วยการขุดดินและถมดิน 2.กฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร 3.กฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียนเครื่องจักร 4.กฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข 5.กฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง เฉพาะเพื่อการอนุญาตให้คนต่างด้าวตามมาตรา 45(1) หรือ (2) อยู่ต่อในราชอาณาจักร 6.กฎหมายว่าด้วยทะเบียนพาณิชย์ 7.กฎหมายว่าด้วยโรงงาน และ 8.กฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดิน หากกฎหมายกำหนดให้ผู้ดำเนินการหรือผู้กระทำต้องได้รับอนุมัติใบอนุญาต ก็ให้ถือว่าเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายอีอีซี เป็นผู้มีอำนาจอนุมัติ

ขณะที่สิทธิประโยชน์ที่ให้กับผู้ลงทุน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ลงทุนต่างชาติ ถือว่าให้สิทธิประโยชน์ที่ค่อนข้างมากทั้งสิทธิ์ทางด้านการเงิน การลงทุน ความยืดหยุ่นในการพาต่างด้าวเข้ามาอยู่อาศัย และกรรมสิทธิ์ในที่ดิน จนนักวิชาการในแวดวงอสังหาฯ เป็นกังวลว่าให้มากเกินไปหรือไม่ โดยเฉพาะกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ที่เปิดโอกาสให้ต่างชาติมีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน หรือห้องชุดในโซนอีอีซี ทั้งเพื่อประกอบกิจการและเพื่ออยู่อาศัยได้ จากประมวลกฎหมายที่ดินปกติแล้ว จะไม่สามารถถือกรรมสิทธิ์ได้โดยตรง

นอกจากนี้ สิทธิประโยชน์ด้านระยะเวลาการเช่าที่ให้ยาวถึง 50 ปี ต่อได้อีก 49 ปี รวมแล้วเท่ากับ 99 ปี ก็ถือเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันมาก เพราะสิทธิการเช่าปกติของไทย เท่ากับ 30 ปี ซึ่งหากย้อนกลับไปเรื่องการขยายสิทธิการเช่า มีความพยายามในการนำเสนอเรื่องขยายเวลาเช่าเป็น 99 ปี ให้เหมือนกับหลายประเทศ แต่ก็ถูกต่อต้านตกไปในทุกครั้ง แต่เพราะภาครัฐต้องการสร้างสิทธิประโยชน์ที่ดึงดูดใจนักลงทุนต่างชาติมาก จึงใช้กลยุทธ์ให้เช่า 50 ปี ต่อได้อีก 49 ปี เพื่อจูงใจต่างชาติ และลดแรงต่อต้าน เพราะไม่ได้ใช้ 99 ปีแบบตรงๆ

ข้อดีของสิทธิประโยชน์อีอีซี

1. ข้อดีที่เห็นได้ชัดๆ คงเป็นเรื่องการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในพื้นที่อีอีซี ซึ่งภาครัฐมองว่า จะส่งผลบวกไม่เพียงแต่ในพื้นที่อีอีซีเท่านั้น แต่ยังกระจายไปยังพื้นที่ใกล้เคียง และภาพรวมของประเทศไทย

2. เศรษฐกิจไทยมีโอกาสที่จะขยายตัวจากการลงทุนใหม่ๆ ในอีอีซี

3. ความยืดหยุ่นเรื่องการเข้ามาของคนต่างด้าว โดยเฉพาะคนต่างด้าวที่มีทักษะความสามารถ ความเชี่ยวชาญที่จะส่งผลบวกให้กับประเทศ ก็จะทำให้ประเทศไทยได้รับ Knowhow ใหม่ๆ เข้าสู่ประเทศ

ข้อเสียของสิทธิประโยชน์อีอีซี

1. นโยบายบริหารจัดการพื้นที่อีอีซีที่จะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงกับประเทศไทยยังไม่ชัดเจน จากหลายบทเรียนที่ประเทศไทยดึงต่างชาติเข้ามาร่วมพัฒนาโครงการใหญ่ๆ หลายโครงการ เราไม่สามารถให้ต่างชาติที่เข้ามาลงทุนแบ่งปัน Knowhow ใหม่ๆ เหล่านั้นให้กับบุคลากรของไทยที่ไปร่วมงานกับต่างชาติได้ ซึ่งนอกจากสิทธิประโยชน์ที่มอบให้อย่างล้นหลามแล้ว ไทยควรมีข้อกำหนดเรื่องการแบ่งปัน Knowhow ให้กับบุคลากรของไทยด้วย


2. ผังเมืองโซนอีอีซี ยังมีความล่าช้า และควรออกมาก่อนที่จะดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ เพื่อใช้ผังเมืองเป็นเครื่องมือในการวางระบบสาธารณูปโภค น้ำ ไฟ การเดินทาง เพื่อให้เมืองอีอีซี เป็นเมืองที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง รวมถึง ใช้ผังเมืองในการส่งเสริมการใช้พื้นที่ให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของอีอีซี ไม่เพียงแต่กำหนดพื้นที่อีอีซีเท่านั้น แต่ยังต้องวางผังเมืองให้กับพื้นที่ใกล้เคียงด้วย เพื่อส่งเสริมกันและกัน และชุมชนรอบข้างได้รับประโยชน์จากการพัฒนาพื้นที่อีอีซี

3. ขาดการวางแผนระบบสาธารณูปโภคที่สอดคล้องกับเมืองที่ภาครัฐมองว่ากำลังจะเติบโต โดยหากมองกลับมายังพื้นที่ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทราในปัจจุบัน คือ ระบบสาธารณูปโภคไม่เพียงพอ น้ำขาดแคลน เพราะมีความต้องการใช้ทั้งภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือน ซึ่งการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมแบบปกติในพื้นที่เหล่านี้ ยังส่งผลกระทบต่อการใช้น้ำ หากมีการสนับสนุนให้เกิดโซนอีอีซีโดยขาดแผนรองรับ จะยิ่งก่อให้เกิดปัญหานี้มากขึ้น

4. ไม่ได้เปิดพื้นที่ใหม่ๆ ให้กับการลงทุน อีกหนึ่งความน่าเสียดายของแผนส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ นั่นก็คือ ยังคงกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ที่มีความเป็นอุตสาหกรรมอยู่แล้ว ไม่ได้กระจายไปยังพื้นที่ใหม่ๆ จังหวัดใหม่ๆ ซึ่งสิ่งที่พอจะแก้ปัญหาได้ ต้องใช้ผังเมืองโยงการใช้ประโยชน์ให้ครอบคลุมไปยังพื้นที่ใกล้เคียงด้วย

ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม

กรรมสิทธิ์ในการให้ต่างชาติครอบคลุมอสังหาริมทรัพย์ได้ รวมถึงระยะเวลาการเช่ายาว 99 ปีนั้น หากภาครัฐดำเนินการอย่างถูกต้อง รอบคอบ ป้องกันการกว้านซื้อที่ดินทำกินจากชาวบ้านเพื่อให้ต่างชาติได้ และควรกำหนดอัตราจัดเก็บภาษีการใช้ประโยชน์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เพื่อให้ภาษีเข้าสู่ท้องถิ่น ทดแทนประโยชน์การใช้ที่ดินผืนนี้ในระยะยาว เพราะหากรัฐไม่เปิดให้ดำเนินการได้อย่างถูกต้อง ปัจจุบันในหลายพื้นที่ชลบุรี ระยอง และในอีกหลายจังหวัดเศรษฐกิจ ต่างชาติก็หาช่องว่างในการครอบครองกรรมสิทธิ์ที่ดินอยู่แล้ว ดังนั้น หากจะเปิดให้ต่างชาติมีกรรมสิทธิ์ได้ เช่าที่ดินในระยะยาวๆ ก็ควรมีเกณฑ์ที่ภาคท้องถิ่นได้ประโยชน์ระยะยาวด้วย

จากการรวบรวมข้อมูล นโยบาย "พื้นที่เขตส่งเสริมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก" หรืออีอีซี ย่อมเป็นแนวคิดที่ดีในการส่งเสริมเศรษฐกิจให้กับประเทศ ซึ่งในทุกนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจย่อมมีทั้งข้อดี ข้อเสีย ผู้ที่ได้รับประโยชน์ และผู้ที่เสียประโยชน์ สิ่งสำคัญ คือ สิ่งที่ภาครัฐยอมเสียไป ได้ผลกลับคืนมาคุ้มค่าหรือไม่ และมีการวางแผนปิดจุดอ่อนอย่างรอบคอบมากน้อยแค่ไหน เพื่อให้เป็นประโยชน์กับท้องถิ่นและประเทศได้มากที่สุด

ขณะที่ในมุมของผู้บริโภคหรือคนท้องถิ่นแล้ว จะมองว่า สิทธิประโยชน์ที่ภาครัฐนำเสนอให้กับนักลงทุนโซนอีอีซี ก่อเกิดประโยชน์กับเขาด้วยหรือไม่นั้น ก็เป็นสิ่งที่ภาครัฐ ควรต้องเริ่มฟังเสียงคนรอบพื้นที่อีอีซีเพิ่มเติมด้วย
#3025
111-Lotto 111  ตัวแทนจำหน่าย ล็อตเตอรี่ออนไลน์ รายใหญ่ของ มังกรฟ้าล็อตเตอรี่ออนไลน์  ปรับเปลี่ยนรูปแบบการซื้อล็อตเตอรี่แบบใหม่  ยุค new normal




ไม่ต้องไปหน้าแผง ไม่ต้องเสียเวลาก้มหาเลข ไม่ต้องไปลุ้นว่าจะมีเลขที่อยากได้มั้ย แค่แอดไลน์ หาเรา บอกเลขที่ต้องการ เลขเด็ด เลขดัง แจ้งโอนเงิน จะได้รับ SMS ยืนยัน




