• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Shopd2

#3001


วันนี้ (4 ก.ย.) สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดตราด ได้จัดการอบรมมาตรฐานด้านสุขอนามัย หรือ SHA+ ให้ผู้ประกอบการ โรงแรมทั้งขนาดเล็กและใหญ่ รวมถึงผู้ประกอบการร้านอาหาร รถโดยสารสองแถว และกลุ่มบริษัทนำเที่ยวที่โรงแรมสนธิยา ทรี เกาะช้าง รีสอร์ท เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันและดูแลนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้าพักในพื้นที่โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม

โดย นายสัคศิษฎ์ มุ่งการ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดตราด เผยว่า ดารอบรมดังกล่าวนอกจากจะสร้างตื่นตัวให้ผู้ประกอบการในพื้นที่ อ.เกาะช้าง ให้มีความพร้อมรับนักท่องเที่ยวภายใต้มาตรฐานด้านสุขอนามัย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาในพื้นที่จากมาตรการคลายล็อกของ ศบค. และนโยบายเปิดเมืองในเดือน ต.ค.นี้

นายสัคศิษฎ์ มุ่งการ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดตราด
นายสัคศิษฎ์ มุ่งการ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดตราด

ขณะที่ นายฉัตรชัย ทองหลี นายอำเภอเกาะช้าง เผยว่า ในส่วนของหน่วยงานราชการพร้อมให้การสนับสนุนโครงการเกาะช้างทูเก็ตเตอร์ (Kohchang Together ) โดยเฉพาะสาธารณสุขอำเภอและโรงพยาบาลเกาะช้าง ที่ได้ดำเนินการฉีดวัคซีนให้ชาวเกาะช้าง ฉีดได้แล้วกว่าร้อยละ 50

และคาดว่าในเดือน ก.ย.นี้ จ.ตราด จะได้รับการสนับสนุนวัคซีนจากรัฐบาลอีกไม่น้อยกว่า 5,000 โดส ซึ่งจะทำให้ในพื้นที่มีประชาชนได้รับวัคซีนไม่น้อยกว่าร้อยละ 70

เช่นเดียวกับ นายบุรินทร์ ไตรรัตน์ สาธารณสุขอำเภอเกาะช้าง ที่เชื่อมั่นว่าในเดือน ก.ย.นี้ เฉพาะพื้นที่เกาะช้างน่าจะสามารถฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้ถึง 100% ขณะที่การระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่ขณะนี้อยู่ในขั้นที่สามารถควบคุมได้แล้ว
#3002


ส่องภารกิจ 'ดนันท์ สุภัทรพันธุ์' กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท)คนใหม่ นับตั้งแต่วันรับตำแหน่ง เมื่อ 17 พ.ค.2564 กับความท้าทายท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 ที่ต้องบริหารงานให้สามารถทำงานได้แบบไม่สะดุดเพื่อบริการทั้งประชาชนและตอบสนองการทำงานกับหน่วยงานรัฐในฐานะรัฐวิสาหกิจของไทยรวมถึงโรดแมปในการบริหารงานเพื่อนำพาไปรษณีย์ไทยก้าวสู่องค์กรดิจิทัล

***ก้าวไปพร้อมกันกับพนักงานและสหภาพฯ
​แม้ว่าก่อนการเข้ารับตำแหน่งของ 'ดนันท์ สุภัทรพันธุ์' นั้นเขาได้รับแรงต้านจากพนักงานและสหภาพแรงงานบ้างไม่มากก็น้อยในข้อสงสัยถึงตัวผู้บริหารที่มาจากคนนอก ทั้งที่จริงแล้วเขาเองไม่ได้ข้ามห้วยมาจากที่อื่นแต่อย่างใด หากเขาเป็นผู้บริหารระดับรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาดจากบริษัท กสท โทรคมนาคมจำกัด (มหาชน) ซึ่งล่าสุดได้ควบรวมกับ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน)เป็นบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT จึงนับว่าเขาเป็นผู้บริหารที่อยู่ใกล้ชิดกับไปรษณีย์มานาน และไม่ใช่คนอื่นไกลแต่อย่างใด

​'ผมกับสหภาพฯและพนักงานทำงานและมีความเข้าใจกันอย่างดี' ดนันท์ อธิบายพร้อมกล่าวเสริมว่า มีการสื่อสารกับคนไปรษณีย์ไทยผ่านช่องทางการสื่อสารภายใน ทั้งสื่อออฟไลน์และออนไลน์อย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับนโยบายและทิศทางการดำเนินงานขององค์กร เพื่อสร้างการรับรู้ ทำความเข้าใจร่วมกันและพร้อมก้าวเดินไปพร้อมกัน

​รวมทั้งเปิดกว้างในการรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะเพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขการดำเนินงานให้เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพที่สุด มีการพูดคุยแบบ Liveสด ผ่านช่องทาง Facebook ภายใน โดยเฉพาะกับสหภาพฯนั้น มีการทำงานร่วมกันตลอดทุกหัวข้อ อาทิ ระบบงานการให้บริการ การพัฒนาระบบไอที การดูแลสวัสดิการและขวัญกำลังใจของบุคลากรโดยมีเป้าหมายเพื่อร่วมมือกันในการขับเคลื่อนงานให้มีประสิทธิภาพสนับสนุนการเติบโตก้าวหน้าของไปรษณีย์ไทย
***การบริหารความท้าทายช่วงโควิด-19 สู่ความเป็นที่ 1 



​'ดนันท์' ยอมรับว่าในช่วงเวลา 100 วันนับจากที่เขาได้รับตำแหน่งนั้น มีความท้าทายที่ต้องเผชิญเฉกเช่นกับองค์กรอื่นๆ นั่นคือ การบริหารงานภายใต้สถานการณ์โควิด-19 เนื่องจากไปรษณีย์ไทยเป็นรัฐวิสาหกิจภายใต้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ดังนั้นในฐานะหน่วยงานการสื่อสารและขนส่งของชาติ จึงต้องมีแผนงานการบริหารจัดการเพื่อให้สามารถเปิดให้บริการกับลูกค้าและประชาชนได้อย่างต่อเนื่องในทุกพื้นที่ โดยไปรษณีย์ไทยมุ่งเน้นดูแลลูกค้าและสนับสนุนให้สังคมไทยได้เติบโตขึ้นได้ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นปัจจุบัน จึงได้พยายามพัฒนาบริการต่างๆให้มีคุณภาพดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้ครอบคลุมและดีที่สุดซึ่งหากทำสำเร็จ รายได้การเติบโตรวมถึงการเป็นอันดับหนึ่งในตลาดจะตามมาเอง

​ดังนั้น สิ่งที่ไปรษณีย์ไทยให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกคือความปลอดภัยของคนไปรษณีย์ เพราะนั่นคือความปลอดภัยของประชาชนผู้ใช้บริการด้วย หากที่ทำการไปรษณีย์ใดพบเจ้าหน้าที่ติดเชื้อ จะพิจารณาปิดบริการชั่วคราวตามความจำเป็นเพื่อทำความสะอาดพื้นที่ปฏิบัติงานและจัดเจ้าหน้าที่ชุดใหม่มาปฏิบัติงานแทนพร้อมทั้งกำชับให้เจ้าหน้าที่เว้นระยะห่างแยกกันรับประทานอาหาร ห้ามจับกลุ่มคุยกันอย่างใกล้ชิด

​นอกจากนี้ที่ทำการไปรษณีย์ทุกแห่งจะให้บริการเจลล้างมือแอลกอฮอล์ เว้นระยะห่าง เคาน์เตอร์มีการทำความสะอาดจุดสัมผัสทุก 20 นาทีเจ้าหน้าที่ต้องสวมหน้ากากอนามัยและล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ตลอดเวลาระหว่างให้บริการ ศูนย์ไปรษณีย์มีการพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อบนรถขนส่งและพัสดุทุกชิ้น และสำหรับผู้ใช้บริการที่ไม่ต้องการลงนามรับสิ่งของ สามารถแจ้งให้บุรุษไปรษณีย์บันทึกชื่อ-นามสกุล แทนการลงนามได้ เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ

*** เปิดผลงาน 3 เดือน มุ่งบริการสังคม



สำหรับผลงาน 3 เดือนหลังเข้ารับตำแหน่งนั้นเพราะในช่วงโควิด-19 จึงได้เห็นผลงานในการช่วยเหลือสังคมเป็นหลักได้แก่ 1.การลดค่าส่ง EMSเพื่อลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ พิกัดน้ำหนักตั้งแต่เกิน 2 กิโลกรัมขึ้นไป 2.ส่งผลไม้ราคาเหมาเพื่อลดต้นทุนให้กับเกษตรกร ส่งผลไม้สดถึงบ้านในราคาเหมาด้วยบริการ EMS เริ่มที่น้ำหนักไม่เกิน 3 กิโลกรัมในราคา 50 บาทสูงสุดได้ถึง 20 กิโลกรัม 3.การส่งเสริมให้สินค้าชุมชนและผลไม้ขายออนไลน์ เพื่อเพิ่มช่องทางการขายสินค้าออนไลน์ให้วิสาหกิจชุมชน เกษตรกร และพ่อค้าแม่ค้าทั่วไปผ่านเว็บไซต์ thailandpostmart.com ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ รวบรวมสินค้าเกษตรและวิสาหกิจชุมชนที่ใหญ่ที่สุด มีสินค้ามากกว่า 17,000 รายการจากทุกภูมิภาคมีผู้ประกอบการกว่า 6,500 รายที่เข้าร่วมขายสินค้า

​4. การสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมของสินค้าและบริการโดยร่วมกับ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย(วว.) ยกระดับคุณภาพบรรจุภัณฑ์ตอบโจทย์ยุคโควิด-19 ลดความเสี่ยงในการเกิดความเสื่อมสภาพของสิ่งของที่บรรจุอยู่ภายในด้วยราคาที่คุ้มค่า คุ้มต้นทุน ช่วยให้ธุรกิจของผู้ประกอบการSMEs ร้านค้าออนไลน์ได้เติบโตขึ้น 5.การผนึกกับ Amazon เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการจำหน่ายสินค้าไทยในตลาดต่างประเทศ ผ่านโครงการ 'เคียงคู่ผู้ลงมือทำ 2021'เพื่อส่งเสริมศักยภาพให้กับผู้ประกอบการทุกธุรกิจ โดยนำความแข็งแกร่งด้านการขนส่งระดับชาติ มาผนึกกำลังกับแพลตฟอร์มการซื้อขายระดับโลกที่พร้อมช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยอย่างAmazon Global Selling Thailand เริ่มต้นจากกิจกรรมการสัมมนาในหัวข้อ 'Made in Thailand สร้างแบรนด์ไทย ส่งไกล ทั่วโลก' เพื่อเพิ่มทักษะให้ผู้ประกอบการธุรกิจอีคอมเมิร์ซให้สามารถเติบโตได้ในระดับโลกมากขึ้น และเตรียมขยายกิจกรรมเพิ่มเติมอื่นๆ ในระยะยาวต่อไป

​6.การต่อยอดธุรกิจด้วยเครือข่ายให้บริการที่เข้าถึงทุกครัวเรือน ร่วมกับบริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด(มหาชน)หรือ AIS ในการเพิ่มช่องทางให้บริการและอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถเติมเงินได้ถึงหน้าบ้านผ่านเครือข่ายบุรุษไปรษณีย์ เพื่อเป็นทางเลือกให้ลูกค้าหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือออกไปในพื้นที่ชุมชนได้และ 7.การร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงหน่วยงานด้านสาธารณสุขในการช่วยเหลือสังคม จัดตั้ง 'ศูนย์พักคอย' รองรับผู้ป่วยโควิด-19 ในพื้นที่เขตหลักสี่กรุงเทพมหานครเพื่อลดวิกฤตเตียงขาดแคลนจากปัญหาผู้ติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้นจนโรงพยาบาลและโรงพยาบาลสนามไม่สามารถรองรับได้ทัน อีกทั้งยังสนับสนุนการขนส่งสิ่งของจำเป็นทางการแพทย์ให้กับพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง

***กะเทาะโรดแมปการทำงานกจญ.คนใหม่



​ส่วนโรดแมปหรือแผนการทำงานของกจญ.คนใหม่นี้ 'ดนันท์' เล่าว่า จะเน้นการนำไปรษณีย์ไทยไปสู่รูปแบบดิจิทัล(Tech Post)โดยการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้งานให้มากขึ้นซึ่งจะสามารถลดเวลาของงานที่ไม่จำเป็นออกไปได้ระบบไอทีจะช่วยสนับสนุนการทำงานต่างๆ เพื่อรวมรวมข้อมูลสำหรับใช้ในการศึกษา พัฒนา และสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้าประทับใจ มีการบอกต่อในทางที่ดี ทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดีกับองค์กรต่อไป

​สิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนไปรษณีย์ไทยคือ การยึดหลัก Customer Centric หมายถึงความเข้าใจลูกค้า พัฒนาการให้บริการช่องทางและสินค้าต่างๆ เพื่อให้ทราบถึงความต้องการและพฤติกรรมการใช้บริการของผู้บริโภคเป็นสำคัญอีกทั้งยังต้องรักษาคุณภาพบริการให้ดีอย่างสม่ำเสมอ หากสามารถส่งมอบบริการที่ดีได้จะทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ เกิดการใช้ซ้ำและบอกต่อบริการของไปรษณีย์ไทย

​นอกจากนี้ไปรษณีย์ไทยได้เตรียมความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงช่องทางการส่งเอกสารที่สะดวกรวดเร็วซึ่งจะมาทดแทนการใช้บริการไปรษณีย์แบบดั้งเดิมจาก Physical mail ไปสู่ Digital Mail โดยมีการพัฒนาระบบ TDH (Total Document Handling - TDH) โดยไปรษณีย์ไทยจะเป็นตัวกลางในการรับ-ส่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างภาครัฐ ภาคธุรกิจและภาคประชาชนที่เป็นมาตรฐานมีระบบพิสูจน์ยืนยันตัวตน เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นอีเมลตัวจริงและสามารถกำหนดที่อยู่ที่ต้องการให้จัดส่งเอกสารได้

​รวมถึงการให้บริการ Pick-up service อำนวยความสะดวกให้ประชาชนที่ต้องการส่งสิ่งของโดยไปรับถึงบ้านผ่านทางไลน์ออฟฟิเชียล@ThailandPostโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมขณะเดียวกันก็ยังมีการพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ thailandpostmart อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มช่องทางการขายสินค้าออนไลน์ให้วิสาหกิจชุมชนและเกษตรกร และแผนงานอีกชิ้นที่สำคัญคือการบริหารคลังสินค้าให้ครบวงจรตั้งแต่การรับคำสั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทางต่างๆ การจัดเก็บสินค้าในคลังสินค้า การหยิบและแพ็กสินค้า การจัดส่งและเก็บเงินปลายทาง(COD)ซึ่งลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซ ปัจจุบันได้เปิดคลังสินค้าครบวงจรในพื้นที่ภูมิภาคแล้ว 2 แห่งในพื้นที่อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี และราชบุรีโดยมีแผนจะเปิดให้ครบทั้ง7แห่งภายในปี 2564

***จับมือเอกชนตั้งบริษัทรุกขนส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิ

​อีกแผนงานหนึ่งที่สำคัญคือการหาพันธมิตรเพื่อมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ซึ่งได้เริ่มต้นดำเนินการแล้วคือการลงนามร่วมกับ บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด(มหาชน)และบริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส จำกัดเปิดบริการ 'ฟิ้วซ์โพสต์' (FUZE POST) เพื่อรุกธุรกิจขนส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิแบบด่วน (Cold Chain Express) ซึ่งตลาดนี้มีมูลค่าตลาดในปี2564 ประมาณ 34,000 ล้านบาทเติบโตปีละ 8% หรือคิดเป็นสัดส่วน 5% ของตลาดโลจิสติกส์ทั้งหมดและคาดการณ์ว่าการเติบโตของธุรกิจขนส่งรูปแบบนี้จะมีการเติบโตถึง 8-10% ในปี 2565จึงนับเป็นตลาดที่น่าสนใจไม่น้อย