ถ้าถูกรางวัลสามารถขึ้นเงินได้จริง ได้รับเงินจริงไม่เกิน 24 ชม โดยปกติใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมงหลังผลสลากกินแบ่งรัฐบาลออกเท่านั้น 

ขั้นตอนการซื้อ ล็อตเตอรี่ออนไลน์ กับเรานั้น ง่ายๆ มาก มี 2 แบบให้เลือกแล้วแต่สะดวก

1. แอดไลน์ @111-lotto หรือคลิกทีนี่ เพื่อ คุยกับแอดมินโดยตรงและทำการสั่งซื้อและโอนเงินผ่านไลน์ มีเจ้าหน้าที่แนะนำทุกขั้นตอน 

111-lotto รีบแอดไลน์เพื่อเลือกเลขรางวัลก่อนใคร

Add Line : @111-lotto





2. สั่งซื้อผ่านระบบ 111-lotto ล็อตเตอรี่ของของมังกรฟ้าล็อตเตอรี่ออนไลน์ ด้วยตัวเอง จะทำที่ไหน เมื่อไหร่ เวลาไหนก็ได้ Add Line : @111-lotto


 


 
#3026


เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ แสดงความห่วงใยลูกค้าเจนเนอราลี่ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เดินหน้าจัดทำคู่มืออินโฟกราฟฟิคการแยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) แนะแนวทางการดูแลตัวเองฉบับเข้าใจง่ายสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ขั้นสีเขียว พร้อมตอกย้ำความมั่นใจ ยืนหยัดอยู่ดูแลลูกค้าทุกช่วงเวลาของชีวิตลูกค้า ด้วยการขยายความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล และค่าชดเชยรายวันสำหรับลูกค้าทุกกรมธรรม์ที่ติดเชื้อโควิด-19 ที่ได้เข้ารับการรักษาพยาบาลแบบ Home Isolation (การดูแลตนเองที่บ้าน) และ Community Isolation (การดูแลตนเองในระบบชุมชน)*

นายบัณฑิต เจียมอนุกูลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทเจนเนอราลี่ ประเทศไทย กล่าวว่า "จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย ที่ทวีความรุ่นแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีผู้ป่วยติดเชื้อใหม่เกินกว่า 20,000 คนต่อวัน ส่งผลให้ในปัจจุบันมียอดผู้ป่วยที่กำลังรักษาตัวสะสมสูงถึงกว่า 200,000 คน ทั้งผู้ป่วยที่มีอาการไม่มากไปจนถึงผู้ป่วยอาการหนัก ทำให้จำนวนเตียงไม่เพียงพอต่อการรักษาผู้ป่วยวิกฤต ทางภาครัฐจึงได้นำเสนอนโยบายการแยกกักตัวที่บ้าน หรือ Home Isolation มาปรับใช้สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 สีเขียว เพื่อเพิ่มจำนวนเตียงรักษาสำหรับผู้ป่วยสีเหลืองและสีแดง แต่ต้องยอมรับว่ากลุ่มผู้ป่วยสีเขียวหลายคนยังขาดความเข้าใจที่ถูกต้องในการดูแลตัวเองเมื่อต้องทำการกักตัวที่บ้าน อันเนื่องมาจากหลายสาเหตุ ทั้ง ขาดการรับรู้ข้อมูล หรือได้รับข้อมูลมากจนเกินไปจนสับสน รวมไปถึงการได้รับข้อมูลที่ผิด จึงทำให้เกิดความวิตกกังวลในการรับมือกับการดูแลตัวเอง



ด้วยความห่วงใยและเข้าใจถึงปัญหาดังกล่าว ทางเจนเนอราลี่ จึงได้จัดทำคู่มือฉบับเข้าใจง่าย "คู่มือ Home Isolation สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 (ผู้ป่วยสีเขียว)" เพื่อใช้เป็นแนวทางการดูแลรักษาตนเองที่บ้านอย่างถูกวิธี โดยเนื้อหาได้ผ่านการคัดกรองความถูกต้อง พร้อมนำมาจัดทำในรูปแบบ Infographic ที่เข้าใจง่าย เริ่มตั้งแต่ ข้อดีของการแยกกักตัวที่บ้าน ขั้นตอนการเข้าสู่ระบบขอกักตัวที่บ้าน รวมถึงสิ่งที่ควรปฏิบัติ และเช็คลิสต์ของใช้ที่จำเป็นเมื่อต้องกักตัวที่บ้าน นอกจากนี้ยังแนะนำถึงอาการที่ควรรีบพบแพทย์หากพบเจอในระหว่างกักตัว ตลอดจนข้อควรปฏิบัติหลังหายป่วย โดยปัจจุบันทางเจนเนอราลี่ได้จัดทำเรียบร้อยพร้อมเผยแพร่ผ่านช่องทาง Facebook page : Generali Thailand สามารถเข้าไปดาวน์โหลดมาเก็บไว้ในสมาร์ทโฟน หรืออุปกรณ์ที่สามารถเปิดอ่านได้สะดวก

นายบัณฑิต กล่าวเพิ่มเติมว่า "นอกจากนี้เจนเนอราลี่ยังได้ขยายความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลและค่าชดเชยรายวันสำหรับลูกค้าทุกกรมธรรม์ที่ติดเชื้อโควิด-19 ภายใต้เงื่อนไขกรมธรรม์แต่ละประเภท* ที่ได้เข้ารับการรักษาพยาบาลแบบ Home Isolation (การดูแลตนเองที่บ้าน) และ Community Isolation (การดูแลตนเองในระบบชุมชน) เพื่อตอกย้ำความมั่นใจให้แก่ลูกค้าว่าเจนเนอราลี่พร้อมยืนหยัดอยู่เคียงข้างลูกค้าทุกช่วงเวลาของชีวิตและพร้อมดูแลลูกค้าให้ผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤตได้อย่างปลอดภัยและไร้ความกังวล โดยสามารถดูรายละเอียดผลประโยชน์และความคุ้มครองโควิด-19 ของเจนเนอราลี่เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://generali.co.th/services/covid-19-faq/ หรือ ติดต่อทางศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ โทร 1394
#3027


วันนี้ (22ส.ค.) นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า กล่าวถึงปัญหาการจัดซื้อชุดตรวจโควิด 8.5 ล้านชุด มูลค่า 1,014 ล้านบาท แม้จะมีผู้ชนะการประมูลขององค์การเภสัชกรรมแล้วคือ บริษัท ออสท์แลนด์ แคปปิตอล จำกัด แต่ทางพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีข้อสั่งการในมติ ครม. วันที่ 17 สิงหาคม ว่า ชุดตรวจต้องได้รับการรับรองจากองค์กรอนามัยโลก (WHO) จึงเป็นประเด็นว่า องค์การเภสัชกรรม (อภ.) ยังไม่กล้าเซ็นสัญญากับบริษัทที่ชนะประมูล แต่รัฐต้องแข่งกับเวลา ทุกชั่วโมงที่ชัตดาวน์คือความเดือดร้อนของประชาชน เป้าหมายคือการกันตัวผู้ป่วยออกมาให้เร็ว การตรวจเชิงรุกสำคัญมากอย่าทำให้สะดุด

"ที่เถียงกันมันคือชุดตรวจ "เบื้องต้น" แบบ ATK เท่านั้น ไม่ใช่กรณีการตรวจละเอียดแบบ RT-PCR ท่านนายกฯ ต้องเข้าใจว่ายี่ห้อที่ได้ WHO มันมีน้อยและแพง ถ้าท่านเป็น "นักปฏิบัตินิยม" และเข้าใจว่านี่คือวิกฤตใหม่ที่ต้องการรับมือต้องทันต่อสถานการณ์ ผมเห็นว่า ควรไปวัดกันที่หน้างาน บริษัทไหนแน่ ไปทดลองกัน โดยเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ ถ้าเสถียรพอๆ กัน ก็เอาอันที่ราคาถูกกว่าสิครับ จะได้กระจายให้ทั่วถึง" นายอรรถวิชช์ กล่าว

เลขาธิการพรรคกล้า กล่าวต่อว่า ถ้าทดลองภาคสนามแล้ว ชุดตรวจที่ชนะการประมูลมีประสิทธิภาพเทียบเท่ายี่ห้อในรายการที่อนุญาตให้ใช้กรณีฉุกเฉินเร่งด่วน (Emergency Use Listing) ของ WHO ผมว่ามันก็ใช้ได้แล้ว อย่าติดยึด เพราะเวชภัณฑ์ใหม่ๆ ถูกพัฒนาให้ทันเชื้อโรคที่พัฒนาไปอยู่เรื่อย วัดกันที่หน้างานสำคัญกว่า
#3028


นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) ผู้นำเข้าและส่งออกทองคำแท่งรายใหญ่ของไทย เปิดเผยว่า นักลงทุนไทยมีโอกาสที่ในปีนี้จะเข้ามาลงทุนในทองคำมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากที่สถาบันคุ้มครองเงินฝากลดการคุ้มครองเหลือ 1 ล้านบาท อาจทำให้มีเงินลงทุนบางส่วนถูกโยกมาพักไว้ที่ทองคำ เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัย และไม่ได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ โดยจากต้นปีถึงปัจจุบันพบว่ามีนักลงทุนมาเปิดบัญชีซื้อขายทองคำกับวายแอลจีเพิ่มขึ้นในทุกประเภททั้งทองคำแท่ง ออมทอง รวมไปถึงการลงทุนตลาดอนุพันธ์

ขณะที่แนวโน้มราคาทองคำมองว่า หลังการปรับลดค่อนข้างมากในสัปดาห์ก่อน แต่ในระยะสั้นเริ่มมีการดีดกลับ แต่ก็ยังมีแรงขายเมื่อปรับตัวขึ้นไปถึงแนวต้านทำให้การเคลื่อนไหวในช่วงนี้จะยังเป็นการแกว่งตัวในกรอบ อย่างไรก็ดีสาเหตุที่ราคาทองคำไม่ได้ปรับลดลงอย่างรวดเร็วเช่นสัปดาห์ก่อน เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับสถานการณ์ในอัฟกานิสถาน การที่จีนคุมเข้มกฎระเบียบในบริษัทกลุ่มเทคโนโลยี และการระบาดของ โควิด-19 สายพันธุ์เดลตา ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ปรับตัวลดลงจากแรงซื้อพันธบัตรในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ส่งผลให้ตลาดทองคำยังคงปรับตัวลดลงอย่างจำกัด

ทั้งนี้เมื่อต้นสัปดาห์ราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 1,795 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่เป็นแนวโน้มการปรับขึ้นในระยะสั้น แม้ต้นสัปดาห์จะปรับขึ้นมาค่อนข้างดี แต่เมื่อทองคำเข้าใกล้แนวต้านจะมีแรงขายออกมา แต่แรงขายก็ไม่ได้ทำให้ทองคำปรับลงมามาก ดังนั้นในระยะนี้นักลงทุนต้องจับตาว่าราคาทองคำจะเคลื่อนไหวไปแบบไหน เพราะแม้จะมีสัญญาณบวกในระยะสั้นแต่ระยะกลางยังเป็นสัญญาณอ่อนตัว โดยเฉพาะราคาทองคำในประเทศที่ขณะนี้ได้รับผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่าช่วงสั้นๆ


อย่างไรก็ตามปัจจัยที่มีผลกระทบต่อราคาทองคำในช่วงนี้มีทั้งปัจจัยลบและปัจจัยบวก โดยในด้านปัจจัยลบนั้นมาจากกองทุน SPDR ซึ่งเป็นกองทุนทองคำขนาดใหญ่ขายทองคำออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคาทองคำกลับมามีสัญญาณชะลอตัว หรือ ขยับขึ้นอย่างจำกัด รวมถึงปัจจัยของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่ต้องจับตามอง

ส่วนปัจจัยบวกทองคำยังได้รับแรงหนุนจากการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงที่ถูกกดดันจากผลกระทบการระบาดของโควิด -19 และกรณีที่จีนมีนโยบายป้องปรามการขยายตัวของธุรกิจเทคโนโลยี ห้ามการผูกขาด ห้ามแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ทำให้หุ้นในจีนปรับฐานและอ่อนตัวลงในช่วงหลายวันที่ผ่านมาอย่างชัดเจน ทั้งนี้ บริษัทเทคโนโลยีของจีนนั้นจดทะเบียนทั้งในตลาดหุ้นจีนและสหรัฐจึงอาจส่งผลกระทบในวงกว้าง ประเด็นนี้จึงเป็นหนึ่งปัจจัยที่พยุงทองคำให้ไม่ปรับตัวลดลงไปอย่างรวดเร็ว

สำหรับปัจจัยทางเทคนิค หากทองคำมีแรงซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่องและขึ้นไปยืนเหนือ 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จะทำให้มีโอกาสปรับตัวได้อีกแม้ว่าทิศทางทองคำระยะกลางยังเป็นลักษณะอ่อนตัวลง แต่หากราคาไม่มีระดับต่ำสุดใหม่และมีปัจจัยบวกมาหนุนจากการไหลเข้าของเงินทุนที่ไหลออกจากการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉพาะตลาดหุ้นก็มีโอกาสปรับขึ้นได้ โดยมองแนวต้านระยะสั้นที่ 1,796 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 28,350 บาท หากผ่านได้มีโอกาสทดสอบ 1,814 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 28,650 บาท ด้านแนวรับ 1,768 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 27,900 บาทโดยมีแนวรับสำคัญที่ 1,751 หรือ 27,650 บาท
#3029


นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ยังคงเห็นโอกาสจากการลงทุนในสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มเศรษฐกิจกำลังเติบโต จึงได้เปิดเสนอขายกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้น ยูเอส เอ็นดีคิว (SCB US Equity NDQ Fund : SCBNDQ) มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท เหมาะสำหรับนักลงทุนระยะกลางถึงระยะยาวที่ต้องการกระจายการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี NASDAQ เริ่มเสนอขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 20 – 26 สิงหาคม นี้ ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท

โดยเปิดให้นักลงทุนได้เลือกลงทุน 2 รูปแบบ ได้แก่ 1) ชนิดสะสมมูลค่า - SCBNDQ(A) สามารถซื้อได้ในทุกช่องทางรวมถึงผู้สนับสนุนการขายทุกราย ฟรีค่าธรรมเนียมการซื้อเฉพาะช่วงเสนอขายครั้งแรก และ 2) ชนิดช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ - SCBNDQ(E) ในรูปแบบ e-class ฟรีค่าธรรมเนียมการซื้อและการจัดการ โดยต้องลงทุนผ่าน SCBAM Fund Click เท่านั้น

สหรัฐฯ นับว่าเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกและมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 1 โดยจากภาพรวมเศรษฐกิจของที่มีการฟื้นตัวหลังจากที่ยอดผู้ติดเชื้อ COVID-19 รายวันในประเทศลดลงและมีความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนสูงขึ้น ประกอบกับนาย โจ ไบเดน ได้ลงนามและบังคับใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นที่เรียบร้อย ทำให้ผู้ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ได้รับเงินช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง รวมถึงการที่รัฐบาลมีการเตรียมเพิ่มเงินอัดฉีดเป็นจำนวน 3.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันสำคัญในอนาคต


บริษัท ได้เล็งเห็นถึงโอกาสจากปัจจัยเหล่านี้ที่จะเป็นตัวช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง จึงได้เปิดเสนอขายกองทุนดัชนี NASDAQ ซึ่งก่อนหน้าได้นำเสนอกองทุนดัชนี S&P 500 และดัชนี Dow Jones ไปแล้ว โดยเราเป็นเพียง บลจ.เดียวในประเทศไทยที่มีครอบคลุมทุกดัชนีหลักในสหรัฐฯ เพื่อให้นักลงทุนได้เลือกลงทุนอย่างหลากหลาย สำหรับดัชนี NASDAQ เป็นดัชนีที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและเติบโตสูงมีโอกาสเติบโตได้ในระยะยาว เน้นการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำที่มีชื่อเสียงและมีผู้ใช้งานทั่วโลก โดยปัจจุบัน NASDAQ มีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกด้วยมูลค่า 20 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ และให้ผลตอบแทนย้อนหลังสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก (ที่มา:  Morningstar ณ วันที่ 13 ก.ค. 2564) ดังนั้น กองทุน SCBNDQ จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้แก่นักลงทุนที่มองหาโอกาสการลงทุนจากหุ้นเทคโนโลยีได้

สำหรับกองทุน SCBNDQ เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว ได้แก่ Invesco NASDAQ 100 ETF (QQQM) (กองทุนหลัก) ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน เป็นกองทุนประเภท Exchange Traded Fund (ETF) จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ประเทศสหรัฐฯ บริหารโดย Invesco Capital Management LLC ทั้งนี้ กองทุนอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) ณ ขณะใดขณะหนึ่ง ไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของมูลค่าทรัพย์สินที่ลงทุนในต่างประเทศ

ส่วนกองทุนหลัก Invesco NASDAQ 100 ETF (QQQM) จะลงทุนในหุ้นของบริษัททั้งในและนอกประเทศสหรัฐฯ ที่ไม่ใช่สถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุด จำนวน 100 บริษัท และเป็นส่วนประกอบของดัชนี NASDAQ-100 โดยเน้นลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำ เช่น Apple, Microsoft, Amazon, Alpha., Facebook และ Tesla สูงกว่าเมื่อเทียบกับดัชนีหุ้นอื่นของสหรัฐฯ โดยมีเป้าหมายสร้างผลตอบแทนก่อนหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี NASDAQ-100 นอกจากนี้ กองทุนหลักยังมี Expense ratio ต่ำ และมีผลตอบแทนใกล้เคียงดัชนี Nasdaq 100 อีกด้วย ทั้งนี้ กองทุนหลักมีผลการดำเนินงานย้อนหลังอยู่ที่ 24.35% เทียบกับดัชนีอ้างอิง NASDAQ-100 อยู่ที่ 24.50% ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นไปในทิศทางเดียวกัน (ที่มา: Invesco ณ 31 กรกฎาคม 2564)
#3030


นายภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทวิจัยและที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ภาพรวมอัตราขายเฉลี่ย คอนโดมิเนียมเปิดใหม่ จำแนกรายไตรมาส ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ปี 2564 พบว่า มีอัตราการขายเฉลี่ยอยู่ที่ 61 % ถือว่าเป็นอัตราการขายเฉลี่ยที่สูงที่สุด ของโครงการคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในรอบ 16 ไตรมาสหรือ 4ปีที่ผ่านมา


ทั้งนี้ เนื่องจากผู้พัฒนารายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์บางราย มีการนำยูนิตบางส่วนของโครงการคอนโดในพื้นที่กรุงเทพฯรอบนอก ซึ่งตั้งอยู่ใกล้แหล่งงานและสถานศึกษามาเปิดขายรอบออนไลน์ บุ๊กกิ้ง ก่อนปลายเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ปรากฎว่าได้รับกระแสตอบรับจากกลุ่มที่มีกำลังซื้อทำให้สามารถปิดการขายทั้งหมดในส่วนที่เปิดขายในระยะเวลาอันรวดเร็วและยังเปิดจองสิทธิ์ในบางอาคารในรอบวีไอพี เดย์สามารถทำยอดจองสิทธิ์ได้ 100 % ในเฟสที่เปิดจองเช่นเดียวกันก่อนการเปิดขายพรีเซลล์ของโครงการสวนกระแสภาพรวมตลาด