​สำหรับบริการนี้พร้อมให้บริการ 1 ก.ย. 2564 โดยในระยะแรกจะเน้นให้บริการในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑลและ 6 เส้นทางภูมิภาคคือ หนองคาย เชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต ตราด และบางละมุงเป็นหลักก่อนเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้ารูปแบบ B2B B2CและC2C ที่เป็นกลุ่มลูกค้าเดิมของทั้ง 3 บริษัทอยู่แล้วสำหรับลูกค้าใหม่จะเน้นการให้บริการแบบ Direct Pick-up เป็นหลักโดยเรียกใช้บริการผ่าน www.fuzepost.co.th และมีแผนจะเปิดให้บริการจุดรับฝาก (Drop off) ขยายเส้นทางขนส่งระหว่างภูมิภาคในเดือนมกราคม 2565 ด้วยการทำงานในรูปแบบบริษัทร่วมทุนกันของทั้ง 3 บริษัทในสัดส่วนถือหุ้นเท่าๆกันซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการร่างแผนธุรกิจจึงยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ โดยเป้าหมายสำคัญในการทำงานร่วมกันนอกจากการรุกตลาดในประเทศไทยแล้วก็จะรุกตลาดประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคนี้ด้วย
#3003


นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า แม้ว่าในขณะนี้ไทยจะประสบกับการระบาดของโควิด-19 อย่างรุนแรง ทำให้กำลังซื้อภายในประเทศลดลงไปมาก อย่างไรก็ตาม กำลังซื้อในต่างประเทศกำลังฟื้นตัว เห็นได้จากการส่งออกของไทยที่ขยายตัวมากในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา

ดังนั้น สสว. จึงได้ร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในการนำผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยออกไปเปิดตลาดการค้าในต่างประเทศ โดยได้เริ่มใน 3 ประเทศที่สำคัญ ได้แก่ จีน อินเดีย และบาห์เรน ซึ่ง สสว. และ ส.อ.ท. ได้เชิญบริษัทผู้นำเข้ารายใหญ่ของทั้ง 3 ประเทศ ในหลากหลายกลุ่มธุรกิจเข้าร่วมการเจรจาจับคู่ธุรกิจในครั้งนี้ ผ่านระบบออนไลน์

โดยมีผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมเจรจาจับคู่ธุรกิจในครั้งนี้ 100 ราย และมีผู้ประกอบการจาก 3 ประเทศ จำนวน 100 ราย สามารถเจรจาจับคู่ธุรกิจกับผู้ประกอบการไทยได้ 324 คู่ แบ่งเป็นประเทศจีน มีผู้ประกอบการไทย 30 บริษัท เจรจากับผู้ค้าประเทศจีน 15 บริษัท จับคู่เจรจาได้ 62 คู่ โดยสินค้าที่ฝ่ายจีนให้ความสนใจมากที่สุด ได้แก่ อาหารเกษตรแปรรูป อาทิ ผัก-ผลไม้อบแห้ง รวมถึงคุกกี้สอดไส้ผลไม้


ส่วนประเทศอินเดีย มีผู้ประกอบการไทย 40 บริษัท เจรจากับผู้ค้าประเทศอินเดีย 60 บริษัทจับคู่เจรจาได้ 168 คู่ สินค้าที่ผู้นำเข้าอินเดียให้ความสนใจ ได้แก่ อาหารแปรรูปจากพืช อาหารทานเล่นจากผักและไม้ รวมถึงไปของใช้ของตกแต่งภายในบ้าน

และประเทศบาห์เรน มีผู้ประกอบการไทย 30 บริษัท เจรจากับผู้ค้าประเทศบาห์เรน 17 บริษัท จับคู่เจรจาได้ 96 คู่ โดยมีสินค้าที่บาห์เรนให้ความสนใจมากที่สุด ได้แก่ สินค้าเพื่อสุขภาพ และรองลงมาคือสินค้าเกษตรแปรรูป

สำหรับ ในภาพรวมแล้ว กลุ่มสินค้าที่จับคู่มากสุดได้แก่ อาหาร เครื่องสำอาง เครื่องใช้และของตกแต่งบ้าน เครื่องประดับ โดยคาดว่าจะเกิดเม็ดเงินในการเจรจาธุรกิจเบื้องต้นกว่า 230 ล้านบาท และมั่นใจว่าจะเกิดเม็ดเงินตามมาอีกมาก

"โครงการเจรจาจับคู่ธุรกิจในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ในการนำเอสเอ็มอีของไทยออกไปเปิดตลาดต่างประเทศที่มีศักยภาพเหล่านี้ และจะเกิดการต่อยอดซื้อขายจากนี้อีกเป็นจำนวนมาก โดย สสว. และ ส.อ.ท. จะเดินหน้าจัดโครงการในลักษณะนี้ร่วมกันกับประเทศอื่น ๆ ซึ่งจะช่วยให้เอสเอ็มอีไทยฝ่าวิกฤตโควิด-19 ในครั้งนี้ไปได้ และเกิดลูกค้าต่างชาติรายใหม่ ๆ มากขึ้นในอนาคต"นายวีระพงศ์ กล่าว

ทั้งนี้ผู้ที่สนใจรายละเอียดในโครงการนี้สามารถสอบถามและติดตามความเคลื่อนไหวกิจกรรมได้ที่ สถาบัน SMI สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ติดต่อคุณณัฐธยาน์ สินแสงวัฒน์ โทรศัพท์ 02-345-1122 อีเมล์ nattayas@fti.or.th เฟซบุ๊ก facebook.com/smipage, Line OA : @smipage
#3004


คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ยอดนักเตะซูเปอร์สตาร์ชาวโปรตุเกส เดินทางกลับมาที่อังกฤษอีกครั้ง ในฐานะนักเตะของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังเซ็นสัญญากลับมาเล่นกับทีมที่ปลุกปั้นให้เป็นยอดแข้งระดับโลกเป็นหนที่สอง

หลังถูกปล่อยตัวจากแคมป์ทีมชาติโปรตุเกสเพราะติดโทษแบนลงสนาม อาเซอร์ไบจาน คัดเลือกฟุต.โลก วันที่ 7 กันยายนไม่ได้แล้ว โรนัลโด้ ก็เก็บของบินมาลงที่สนามบินแมนเชสเตอร์ อังกฤษ โดยมี ดาร์เรน เฟลทเชอร์ เพื่อนเก่าที่ตอนนี้ทำงานฝ่ายเทคนิคมาต้อนรับ

โรนัลโด้ กลับมาเล่นให้ แมนฯยู เป็นคำรบที่สองเมื่อ 'ผีแดง' ซื้อตัวกลับไปจาก ยูเวนตุส ก่อนตลาดซัมเมอร์ปิดตัวลง และถูกคาดหมายว่าจะเปิดตัวลงเล่นนัดแรกเจอ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด วันที่ 11 กันยายนนี้

นอกจากนี้ 'CR7' ได้จับจองแมนชั่นสุดหรูราคาหลายล้านปอนด์ เพื่อเป็นที่พำนักใหม่เรียบร้อยแล้ว รวมถึงภรรยากับครอบครัว ก็เดินทางมาที่อังกฤษล่วงหน้าแล้วเช่นกัน
#3005
ราคาบ้าน 10.9 ล้าน ส่วนลด 1,000,000 บาท* ลงทะเบียนจองและทำสัญญาภายในเดือนกันยายนนี้
093.631.1199 
086.429.5359 คุณภิญญดา

ขาย บ้านเดี่ยว 2 ชั้น สุดหรู  แกรนด์เพ็ชรรัตน์ – ทับมา ระยอง
 

4-5 ห้องนอน, 5 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอย เริ่มต้น 295-380 ตร.ม.

เนื้อที่บ้าน เริ่มต้น 50.00 ตร.วา. ขึ้นไป

39/2 หมู่ 4 ต.ทับมา อ.เมืองระยอง จ.ระยอง

สถานที่สำคัญใกล้เคียง
วัดทับมา
แม็คโคร
เซ็นทรัล พลาซ่า
บิ๊กซี
ศูนย์ราชการระยอง

อัจฉริยภาพแห่งการออกแบบในสไตล์ Modern Luxury หรูหรา สง่างาม 
รองรับการใช้ชีวิตอย่างมีระดับ พิถีพิถันในการสร้างทุกตารางนิ้ว
เพื่อความสุขในการอยู่อาศัยของทุกคนในครอบครัวในสังคมคุณภาพ 
ให้ทุกชีวิตยุคใหม่ อยู่ใกล้ธรรมชาติ พร้อมอัจฉริยภาพแห่งการออกแบบ 
ที่ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับสวนสีเขียว เพื่อบ้านที่ให้ทั้งความสุข 
พร้อมประหยัดพลังงานกับสังคมที่สมบูรณ์แบบ บนทำเลที่ดีที่สุดของจังหวัดระยอง

จุดเด่นที่สำคัญของโครงการนี้
โครงการอยู่ติดถนนสาย 36 เดินทางสะดวกสบาย
บ้านหลังใหญ่ เหมาะสำหรับครอบครัวใหญ่
บรรยากาศดี อากาศถ่ายเทตลอดทั้งวัน
โอบล้อมด้วยธรรมชาติ
ClubHouse ขนาดใหญ่ ประกอบด้วย ฟิตเนส, สระว่ายน้ำขนาดใหญ่, ห้องสตีม
ความปลอดภัยขั้นสูง กับการเข้าออกบริเวณหน้าโครงการถึง2ชั้น
ประตูรั้วหน้าบ้านใช้ระบบการเข้า-ออกด้วยรีโมทคอนโทรลอัตโนมัติ
ตัวบ้านก่อสร้างด้วยวัสดุคุณภาพเกรด A
บ้านทั้งหลังติดตั้งประตูหน้าต่างอลูมิเนียมแบรนด์ tostem วัสดุคุณภาพสูงแข็งแรงทนทาน

ขอเรียนเชิญ เยี่ยมชมโครงการ
ติดต่อเราได้ที่ 
093-6311199 
0864295359 คุณภิญญดา
https://lin.ee/ys0ENyv
https://grand-phetcharat.business.site/


#บ้านเดี่ยว #บ้านหรู #บ้าน2ชั้น #โครงการหมู่บ้าน #หมู่บ้านแกรนด์เพ็ชรรัตน์ #บ้านเดี่ยวใจกลางเมือง #ระยอง #ใกล้ทะเล #อสังหาริมทรัพย์น่าลงทุน #บ้านระยอง #บ้านสไตล์Luxury #Modern #บ้านติดถนนใหญ่ #บ้านพร้อมอยู่ #ที่พักอาศัย #ทับมา #บ้านและสวน #ไอเดียแต่งบ้านสวย #Estate(Land) #การลงทุน #HomeAccessories #ภูมิทัศน์ 

https://www.prakard.com/viewtopic.php?f=1002&t=7851602


























#3006


วันที่ 3 กันยายน 2564 นายเฉลิมเกียรติ คงวิเชียรวัฒน์ รองอธิบดีฝ่ายวิชาการ กรมชลประทาน ร่วมกับ นายสุรชาติ มาลาศรี ผู้อำนวยการสำนักบริหารโครงการ เปิดเผยภายหลังให้สัมภาษณ์สรุปรายละเอียด โครงการศึกษาแผนหลักการพัฒนาแหล่งน้ำและการชลประทานอย่างยั่งยืน จังหวัดขอนแก่น แก่สื่อมวลชนและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ผ่านระบบ Video Conference โปรแกรม Zoom ว่า ตามที่ กรมชลประทาน ศึกษาภาพรวมของการดำเนินโครงการดังกล่าว โดยได้ บูรณาการแผนพัฒนาแหล่งน้ำในทุกมิติจากหน่วยงานกรมชลประทานในจังหวัดขอนแก่น ซึ่งผลการศึกษาได้จัดกลุ่มแผนงานโครงการ ออกเป็น 5 กลุ่ม สอดคล้องกับแผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำ 20 ปี ตามนโยบายของรัฐบาล ประกอบด้วย แผนการจัดการน้ำอุปโภคบริโภค ,แผนพัฒนาโครงการในพื้นที่เกษตรน้ำฝน ,แผนงานแก้ไขปัญหาในพื้นที่ชลประทาน , แผนพัฒนาโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ และแผนการบรรเทาอุทกภัย ซึ่งหากดำเนินงานตามแผนการพัฒนาแหล่งน้ำและการชลประทานตามผลการศึกษาแล้ว จะทำให้จังหวัดขอนแก่น มีพื้นที่กักเก็บน้ำเพิ่มขึ้น 675 ล้านลูกบาศก์เมตร มีพื้นที่ชลประทาน 698,622 ไร่ พื้นที่รับประโยชน์ 289,313 ไร่ รวมทั้งพื้นที่ชุมชนที่ได้รับการป้องกันจากน้ำท่วม 49,920 ไร่ 

สำหรับ โครงการศึกษาแผนหลักการพัฒนาแหล่งน้ำและการชลประทานอย่างยั่งยืน จังหวัดขอนแก่น มีโครงการสำคัญ 3 โครงการ ในตำบลสีชมพู อำเภอสีชมพู ซึ่งเป็นพื้นที่นำร่องหลักในการแก้ปัญหาแบบบูรณาการอย่างยั่งยืน ได้แก่

1.โครงการอาคารบังคับน้ำลำน้ำพองตอนบน เป็นการก่อสร้างอาคารบังคับน้ำเพื่อยกระดับน้ำในลำน้าพองและนำน้ำจากลำน้ำพอง เข้าสู่พื้นที่ชลประทานบริเวณฝั่งขวาของลำน้ำพอง

2. โครงการเพิ่มประสิทธิภาพสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าบ้านป่าน2 (ใหม่) เป็นการปรับปรุงประสิทธิภาพสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าบ้านป่าน 2 ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อส่งน้ำให้พื้นที่การเกษตรได้เพิ่มขึ้น

3. โครงการประตูระบายน้ำบ้านโคกป่ากุง เป็นการก่อสร้างประตูระบายน้ำเพื่อยกระดับน้ำในลำห้วยโคกป่ากุง เพื่อนำน้ำเข้าสู่พื้นที่ชลประทานท้ายลำห้วยสายหนัง 

"ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหาโดยการมองภาพรวมของปัญหาในเชิงพื้นที่ (Area base) ซึ่งแต่ละพื้นที่อาจมีสภาพปัญหาและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน จำเป็นต้องกำหนดแนวทางการแก้ไขตามบริบทของพื้นที่นั้นๆ รวมถึงการบูรณาการจากทุกภาคส่วนกรมชลประทาน จึงได้ดำเนินโครงการศึกษาแผนหลักการพัฒนาแหล่งน้ำและการชลประทานอย่างยั่งยืน จังหวัดขอนแก่น เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม และใช้ในการขับเคลื่อนการพัฒนาแหล่งน้ำของจังหวัดขอนแก่น ซึ่งจะช่วยให้แหล่งน้ำ มีน้ำต้นทุนเพิ่มขึ้น พื้นที่ชลประทานการเกษตรเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ บรรเทาปัญหาอุทกภัย สามารถแก้ไขปัญหาด้านทรัพยากรน้ำในพื้นที่จังหวัดขอนแก่นได้อย่างยั่งยืนต่อไป" รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าว
#3007


ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมด้านพลังงาน BANPU, EGCO Group และ BLCP สานพลังความห่วงใย ใส่ใจต่อการแพร่ระบาด COVID-19 ส่งมอบอุปกรณ์ช่วยหายใจสำหรับผู้ป่วยวิกฤต ที่มีความต้องการสูงในพื้นที่จังหวัดระยองอย่างต่อเนื่อง

ยุทธนา เจริญวงศ์ กรรมการผู้จัดการ เป็นผู้แทนบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) และบริษัท บีแอลซีพี เพาเวอร์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ประกอบการอุตสาหกรรมด้านพลังงาน ร่วมส่งมอบเครื่องให้ออกซิเจนอัตราการไหลสูง จำนวน 4 เครื่อง และเครื่องผลิตออกซิเจนทางการแพทย์ขนาด 5 ลิตร จำนวน 4 เครื่อง ให้กับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระยอง มูลค่ารวมทั้งสิ้น 800,000 บาท โดย รองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง (นายอนันต์ นาคนิยม) และนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดระยอง (นายแพทย์สุนทร เหรียญภูมิการกิจ) ให้เกียรติรับมอบอุปกรณ์ดังกล่าว โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อสนับสนุนการทำงานของหน่วยงานสาธารณสุข ด้วยการนำไปแจกจ่ายให้กับโรงพยาบาลหลัก โรงพยาบาลสนามในจังหวัดระยอง รองรับผู้ป่วย COVID-19 ระดับสีเหลือง (ผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ) ต่อไป

BANPU, EGCO Group, และ BLCP ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมด้านพลังงาน ขอร่วมเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้แก่ทีมบุคลากรด้านสาธารณสุข อาสาสมัครทุกหน่วยงาน นำพาประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตการณ์โรคระบาดโควิด19 ในเร็ววัน
#3008


มาตรการล็อกดาวน์ที่ยาวนานทำให้เศรษฐกิจพังพินาศ ประชาชนเดือดร้อนแสนสาหัส แบงก์ชาติตอกย้ำย่ำแย่ลงทุกภาคส่วน ทำให้รัฐบาลตัดสินใจคลายล็อกโดยอ้างตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลง ยอดวัคซีนเพิ่มขึ้น แต่จริงๆ แล้วต้องดูว่ายอดคนตายจากโควิด-19 ยังสูง ขณะที่วัคซีนเข็ม2ได้ฉีดกันไม่ถึงสิบล้านคน ทำให้น่าห่วงว่าเปิดเมืองโดยที่ยังไม่พร้อมจริงจะยิ่งทำให้เกิดการระบาดหนักในระลอกถัดไปซ้ำรอยเหมือนที่เคยเป็นมาหรือไม่ 

ดูเหมือนสภาพการณ์จะกลายเป็นปัญหางูกินหาง แต่ถึงนาทีนี้แล้ว "รัฐบาลลุง" จำเป็นต้องตัดสินใจคลายล็อกดาวน์ต่อลมหายใจเศรษฐกิจที่รวยรินเต็มทีให้มีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง เพราะอย่างที่ตัวเลขฟ้องแม้จะออกมาตรการล็อกดาวน์แน่นหนาปานใด ตัวเลขผู้ติดเชื้อยังพุ่งเอาๆ เพิ่งกดตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันลงต่ำกว่าสองหมื่นไม่กี่วันที่ผ่านมานี่เอง เป็นภาพสะท้อนว่าจะล็อกหรือคลายล็อกก็คงไม่แตกต่างกันกระมัง อีกทั้งยังปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานการณ์จะพัฒนาไปในทิศทางใดขึ้นอยู่กับ "วัคซีน"  เป็นหลัก ทั้งคุณภาพของวัคซีนและการกระจายฉีดให้ประชาชนได้ทั่วถึงจริงๆ

แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม การเปิดเมืองให้ประชาชนทำมาหากินย่อมดีกว่าปิดต่อเนื่องยาวนานไปโดยไม่รู้ชะตาอนาคตจะอยู่จะกินอย่างไร ดังนั้น แม้จะมีความหวาดหวั่นถึงผลที่จะตามมาโดยเฉพาะการแพร่ระบาดรอบใหม่ แต่ก็มีเสียงตอบรับด้วยความยินดียิ่ง ตลาดสดยันห้างใหญ่น้อยที่เงียบเหงาพลันคึกคักมีชีวิตชีวา ร้านรวงต่างทำความสะอาดจัดเตรียมข้าวของรอผู้คนมาจับจ่ายใช้สอย สายการบินต่างๆ ที่จอดนิ่งสนิทต่างเตรียมเปิดบินในประเทศกันถ้วนหน้า

อย่างที่ พญ.อภัสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) แถลงหลังการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ เมื่อวันที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมา ที่ว่าไม่มีปรับพื้นที่สียังคง 29 จังหวัดสีแดงเหมือนเดิม แต่ปรับมาตรการควบคุมโรคที่เข้มงวด และอนุญาตให้เปิดกิจการตามความพร้อมและจำเป็น * ... เพื่อให้ประชาชนสามารถดำเนินชีวิตได้ใกล้เคียงกับปกติมากที่สุด ...."  

เป็นที่มาของการคลายล็อกให้เดินทางข้ามจังหวัดจากพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดได้ รถโดยสารรับคนได้ไม่เกิน 75% การเดินทางไปทำงานของแรงงานให้ใช้ระบบ seal route ตามมาตรการ Bubble and Seal ขณะที่ร้านอาหารนอกอาคารไม่มีเครื่องปรับอากาศ นั่งรับประทานได้ 75% และร้านที่มีเครื่องปรับอากาศให้นั่งรับประทานได้ 50% เช่นเดียวกับห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ เปิดบริการได้ทุกแผนก ยกเว้นกิจการที่ให้เปิดแบบมีเงื่อนไข คือ ร้านเสริมสวย ตัดผม-แต่งผม เปิดได้เฉพาะตัดผมไม่เกินหนึ่งชั่วโมง ร้านนวดเปิดได้เฉพาะนวดเท้า คลินิกเสริมความงาม เปิดขายสินค้าและนัดหมายลูกค้าล่วงหน้าได้ ส่วนกิจการ/กิจกรรมที่ยังไม่เปิดบริการ ได้แก่ สถาบันกวดวิชา, โรงภาพยนตร์, สปา, สวนสนุก, สวนน้ำ, ฟิตเนส, ห้องออกกำลังกาย, สระว่ายน้ำ, ห้องจัดประชุม/จัดเลี้ยง เป็นต้น

สำหรับการใช้อาคารของสถานศึกษาหรือการเปิดเรียน ขึ้นอยู่กับความเห็นของกระทรวงศึกษาฯ และกระทรวงอุดมศึกษาฯ, การเปิดใช้สนามกีฬา สวนสาธารณะ เปิดใช้ได้ รวมทั้งสนามกีฬาในร่ม ไม่มีระบบปรับอากาศ สามารถเล่น ซ้อม แข่งขันแบบไม่มีผู้ชมได้ขณะที่เคอร์ฟิวหรือห้ามออกนอกเคหะสถานตั้งแต่เวลา 21.00 น.- 04.00 น.ของวันรุ่งขึ้น และมาตรการการปฏิบัติงาน ณ ที่พักอาศัย (Work From Home) ยังคงใช้ต่อไปอย่างน้อย 14 วัน

 คลายล็อกรอบนี้ มีหลักการยกระดับมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 สำหรับเปิดกิจการ/จัดกิจกรรมให้ปลอดภัยและยั่งยืนด้วยม็อตโต้สวยหรูว่า "COVID-Free Setting" หรือ มาตรการ "ปลอดโควิด" ด้วยการรักษาสุขอนามัย มีระบบระบายอากาศดี เว้นระยะห่าง บุคลากรได้รับวัคซีนต้านโควิดครบตามเกณฑ์และได้รับการตรวจหาเชื้อด้วย ATK เป็นประจำ และ "Universal Prevention" มาตรการป้องกันโรคส่วนบุคคลเพื่อป้องกันการติดเชื้อแบบครอบจักรวาล หมายถึงการป้องกันตัวเองขั้นสูงสุดตลอดเวลาเสมือนว่าทุกคนรวมทั้งตัวเองเป็นผู้ติดเชื้อ โดยเริ่มนับหนึ่งคลายล็อกรอบใหม่ 1 กันยายน 2564 ในพื้นที่นำร่อง หรือสถานที่ที่มีความพร้อมเริ่มใช้มาตรการ 1 ตุลาคม 2564 ตามเสียงเรียกร้องของ 9 สมาคมภาคธุรกิจที่ได้ยื่นหนังสือถึง ศบค. ก่อนหน้านี้ 

ถึงแม้การเปิดเมืองจะเป็นการส่งสัญญาณว่าสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น กระทั่งตลาดหุ้นเด้งรับข่าวดีกราฟพุ่งทะลุ 1,600 จุด ไปหลายวัน ทว่า มีเสียงทักท้วงจากนักเศรษฐศาสตร์ที่ออกมาแสดงความห่วงใยเกรงว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดจะหวนกลับมาหนักหน่วงอีกครั้งอย่างรอบที่สามหลังการผ่อนคลายช่วงเทศกาลสงกรานต์ เมื่อเดือนเมษายน 2564 ที่ต้องปิดล็อกลากยาวมาจนถึงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

ดังที่  นายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เกียรตินาคินภัทร ทักท้วงว่า อัตราการเสียชีวิตยังขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่อัตราติดเชื้อลดลงแต่ไม่รู้เป็นตัวเลขจริงหรือไม่ เพราะ positive rate ยังสูงมาก แต่ไม่ตรวจก็ไม่เจอ ห้องไอซียูยังแน่น ที่สำคัญอัตราการฉีดวัคซีนสองเข็มยังต่ำกว่า 10% แม้ว่าจะเพิ่มขึ้นในอนาคตเพราะวัคซีนเริ่มเข้ามาแล้วแต่ยังไม่เพียงพอ และอย่างที่เห็นในต่างประเทศฉีดแล้วก็ยังมีระบาดแบบรุนแรงจนล้นโรงพยาบาลได้ คำถามคือ ถ้าเรายังเห็นภาพไม่ชัดเจนแบบนี้ทำไมรัฐบาลถึงไม่กังวลแบบที่เคยกังวล และถ้าดูสถานการณ์ในต่างประเทศแล้วมันน่ากลัวมากจริงๆ กับสิ่งที่อาจเกิดขึ้น กลยุทธ์ที่หลายประเทศใช้คือ delay and vaccinate คือปิดเมืองเพื่อลดการติดเชื้อเพื่อซื้อเวลาให้ฉีดวัคซีนได้มากที่สุด ..... ถ้าจะปลดล็อกดาวน์ก็จำเป็นต้องมีอัตราการฉีดวัคซีนสูงกว่านี้ ไม่งั้นจะเหมือนปล่อยให้คนสวมเสื้อยืดเดินเข้าไปในทุ่งระเบิด อย่างน้อยควรให้ใส่เสื้อเกราะกันระเบิดสักหน่อยไหม?

ขณะเดียวกัน  นายพูน พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อในทำนองเดียวกันว่า การปลดล็อกดาวน์รอบนี้อาจทำให้ไทยมีความเสี่ยงต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ในอีก 3-4 สัปดาห์ข้างหน้า เนื่องจากอัตราการติดเชื้อและเสียชีวิตรายวันของไทยยังอยู่ในระดับสูง อีกทั้งการตรวจผู้ติดเชื้อก็ยังทำได้ไม่ครอบคลุมพอ ปัจจุบันอัตราการตรวจพบเชื้อ (Positive Rate) ของไทยอยู่ที่ 24% ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานของ WHO ที่ 5% ค่อนข้างมาก การคลายล็อกอาจเร็วไปจึงเสี่ยงกับการแพร่ระบาดอีก ภาพผู้ป่วยเสียชีวิตคาบ้านเพราะหาเตียงไม่ได้อาจวนกลับมาซ้ำ กระทบความเชื่อมั่นของประชาชนและภาวะเศรษฐกิจ หากดูตัวอย่างจากอังกฤษและอินเดีย จะเห็นว่าช่วงเวลาในการคลายล็อกดาวน์ที่เหมาะสมคือจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงจากจุดพีคแล้ว 60% ซึ่งกรณีของไทย เชื่อว่าจุดพีคผ่านไปแล้วที่ 22,000 คนต่อวัน ดังนั้นจังหวะที่ควรคลายล็อกคือเมื่อจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงเหลือ 8,000 คนต่อวัน



ใครจะทักท้วง ตั้งข้อสังเกตด้วยความห่วงใยก็ว่าไป แต่สำหรับกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีหน้าที่เรียกความเชื่อมั่นในการปลดล็อกคราวนี้ได้ออกมาอวดถึงผลงานการรักษาผู้ติดเชื้อหายแล้วนับล้าน และยืนยันตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่มีแนวโน้มลดลงจริงๆ โดย นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า สถานการณ์โรคโควิด-19 ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมามีแนวโน้มดีขึ้น จำนวนผู้หายป่วยรายวันมากกว่าผู้ติดเชื้อรายใหม่ซึ่งมีแนวโน้มลดลง และจำนวนผู้ป่วยที่เข้ารักษาในโรงพยาบาลลดลงชัดเจน เช่น โรงพยาบาลสนามบุษราคัม จากเคยมีผู้ป่วยมากกว่า 3,500 คน ลดเหลือ 1,500 คน ศูนย์นิมิบุตรมีผู้ป่วยรอส่งต่อเหลือไม่ถึง 70 คน ภาพรวมมีผู้ป่วยที่รักษาหายสะสมแล้ว 1,040,768 ราย จากผู้ติดเชื้อทั้งหมด 1,219,531 ราย วันนี้ มีผู้ที่หายป่วย 18,996 ราย ติดเชื้อรายใหม่ 14,802 ราย (ตัวเลข ณ วันที่ 1 กันยายน 2564)

ส่วนภาพรวมการฉีดวัคซีนของประเทศไทย ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2564 มีผู้ได้รับวัคซีนสะสมแล้ว 32,600,001 โดส ถือว่าฉีดได้เกินเป้าหมาย เป็นเข็มที่ 1 จำนวน 23,975,098 ราย เข็มที่ 2 จำนวน 8,212,750 ราย เข็มที่ 3 สำหรับบุคลากรการแพทย์และเจ้าหน้าที่ด่านหน้าที่ต้องสัมผัสผู้ป่วย 592,153 ราย

การออกมาอวดผลงานรับวันปลดล็อกของปลัดกระทรวงสาธารณสุข มีคำถามกลับมาจากชมรมแพทย์ชนบท ที่ออกมาแตะเบรกว่าอย่าเพิ่งดีใจไป โดยโพสเฟซบุ๊กว่า "อย่าเพิ่งรีบดีใจ จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลด ส่วนหนึ่งเพราะการตรวจคัดกรองน้อย ข้อสังเกตประการสำคัญในการดูตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่คือ จำนวนการตรวจคัดกรองด้วย RTPCR หากตรวจน้อยก็ย่อมจะพบว่ามีผู้ติดเชื้อใหม่น้อย ตรงไปตรงมา ปัจจุบันการนับยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่นับจาก RTPCR เท่านั้น ไม่นับรวมผลจากการตรวจ ATK ไว้ด้วย ระบบการรายงานการตรวจ ATK ของประเทศก็ยังไม่ลงตัว