จากการสำรวจพบว่า อัตราการขายเฉลี่ยของโครงการคอนที่เปิดขายใหม่ไตรมาสที่ 2 ของปีนี้มีอัตราการขายที่กลับมาคึกคักอีกครั้ง เนื่องจากอุปทานเปิดขายใหม่น้อยเมื่อเทียบกับอุปทานเปิดขายใหม่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บวกกับผู้พัฒนาหลายรายยังคงเลือกที่จะเปิดตัวโครงการใหม่ในทำเลที่มั่นใจในกำลังซื้อ ที่ใกล้แหล่งงาน หรือสถานศึกษา ในราคาขายต่อยูนิตที่เข้าถึงง่าย

"บางโครงการที่เปิดขายใหม่มียูนิตขายบางส่วนของโครงการมีระดับราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท ซึ่งถือว่าผู้พัฒนาทำราคามาได้ค่อนข้างดีและระดับราคานี้ค่อนข้างหาได้ยากสำหรับตลาดคอนโดในกรุงเทพฯหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้จำนวนยูนิตขายเหล่านั้น มีลูกค้าให้ความสนใจมากกว่าจำนวนยูนิตที่เปิดขายด้วยซ้ำ"


สำหรับในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 คาดการณ์ว่าจะมีอุปทานคอนโดเปิดขายใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯในปี2564 เพียง9,000 ยูนิตเท่านั้น อาจส่งผลให้อุปทานเปิดขายใหม่ของตลาดคอนโดในพื้นที่กรุงเทพฯในปีนี้เหลือแค่ 15,079 ยูนิตเท่านั้น เท่ากับว่าอาจปรับตัวลดจากในปีก่อนถึง32.3 % และส่วนใหญ่กระจายตัวอยู่ในพื้นที่รอบใจกลางเมืองและพื้นที่กรุงเทพฯชั้นนอก ในระดับราคาขายที่ไม่สูงระดับราคา 50,000-100,000 บาทต่อตารางเมตร ระดับราคาขายต่อยูนิตเริ่มต้นที่ต่ำกว่า 2 ล้านบาท

การเปิดตัวจะกระจายตัวอยู่ในพื้นที่รอบใจกลางเมืองที่สามารถเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองได้สะดวก ใกล้แหล่งงาน หรือสถานศึกษา รวมถึงแนวเส้นทางรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง เนื่องจากทำเลเหล่านั้นยังคงมีที่ดินรอการพัฒนาอีกเป็นจำนวนมากและราคาที่ดินที่ยังไม่สูงมากเมื่อเทียบกับในพื้นที่ใจกลางเมือง และยังสามารถพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาทต่อยูนิตซึ่งเป็นราคาที่กำลังซื้อสามารถเข้าถึงได้ง่ายได้


" รัฐบาลควรเร่งดำเนินการจัดหาวัคซีนและขับเคลื่อนแผนการให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสดังกล่าวอย่างรวดเร็วและทั่วถึงมากขึ้น เพื่อการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกที่ 4 ในประเทศไทยได้อย่างรวดเร็ว เพื่อที่จะสามารถผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ให้ธุรกิจต่างๆ กลับมาดำเนินกิจการได้ตามปกติในระยะเวลาที่รวดเร็ว ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้พัฒนาสามารถกลับมาเปิดตัวโครงการใหม่ตามแผนที่วางไว้ได้อีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี "
#3031


นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า ตามที่กรมการขนส่งทางบกได้มีประกาศงดให้บริการประชาชนด้านใบอนุญาตขับรถและใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถที่สำนักงานขนส่งทุกแห่งทั่วประเทศ จนกว่าจะมีประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินหรือมีประกาศเป็นอย่างอื่น โดยในช่วงระยะเวลาการงดให้บริการ กรมการขนส่งทางบก ได้ประสานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อผ่อนปรนการใช้กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่ง กับผู้ได้รับใบอนุญาตขับรถและใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถที่สิ้นอายุแล้ว สามารถใช้แสดงต่อเจ้าหน้าที่ได้จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2564

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปัจจุบันยังคงทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น กรมการขนส่งทางบกจึงได้ประสานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอให้พิจารณาผ่อนปรนการบังคับใช้กฎหมายต่อเนื่อง ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้พิจารณาขยายระยะเวลาผ่อนปรนการบังคับใช้กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่งใด กับผู้ได้รับใบอนุญาตขับรถตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ และผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก ที่สิ้นอายุแล้ว ยังสามารถใช้ขับรถต่อไปได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564



นอกจากนี้ ได้เพิ่มการผ่อนปรนให้ผู้ที่มีใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราว หรือใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคล สามารถขับรถที่ใช้ในการรับจ้างขนส่งสินค้าได้ ได้แก่ รถบรรทุกที่มีน้ำหนักรถไม่เกิน 2,200 กิโลกรัม ที่จดทะเบียนตามกฎหมายด้วยการขนส่งทางบก (รถปิคอัพป้ายเหลือง) จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ซึ่งเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและให้สามารถประกอบการกิจการขนส่งสินค้าซึ่งมีความจำเป็นต่อการอุปโภคบริโภคของประชาชนอีกด้วย

นายจิรุตม์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการขอความร่วมมือไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว ในส่วนของประชาชนที่มีเอกสารประกอบคำขอรับหรือขอต่ออายุใบอนุญาตขับรถและใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถ เช่น ใบรับรองแพทย์ หนังสือรับรองการผ่านการอบรมและทดสอบ คำขอที่ดำเนินการไม่แล้วเสร็จภายใน 90 วัน
ผลผ่านการอบรมผ่านระบบ e-Learning ที่สิ้นอายุตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2564 ซึ่งเป็นวันที่เริ่มงดให้บริการ กรมการขนส่งทางบกจึงได้อนุโลมให้ใช้เป็นเอกสารประกอบการดำเนินการได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 เพื่อลดภาระให้ประชาชนยังคงใช้เอกสารได้ต่อเนื่อง


อย่างไรก็ตาม สำหรับใบอนุญาตขับรถและใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถใกล้จะถึงวันสิ้นอายุ ผู้ขอต่ออายุใบอนุญาตสามารถดำเนินการอบรมผ่านระบบ e-Learning ทางเว็บไซต์ www.dlt-elearning.com ได้ล่วงหน้า เพื่อนำผลการผ่านการอบรมดังกล่าวมาดำเนินการต่ออายุใบอนุญาตขับรถและใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถ

ทั้งนี้ เมื่อสำนักงานขนส่งเปิดดำเนินการ โดยมีการให้บริการอบรมผ่านระบบ e-Learning ทั้งหมด 4 ประเภท ได้แก่ การอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคล อบรม 1 ชั่วโมง, การอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคล ขาดต่ออายุเกิน 1 ปี อบรม 2 ชั่วโมง, การอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถขนส่ง อบรม 2 ชั่วโมง และการอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถสาธารณะ อบรม 3 ชั่วโมง ซึ่งผู้ขอต่ออายุใบอนุญาตขับรถและใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถจะได้รับสิทธิการยกเว้นการทดสอบข้อเขียนหรือทดสอบขับรถ แล้วแต่กรณี
#3032


บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เดินหน้าส่งเสริมห่วงโซ่อุปทานสัตว์น้ำบนพื้นฐานของความยั่งยืน โดยจับมือเครือข่ายพันธมิตรทั้งในประเทศและทั่วโลกสนับสนุนแนวปฏิบัติที่ดีในการทำประมงที่ถูกกฎหมาย ได้มาตรฐานสากล ปลอดการใช้แรงงานบังคับ และช่วยรักษาความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเล ต่อยอดการจัดหาปลาป่นที่ตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาได้ 100% มีส่วนร่วมสร้างหลักประกันอาหารมั่นคงให้แก่ผู้บริโภคในทุกช่วงเวลา

นายไพโรจน์ อภิรักษ์นุสิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ธุรกิจสัตว์น้ำ ซีพีเอฟ กล่าวว่า ในฐานะที่บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร มีบทบาทการสร้างความมั่นคงทางอาหาร จึงให้ความสำคัญต่อการใช้ผลผลิตทางธรรมชาติที่มีอยู่จำกัดอย่างเหมาะสมและใส่ใจต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ในห่วงโซ่การผลิตกุ้งของซีพีเอฟในประเทศไทย ได้ดำเนินนโยบายใช้ปลาป่นที่มาจากผลพลอยได้จากโรงงานแปรรูปสัตว์น้ำ (by product) 100% สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ถึงแหล่งที่มาที่มีการจัดการอย่างยั่งยืน และได้รับรองมาตรฐาน MarinTrust ซึ่งเป็นมาตรฐานที่สอดคล้องกับ Code of Conduct for responsible Fisheries ขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO)



ขณะเดียวกัน ซีพีเอฟยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรที่เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทานอาหารทะเลตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อร่วมส่งเสริมการทำประมงที่ถูกต้อง ป้องกันประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal, Unreported and Unregulated Fishing) และมีส่วนร่วมปกป้องระบบนิเวศ อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทางทะเล โดยเป็นผู้นำร่องในการใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับของ Global Dialogue on Seafood Traceability (GDST) ตลอดห่วงโซ่อุปทานกุ้ง ตั้งแต่เรือประมง จนถึงโรงงานแปรรูปกุ้ง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคต่อการผลิตกุ้งที่ใส่ใจสังคมและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

"แม้ไม่ได้เป็นเจ้าของเรือประมง บริษัทฯ ตระหนักถึงความสำคัญของแนวปฏิบัติที่ดีของการประมงที่มีต่อระบบนิเวศและทรัพยากรทางทะเล ซึ่งเป็นต้นทางของห่วงโซ่อุปทานกุ้งที่ยั่งยืน จึงได้ร่วมมือกับทุกภาคส่วนทั้งในระดับประเทศ และระดับสากล โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนามาตรฐานการประมงตามหลักสากล ครอบคลุมด้านสิทธิมนุษยชน และการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเล เพื่อสร้างห่วงโซ่การผลิตกุ้งและอาหารทะเลของไทยที่ยั่งยืน และนำไปสู่ "ความมั่นคงทางอาหาร" สามารถรองรับความต้องการบริโภคอาหารที่ใส่ใจที่มาและกระบวนการผลิตและที่มาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม" นายไพโรจน์กล่าว



อนึ่ง การส่งเสริมการประมงที่รับผิดชอบต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยซีพีเอฟได้ทำงานกับพันธมิตร และคณะทำงานทั้งในและต่างประเทศ สำหรับในประเทศไทย ซีพีเอฟ ร่วมกับ คณะพัฒนาระบบการผลิตสินค้าและผลิตภัณฑ์ประมงไทย (Thai Sustainable Fisheries Roundtable : TSFR) ดำเนินโครงการปรับปรุงและพัฒนาการประมง (Fishery Improvement Project : FIP) สำหรับการประมงอวนลากในฝั่งอ่าวไทย เพื่อยกระดับมาตรฐานการประมงตามมาตรฐาน MarinTrust (ชื่อเดิม IFFO RS) และได้จัดทำแผนการปรับปรุงและพัฒนาการประมง (Fishery Action Plan: FAP) ซึ่งได้ผ่านการอนุมัติจากคณะกรรมการของ MarinTrust เข้าสู่ขั้นตอนการรับรองมาตรฐาน Improver Program (IP) ซึ่งเป็นมาตรฐานการจัดหาวัตถุดิบทางทะเลที่ร่วมรักษาความหลากหลายทางชีวภาพเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ

อีกทั้งร่วมก่อตั้งและเป็นคณะทำงานร่วมในระดับอุตสาหกรรมเพื่อส่งเสริมความยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทานอาหารทะเล (Seafood Task Force) เพื่อป้องกันการทำประมงผิดกฎหมาย แก้ไขปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน และการค้ามนุษย์ในอุตสาหกรรมประมงไทย โดยสนับสนุนการใช้เครื่องมือจับสัตว์น้ำที่ลดผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเล การมีระบบติดตามเรือประมง (Vessel Monitoring System : VMS)



นายไพโรจน์กล่าวเสริมว่า ซีพีเอฟยังร่วมจัดตั้งศูนย์สวัสดิภาพและธรรมาภิบาลแรงงานประมง จังหวัดสงขลา ตั้งแต่ปี 2558 เพื่อบูรณาการการขจัดปัญหาแรงงานบังคับ การใช้แรงงานผิดกฎหมายในอุตสาหกรรมประมงของไทย ควบคู่กับการพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานประมงและครอบครัว

สำหรับความร่วมมือในระดับโลก บริษัทฯ เป็นสมาชิกในกลุ่มความร่วมมือ Seafood Business for Ocean Stewardship หรือ SeaBOS ตั้งแต่ปี 2560 เป็นความร่วมมือระดับนานาชาติในการพิทักษ์มหาสมุทรทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทางทะเล สู่เป้าหมายการผลิตอาหารทะเลคุณภาพสูงอย่างเพียงพอ และรักษาจำนวนและความหลากหลายของสัตว์น้ำ โดยในปีนี้กลุ่ม SeaBOS ได้ผลักดันบริษัทสมาชิกไม่ทำประมงที่ผิดกฎหมาย หรือทำลายสัตว์ทะเลที่ใกล้สูญพันธุ์ และขจัดการใช้แรงงานผิดกฎหมาย พร้อมกำหนดให้บริษัทสมาชิกทั่วโลกผลิตสินค้ามาจากการทำประมงที่ปลอด IUU และปลอดการใช้แรงงานทาส ภายในเดือนตุลาคม ปีนี้



นายไพโรจน์กล่าวว่า จากความมุ่งมั่นและความพยายามของซีพีเอฟในการสนับสนุนการประมงยั่งยืน ส่งผลให้ซีพีเอฟได้รับคะแนนสูงสุดในหมวดสิทธิมนุษยชน และการบริหารห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน และมีผลคะแนนรวมด้านความยั่งยืนเป็นอันดับ 3 จาก 30 บริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมอาหารทะเลทั่วโลก จากดัชนี Seafood Stewardship Index (SSI) ในครั้งที่ผ่านมา
#3033


ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวลง 66.57 จุด หรือ 0.19% ปิดที่34,894.12 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 5.53 จุดหรือ 0.13% ปิดที่ 4,405.8 จุด และดัชนีแนสแด็ก ปรับตัวขึ้น 15.87 จุดหรือ 0.11% ปิดที่ 14,541.79 จุด


หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจ เช่น กลุ่มธุรกิจเรือสำราญและกลุ่มสายการบิน ต่างร่วงลงในการซื้อขายวันนี้ ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลงเช่นกัน ตามราคาน้ำมันที่ทรุดตัวลงเกือบ 4%

ทั้งนี้ รายงานการประชุมประจำเดือนก.ค.ของเฟดระบุว่า กรรมการเฟดส่วนใหญ่เห็นพ้องที่จะเริ่มปรับลดวงเงินคิวอีในปีนี้

ปัจจุบัน เฟดซื้อพันธบัตรตามมาตรการคิวอีอย่างน้อย 120,000 ล้านดอลลาร์/เดือน โดยเฟดซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐวงเงิน 80,000 ล้านดอลลาร์/เดือน และซื้อตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (เอ็มบีเอส) ในวงเงิน 40,000 ล้านดอลลาร์

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

นายโรเบิร์ต แคปแลน ประธานเฟด สาขาดัลลัส กล่าวก่อนหน้านี้ว่า เฟดควรทำการประกาศในเดือนหน้าเกี่ยวกับไทม์ไลน์ในการปรับลดวงเงินคิวอี และเริ่มทำการปรับลดคิวอีในเดือนต.ค.

คำกล่าวของนายแคปแลนสอดคล้องกับถ้อยแถลงของนายริชาร์ด แคลริดา รองประธานเฟด ที่ได้ส่งสัญญาณว่า เฟดจะปรับลดวงเงินคิวอี ภายในปีนี้ ก่อนที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2566 ขณะที่นายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ว่าการของเฟด กล่าวเช่นกันว่า เฟดควรจะเริ่มปรับลดวงเงินคิวอีภายในเดือนต.ค.

นักลงทุนจับตาการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 26-28 ส.ค. โดยคาดว่าเฟดจะส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งแนวโน้มการปรับลดวงเงินคิวอีในการประชุมดังกล่าว


นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการที่โกลด์แมน แซคส์ ประกาศปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในไตรมาส 3 เหลือ 5.5% จากเดิมที่ระดับ 9% โดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา และคาดว่าอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐจะพุ่งขึ้นสูงกว่าคาดในช่วงที่เหลือของปีนี้

สหรัฐเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจไร้ทิศทางในวันนี้ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกต่ำสุดในรอบ 17 เดือน ซึ่งบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวของตลาดแรงงาน อย่างไรก็ดี เฟดสาขาฟิลาเดลเฟียเปิดเผยดัชนีภาวะธุรกิจมิด-แอตแลนติกต่ำสุดรอบ 8 เดือน ซึ่งบ่งชี้ถึงความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจสหรัฐ
#3034


นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ "Innovation Beyond Business โอกาสนวัตกรรมเศรษฐกิจ" ในการสัมนา Virtual Forum  Thailand next#1 ว่าการพัฒนานวัตกรรมมีส่วนอย่างยิ่งในการพัฒนาประเทศ รวมทั้งการต่อสู้กับโรคระบาดอย่างโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ซึ่งเราเห็นตัวอย่างจากชาติตะวันตกที่มีความรู้เรื่องนวัตกรรมมีการสั่งสมองค์ความรู้ทางด้านการแพทย์ และวิทยาศาสตร์มาอย่างยาวนานก็สามารถที่จะผลิตวัคซีน-19 ได้ภายในระยะ 1 ปี จากปกติที่ต้องใช้เวลากว่า 8 ปี 

ประเทศไทยยังไม่มีการสั่งสมองค์ความรู้ที่เป็นนวัตกรรมมากนักที่ผ่านมาการลงทุนของภาคเอกชนมีมาอย่างต่อเนื่องและมีการลงทุนซึ่งช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตโดยในช่วงที่ผ่านมาขนาดของเศรษฐกิจของไทยมีขนาดใหญ่อันดับ 2 ของอาเซียน 

ส่วนนวัตกรรมที่บางส่วนเกิดจากการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ (FDI) ไม่มากนัก โดยก่อนหน้านี้ระดับของ FDI ต่อจีดีพีของไทยอยู่ที่ 1-2% ของจีดีพีเท่านั้น 


อย่างไรก็ตามรัฐบาลได้มีการลงทุนอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสาร และด้านอื่นๆเพื่อให้เกิดการลงทุนเพิ่มเติมของภาคเอกชนทั้งในและนอกประเทศ 

ขณะที่การปรับตัวเรื่องภาคส่วนต่างๆของเศรษฐกิจ เช่นการท่องเที่ยวหลังโควิด-19 โดยเฉพาะในเรื่องของภาคการท่องเที่ยวที่จะมีการเปิดรับนักท่องเที่ยวในปริมาณที่ลดลงเน้นคุณภาพมากขึ้นและมีระบบสาธารณสุขรองรับเป็นอย่างดีซึ่งก็จะช่วยให้ประเทศไทยใช้เครื่องยนต์ทางการท่องเที่ยวขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้มากขึ้น 

ส่วนการเปิดรับนักลงทุนที่รัฐบาลพยายามเตรียมความพร้อมที่จะรับการลงทุนจากต่างประเทศนั้นมีการเตรียมความพร้อมโครงการต่างๆในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่มีการสนับสนุนโครงการที่เกี่ยวข้องเช่น เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ "EECi หรือ  เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (Digital Park Thailand) หรือ "EECd" ที่จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจและการพัฒนานวัตกรรม 

นอกจากนั้นยังมีแนวนโยบายที่พัฒนาเศรษฐกิจสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลกคือเรื่องของการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการลดการปล่อยคาร์บอนไดร์ออกไซด์ สังคมคาร์บอนต่ำ ซึ่งจะมีการลงทุนของบริษัทขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับแนวทางนี้เช่นรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และสมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น  
#3035


นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มอบนโยบายการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงและมาตรฐานความปลอดภัยในเส้นทาง โดยระบุว่า ขอให้กรมทางหลวง (ทล.) เร่งดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 3 (ถนนสุขุมวิท) สาย ตราด - หาดเล็ก ที่ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างให้เสร็จสมบูรณ์ตลอดเส้นทาง เพื่อรองรับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดตราด สนับสนุนเขตเศรษฐกิจชายแดน (Special Economic Zone : SEZ)

อีกทั้งให้เป็นเส้นทางรองรับการขยายตัวของเมืองและแก้ไขปัญหาการจราจร เนื่องจากจังหวัดตราดได้รับการจัดตั้งให้พัฒนาเป็นหนึ่งในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในระยะแรก โดยตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการค้าการขนส่งต่อเนื่องระหว่างประเทศและเป็นศูนย์กลางการบริการด้านการท่องเที่ยวระดับภูมิภาค อีกทั้งยังเป็นประตูการค้าชายแดน มีด่านการค้าบ้านหาดเล็ก ซึ่งมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กระจายสินค้า สามารถเชื่อมโยงกับเขตเศรษฐกิจพิเศษเกาะกง ราชอาณาจักรกัมพูชา 



อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมา ทล.ได้ขยายเส้นทางดังกล่าวเป็น 4 ช่องจราจรแล้วเสร็จระยะทางรวม 65.550  กิโลเมตร ซึ่งขณะนี้คงเหลือช่วงสุดท้าย ตอน ทางแยกเข้า ต.ไม้รูด - บ.คลองจาก ระยะทางประมาณ 23.450 กิโลเมตร  กระทรวงฯ จึงผลักดันให้แล้วเสร็จภายในปี 2564  ซึ่งหากโครงการแล้วเสร็จจะเสริมสร้างโครงข่ายทางหลวงให้สมบูรณ์ตลอดเส้นทาง 89 กิโลเมตร

ทั้งนี้ ทล.ได้เร่งดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 3 (ถนนสุขุมวิท) สาย ตราด - หาดเล็ก ตอนทางแยกเข้า ต.ไม้รูด - บ.คลองจาก ก่อสร้างเป็นมาตรฐานทางชั้นพิเศษ 4 ช่องจราจร รวมงานก่อสร้างสะพานคอนกรีตอีก  7  แห่ง และก่อสร้างศาลาทางหลวงในบริเวณสองข้างทางเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนจำนวน  11  แห่ง พร้อมติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่างตลอดเส้นทาง งบประมาณราว 985 ล้านบาท  ปัจจุบันการก่อสร้างคืบหน้าประมาณ 85% คาดว่าจะก่อสร้างจะแล้วเสร็จประมาณเดือน พ.ย. นี้

โดยหากโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จจะเป็นเส้นทางที่มีความสำคัญด้านการสัญจรของประชาชนในพื้นที่  ส่งเสริมการขนส่งสินค้า การท่องเที่ยว และเป็นเส้นทางที่เชื่อมต่อการเดินทางระหว่างประเทศไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชา ที่มีอัตราการเพิ่มของปริมาณรถสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจ และสังคมของจังหวัดตราด รวมถึงช่วยสนับสนุนโครงการพัฒนาระเบียบเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
#3036


ดร.สุทธาภา อมรวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี อบาคัส จำกัด กล่าวว่า ในช่วงวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นี้ ทาง เอสซีบี อบาคัส และแอปพลิเคชั่น "เงินทันเด้อ" มีความยินดีที่ได้ร่วมแคมเปญกับ ฟู้ดแพนด้า เพื่ออำนวยความสะดวกทางด้านสินเชื่อให้กับไรเดอร์ฟู้ดแฟนด้า ซึ่งถือเป็นกำลังหลักในการช่วยเหลือพี่น้องคนไทยให้อยู่บ้านเพื่อรักษาระยะห่าง นอกจากนี้ แคมเปญนี้ยังสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของเราที่ต้องการมุ่งเน้นการบริการทางการเงินเพื่อตอบโจทย์กลุ่มคนยุคใหม่ที่ต้องการเงินทุนเพื่อการประกอบอาชีพ โดยทาง เอสซีบี อบาคัส หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ความร่วมมือกันในครั้งนี้จะช่วยให้ไรเดอร์ฟู้ดแพนด้ามีเงินทุนหมุนเวียนเพื่อประกอบอาชีพเสริม และมีกำลังใจในการให้บริการอย่างดีเยี่ยมต่อไป


การร่วมมือกันระหว่าง ฟู้ดแพนด้า และ เอสซีบี อบาคัส จะช่วยอำนวยความสะดวกให้ไรเดอร์ฟู้ดแพนด้าทั่วประเทศ ที่มีความจำเป็นต้องขอสินเชื่อ โดยสามารถขอสินเชื่อตั้งหลักผ่านทางแอปพลิเคชั่น "เงินทันเด้อ" ได้ทันที ไม่ต้องเตรียมเอกสารให้ยุ่งยาก เพียงแค่มีรายได้ขั้นต่ำต่อเดือนจากการให้บริการเดลิเวอรี่กับฟู้ดแพนด้า 2,000 บาทขึ้นไป สัญชาติไทย อายุ 20-57 ปี ก็สามารถสมัครใช้บริการได้ เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น "เงินทันเด้อ" สมัครใช้บริการและยื่นขอสินเชื่อตั้งหลัก โดยรู้ผลไวภายใน 15 นาที และรับเงินภายใน 24 ชั่วโมงหลังได้รับการอนุมัติสินเชื่อ โดยมีวงเงินสินเชื่อสูงสุดที่ 50,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 2.75 ต่อเดือน และระยะเวลาการผ่อนชำระสูงสุด 15 เดือน นับว่าเป็นบริการทางการเงินที่สะดวก รวดเร็ว และตอบสนองความต้องการของไรเดอร์ ซึ่งเป็นบุคลากรคนสำคัญของฟู้ดแพนด้าอย่างแท้จริง

นายอเล็กซานเดอร์ เฟลเดอร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟู้ดแพนด้า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "หนึ่งในฟันเฟืองสำคัญของการดำเนินธุรกิจของ ฟู้ดแพนด้า นอกเหนือจากร้านค้าพาร์ทเนอร์ และลูกค้าทุกท่านแล้ว ไรเดอร์ คือบุคลากรสำคัญที่คอยส่งมอบความสุข ความอร่อย และประสบการณ์ที่ดีเยี่ยม ทางบริษัทได้ตระหนักถึงความทุ่มเทและความตั้งใจของไรเดอร์ที่คอยส่งมอบบริการจากฟู้ดแพนด้าถึงมือลูกค้าทุกท่านเป็นอย่างดีเสมอมา นับตั้งแต่วันแรกที่ได้ให้บริการคนไทยจวบจนปัจจุบัน เรารับฟังทุกความต้องการของไรเดอร์มาโดยตลอด จากผลสำรวจพบว่าไรเดอร์ต้องการการสนับสนุนด้านเงินทุน ฟู้ดแพนด้า จึงได้ร่วมมือกับบริษัท เอสซีบี อบาคัส จำกัด ผู้พัฒนาแอปพลิเคชั่น "เงินทันเด้อ" บริการสินเชื่อตั้งหลักที่จะมาอำนวยความสะดวกในเรื่องเงินทุนหมุนเวียนเพื่อประกอบอาชีพเสริม รวมถึงเป็นการให้กำลังใจไรเดอร์ของเราทุกคน ในช่วงเวลาที่ยากลำบากขณะนี้"

"นี่เป็นเพียงหนึ่งในแคมเปญที่ทางฟู้ดแพนด้าได้จัดตั้งขึ้นมาเพื่อสนับสนุนไรเดอร์ ขอสัญญาว่าเราจะเดินหน้าต่อไปเพื่อพัฒนาการให้บริการให้ดีขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง และดูแลพาร์ทเนอร์ของฟู้ดแพนด้าให้ดีที่สุด ขอบคุณทุกท่านและพนักงานทุกคนที่ให้โอกาสและเชื่อมั่นในฟู้ดแพนด้า" 
#3037


วันนี้ (17 ส.ค.) นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า จากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 ในประเทศไทย อสม. หรือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน มีบทบาทสำคัญในการช่วยภาครัฐลงพื้นที่ค้นหากลุ่มเสี่ยงหรือติดตามผู้สัมผัสโรค เข้าสู่กระบวนการคัดกรอง หรือแยกผู้ต้องถูกกักตัว เพื่อลดการแพร่ระบาดในหมู่บ้านหรือชุมชน รวมถึงให้ความรู้เรื่องสาธารณสุขต่างๆ ช่วยดูแลประชาชนและกิจกรรมกิจการต่างๆ เป็นไปตามมาตรการป้องกัน โรคโควิด 19 ของกระทรวงสาธารณสุข ส่งผลให้การดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพให้กับ อสม.ในการเฝ้าระวังและคัดกรองผู้ติดเชื้อโควิด 19 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 2 พิษณุโลก ร่วมกับภาคีเครือข่ายวิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชน ได้แก่ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดอบรมถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการตรวจโรคโควิด 19 ด้วยตนเอง โดยชุดทดสอบ Antigen Test Kit ให้แก่ อสม. ในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก ประกอบด้วย การอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อเตรียมความพร้อม ฝึกปฏิบัติการใช้ชุดทดสอบและ ประเมินความรู้ ความเข้าใจในการใช้ชุดทดสอบ เพื่อให้สามารถนำเอาความรู้ที่ได้ไปแนะนำให้แก่ประชาชนในชุมชน ของตนเอง รวมทั้งมีความรู้ ความเข้าใจในการตรวจด้วยตนเองได้อย่างถูกต้อง ช่วยสนับสนุนการค้นหาผู้ป่วยในเชิงรุก ในชุมชน เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคได้อย่างทันสถานการณ์ นำไปสู่การจัดการปัญหาสุขภาพจากโรคโควิด 19 ในพื้นที่เสี่ยงของจังหวัดพิษณุโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ที่ผ่านมาศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 2 พิษณุโลก ได้ถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาสาธารณสุขของประเทศ โดยพัฒนางานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพในชุมชนและการส่งเสริมความเข้มแข็ง ภาคประชาชน ผ่านกลไกการจัดตั้งและพัฒนาศูนย์แจ้งเตือนภัย เฝ้าระวัง และรับเรื่องร้องเรียนปัญหาผลิตภัณฑ์สุขภาพ ในชุมชน และการพัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่ และ อสม.หมอประจำบ้าน เป็น อสม.นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชน ที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ในการสนับสนุนการแก้ไขปัญหาสุขภาพในชุมชนได้อย่างทั่วถึงและเกิดประโยชน์ต่อประชาชนในพื้นที่