"ที่น่าสนใจคือ ยอดการตรวจ RTPCR นั้น ลดลงมาเรื่อยๆ จากเดิมเฉลี่ยที่ 70,000 รายต่อวัน ช่วงสัปดาห์นี้เหลือเพียง 47,485 ราย แน่นอนว่าตรวจลดลงก็ย่อมพบผู้ติดเชื้อลดลง คาดว่าเมื่อมีการเปิดให้ประชาชนเคลื่อนย้ายเดินทางอีกครั้ง การติดเชื้ออาจเพิ่มขึ้นมาได้อีกระลอก จึงต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง นี่จึงเป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องดูข้อมูลประกอบเวลาเห็นตัวเลขของผู้ติดเชื้อ" ชมรมแพทย์ชนบท ชวนให้คิดพิจารณา

แต่ไม่ว่าจะยังล็อกหรือคลายล็อกผลกระทบต่อเศรษฐกิจยังคงหนักหน่วง ตามรายงานภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แถลงเมื่อวันที่ 31 สิงหาคมที่ผ่านมา โดย นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท. ให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในเดือนกรกฎาคม 2564 ว่าได้รับผลกระทบมากขึ้นจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยการบริโภคภาคเอกชนลดลงตามกำลังซื้อที่อ่อนแอและมาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มงวดขึ้น ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวม รายได้ครัวเรือน และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับลดลง มาตรการภาครัฐช่วยพยุงกำลังซื้อได้เพียงบางส่วน ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนก็ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนเช่นกัน สอดคล้องกับภาวะอุปสงค์และความเชื่อมั่นของธุรกิจที่อ่อนแอลง รวมทั้งผลกระทบเพิ่มเติมจากมาตรการควบคุมการระบาดในพื้นที่ก่อสร้างที่เข้มงวดขึ้น

ด้านการส่งออกสินค้าแผ่วลงจากเดือนก่อนหน้าประมาณ 0.8% จากอุปสงค์ประเทศคู่ค้าที่ชะลอตัวตามการแพร่ระบาดที่รุนแรงขึ้นในบางประเทศ และการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งกระทบต่อการส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้า ขณะที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในโรงงาน ส่งผลกระทบต่อการส่งออกอาหารแปรรูป โดยการส่งออกสินค้าบางหมวดยังเพิ่มขึ้น เช่น สินค้าเกษตร ข้าว ยางพารา สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และโลหะ

สำหรับการผลิตภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะหมวดยานยนต์ ปิโตรเลียม และวัสดุก่อสร้าง ก็แผ่วลงตามภาวะอุปสงค์ของคู่ค้า ขณะที่ปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และเซมิคอนดักเตอร์ รวมทั้งการหยุดการผลิตชั่วคราวเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดในโรงงานยังกดดันการผลิตในหลายหมวด ส่วนมูลค่าการนำเข้าสินค้าไม่รวมทองคำอยู่ในระดับใกล้เคียงกับเดือนก่อน โดยการนำเข้ายังเพิ่มขึ้นในบางหมวดสินค้า อาทิ เชื้อเพลิง และผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ ขณะที่บางหมวดมีการนำเข้าลดลง โดยเฉพาะรถยนต์ สอดคล้องกับกำลังซื้อในประเทศที่อ่อนแอลง

สำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนจากโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ แต่สัดส่วนยังน้อยเมื่อเทียบกับภาวะปกติ จากมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศของไทยที่ยังมีอยู่ ส่วนการใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน แต่หากไม่รวมเงินโอน การใช้จ่ายภาครัฐทรงตัว โดยรายจ่ายประจำขยายตัวจากทั้งรายจ่ายค่าตอบแทนบุคลากร และรายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าและบริการ ขณะที่รายจ่ายลงทุนหดตัว โดยเฉพาะการเบิกจ่ายของรัฐบาลกลาง จากผลของฐานสูงที่มีการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณในปีก่อน

ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับลดลงจากผลของฐานต่ำในปีก่อนที่ทยอยหมดลง และมาตรการลดค่าไฟฟ้าและน้ำประปาในเดือนนี้ของภาครัฐ ส่วนตลาดแรงงานเปราะบางมากขึ้น สำหรับดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลน้อยกว่าเดือนก่อนตามดุลบริการ รายได้ และเงินโอนที่ขาดดุลลดลง ขณะที่ดุลการค้าเกินดุลลดลงตามการส่งออกสินค้าที่แผ่วลงเป็นสำคัญ อัตราแลกเปลี่ยนบาทต่อดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงกว่าสกุลเงินคู่ค้าคู่แข่งส่วนใหญ่ จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ภายในประเทศที่ยืดเยื้อ

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจในเดือนสิงหาคม 2564 กิจกรรมทางเศรษฐกิจยังถูกกดดันจากการแพร่ระบาดที่รุนแรงและมาตรการควบคุมที่เข้มงวดขึ้น รวมทั้งต้องติดตามผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากปัญหาซับพลายดิสรัปชัน รวมทั้งการแพร่ระบาดในโรงงาน และการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์และตู้คอนเทนเนอร์ รวมถึงเศรษฐกิจคู่ค้าที่เผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงขึ้น

ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท. มองภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2564 ยังเป็นไปตามคาดการณ์ แม้ว่าจะเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจบางส่วน ตั้งแต่ 1 กันยายน ก็ยังเป็นไปตามที่คาดว่าจะเริ่มคลี่คลายช่วงปลายไตรมาส 3/2564 แต่ยังต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบ โดยเฉพาะเรื่องซับพลายดิสรัปชัน การแพร่ระบาดในโรงงาน และสถานการณ์แพร่ระบาดในต่างประเทศ ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะพิจารณาปรับประมาณการอีกครั้งในรอบต่อไป

  "ต่อให้เปิดเมืองก็มีเรื่องความเชื่อมั่นประชาชนด้วยว่าจะมากน้อยแค่ไหน มีหลายปัจจัยที่ต้องติดตาม มาตรการภาครัฐช่วงที่ผ่านมามีการอัดฉีดเรื่องการเยียวยา ขึ้นอยู่กับประชาชนที่ได้รับการช่วยเหลือจะออกมาจับจ่ายใช้สอยมากน้อยแค่ไหน ซึ่งคงต้องติดตามดูในเดือนกันยายนนี้ด้วยว่าจะเป็นอย่างไร"นางสาวชญาวดี กล่าว 

ตัวเลขและสัญญาณจากแบงก์ชาติยังน่ากังวล แต่สำหรับภาคเอกชนดูเหมือนจะมีความหวังขึ้นมาบ้าง โดยที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา ต่างปรับเป้าจีดีพีและส่งออกปีนี้เพิ่มขึ้นรับการคลายล็อกและแนวโน้มเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว

 นายผยง ศรีวณิช  ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ระบุว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่มีแนวโน้มดีขึ้นจนนำมาสู่การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ รวมถึงแผนการจัดหาวัคซีนที่เพิ่มมากขึ้นซึ่งจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี และเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว กกร.จึงปรับคาดการณ์การเติบโตผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ปี 2564 เพิ่มขึ้นจากกรอบเดิม -0.5% ถึง 0% มาอยู่ในกรอบ -0.5% ถึง 1.0% การส่งออกจากเดิม 10% ถึง 12% เป็น 12%-14% ส่วนอัตราเงินเฟ้ออยู่ในกรอบเดิม 1% ถึง 1.2%

 เขายังมองว่า ภาวะเศรษฐกิจในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้น่าจะดีขึ้นหากการฉีดวัคซีนได้ตามแผนที่รัฐบาลวางไว้ โดยสองปัจจัยหลักต้องเอื้ออำนวย คือ Supply chain ของภาคการผลิตใน Bubble & Seal ต้องไม่หยุดชะงัก และการควบคุมโควิด-19 ได้ดีแล้วรัฐสามารถเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ โดยเฉพาะการส่งเสริมการท่องเที่ยวให้ทันไฮซีซั่นส์ในช่วงปลายปีก็จะสร้างบรรยากาศให้ดียิ่งขึ้นได้ แต่หากการระบาดแย่ลงก็ย่อมนำไปสู่ภาวะเสี่ยง 

ประธาน กกร. ยังให้ความเห็นว่า หน่วยงานรัฐได้ประเมินเศรษฐกิจปี 2565 จะเติบโตได้ 3% ถึง 5% ถือว่าการเติบโตในระดับนี้ต่ำเกินไป และทำให้ระดับกิจกรรมเศรษฐกิจไทยในปีหน้ายังอยู่ต่ำกว่าระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2562 ส่งผลให้ธุรกิจจำนวนมากยังบอบช้ำ ดังนั้น เพื่อส่งเสริมให้ธุรกิจฟื้นตัวโดยเร็วรัฐควรวางเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ท้าทายขึ้นเป็น 6-8% ซึ่งเป็นไปได้เพราะคนไทยกว่า 50% ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว โดยรัฐต้องเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะต่อจีดีพีจาก 60% เป็น 70-80% ซึ่งจะทำให้มีเงินเข้ามาเพิ่มเติมอีกราว 0.7-1.5 ล้านล้านบาท เน้นสนับสนุนการจ้างงาน และใช้ในมาตรการที่มีตัวคูณ (Multiplier) กับเศรษฐกิจสูง อย่างมาตรการที่รัฐช่วยออกค่าใช้จ่าย (co-payment) หรือมาตรการค้ำประกันสินเชื่อที่สูงขึ้น ฯลฯ

"มาตรการคลายล็อกดาวน์เป็นเรื่องที่ดี และข้อเสนอของเอกชนไม่ควรจะมีมาตรการล็อกดาวน์อีกต่อไปเพราะกระทบต่อเศรษฐกิจมาก แต่ควรใช้มาตรการ Bubble & Seal ร่วมกับการใช้ชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) เชิงรุก โดยรัฐควรช่วยเหลือค่าใช้จ่าย ATK และค่าระวางเรือที่สูงขึ้นเพื่อสนับสนุนการส่งออก รวมทั้งควรมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ" นายผยง กล่าว

เช่นเดียวกันกับ  นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ที่มองว่า หากวัคซีนที่จะเข้ามาได้ตามแผนที่รัฐวางไว้จะทำให้เศรษฐกิจที่เหลือปีนี้และปีหน้าเติบโตต่อเนื่องได้ และเห็นด้วยอย่างยิ่งที่รัฐผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ จากนี้ไปรัฐไม่ควรล็อกดาวน์อีกเพราะพิสูจน์ได้จากตัวเลขผู้ติดเชื้อก่อนและหลังล็อกดาวน์ไม่ได้ต่างกันมากนัก

 นายสนั่น อังอุบลกุล  ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ชี้ว่า มาตรการล็อกดาวน์ล่าสุดมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจเสียหาย 3-4 แสนล้านบาท เมื่อรัฐคลายล็อกดาวน์กิจการบางอย่างจะกลับมาดำเนินได้อีกครั้ง ทำให้ความเสียหายจะลดลงเหลือ 2-3 แสนล้านบาท หากเดือนตุลาคมนี้มีการผ่อนคลายการท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้นจะทำให้สถานการณ์ภาพรวมดีขึ้นต่อเนื่อง

 คลายล็อกรอบนี้จะฝ่าวิกฤตทั้งการติดเชื้อรอบใหม่จะพุ่งขึ้นหรือไม่ และเศรษฐกิจโดยรวมจะฟื้นชีพหรือไม่ ประชาชนคนไทยจะกลับมาทำมาหากินใช้ชีวิตได้เป็นปกติได้สักกี่มากน้อยอีกไม่นานก็รู้ผล 
#3009


ทีมงานนักเตะของโปรตุเกส ปล่อยตัว คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ออกจากแคมป์เรียบร้อยเพื่อให้มีเวลาเตรียมตัวสำหรับการคืนสนามให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นัดแรกในวันที่ 11 กันยายนนี้

โรนัลโด้ เพิ่งยิง 111 ประตู สูงสุดตลอดกาลในทีมชาติ หลังพา "ฝอยทอง" ชนะ ไอร์แลนด์ 2-1 เมื่อคืนวันที่ 1 กันยายน ที่ผ่านมา ทว่าก็โดนใบเหลืองจากผู้ตัดสินข้อหาถอดเสื้อฉลองประตู

ใบเหลืองนี้ทำให้แข้งวัย 36 ปี ติดโทษแบนห้ามลงเตะกับ อาเซอร์ไบจาน วันที่ 7 กันยายนนี้ แต่กลับเป็นผลดีสำหรับเจ้าตัวที่จะได้ออกจากแคมป์ก่อนกำหนด และทีมงานก็ไฟเขียวให้กลับได้แล้ว

หมายความว่า CR7 จะได้กลับไปรายงานตัวกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บ้านเก่าที่คุ้นเคยก่อนกำหนด ซึ่งนั่นทำให้มีเวลาเตรียมตัวหลายวันก่อนคัมแบ็กในสีเสื้อ "ผีแดง" เจอ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

หาก โรนัลโด้ ได้ลงสนามเจอ "สาลิกาดง" จะทำให้เจ้าตัวได้กลับมารับใช้ต้นสังกัดที่แจ้งเกิดให้เป็นสตาร์ระดับโลกอีกครั้ง หลังออกจากทีมไปเมื่อปี 2009 เพื่อไปอยู่กับ รีล มาดริด ที่สเปน
#3010


นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เปิดเผยว่า บขส. ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนให้ประชาชนฉีดวัคซีน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เพียงพอที่จะหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 และทำให้คนไทยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว โดย บขส. ได้จัดโครงการ "บขส.วิถีใหม่ห่างไกล Covid-19 ฉีดวัคซีน 2 เข็ม ลด 20 %" ระหว่างวันที่ 3 กันยายน – 31 ตุลาคม 2564 โดยมอบส่วนลดพิเศษ 20 % เฉพาะค่าโดยสาร ไม่รวมค่าธรรมเนียม ให้กับผู้ใช้บริการรถโดยสาร บขส. ที่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบ 2 เข็ม โดยมีเงื่อนไขการใช้สิทธิ์ ดังนี้

1. ผู้ใช้สิทธิ์ต้องมีหลักฐานใบรับรองการฉีดวัคซีนโควิด-19 จากกระทรวงสาธารณสุข หรือจากแอปพลิเคชันหมอพร้อม ครบ 2 เข็ม

2. สามารถซื้อตั๋วโดยสาร 1 สิทธิ์ ต่อที่นั่ง ต่อ 1 เที่ยว (ไม่จำกัดจำนวนครั้งตลอดระยะเวลาการดำเนินโครงการ

3. ผู้ใช้สิทธิ์ต้องเป็นบุคคลเดียวกับผู้เดินทางที่มีหลักฐานใบรับรองการได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 แบบดิจิทัล (Smart Vaccine Certificate)

4. สามารถเปลี่ยนแปลงการเดินทางได้ภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2564 เท่านั้น และเงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

5. ส่วนลดนี้ไม่สามารถแลกเป็นเงินสด หรือคืนตั๋วโดยสารได้ทุกเส้นทาง และไม่สามารถใช้ร่วมกับโปรโมชั่นอื่น ๆ ได้

6. ใช้สิทธิ์ซื้อตั๋วโดยสาร ได้ที่จุดจำหน่ายตั๋วโดยสาร และที่ทำการสถานีเดินรถของ บขส. เท่านั้น

7. ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

โดย บขส. พร้อมให้บริการด้วยรถโดยสารที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย SHA และได้จัดการเดินรถตามประกาศของ ศบค. และกรมการขนส่งทางบก เช่น จัดที่นั่งรองรับผู้โดยสารไม่เกินร้อยละ 75 ของจำนวนที่นั่งทั้งหมด ห้ามรับประทานอาหารบนรถ ทั้งนี้ขอความร่วมมือผู้ใช้บริการ ปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข D-M-H-T-T-A อย่างเคร่งครัด อาทิ เว้นระยะระหว่างกัน , สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลา , ล้างมือบ่อย ๆ , ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย , Test for COVID-19 ผู้ที่มีอาการ ประวัติสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยยืนยัน หรือเดินทางเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง, สแกนแอปพลิเคชันไทยชนะหรือหมอชนะ กรณีไม่สามารถใช้แอปพลิเคชันได้ สามารถกรอกข้อมูลตามแบบฟอร์มที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด รวมทั้งผู้โดยสารที่มีความจำเป็นต้องเดินทางสามารถตรวจสอบมาตรการของ แต่ละจังหวัดได้ จาก https://www.moicovid.com/
#3011