"ปัจจุบันจังหวัดพิษณุโลก มี อสม.วิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชนที่ผ่านการอบรมกว่า 300 คน โดยมีศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 2 พิษณุโลก เป็นหน่วยงานหลักในการสนับสนุนและส่งเสริมด้านองค์ความรู้ และเทคโนโลยีด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อให้เกิดกลไกในการขับเคลื่อนงานด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชน โดยมี อสม. เป็นกำลังสำคัญหลักของเครือข่ายระดับปฐมภูมิ ซึ่งกิจกรรมการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการใช้ชุดทดสอบ Antigen Test Kit แก่ อสม. นับเป็นการเตรียมความพร้อมตามนโยบายของภาครัฐที่ต้องการให้ประชาชนเข้าถึงการตรวจคัดกรอง โรคโควิด 19 ได้ด้วยตนเอง เพื่อเป็นการจำแนกผู้ป่วยออกจากผู้ติดเชื้อและเข้าสู่ระบบการรักษา ควบคุมโรคในระดับชุมชน ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึง" นายแพทย์ศุภกิจ กล่าว
#3038


นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าไทย กล่าวว่า  จากการที่ ศบค.ขยายล็อกดาวน์อีก 14 วัน ไปจนถึง 31 ส.ค. 2564 ก็ถือว่าเป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ เพราะเหตุผลที่ต้องมีการขยายเวลาล็อคดาวน์เพิ่มเติมอาจมาจากตัวเลขของผู้ติดเชื้อ และ ผู้เสียชีวิต ที่ไม่ได้ลดลง อย่างที่หลายฝ่ายอยากให้เกิดขึ้น แต่กลับมีตัวเลขที่เพิ่มสูงขึ้นในบางช่วงด้วยซ้ำซึ่งการขยายการล็อคดาวน์ เพิ่มเป็น 14 วัน หอการค้าไทย มองว่าคงมีความจำเป็น แต่สิ่งที่อยากสะท้อนให้ภาครัฐมองในมุมของเศรษฐกิจ และความเป็นอยู่ของประชาชนควบคู่กันไปด้วย โดยขอให้รัฐบาลพิจารณามาตรการเสริมมาเยียวยาให้รวดเร็ว เพราะเท่าที่ผ่านมาถึงแม้ว่าหลายส่วนจะเห็นด้วยหรือไม่ในการล็อคดาวน์ของรัฐบาล แต่ทุกคนก็ปฏิบัติตามมาตรการที่ประกาศออกมาอยู่แล้ว และต้องยอมรับว่าไม่เฉพาะผู้ประกอบการที่บอบช้ำจากการหยุดกิจการชั่วคราว แต่ยังกระทบถึงคนใน supply chain ในธุรกิจนั้น ๆ อีกมากมาย ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าประชาชนทั่วไปก็ต่างรับผลกระทบทั้งสิ้น
                 

หอการค้าเห็นด้วยที่จะต้องควบคุมการแพร่ระบาดในลดลงกว่านี้ให้เร็วที่สุด แต่ตอนนี้รัฐบาลอาจจะต้องพิจารณาแนวทางการช่วยเหลือมาเสริมทันทีด้วย ไม่ว่าจะเป็นการชดเชยกลุ่มต่าง ๆ ให้ครอบคลุม  รวมถึงอาจจะต้องพิจารณาผ่อนปรนให้สำหรับบางกิจการเพื่อให้สามารถเปิดธุรกิจได้อีกครั้ง โดยรัฐบาลต้องมีเกณฑ์หรือตัวชี้วัดเพื่อเป็นมาตรฐานสำหรับกิจการที่จะเปิด ซึ่งขอย้ำว่าการควบคุมการระบาดต้องควบคู่กับการเดินหน้าประคองเศรษฐกิจไปด้วย
             

"ภาคเอกชนมองว่าการล็อคดาวน์อาจจะไม่ใช่แนวทางที่ดีที่สุด หากไม่มีการเร่งตรวจเชิงรุกด้วย ATK และต้องเร่งบริหารจัดการให้มีราคาที่ถูกลงกว่าที่เป็นอยู่ ให้ประชาชนหาซื้อง่ายก็จะยิ่งเพิ่มความถี่ในการตรวจและทั่วถึงมากขึ้น ทำให้การแยกผู้ป่วยออกมารักษาด้วยมาตรการ Isolation ในระดับต่าง ๆ ตามความรุนแรงของอาการได้อย่างรวดเร็ว และรัฐต้องเร่งจัดหาวัคซีนเพื่อทำให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนให้ได้มากที่สุด"

ทั้งนี้ รัฐบาลจะต้องพิจารณาผ่อนคลายกฎระเบียบบางประการที่ทำให้เกิดอุปสรรคในการควบคุมการแพร่ระบาด เช่น กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าวัคซีน ยาและเวชภัณฑ์ ลดขั้นตอนและระยะเวลาการพิจารณาต่าง ๆ ให้สั้นลง เพราะสถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้เป็นสถานการณ์ปกติทั่วไป หากยังคงใช้กฎเกณฑ์เดิมจะทำให้การควบคุมการระบาดยิ่งล่าช้าออกไป และในทางกลับกันตัวเลขอาจจะยังคงสูงขึ้นพร้อมๆ กับเศรษฐกิจที่จะทรุดลงอย่างรวดเร็ว หากผู้ประกอบการหยุดหรือปิดตัวลงก็จะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปยังประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน


นายสนั่น กล่าวว่า ในระหว่างนี้ รัฐบาลก็ต้องเตรียมแผนที่จะฟื้นฟูและเปิดประเทศ หากสถานการณ์เริ่มดีขึ้น เพราะหอการค้าเชื่อว่า หลังจากนี้หลายธุรกิจจะประสบปัญหาด้านการเงิน และมีบางธุรกิจที่ต้องปิดกิจการอย่างถาวร โดยประเด็นนี้ก็จะต้องจัดเตรียมแนวทางช่วยเหลือและฟื้นฟูให้กิจการที่ยังอยู่กลับมาแข่งขันได้ ในขณะที่แผนเปิดประเทศจะต้องจัดเตรียมให้รอบด้านเพราะจำเป็นที่จะต้องเปิดประเทศควบคู่กับการอยู่ร่วมกับโควิด - 19 ไปอีกระยะหนึ่ง จะรอเปิดประเทศภายหลังโรคระบาดหมดไปคงเป็นไปไม่ได้
             

ส่วนโมเดลภูเก็ต Sand Box ที่ได้ดำเนินการมาถือเป็นการทดสอบความพร้อมด้านต่าง ๆและรัฐต้องเร่งปรับปรุงในส่วนที่เห็นว่าเป็นปัญหา ซึ่งวันนี้ภาคเอกชนเห็นด้วยกับมติของศบค.ที่เห็นชอบแนวทางการเปิดพื้นที่รับนักท่องเที่ยวจากจังหวัดภูเก็ต (PhuketSandbox) เดินทางเชื่อมต่อจังหวัดนำร่องอื่น เริ่มจาก สุราษฎรธานี (เกาะสมุย เกาะพะงันเกาะเต่า) กระบี่ (เกาะพีพี เกาะไหง ไร่เล) และ พังงา (เขาหลัก เกาะยาวน้อย เกาะยาวใหญ่) ภายใต้มาตรการ 7+7 คือ หลัง 7 วันแรกตรวจไม่พบเชื้อ สามารถเดินทางไปยังอีก 3จังหวัดดังกล่าวเพื่อพักอยู่อีก 7 วัน ภายใต้มาตรการด้านสาธารณสุขที่เข้มงวด โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 16 ส.ค.64 หากประสบความสำเร็จก็ควรจะพิจารณาขยายโมเดลไปยังจังหวัดท่องเที่ยวในภูมิภาคอื่น ๆ ก็จะช่วยเสริมความเชื่อมั่นกับนักท่องเที่ยวต่างชาติในขนาดเดียวกันเศรษฐกิจก็ยังคงเดินหน้าต่อไปได้


นายสนั่น กล่าวว่า  สำำหรับการผ่อนคลายที่ให้สถาบันการเงินเปิดในห้างได้ ก็จะสามารถช่วยบรรเทาผลกระทบจากการที่ปิดได้ส่วนหนึ่ง ส่วนธุรกิจที่เหลือก็คงต้องรอการพิจารณาผ่อนคลายต่อไป เพราะตอนนี้จำนวนผู้ติดเชื้อยังสูง และกังวลว่าจะเป็นเหตุให้ผู้คนออกเดินทาง เชื่อว่าทางรัฐบาลและทางสาธารณสุขเป็นกังวลในส่วนนี้ แต่ทาง หอการค้าไทย ก็ยังหวังว่า เราต้องมีมาตรการเพิ่มเติมเพื่อให้แต่ละธุรกิจกลับมาเปิดดำเนินการควบคู่กับการระบาดไปให้ได้

ส่วนมาตรการคุมเข้มเพิ่มเติมกรณีทำ company isolation ตรวจ ATK ก่อนคลายล๊อคดาว์นนั้น ก็เป็นสิ่งที่ดี รวมถึงที่จะมีระบบจัดทำ thai covid pass นั้น ก็ตรงกับข้อเสนอที่หอการค้าเสนอ ให้มี superapp เพื่ออำนวยความสะดวกและเปิดดำเนินการกิจการได้ สิ่งที่เป็นห่วงตอนนี้ คือ การหา ATK ที่มีคุณภาพให้ประชาชน และสถานประกอบการให้เข้าถึงง่าย ในราคาที่เหมาะสม รวมถึง ควรมีมาตรการลดหย่อนภาษีจากค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ ให้กิจการที่มีสนับสนุนการป้องกันตัวเอง ช่วยแบ่งเบาภาระภาครัฐ ตรงนี้จะสามารถให้ร่วมมือกัน ได้มากขึ้นอีกส่วนหนึ่ง จำนวนตัวเลข 50 คนและ 100 คน ที่กำหนดนั่นอยากจะให้พิจารณาตามลักษณะของแต่ละธุรกิจ ว่ามีความเสี่ยงที่ต่างกันด้วย เพื่อให้มาตรการที่ออกมาสามารถปฏิบัติได้จริง
#3039
 

ข่าวใหญ่สำหรับภาคการขนส่งทำให้เกิดผลบวดต่อธุรกิจโลจิสติกส์อีกแล้ว หลังโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้ามีการกระจายอย่างรวดเร็วในเอเชีย ทำให้ลายประเทศรวมทั้งไทยต้องงัดมาตรการล็อกดาวน์บางส่วนมาใช้ 

รอบนี้หนึ่งในตลาดขนส่งรายใหญ่ของโลกอย่างจีนต้องเผชิญปัญหาพันธุ์เดลต้าเช่นกันทำให้ต้องปิดท่าเรือคอนเทนเนอร์หนิงโป-โจวซาน (Ningbo-Zhoushan) ชั่วคราวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือว่าเป็นท่าเรือที่มีเรือสินค้าใช้บริการแออัดมากเป็นอันดับที่ 3 ของโลก ขนถ่ายสินค้าจากเรือราว 1.2 ล้านล้านตันในปี 2564            

การปิดท่าเรือดังกล่าวห้ามเรือสินค้าเข้าเทียบท่าเรือหรือแล่นออกจากท่าเรือ และระงับการบริการขนถ่ายสินค้าจากเรือทั้งหมด หลังพบคนงานคนหนึ่งของบริษัทหนิงโป เม่ยตง คอนเทนเนอร์ เทอร์มินอล (1 ในเครือหนิงโป-โจวซาน) ติดโควิด-19 ทำให้ต้องกักกันเฝ้าระวังพนักงานอีก 2,000 คน            

ที่ผ่านมาโลกได้เผชิญเหตุการณ์ระบบโลจิสติกส์สดุดจากตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลน   จนทำให้เกิดสินค้าตกค้างเป็นจำนวนมากในฝั่งสหรัฐและยุโรป   ทำเป็นสาเหตุทำให้ค่าเช่าตู้แพงระยับ ค่าระวางเรือพุ่งสูงขึ้น   และเมื่อเกิดสถานการณ์คล้ายๆกัน ทำให้เกิดความวิตกว่าการปิดท่าเรือดังกล่าวทำให้ซัพพรายชงักตามไปด้วย            

ตัวเลขที่ยังสะท้อนปัจจัยดังกล่าวคือดัชนีค่าระวางเรือ (BDI)  ยังทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่อง มาอยู่ที่ 3,566  ดอลลาร์  หลังทพึ่งทำตัวเลขทำสถิติสูงสุดในรอบ 10 ปี อยู่ที่ 2,319 จุด (24 มี.ค.64)   และในรอบ 6 เดือนแรกปี 2564 BDI ปรับเพิ่มขึ้นจากปลายก่อน 10 %

อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ ไต้หวัน คาดการ Re-stock สินค้าทั่วโลกยังเร่งตัวขึ้นไปจนถึงกลางปีหน้าเป็นอย่างน้อย   ซึ่งจะผลักดันค่าระวางเรือเพิ่มสูงขึ้น หลังดัชนี BDI และ BHSI ทำสถิติสูงสุดในรอบ 11 ปี  ซึ่งยังมีดีมาร์ทการขนส่งสินค้าทั่วโลกที่ยังเร่งตัวขึ้น ตัวเลขการส่งออกของไทยที่ยังเติบโต           

เมื่อหันมาดูหุ้นเดินเรือของไทยกลายเป็นกลุ่มที่ราคาหุ้นเคลื่อนไหวอย่างคึกคักเพื่อตอบรับกับคาดการณ์ของผลดำเนินงานจะเติบโตแรง ซึ่งในไตรมาส 2 ปี 2564 ที่ประกาศออกมานั้นแต่ละบริษัทเครื่องร้อนจัดทำกำไรกันเพิ่มขึ้นเป็นระดับเกินเท่าตัวทุกราย

สำหรับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการข่นส่งสินค้า และตู้ขนเทนเนอร์โดยตรง บริษัท  อาร์ ซี  แอล  จำกัด (มหาชน) หรือ  RCL ซึ่งให้บริการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ทางทะเล    ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาตั้งแต่ต้นปีมากกว่า 200 % 

รายงานกำไรไตรมาส 2 ที่  3,189 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 1,383 % จากช่วงเดียวกันปีก่อน และในรอบ 6 เดือนแรก กำไร 6,130 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,600 %   มาจากปริมาณขนส่งตู้คอนเทนเนอร์เพิ่มขึ้น ค่าระวางเรื่อต่อตู้พิ่มกว่า 76 % ทำให้อัตราค่าเช่าเรือสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์

บริษัท  ไวส์ โลจิสติกส์  จำกัด (มหาชน) หรือ WICE  ดำเนินธุรกิจโลจิสติกส์ระหว่างประเทศทางทะเล-อากาศ  โชว์กำไรไตรมาส 2 ที่  111 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 101 % บริษัท ทรัพเพิล ไอ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ III ธุรกิจโลจิสติกส์ระหว่างประเทศและในประเทศ อากาศ –ทะเล-บก มีกำไรในช่วงดังกล่าว 85 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 150 %

บางธุรกิจเผชิญขาดทุนสามารถพลิกกลับมามีกำไร บริษัทพรีเซียส ชิฟปิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSL ไตรมาส 2 กำไร 826 ล้านบาท พลิกจากขาดทุน 1,183 ล้านบาท ท่ามกลางผลกระทบจากโควิดทำให้ ผู้บริหารอุตสาหกรรมการขนส่งทางทะเลขนาดใหญ่มั่นใจว่าอัตราค่าระวางจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีนี้ (Petter Haugen นักวิเคราะห์ของ Kepler Cheuvreux)  

หรือ บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA    ที่พลิกมีกำไร 530 ล้านบาท จากขาดทุน  240 ล้านบาทในช่วงเดียวกันปีก่อน  ซึ่งบริษัทมีสัดส่วนธุรกิจขนส่งทางเรือ 52 % ได้รับผลดีจากอัตราค่าระวางเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบกว่าทศวรรษ มีปัจจัยหนุนปริมาณการขนส่งแร่หล็กและธัญพืชที่เพิ่มขึ้น รวมถึงความแออัดของท่าเรือ

เรียกได้ว่าปี 2564 เป็นปีทองต่อเนื่องของธุรกิจโลจิกติกส์ ระดับโลกที่ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องในไทยได้รับอานิสงค์ตามไปด้วย   ท่ามกลางวิกฤติโควิด-19 ที่ส่งผลลบต่อหลากหลายธุรกิจแต่ในขณะเดียวกันยังเอื้อให้บางธุรกิจกลับมาเติบโตที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วง 1-3 ปีจากนี้ไป  
#3040


"ชัยสิทธิ์ สัมฤทธิวณิชชา" กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ดี.รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) NDR เผยรายได้ Q2/64 อยู่ที่ 202.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.07% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 9.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.93% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังยอดขายเพิ่ม-คุมต้นทุนดี

นายชัยสิทธิ์ สัมฤทธิวณิชชา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ดี.รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) NDR ผู้ผลิตและจำหน่ายยางในและยางนอกรถจักรยานยนต์ภายใต้แบรนด์ N.D.Rubber กล่าวว่า ผลประกอบการในไตรมาส 2/2564 บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 202.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.07% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 158.06 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 9.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.93% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 8.86 ล้านบาท

โดยสาเหตุที่ผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากยอดขายในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้น ประกอบกับบริษัทฯ มุ่งเน้นการควบคุมค่าใช้จ่ายต่างๆ เพื่อบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม ต้นทุนขายในไตรมาส 2/2564 ขยับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนเล็กน้อย เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาด ซึ่งบริษัทฯ ได้มีการบริหารจัดการเพื่อรักษาสมดุลระหว่างราคาและต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ทำให้สามารถรักษาผลประกอบการให้อยู่ในระดับดีได้ ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงจับตาดูการเคลื่อนไหวของราคาวัตถุดิบอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับตัวให้ทันกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น

"แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมาต่อเนื่องจนถึงไตรมาส 2/2564 และเริ่มมีการปิดประเทศของประเทศกัมพูชา สปป. ลาว และประเทศมาเลเซีย ในช่วงปลายไตรมาส 2/2564 รวมถึงมีการปิดกิจการหลายประเภทในประเทศไทย แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงสามารถรักษายอดขายไว้ได้ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาส 1/2564 ที่ทำได้ 200.91 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน" นายชัยสิทธิ์ กล่าว