คปภ. จับตาสถานการณ์ใกล้ชิด หลังผู้เอาประกันบุกทวงค่าเคลมประกันโควิด 'เจอจ่ายจบ' ตั้งทีมเคลียเรื่องร้องเรียน ส่วนบริษัทประกันกำลังปรับระบบ มั่นใจจ่ายเคลมเร็วขึ้น เอกสารครบจ่ายได้ใน 15 วัน หากพบประวิงจ่ายจะใช้กฎหมายดำเนินการ 'อาคเนย์ฯ' ขอโทษลูกค้า รุดปรับระบบใหม่แล้ว จ่ายเคลมได้ 1,000-1,500รายต่อวัน

จากกรณีที่มีผู้เอาประกันหลายร้อยราย บุกให้บริษัทประกันวินาศภัยหลายแห่ง เพื่อทวงค่า"เคลมประกันโควิด" เจอจ่ายจบ หลังจากยื่นเคลมแล้วไม่ได้รับเงินสินไหมตามที่ได้ซื้อประกันไว้  

นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า  คปภ. ได้รับทราบเรื่อง และมีการส่งเจ้าหน้าที่ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งพบว่าหลายแห่งกำลังมีการปรับระบบภายในเพื่อจ่ายเคลมให้เร็วขึ้น และบางรายที่มีการทำเรื่องนัดล่วงหน้าบริษัทก็สามารถจ่ายค่าเคลมได้ทันที แต่บางส่วนที่เป็นรายใหม่ก็อาจต้องรอ

ที่สำคัญ คปภ.ได้ออกคำสั่งเพิ่มเติมเพื่อแก้ปัญหาการเคลมล่าช้า มีผลตั้งแต่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยกำหนดให้บริษัทที่มีปัญหาเรียกร้องการจ่ายเคลมตั้งแต่ 100 เรื่องขึ้นไป ต้องจัดตั้งหน่วยงานรับเรื่องเรียกร้องเคลมโควิดขึ้นมา และกำหนดให้ตรวจสอบเอกสารเรียกร้องค่าสินไหมให้เสร็จใน 3 วัน หากเอกสารครบถ้วนต้องจ่ายเคลมภายใน 15 วัน แต่ถ้าไม่ครบต้องรีบแจ้งผู้เอาประกันภัยภายในเดียวกับที่ตรวจ และให้จ่ายหลังจากนั้นภายใน 15 วันหลังยื่นเอกสารแล้ว

ส่วนในกรณีมีปัญหาการตีความและหาข้อยุติไม่ได้ ให้บริษัทประกันเสนอความเห็นต่อ คปภ. ภายใน 7 วัน รวมถึงรายงานผลทุก 15 วัน ซึ่ง คปภ.ได้ตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ 4 ชุด มาช่วยพิจารณาประกันในส่วนเจอจ่ายจบ ค่าชดเชยรายวัน ค่ารักษาพยาบาล และอื่นๆ เป็นการเฉพาะ รวมถึงหากพบล่าช้าจนเข้าข่ายประวิงเวลาก็จะใช้กฎหมายดำเนินการต่อไป 

" คปภ.ยังได้เข้าไปตรวจสอบความเสี่ยงของบริษัท และจะมีการผ่อนเกณฑ์กำกับดูแลชั่วคราว เพื่อให้บริษัทประกันภัยสามารถจ่ายเคลมประกันโควิดถึงมือประชาชนได้รวดเร็วขึ้น เพราะที่ผ่านมายอมรับว่ายอดเคลมเข้ามาค่อนข้างมาก วันหนึ่งนับพันรายทำให้อาจมีปัญหาดำเนินการ ซึ่ง คปภ.พยายามเข้าอุดรอยรั่วต่างๆ เพื่อดูแลประชาชนให้ได้ประโยชน์ที่สุด แต่ยืนยันว่าภาพรวมบริษัทประกันภัยยังมีความแข็งแกร่ง และไม่พบมีความเสี่ยงในเชิงระบบ" 


นายฐากร ปิยะพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เครือไทย โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือหุ้นใน บมจ.อาคเนย์ประกันภัย กล่าวว่า ขอโทษลูกค้าทุกคนสำหรับการจ่ายเคลมประกันโควิดล่าช้า เพราะที่ผ่านมามียอดเคลมสูงกว่าที่คาดไว้ เฉลี่ยวันละ 1,000 ราย มากกว่าปกติ 100-300 ราย อีกทั้งพนักงานส่วนใหญ่ยังเวิร์กฟอร์มโฮม

แต่ล่าสุดบริษัทได้ปรับระบบการทำงานใหม่ โดยเพิ่มเจ้าหน้าที่ดูแลด้านนี้โดยตรงอีก 180 ราย พร้อมกับเปิดบริการแจ้งเคลมประกันโควิดได้ผ่าน LINE @Southeast.th ซึ่งจะช่วยดูแลการจ่ายเคลมได้วันละ 1,000-1,500 ราย ทำให้ในส่วนของผู้เอาประกันโควิดที่ค้างจ่ายค่าเคลมในระบบกว่า 1 หมื่นรายจะสามารถเคลียร์จบได้รับค่าสินไหมภายใน 2 สัปดาห์

ส่วนลูกค้าใหม่ก็จะเร่งทำตามคำสั่งคปภ.หากเอกสารครบจะจ่ายภายใน 15 วัน โดยยืนยันว่าบริษัทมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง มีการตั้งสำรองไว้สำหรับจ่ายเคลมครบถ้วนทั้งหมดแล้ว และเชื่อว่าสถานการณ์หลังจากนี้จะดีขึ้นเพราะยอดผู้ติดเชื้อก็ลดลงแล้ว

นายอานนท์ วังวสุ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทประกันภัยแต่ละแห่งได้เพิ่มกำลังคนเข้ามาให้บริการและดูแลการเคลมประกันโควิดอย่างเต็มที่ ความล่าช้าส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้น เพราะปัจจุบันยอดเคลมประกันโควิด-19 เพิ่มขึ้นถึง 100 เท่า และการปฏิบัติงานส่วนหนึ่งมีการทำงานที่บ้านในช่วงที่มีมาตรการล็อกดาวน์ อาจทำให้มีความล่าช้าบ้าง แต่คาดว่าหลังจากนี้จะดำเนินการได้เร็วขึ้น 

นอกจากนี้อีกปัญหาหนึ่งที่ทำให้เกิดความล่าช้าตอนนี้ พบว่า ผู้เอาประกัน ส่วนใหญ่ยังมีความเข้าใจผิด นำผลตรวจจากชุดตรวจโควิด-19แบบเร่งด่วน หรือ  Rapid Antigen Test และชุดตรวจโควิด-19 ด้วยตนเองหรือ Antigen Test Kit มายืนเคลมแทน RT-PCR  เพราะเข้าใจผิด ทำให้บริษัทประกันต้องมีการเรียกเอกสารใหม่หลายรอบ   

ดังนั้น จึงขอย้ำว่า ผู้เอาประกันที่ต้องการเคลมประกันโควิด-19  ขอให้เตรียมเอกสารหลักฐานให้ถูกต้อง ดังนี้   1.เอกสารการตรวจพบเชื้อโควิด-19  จากห้องปฏิบัติการที่ผ่านการรับรองจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยใช้วิธี RT-PCR เท่านั้น   2.บัตรประชาชนและ 2. สำเนาหน้าสมุดบัญชีธนาคาร (Bank account details)สำหรับการโอนเงิน หรือตามแนวทางปฏิบัติของบริษัทนั้นๆ เพื่อให้ดำเนินการจ่ายเคลมเร็วขึ้น 
#3012


เมื่อวันที่ 2 ก.ย.64 น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังจะมีการปรับเงื่อนไขการใช้จ่ายโครงการ "ยิ่งใช้ยิ่งได้" โดยเปิดโอกาสให้ร้านอาหารที่เข้าร่วมโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ สามารถเข้าร่วมแพลตฟอร์มสั่ง "ฟู้ดเดลิเวอรี่" ออนไลน์ได้ ตั้งแต่ช่วงเดือนต.ค.64 ซึ่งเหมือนกับกรณีร้านอาหารในโครงการคนละครึ่ง เพื่อทำให้ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการ "ยิ่งใช้ยิ่งได้" สามารถสั่งอาหารผ่านแพลตฟอร์มสั่งอาหารเดลิเวอรี่ออนไลน์ได้ด้วย

ส่วนความคืบหน้าโครงการคนละครึ่ง ที่ผ่านมาได้เชิญผู้ให้บริการ "ฟู้ดเดลิเวอรี่" ร่วมประชุมผ่านระบบออนไลน์ เพื่อทำความเข้าใจและเตรียมความพร้อมสำหรับการใช้จ่ายโครงการคนละครึ่งผ่านแพลตฟอร์มดังกล่าว เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ได้รับสิทธิ์คนละครึ่ง กว่า 27 ล้านคน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มใช้ในเดือนต.ค.นี้

สำหรับผู้ประกอบการที่พร้อมเข้าร่วมหารือได้แก่ แกร็บ โกเจ็ก ฟู้ดแพนด้า ซึ่งถ้าหากเงินจากโครงการ "คนละครึ่งเฟส3" สามารถใช้จ่ายกับการสั่งอาหารออนไลน์ได้จะช่วยให้มีการจับจ่ายมาขึ้น อีกทั้งยังสะดวก สบาย สำหรับคนที่ทำงานอยู่ที่บ้าน ร่วมถึงปัญหาเดิมที่คนไม่กล้าออกไปใช้จ่ายนอกบ้าน

ส่วนกรณีที่ภาคเอกชนเสนอปรับเพิ่มวงเงินการใช้จ่ายผ่านโครงการ "ยิ่งใช้ยิ่งได้" ให้สามารถซื้อสูงสุดถึง 500,000 บาทนั้น ขณะนี้กระทรวงการคลังยังใช้หลักเกณฑ์เดิมอยู่ คือการใช้จ่ายสูงสุด 60,000 บาท จะได้รับ บัตรกำนัลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Voucher) มูลค่าสูงสุด 7,000 บาท โดยใช้จ่ายสูงสุดไม่เกินวันละ 10,000 บาท ซึ่งมีระยะเวลาใช้จ่ายผ่านจี วอลเล็ตบนแอปพลิเคชั่น "เป๋าตัง" เพื่อมาคำนวณสิทธิ e-Voucher ถึง 30 พ.ย.นี้

"ล่าสุด ยอดใช้จ่ายผ่านโครงการ "ยิ่งใช้ยิ่งได้" มีการใช้จ่ายไปแล้วกว่า 1,700 ล้านบาท ส่วนโครงการคนคละครึ่ง มียอดการใช้จ่ายแล้วกว่า 62,503 ล้านบาท โดยโครงการ "ยิ่งใช้ยิ่งได้" ยังมีสิทธิคงเหลือเข้าร่วมโครงการอีก 929,340 สิทธิ

ด้านโครงการคนละครึ่ง มีสิทธิคงเหลือเข้าร่วมโครงการ 922,271 สิทธิ ขณะเดียวกันกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อเสนอให้นำโครงการช้อปดีมีคืน กลับมากระตุ้นการใช้จ่ายอีกครั้ง ส่วนจะออกมาในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้เลยหรือไม่นั้น จะพิจารณาตามสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด

อย่างไรก็ดี ช่วงไตรมาสสุดท้ายจะยังมีเม็ดเงินจากโครงการคนละครึ่ง และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ที่จะยังออกได้อยู่" น.ส.กุลยา กล่าว 
#3013


"ปู พงษ์สิทธิ์" โต้สื่อดัง ใช้รูปพร้อมพาดหัวข่าว "จ่ายคนดังหนุนรัฐบาล" ขณะที่พิธีกรโวยถูกชาวเน็ตแคปภาพจากรายการไปโจมตีศิลปิน โบ้ยเอกสารที่นำเสนอเป็นฝ่ายรัฐบาลจะจ้างศิลปินไปทำปชส. แต่ไม่เคยบอกศิลปินรับงาน

กรณีที่มีสื่อสำนักหนึ่งนำเสนอข่าวเรื่องรัฐบาลใช้งบเกือบ 100 ล้าน "จ่ายคนดังหนุนรัฐ" โดยมีการใช้ภาพศิลปินดังมาประกอบข่าว มีชาวเน็ตแคปภาพนำไปด่าในทวิตเตอร์ จนทำให้เหล่าคนดังถูกด่าทอตามไปด้วย ซึ่งหากใครรับงานก็จะถูกมองว่าเป็นสลิ่มทันที เรียกว่าโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง รับงานก็ด่า ไม่รับก็ด่า

ล่าสุด "ปู พงษ์สิทธิ์ คำภีร์" หนึ่งในคนดังที่โดนใช้ภาพประกอบข่าวดังกล่าวรวมกับศิลปินดังอีกหลายคนในหน้าปกข่าว ก็ได้ออกมาชี้แจงผ่านแฟนเพจส่วนตัว Pu Pongsit Official หวั่นทำให้เกิดการเข้าใจผิดว่ามีการจ้างงานในแคมเปญของรัฐบาล โดยเผยว่า "จากกระแสข่าวในโลกโซเชียลมีเดียเมื่อ2-3 วันที่ผ่านมา มีการนำภาพศิลปิน พงษ์สิทธิ์ คัมภีร์ พาดหัวข่าวเกี่ยวกับเรื่องงานประชาสัมพันธ์ดังกล่าว ทางต้นสังกัดและศิลปินพงษ์สิทธิ์ คัมภีร์ ขอชี้แจงว่า ไม่ได้รับการติดต่อใดๆ และไม่ทราบเรื่องมาก่อนหน้านี้"

รวมทั้งได้เข้าไปตอบคอมเมนต์ว่าได้ฟังและได้เห็นเอกสารแล้ว คิดว่าถ้าเกิดอ่านหรือเห็นผ่านๆ (ดูแค่รูปและพาดหัวข่าว) อาจจะสร้างความเข้าใจผิดได้ เหมือนกับว่ามีการจ้างงานและติดต่อมาแล้ว ทั้งที่ไม่เป็นความจริง

ขณะที่ "ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์" พิธีกรข่าว overview ทางสถานีโทรทัศน์ Voice TV ที่ได้มีการนำเสนอข่าวดังกล่าว ได้ออกมาชี้แจงว่า

เห็นหลายท่านแสดงความเห็นแล้วเกรงจะเกิดความเข้าใจผิด

1) ภาพสีขาวข้างล่างที่มีรูปคุณประยุทธ์และคุณอนุทินไม่ใช่ของวอยซ์ทีวีครับ ภาพของวอยซ์ทีวีคือภาพบน และในภาพบนและในรายการไม่มีตอนไหนบอกว่าศิลปินในภาพรับงานจากรัฐบาลครับ ส่วนภาพข้างล่างนั้นน่าเกลียด บิดเบือนข้อมูลเกินกว่าเหตุ หาเรื่องด่ารัฐบาลเกินความเป็นจริง

2) เนื้อหาของรายการและเอกสารที่รายการนำมาแสดงคือเอกสารทางรัฐบาลว่าจะจ้างศิลปินไปทำงานประชาสัมพันธ์รัฐบาล เอกสารระบุชัดเจนถึงชื่อศิลปิน 3 ราย ในฐานะสื่อเราจึงรายงานตามเอกสารว่ารัฐบาลมีแนวคิดแบบนี้ แต่เราไม่เคยบอกว่าศิลปินรับงาน รวมทั้งไม่เคยบอกว่าการรับงานเป็นความผิดแต่อย่างใด

3) เรื่องนี้เป็นปัญหาที่คนของรัฐบาลเอาชื่อศิลปินไปกล่าวอ้างเพื่อของบประมาณ แต่ในส่วนของรายการในนาทีที่ 2 ของคลิป https://youtu.be/Rn8SN2Tg_D8 ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าเป็นเรื่องของรัฐบาลคิดจ้างศิลปิน รวมทั้งไม่มีตอนไหนระบุว่าตัวศิลปินตกลงรับงานจากรัฐบาลแม้แต่ประโยคเดียว

4) เอกสารที่ปรากฎในคลิปคือเอกสารว่าฝั่งผู้เสนอโครงการมีการกล่าวอ้างถึงศิลปินตามไฟล์ที่อยู่ข้างล่างนี้ครับ และต้องย้ำว่าการที่ศิลปินจะรับงานจากใครนั้นเป็นเอกสิทธิ์ของศิลปินโดยสมบูรณ์ ไม่ควรมีการโจมตีศิลปินคนไหนเพียงเพราะเขาทำงานให้ใครหรือไม่ทำงานให้ใคร เพราะปัญหาอยู่ที่ผู้ว่าจ้าง ไม่ใช่ศิลปิน
5) ผมตรวจสอบเรื่องทั้งหมดแล้วพบว่าต้นเหตุจริงๆ เกิดจากวันที่ 29 สิงหาคม มีผู้ใช้ทวิตเตอร์ท่านหนึ่งแคปภาพจากรายการไปแล้วก็แชร์ความเห็นโจมตีศิลปิน แต่ในการแคปนั้นไม่ได้แปะลิงค์รายการหรือเนื้อหาในรายการไปด้วย การโจมตีศิลปินเกิดจากผู้ใช้ทวิตเตอร์ซึ่งใช้ภาพรายการ แต่ไม่เกี่ยวกับเนื้อหาสาระของรายการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการบอกว่าศิลปินรับงานไปแล้ว ซึ่งเรื่องนี้รายการไม่ได้พูดและไม่ได้คิดอย่างแน่นอน และทันทีที่เห็นทวิตเตอร์นี้ ผมได้ทวิตชี้แจงทันทีในวันที่ 1 เวลา 02.25 น. https://twitter.com/sirotek/status/1432793398549770241

สำหรับเอกสารซึ่งเตรียมเสนอของบประมาณที่ระบุชื่อศิลปินไว้ อยู่ที่ไฟล์ใต้ข้อความนี้ครับ

ด้าน "ปู พงษ์สิทธิ์" ก็เมนต์กลับว่า "ขอบคุณสำหรับการชี้แจงครับผม"
#3014


นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Private Banking Group Head ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เป็นผู้แทนธนาคารรับ 2 รางวัลด้านดิจิทัล จาก 2 เวทีระดับสากล คือ รางวัลไพรเวทแบงก์ด้านการสื่อสารการตลาดดิจิทัลยอดเยี่ยมในเอเชีย (Best Private Banking for Digital Marketing & Communication in Asia) จากเวที PWM Wealth Tech Awards 2021 และรางวัลดิจิทัลไพรเวทแบงกิ้งแห่งปีของประเทศไทย (Digital Private Banking of the Year - Thailand) จากเวที The Asset Triple A : Digital Awards 2021 จากความโดดเด่นในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาพัฒนาและปรับปรุงรูปแบบการทำงาน สนับสนุนการให้บริการลูกค้าบุคคลสินทรัพย์สูงของธนาคาร รวมถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้เป็นช่องทางสื่อสาร และให้ข้อมูลกลุ่มลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างการมีส่วนร่วมและความสัมพันธ์กับลูกค้า ผสมผสานเทคโนโลยีและการให้บริการผ่านไพรเวทแบงเกอร์อย่างลงตัว เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้บริการที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้าของธนาคาร โดยในปีที่ผ่านมา Private Banking ของธนาคารได้รับรางวัลด้านดิจิทัลถึง 6 รางวัล จาก 4 เวทีระดับสากล
#3015


นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในการประกาศผลผู้ได้รับรางวัล ผ่านระบบออนไลน์ในโครงการประกวดทำคลิปเผยแพร่มารยาทไทยแก้ไขปัญหาจราจร ในหัวข้อ "สัญจรดี วิถีไทย ปีที่ 2 : ขับเร็วชิดขวา ขับช้าชิดซ้าย" เพื่อปลุกจิตสำนึกให้คนรุ่นใหม่และประชาชนทั่วไป ให้ความสำคัญกับมารยาทไทย และวินัยจราจรเปิดโอกาสให้ได้มีการใช้พื้นที่การแสดงออกทางความรู้ความสามารถ ความคิดสร้างสรรค์บนโลกโซเชียลมีเดียให้เกิดประโยชน์ และเพื่อประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ให้ประชาชนทั่วไปตระหนักถึงการใช้มารยาทไทยแก้ไขปัญหาจราจร ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในการประกาศผลรางวัลชนะเลิศในครั้งนี้ ทางคณะผู้จัดงานได้ใช้การประกาศผลรางวัล ผ่านระบบออนไลน์ เพื่อให้น้อง ๆ เข้ามาดูมาลุ้นการประกาศผลในครั้งนี้ ที่พิเศษไปกว่านั้น มีทีมงานไปเซอร์ไพส์น้อง ๆ ที่ชนะเลิศในประเภทต่าง ๆ ที่อยู่ต่างจังหวัด โดยทางทีมงานได้เป็นตัวแทนไปมอบรางวัลถึงที่เลยทีเดียว

สำหรับทีมที่ส่งผลงานเข้าร่วมทั้งหมดในปีนี้ มีจำนวน 267 ทีม โดยแบ่งเป็นระดับมัธยมศึกษา ปวช. หรือเทียบเท่า 144 ทีม และระดับอุดมศึกษา ปวส. หรือเทียบเท่า อีก 123 ทีม ซึ่งผู้ผ่านการคัดเลือกจะได้รับการอบรม เชิงปฏิบัติการจาก อาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้กำกับภาพยนตร์ และ Youtuber ชื่อดัง เพื่อให้ผู้ประกวดที่ผ่านเข้ารอบ สามารถต่อยอดความรู้ และเพิ่มความสามารถในการผลิตงาน และปรับปรุงพัฒนางานให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นสำหรับผลงานของผู้ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ และรองชนะเลิศอันดับ 1 และอันดับ 2 ทั้ง 2 ระดับ จะได้เผยแพร่ผลงานไปสู่สาธารณะทางสื่อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Social Media รวมถึงทางโทรทัศน์อีกด้วย

สำหรับผู้ที่ได้รับรางวัลในระดับระดับมัธยมศึกษาและ ปวช. มี ดังนี้รางวัลชนะเลิศ ระดับมัธยมศึกษา ปวช. หรือเทียบเท่าได้แก่ ผลงานเรื่องตุ้งแช่ จากทีม PW. Studio โรงเรียนพระพุทธบาทวิทยาคม จังหวัดหนองคาย​ ระดับอุดมศึกษา ปวส. หรือเทียบเท่า รางวัลชนะเลิศ ระดับอุดมศึกษา ปวส. หรือเทียบเท่า ได้แก่ ผลงานเรื่องนายตัวร้ายกับนายทะเบียน จากทีม Amelia Studio มหาวิทยาลัยกรุงเทพ จังหวัดปทุมธานี มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา จังหวัดกรุงเทพมหานคร

การประกาศผลรางวัลในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในการมอบรางวัล ซึ่งเป็นถ้วยเกียรติยศจากท่านรัฐมนตรีฯ ทั้งนี้ ท่านได้กรุณาแสดงความยินดี และให้โอวาทแก่ผู้ที่ได้รับรางวัล ดังนี้

นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า "ปีนี้เป็นปีที่ 2 แล้ว สำหรับโครงการ "สัญจรดีวิถีไทย" ซึ่งเป็นการทำคลิปวิดีโอในการส่งเสริมให้เกิดวินัยจราจร การขับขี่อย่างปลอดภัย การใช้ความคิดสร้างสรรค์จากการทำคลิปวิดีโอ ซึ่งในปีนี้ถือว่าเป็นอีกปีหนึ่ง ที่น้อง ๆ ทั้งในระดับอุดมศึกษา และมัธยมศึกษาได้ส่งผลงานเข้ามาประกวด ในหัวข้อ "ขับเร็วชิดขวาขับช้าชิดซ้าย" ซึ่งถือได้ว่าได้รับการตอบรับอย่างดียิ่ง จากน้อง ๆทั่วประเทศถึง 267 ผลงาน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์ และความสนใจที่จะร่วมกันทำคลิปเพื่อที่จะรณรงค์การขับขี่ให้ปลอดภัย มีสำนึกที่ดีต่อสังคม ซึ่งขึ้นชื่อว่าการที่ได้ลงมือทำ หรือว่าการใช้ความคิดสร้างสรรค์ถ่ายทอดเป็นคลิปวีดีโอ ถือว่าน้อง ๆ ได้อาศัยความตั้งใจ และถ่ายทอดจินตนาการออกมาเป็นคลิป

ซึ่งในโครงการนี้ จะได้นำผลงานที่ได้รับรางวัล ต่อยอดเผยแพร่ในสื่อต่าง ๆ ของกรมส่งเสริมวัฒนธรรม และเครือข่าย ผมขอชื่นชม กับน้อง ๆ ทุก ๆ คน และทุก ๆ ทีม ที่ส่งคลิปเข้าประกวด และแสดงความยินดีกับคลิปที่ได้รางวัล โดยหวังว่าจะเป็นรางวัลแห่งความภาคภูมิใจ และเป็นแรงบันดาลใจต่อไปในการศึกษาเรียนรู้ การเป็นตัวอย่างที่ดี เป็นอนาคตของชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่อง "สัญจรดีวิถีไทย" ที่ต้องอาศัยทุกคนช่วยกันรณรงค์ให้เป็นนิสัย ทำให้เป็นวิถี และหัวข้อในปีนี้ มุ่งรณรงค์ให้เกิดความปลอดภัยที่ชัดเจนในเรื่อง "ขับเร็วชิดขวา ขับช้าชิดซ้าย" ท้ายนี้ ขอให้ทุกคนตั้งใจศึกษาค้นคว้าเพื่อเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติต่อไป"

นายชาย นครชัย อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กล่าวว่า "ผมในนามของกรมส่งเสริมวัฒนธรรมขอแสดงความยินดีกับนักเรียนและนักศึกษา ที่เข้าร่วมประกวดคลิปโครงการ "สัญจรดีวิถีไทย" ปีที่ 2 ในหัวข้อ "ขับเร็วชิดขวา ขับช้าชิดซ้าย" ซึ่งปีนี้มีผู้สนใจเข้าส่งคลิปประกวดมากถึง 267 ทีม คลิปเหล่านี้ทำให้เห็นถึงแนวความคิด ของเด็ก ที่มองภาพของการจราจรในทุกวันนี้ว่า การจะขับรถ ให้มีระเบียบวินัย เกิดความปลอดภัย ควรทำอย่างไร

ซึ่งจะเป็นประโยชน์ ในการนำไปเผยแพร่กับเยาวชน คนรุ่นใหม่ต่อ ๆ ไป เป็นการสะท้อนมุมมองของเด็กเยาวชนต่าง ๆ ให้เห็นว่าเขามองภาพสังคมนี้อย่างไร และเราควรช่วยทำให้สังคมที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ดีขึ้นอย่างไร ขอขอบคุณเยาวชนที่ส่งผลงานเข้าประกวด และขอแสดงความยินดีกับเยาวชน ที่ได้รางวัลทุกคน รวมทั้งขอชื่นชมผลงานของผู้ที่ได้รับรางวัลว่า มีความคิดริเริ่ม และมีทักษะการผลิตสื่อสร้างสรรค์สังคม จนได้รับการตัดสินจากคณะกรรมการให้ได้รับรางวัลและหวังว่า ความสามารถเหล่านี้ จะทำให้น้อง ๆ ประสบความสำเร็จในอนาคตในไม่ช้า และนำไปประกอบวิชาชีพ หรือทำให้สังคมดีขึ้น ขอฝากทิ้งท้ายไว้ว่า เราคงจะพบกันใหม่ในปีหน้า ก็ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจอยากจะทำคลิปแข่งขันในปีหน้าเตรียมตัวไว้ และมาร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานดี ๆ กันครับ"
 
#3016


จากข้อมูลด้านระบาดวิทยาและการติดเชื้อของโรคโควิด-19 ณ วันที่ 29 ส.ค.64 พบผู้ติดเชื้อทั่วโลกแล้ว จำนวนกว่า 212 ล้านราย และผู้เสียชีวิตกว่า 4 ล้านราย ซึ่งแม้ในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา และหลายประเทศในยุโรป ที่มีระบบจัดการด้านการแพทย์และสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพก็ยังไม่สามารถควบคุมการระบาดได้ดี หรือในประเทศที่มีแนวโน้มการระบาดของโรคลดลงแต่ยังมีการระบาดซ้ำต่อเนื่อง ซึ่งทั้งหมดส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ การประกอบอาชีพ และการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชน รวมไปถึงการขาดแคลนอุปกรณ์การแพทย์ และระบบสุขภาพในภาพรวม

ดร.จุไรรัตน์ พรหมใจ ผู้จัดการงานวิจัย สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) กล่าวในเรื่องนี้ว่า "จากปัญหาการระบาดของโรคโควิด-19 จากเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่เกิดจากเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ที่ส่งผลกระทบไปทุกมิติทั่วโลก จึงจำเป็นต้องมีการศึกษาค้นคว้าวิจัยในเรื่องนี้อีกมากและอย่างเร่งด่วน สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) จึงได้สนับสนุนทุนโครงการ "การศึกษาโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) : งานวิจัยไวรัสวิทยา การศึกษาข้อมูลการตรวจวินิจฉัย การรักษา และการพัฒนาวัคซีน" โดยทีมวิจัยจากภาควิชาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี, คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา, สถาบันชีววัตถุ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และหน่วยชีวสารสนเทศและการจัดการข้อมูลวิจัย มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อทบทวน และสรุป องค์ความรู้ที่เกี่ยวกับเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 จากงานวิชาการหลากหลายแหล่งในระดับชาติและนานาชาติ ตลอดจนการรวบรวมความคิดเห็นของนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องในระดับประเทศ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนางานวิจัยสร้างองค์ความรู้เชิงโนบายสาธารณและนวัตกรรมเพื่อการแก้ปัญหาโรคโควิด-19 ในประเทศไทยทั้งในปัจจุบันและอนาคตต่อไป" 



ผศ.ดร.ไตรวิทย์ รัตนโรจนพงศ์ นักวิจัยเครือข่าย สวรส. สังกัดภาควิชาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กล่าวถึงงานวิจัยเรื่องนี้ว่า ทีมวิจัยได้รวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติทางชีววิทยา การรักษาป้องกัน และการตรวจวินิจฉัยเชื้อโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) จากข้อมูลวิชาการและรายงานจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือที่มีในปัจจุบัน ทั้งงานวิจัยที่มีการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการนานาชาติและระดับชาติ มาสรุปในโครงการศึกษาฯ ดังกล่าว ซึ่งมีประเด็นสำคัญต่างๆ เช่น วิวัฒนาการระดับโมเลกุลและจีโนไทป์ของเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ซึ่งมีรายงานผลการศึกษาระบุว่า การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าในอดีตที่ผ่านมา เช่น โรคติดเชื้อทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง หรือซาร์ส (SARS-CoV) และโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง (MERS-CoV) ล้วนชี้ให้เห็นว่า ไวรัสเหล่านี้มีศักยภาพสูงในการติดและแพร่กระจายเชื้อไปได้ในวงกว้าง ซึ่งพบว่าการกลายพันธุ์ในจีโนมหรือพันธุกรรมของเชื้อที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงลำดับกรดอะมิโนหรือที่เราเรียกว่า nonsynonymous substitution มีความเกี่ยวข้องอย่างยิ่งต่อความสามารถในการติดและแพร่กระจายตัวของเชื้อ ในกรณีของการกลายพันธุ์ในส่วนของโปรตีน Spike ของเชื้อไวรัสโคโรน่านั้น จะมีส่วนสำคัญต่อการเพิ่มศักยภาพให้เชื้อไวรัสสามารถเปลี่ยนไปติดเชื้อในสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ ได้ และยังพบด้วยว่าการกลายพันธุ์เพียงกรดอะมิโนเดียว ก็ส่งผลกระทบรุนแรงต่อการทำลายเซลล์ของผู้รับเชื้ออีกด้วย 



แต่เนื่องจากเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 เป็นเชื้อไวรัสอุบัติใหม่ ที่รู้จักเมื่อปลายปี 2562 ดังนั้นจึงมีการวิเคราะห์ข้อมูลในเชิงวิวัฒนาการระดับโมเลกุล เพื่อค้นหาแหล่งที่มาของเชื้อชนิดนี้ มีการศึกษาจำนวนมากที่พยายามพิสูจน์ว่าเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 มีสารรหัสพันธุกรรม รวมถึงจีโนมคล้ายกับเชื้อไวรัสโคโรน่าของค้างคาว ผลการวิเคราะห์จากนักวิจัยหลายแหล่งข้อมูล ชี้ตรงกันว่าลำดับนิวคลีโอไทด์จากชิ้นส่วนของยีนสำคัญ ๆ ของเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 มีวิวัฒนาการใกล้ชิดกับเชื้อไวรัสโคโรน่าที่แยกจากค้างคาวเนื่องจากเชื้อทั้งสองชนิดนี้มีบรรพบุรุษร่วมกัน (common ancestor) ทำให้อนุมานได้ว่าเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 น่าจะวิวัฒนาการมาจากการกลายพันธุ์ ซึ่งทำให้เชื้อมีความสามารถที่จะจับกับโมเลกุลตัวรับบนเซลล์มนุษย์ จนทำให้เกิดการติดเชื้อไปสู่คนในที่สุด

จากการค้นคว้าข้อมูลของทีมวิจัยยังพบว่า การศึกษาเกี่ยวกับจีโนไทป์ (genotyping) หรือข้อมูลทางพันธุกรรมของเชื้อไวรัส เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้เข้าใจการระบาดของเชื้อและสามารถช่วยวางนโยบายในการป้องกันการระบาดของโรคได้ด้วย ในทางทฤษฎีการศึกษาจีโนไทป์ของสิ่งมีชีวิตชนิดใดๆ ควรเริ่มต้นจากการเข้าใจวิวัฒนาการเชิงโมเลกุลของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้นก่อน ในกรณีของเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ก็เช่นเดียวกัน ซึ่งการวิเคราะห์ข้อมูลสารพันธุกรรม มีบทบาทสำคัญต่อการเข้าใจจีโนไทป์ของเชื้อไวรัส แต่เนื่องจากไวรัส SARS-CoV-2 เป็นไวรัสที่มีจีโนมขนาดใหญ่ ทำให้การวิเคราะห์ข้อมูลตลอดจีโนมไม่ใช่สิ่งง่าย เนื่องจากการวิเคราะห์ดังกล่าวต้องการประสิทธิภาพในการคำนวณด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีกำลังในการประมวลผลสูง และมีการจัดการข้อมูลที่ยุ่งยากพอสมควร ทำให้การวิจัยจำนวนมากเริ่มต้นจากการเลือกใช้ข้อมูลนิวคลีโอไทด์บางส่วน มาเป็นตัวแทนของข้อมูลในการศึกษาวิวัฒนาการระดับโมเลกุลเพื่อลดภาระและเวลาในการประมวลผลทางคอมพิวเตอร์

รายงานฉบับนี้ทางผู้วิจัยยังได้กล่าวว่า "ระบบมาตรฐานของการศึกษาด้านจีโนไทป์หรือข้อมูลทางพันธุกรรมของเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ในปัจจุบันจำเป็นต้องใช้ข้อมูลนิวคลีโอไทด์ตลอดจีโนมของเชื้อไวรัสในการเปรียบเทียบวิเคราะห์ยังมีข้อจำกัดว่าต้องใช้คอมพิวเตอร์ที่มีกำลังในการประมวลผลสูง ทำให้ข้อมูลจีโนไทป์ของไวรัส SARS-CoV-2 ยังมีการถกเถียงกันอยู่และยังต้องการข้อมูลเพิ่มเติมอีกมาก อย่างไรก็ตามการสร้างแผนภูมิที่แสดงถึงสายวิวัฒนาการ phylogenetic tree เพื่อศึกษาระบาดวิทยาโมเลกุล และความหลากหลายทางชีวภาพของไวรัส ยังเป็นความต้องการของประเทศอย่างมาก เนื่องจากจะช่วยให้เห็นรูปแบบการระบาดของเชื้อแล้ว ยังมีบทบาทต่อการวางนโยบายทางสาธารณสุขเพื่อป้องกันต่อไป"

นอกจากนี้ ในรายงานการศึกษาดังกล่าว ยังได้ทบทวนองค์ความรู้ในด้านการตรวจวินิจฉัยเชื้อด้วยชุดตรวจแบบต่างๆ, การพัฒนายาต้านไวรัส SARS-CoV-2, และปฏิสัมพันธ์ระหว่างไวรัส SARS-CoV-2 กับสิ่งมีชีวิตและการป้องกันโรคที่จะเน้นไปที่ระบบภูมิคุ้มกันที่ตอบสนองต่อการติดเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 อีกด้วย
#3017


การดำเนินงานด้านการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารในเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ ยังไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ประชาชนทั่วไปยังไม่รู้และไม่เข้าใจความหมายของความหลากหลายทางชีวภาพ จึงยังไม่เห็นความสำคัญ สผ. จึงได้ดำเนินโครงการจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์และการเพิ่มสมรรถนะในการสื่อสารด้านความหลากหลายทางชีวภาพในยุคดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพ (Effective communication) โดยมุ่งหมายที่จะสร้างความตระหนักและความเข้าใจในเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ (Outreach, Awareness and Uptake) แก่ประชาชนทุกคน โดยเฉพาะเยาวชนคนรุ่นใหม่

"ดร.รวีวรรณ ภูริเดช" เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้กล่าวว่าการจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์และการเพิ่มสมรรถนะในการสื่อสารด้านความหลากหลายทางชีวภาพ

ในยุคดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพ (Effective communication) เป็นการดำเนินงานส่วนหนึ่งของเครื่องมือที่เรียกว่า "CEPA" (Communication Education and Public Awareness) ดำเนินการตามแนวทางมาตรา 13 ของอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งการจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ดังกล่าว สผ. ได้ให้ความสำคัญในกระบวนการถ่ายทอดและเผยแพร่ข้อมูลความรู้เรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ ให้มีความเหมาะสมและน่าสนใจสำหรับกลุ่มเป้าหมาย โดยใช้แนวคิดการสื่อสารในยุคดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพ เพื่อการเข้าถึงข้อมูลอย่างรวดเร็วและ
มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ประชาชนโดยเฉพาะเยาวชนคนรุ่นใหม่เกิดความตระหนักและใส่ใจในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงส่งเสริมบทบาทและศักยภาพของภาคส่วนต่าง ๆ ในการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการบรรลุวัตถุประสงค์ในการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืนของประเทศไทย และในฐานะหน่วยประสานงานกลางของอนุสัญญาฯ ในเชิงนโยบาย สผ. ได้ผนวกการดำเนินงานด้าน CEPA ไว้ในแผนจัดการความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศ เพื่อขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติของหน่วยงาน ซึ่งการสร้างความตระหนักและความเข้าใจเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ

"นายประเสริฐ  ศิรินภาพร" รองเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เสริมว่า สผ. มีแนวคิดในการนำเสนอเรื่องราวของความหลากหลายทางชีวภาพในรูปแบบที่ออกจากกรอบวิชาการมาเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวกับทุกคน จึงเป็นที่มาของการดำเนินโครงการจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์และการเพิ่มสมรรถนะในการสื่อสารด้านความหลากหลายทางชีวภาพในยุคดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพ (Effective communication) ภายใต้โครงการมีหลายกิจกรรมที่ตอบโจทย์ มีการจัดทำแผนกลยุทธ์การสื่อสารด้านความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพ จัดทำสารคดีสั้นที่นำเสนอในรูปแบบที่น่าสนใจและเข้าใจง่าย ที่มุ่งเน้นเยาวชนคนรุ่นใหม่ จำนวน 3 เรื่อง จัดทำบทความผ่านสื่อต่าง ๆ เพื่อใช้ประกอบการประชาสัมพันธ์

การประชาสัมพันธ์ในรูปแบบป้ายโฆษณาสื่อกลางแจ้ง (Billboard) รวมทั้ง Campaign "Keep Biodiversity" เพื่อรณรงค์ การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและสร้างการรับรู้ในวงกว้าง การจัดทำบทเพลง โดยได้คุณแมว จีระศักดิ์ ปานพุ่ม เป็นโปรดิวเซอร์ ควบคุมการผลิตเพลง "Can You Be My World" และมีน้องกลัฟ คณาวุฒิ ไตรพิพัฒนพงษ์ เป็นผู้ขับร้อง
มีการจัดทำ MV เพลง มีการใช้สื่อออนไลน์ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ภายใต้แนวคิด "Biodiversity is Our Life" ความหลากหลายทางชีวภาพอยู่ได้ เราอยู่รอด และมี Campaign "Keep Biodiversity" ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเริ่มจากตัวเรา ทั้งนี้ สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมในช่องทาง Online ของ สผ.ได้ที่ Facebook และ Twitter : Biodiversity CHM Thailand   Youtube Chanel : Chm Thai

"นายคณาวุฒิ ไตรพิพัฒนพงษ์" ศิลปิน/นักแสดง ตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่มีความสนใจในเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพและการอนุรักษ์ ได้ให้ความเห็นว่า เรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก เพราะปัจจุบันสื่อต่าง ๆ ทำให้เราได้เรียนรู้และเข้าใจได้ง่าย ยิ่งเป็นสื่อออนไลน์ เป็นยุคเทคโนโลยีดิจิทัล ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย และเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับเราทุกคน ยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับธรรมชาติ ซึ่งทุกคนมีใจรักธรรมชาติอยู่แล้วจะทำให้เข้าใจได้ไม่ยาก และรู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพให้ทุกคนได้รับรู้ เข้าใจ และหันมาใส่ใจในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพที่มีความสำคัญกับเราทุกคน อยากให้ทุกคนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ
ความหลากหลายทางชีวภาพอยู่ได้ เราอยู่รอด
#3018


เชลซี ยักษ์ใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ บรรลุข้อตกลงคว้าตัว ซาอูล ญีเกซ กองกลางชาวสแปนิช ของทีมแอตเลติโก มาดริด มาร่วมทัพด้วยสัญญายืมตัว 1 ฤดูกาล

ทั้งนี้ 'สิงห์บลูส์' ตกเป็นข่าวกับดาวเตะชาวสแปนิชในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สุดท้ายสามารถปิดดีลได้สำเร็จ โดยต้องจ่ายค่ายืมให้กับทีม 'ตราหมี' จำนวน 5 ล้านยูโร พ่วงอ็อปชั่นซื้อขาด

ตามการรายงานระบุว่า ซาอูล ญีเกซ กำลังเดินทางมายังกรุงลอนดอนเพื่อตรวจร่างกาย และทำการจรดปากกาเซ็นสัญญากับ เชลซี อย่างเป็นทางการ ซึ่งจะทำให้เจ้าตัวกลายเป็นแข้งใหม่รายที่ 3 ของทัพ 'สิงห์บลูส์' ต่อจาก มาร์คัส เบตติเนลลี่ และโรเมลู ลูกากู

สำหรับ ซาอูล ญีเกซ มีมาตรฐานการเล่นที่ยอดเยี่ยม กลายเป็นกำลังสำคัญของทีม 'ตราหมี' มาโดยตลอด มีส่วนช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ลาลีกา สเปน 1 สมัย, โคปา เดล เรย์ 1 สมัย, ซูเปอร์โคปา เด เอสปาญา 1 สมัย, ยูฟ่า ยูโรปา ลีก 2 สมัย, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 1 สมัย รวมถึงรองแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 1 สมัย
#3019


นับจากเกิดวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 ในประเทศไทยตลาดคอนโดมิเนียมกลายเป็นกลุ่มสินค้าในตลาดที่อยู่อาศัยที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด เนื่องจากกลุ่มลูกค้าหลัก คือ กลุ่มคนรุ่นใหม่ คนเริ่มทำงาน ชาวต่างชาติ และกลุ่มนักลงทุน ซึ่งกลุ่มลูกค้าเหล่านี้บางส่วนมีกำลังซื้อที่ลดลง จากผลกระทบเศรษฐกิจ และการลดเวลาจ้างงานในธุอรกิจต่าง ๆ บางส่วนต้องเดินทางกลับประเทศต้นสังกัดและบางส่วนต้องชะลอการซื้อเพื่อดูสถานการณ์ ทำให้ดีมานด์คอนโดหดตัวกระทันหันอย่างรุนแรง ขณะที่จำนวนซับพลายในตลาดยังคงเพิ่มจำนวนขึ้นต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ตลาดคอนโดเริ่มกลับมามีสัญญาณที่ดีขึ้น ภายหลังจากเกิดการระบาดของเชื้อโควิด-19 ในระลอกที่3 ซึ่งในส่งฝผลให้ประเทสไทยต้องกลับมาล็อกดาวน์จนธุรกิจทุกอย่างหยุดชะงัดและมีผลต่อรายได้ของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ทำให้สถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยมากกว่าปกิ โดยประเด็นหลักที่สถาบันการเงินใช้ในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อที่อยู่อาศัย คือ เสถียรภาพทางการเงินและอาชีพของผู้กู้ ทำให้ในปัจจุบันมีเพียงกลุ่มคจำนนน้อยที่มีความสามารถในการขอสินเชื่อที่อยูอาศัย

อัตราการปฏิเสธสินเชื่อและการเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่เข้มข้นทำให้ ผู้บริโภคชะลอแผนการซื้อที่อยู่อาศัยและเปลี่ยนมาเช่าที่อยู่อาศัยแทน โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ และคนเริ่มทำงานใหม่ ซึ่งมีไลฟสไตล์การอยู่อาศัยในย่านใจกลางเมืองและใกล้แหล่งทำงาน พฤติกรรมดังกล่าวทำให้ความต้องการคอนโดเช่าปรับตัวดีขึ้นเลื่อยๆ และหากยังมีทิศทางเช่นนี้เชื่อว่าในระยะอันใกล้นี้ตลาดคอนโดน่าจะกลับมาเห็นแสงปลายอุโมงได้ไม่ยาก

สุรเชษฐ กองชีพ
สุรเชษฐ กองชีพ

นายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟีนิกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ แอนด์ คอลซันแทนซี่ จำกัด กล่าวว่า ตลาดคอนโดมิเนียมปล่อยเช่าจริง ๆ แล้วค่อนข้างมีปัญหามาก่อนี่จะเกิดวิกฤตโควิด-19แล้ว เนื่องจากจำนวนคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จเข้าสู่ตลาดมีจำนวนมากในแต่ละปี อีกทั้งมีผู้ซื้อบางส่วนที่ตั้งใจซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อการลงทุนในระยะยาวหรือซื้อมาเพื่อปล่อยเช่าโดยหวังทั้งรายได้จากค่าเช่าและขายต่อในอนาคตในราคาที่สูงขึ้นซึ่งจัดได้ว่าเป็นการลงทุนในระยะยาว โดยกลุ่มเป้าหมายของนักลงทุนรูปแบบนี้ คือชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยและต้องการที่พักในระยะยาวมากกว่า 1เดือนขึ้นไปเพราะการปล่อยเช่ารายวันผ่านการดูแลของกลุ่มบุคคลหรือแอปพลิเคชั่นต่างๆยังไม่เป็นที่ยอมรับในประเทศไทย แม้ว่าจะมีการทำแบบนี้จะมีให้เห็นอยู่บ้าง

อย่างไรกามหลังเกิดวิกฤตโควิด-19 มีผลให้การลงทุนหรือธุรกิจจำนนมากจำเป็นต้องชะลอการลงทุนหรือยกเลิกการขยายกิจการรวมไปถึงหยุดกิจการชั่วคราวชาวต่างชาติที่เคยเช่าคอนโดมิเนียมอยู่เริ่มทยอยย้ายออกและกลับประเทศไปแต่ก็ยังมีชาวต่างชาติบางส่วนที่เลือกที่จะย้ายออกจากที่พักที่พวกเขาเคยอยู่ซึ่งอาจจะเป็นอพาร์ตเม้นต์เซอร์วิส อพาร์ตเม้นต์ หรือโรงแรมมาเช่าคอนโดมิเนียมอยู่เพราะมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ไม่แตกต่างกันแค่หาบริการเรื่องของการทำความสะอาดและซักรีดเสื้อผ้าเพิ่มเติมเท่านั้นแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตลาดคอนโดมิเนียมเช่าจะมีลูกค้าต่อเนื่องแบบไม่ขาดตอน หรือไม่ได้รับผลกระทบ

ก่อนหน้านี้ด้วยจำนวนคอนโดมิเนียมที่เข้าสู่ตลาดในแต่ละปีมีมากกว่า40,000 ยูนิตหรือมากกว่านี้ในบางปีมีผลให้จำนวนคอนโดมิเนียมสะสมในกรุงเทพมหานครมากกว่า 650,000 ยูนิตไปแล้วและมีไม่น้อยกว่า 5% ในจำนวนนี้ที่ต้องการปล่อยเช่า
นั่นหมายความว่าจำนวนคอนโดมิเนียมที่มีคนซื้อไว้เพื่อต้องการปล่อยเช่ารายเดือนนั้นมีไม่น้อยกว่า33,000 ยูนิต แม้ว่าจริงๆ แล้วจะไม่สามารถคาดการณ์จำนวนที่แท้จริงได้ก็ตามจำนวนที่แท้จริงอาจจะมากกว่านี้ก็เป็นไปได้แต่ด้วยจำนวนคอนโดเพื่อเช่ามากมายขนาดนี้ ประกอบกับมีที่อยู่อาศัยรูปแบบอื่นๆที่ให้เช่าระยะยาวเป็นทางเลือกอีกการลดน้อยลงของชาวต่างชาติในกรุงเทพมหานครจึงส่งผลกระทบต่อตลาดคอนโดมิเนียมเช่าแน่นอน



โดยที่เห็นได้ชัดมากๆ คือ เรื่องของค่าเช่าที่มีนักลงทุนหลายรายเลือกที่จะลดค่าเช่าของตนเองลง โดยเฉพาะกลุ่มของนักลงทุนที่เพิ่งเข้าสู่ตลาดคอนโดมิเนียมเพราะนักลงทุนกลุ่มนี้อาจจะจำเป็นต้องการรายได้จากคาเช่าคอนโดเพื่อนำมาเป็นค่าผ่อนชำระสินเชื่อธนาคาร ดังนั้น ได้ค่าเช่าลดน้อยลงก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย ประกอบกับช่วง 1 ปีกว่าๆผ่านมา ความต้องการเช่าคอนโดมิเนียมลดน้อยลงไปแบบชัดเจน เพราะชาวต่างชาติที่ทำงานในกรุงเทพฯลดจำนวนลงไปชัดเจน ซึ่งจากสถิติของสำนักบริหารแรงงานต่างด้าวพบว่าชาติต่างชาติที่ได้ใบอนุญาตทำงานและไม่ใช่ชาวเมียนมาลาว และกัมพูชารวมไปถึงชนกลุ่มน้อยต่างๆ ในกรุงเทพมหานคร ณ เดือนมิถุนายนปี 64 ลดน้อยลงไปประมาณ 14,000 คน

เมื่อเทียบกับช่วงปลายปี 62 การขาดหายไปของชาวต่างชาติยังคงมีจากกลุ่มที่เข้ามาทำงานแบบชั่วคราวหรือเข้ามาดูงานและไม่ได้ขอใบอนุญาตทำงานแล้วพักในที่พักที่บริษัทหรือองค์กรเช่าระยะยาวไว้ก็ยังมีอีกจำนวนไม่น้อย รวมไปถึงชาวต่างชาติที่เข้ามาในรูปแบบของนักท่องเที่ยวแต่เลือกที่จะเช่าคอนโดมิเนียมพักอาศัยเพราะอาจจะอยู่กันเป็นเดือนเพราะนอกจาก จะท่องเที่ยวแล้วอาจจะมีการมองหาช่องทางการทำธุรกิจในประเทศไทยด้วยเมื่อรวมๆ แล้วชาวต่างที่หายไปจากกรุงเทพและเป็นกลุ่มเป้าหมายของตลาดคอนโดมิเนียมเช่านั้นหลายหมื่นคนทีเดียว

นอกจากนี้การที่คนไทยส่วนหนึ่งทำงานที่บ้านไม่ต้องเข้าสำนักงานหรือจำนวนวันที่เข้าสำนักงานลดน้อยลงประกอบกับบุตรหลานไม่ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนหรือสถานศึกษาตามปกติก็อาจจะมีผลให้คนไทยกลุ่มนี้บางส่วนที่เช่าคอนโดมิเนียมอยู่
เพราะบ้านของพวกเขาอาจจะอยู่ชานเมืองหรือไกลจากที่ทำงานรวมไปถึงสถานศึกษาของบุตรหลานก็อาจจะขอยกเลิกการเช่าคอนโดมิเนียมไปเช่นกัน



ผลกระทบที่เกิดขึ้นทั้งจากปัจจัยต่าง ๆ นั้นเห็นได้ชัดเจนจากการขาดแคลนกลุ่มลุกค้า ซึ่งแน่นอนว่ามีผลต่อค่าเช่าแน่นอน
เพราะนักลงทุนบางส่วนเลือกที่จะลดคาเช่าลง ประกอบกับผู้เช่าที่ยังคงต้องการหาคอนโดมิเนียมเช่าในกรุงเทพมหานครเองก็พยายามหาคอนโดมิเนียมที่มีค่าเช่ารายเดือนที่ต่ำลงเพราะพวกเขาอาจจะมีเงินสนับสนุนจากบริษัทหรือองค์กรลดลงประกอบ กับเริ่มเห็นสัญญาณการลดค่าเช่าจากกลุ่มของเจ้าของห้องพวกเขาจึงพยายามต่อรองลดค่าเช่าลงมาให้มากที่สุด และไม่รีบตัดสินใจ เนื่องจากตัวเลือกในตลาดมีมากมายอีกทั้งยังมีคนที่ต้องการผู้เช่าโดยไม่ยึดติดกับค่าเช่าหรือผลตอบแทนที่เคยตั้งความคาดหวังไว้เรื่องของค่าเช่าที่ลดลงนั้นมีตั้งแต่ 10% หรือมากกว่า50% ในบางยูนิตขึ้นอยู่กับเจ้าของยูนิตนั้นๆ และแน่นอนว่าเมื่อค่าเช่าลดลงผลตอบแทนจากการเช่าที่เคยคาดหวังไว้ที่ 4 – 5% ต่อปีอาจจะลดเหลือเพียง2 – 3% ต่อปี และอาจจะเป็นการทำให้ผลตอบแทนจากการเช่าไม่กลับในระดับเดิมอีกก็เป็นไปได้เพราะผู้เช่า จำนวนไม่น้อยรับรู้ค่าเช่าในระดับนี้แล้ว การจะปรับค่าเช่าขึ้นในอนาคตก็อาจจะยากกว่าลดลงแบบตอนนี้นักลงทุน ที่มีต้นทุนสูงกว่าก็ได้รับผลกระทบแน่นอน เนื่องจากไม่สามารถได้รับผลตอบแทนได้ตามที่ตั้งใจ

ช่วงต้นปี 64 ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบันอาจจะเริ่มเห็นสัญญาณของกลุ่มผู้เช่าที่เป็นชาวต่างชาติเริ่มเข้ามาในประเทศมากขึ้น แม้ว่าจะเป็นจำนวนไม่มาก แต่ก็เป็นสัญญาณที่ดีโดยกลุ่มของชาวต่างชาติที่เข้ามาก็ยังคงมองหาคอนโดในทำเลยอดนิยมเดิมๆที่มีการเดินทางสะดวกสบาย ปลอดภัย และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบในพื้นที่ ดังนั้น
ทำเลตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าทั้งBTS และรถไฟใต้ดินจึงยังเป็นทำเลยอดนิยมต่อเนื่องโดยพื้นที่ตามแนวถนนสุขุมวิท รัชดาภิเษก พหลโยธินยังคงได้รับความสนใจเช่นเดิมแต่ถ้ามองในทำเลที่ไกลออกไปหรือไม่ได้จำเพาะเจาะลงเป็นทำเลหรือพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งทำเลรอบๆ มหาวิทยาลัยยังคงเป็นทำเลที่มีนักลงทุนให้ความสนใจต่อเนื่องมากที่สุด

โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยที่อยู่ในจังหวัดปริมณฑลรอบกรุงเทพมหานครเนื่องจากราคาคอนโดมิเนียมไม่สูงมาก อีกทั้งความต้องการในอนาคตยังสามารถคาดหวังได้อยู่แม้ว่าปัจจุบันจะมีการเรียนออนไลน์กันอยู่ก็ตาม แต่เมื่อสถานการณ์ต่างๆ
กลับมาดีขึ้น คอนโดมิเนียมเหล่านี้จะเป็นที่ต้องการนักลงทุนจำนวนไม่น้อยจึงเลือกที่จะซื้อและโอนกรรมสิทธิ์โครงการคอนโดมิเนียมในพื้นที่รอบๆมหาวิยาลัยกันต่อเนื่อง



ช่วงที่เกิดวิกฤตโควิด-19มีนักลงทุนที่เป็นกลุ่มของนักลงทุนในระยะยาวหรือกลุ่มที่ซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อต้องการปล่อยเช่าในระยะยาวเลือกซื้อคอนโดมิเนียมจากผู้ประกอบการที่ลดราคาขายโครงการที่สร้างเสร็จแล้วในช่วงกลางปี63ต่อ เนื่องถึงปัจจุบัน เพราะราคาขายลดลงมากกว่า 15% บางยูนิตในบางโครงการลดลงไปมากกว่า30% ซึ่งเหมาะที่จะซื้อมาลงทุนปล่อยเช่าและราคาที่ซื้อในปัจจุบันยังสามารถนำมาปล่อยเช่าในราคาที่ไม่แตกต่างจากคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จก่อนหน้านี้กลุ่มของนักลงทุนที่มีเงินเก็บและไม่ได้ใช้เงินสินเชื่อธนาคารให้ความสนใจคอนโดมิเนียมที่ปล่อยขายแบบลดราคาแม้ว่าบางยูนิตอาจจะไม่ได้อยู่ในมุมหรือชั้นที่ดีแต่เพราะวัตถุประสงค์เพื่อการปล่อยเช่าจึงไม่ใช่ประเด็นสำคัญในการเลือกซื้อเพื่อการลงทุน

อนาคตของตลาดคอนโดมิเนียมเช่าในกรุงเทพมหานครและเมืองท่องเที่ยวต่างๆ ทั่วประเทศไทยคงยังไม่ได้กลับมาเป็นปกติในเร็ววันนี้แม้ว่าการเดินทางระหว่างประเทศเริ่มเปิดให้มีการเดินทางได้แล้วก็ตามแต่ยังคงต้องรอเวลาอีกไม่น้อยกว่า1–2ปีกว่า ที่สถานการณ์จะกลับมาเป็นปกติมีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้นแต่ต้องไม่ลืมว่าคอนโดมิเนียมที่เข้าสู่ตลาดในแต่ละปีก็มีมากขึ้นต่อเนื่องกลุ่มของนักลงทุนที่สนใจเข้ามาลงทุนในคอนโดมิเนียมก็เพิ่มขึ้นมาต่อเนื่องเช่นกัน ความคาดหวังของผลตอบแทนที่จะได้รับคงมีทิศทางที่ลดลงเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ซึ่งก็ไม่ได้สูงเท่าใดนัก เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ 5 - 6 ปี อาจจะยังหลงเหลือเพียงคอนโดมิเนียมที่อยู่รอบมหาวิทยาลัยเท่านั้นที่อาจจะยังสามารถคาดหวังผลตอบแทนที่มากว่าคอนโดมิเนียมในเมืองชั้นในได้

ธนา ต่อสหะกุล
ธนา ต่อสหะกุล

ด้านนายธนา ต่อสหะกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มดีพีซี จำกัด MDPC ExpertiseMeets Excellenceในเครือบริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งให้บริการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร กล่าวว่าแม้ว่าต้นปี 64 จะมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19ระลอก2 และระลอก3 แต่ตลาดคอนโดมิเนียมเพื่อเช่ายังคงได้รับความสนใจและเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาสแรกปี64 ผู้บริโภคแสดงความสนใจห้องชุดให้เช่าเพิ่มขึ้น21% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและในไตรมาส2/64 มีผู้บริโภคสนใจห้องชุดให้เช่าเพิ่มขึ้น42% จากไตรมาส2/63

จากตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคมีความสนใจเช่าห้องชุดมากขึ้นรวมถึงปรับเปลี่ยนทำเลและพฤติกรรมในการพักอาศัย เช่น เดิมผู้เช่าสนใจห้อง1 ห้องนอน ขนาดไม่เกิน50 ตร.ม.ที่เน้นพื้นที่ภายในห้องนอนมากกว่าพื้นที่ห้องอเนกประสงค์แต่ปัจจุบันผู้เช่ามองหาห้องชุดแบบ2 ห้องนอน ขนาด43-60 ตร.ม. ที่เน้นประโยชน์จากการใช้ฟังก์ชั่นต่าง ๆ ได้อย่างคุ้มค่าพื้นที่ห้องอเนกประสงค์สามารถปรับเปลี่ยนเป็นสถานที่ทำงานระบบ Work FromHome หรือปรับเป็นพื้นที่ในการออกกำลังกายได้รวมทั้งต้องการพื้นที่ระเบียงขนาดใหญ่ เพื่อปลูต้นไม้ เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับห้องพัก

"สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมการมองหาห้องชุดเพื่อเช่าผู้เช่าต้องการห้องชุดที่สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นได้หลากหลายเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตแบบWork From Homeเนื่องจากต้องใช้ระยะเวลานานอยู่ในห้องพัก และต้องการเช่าในระยะที่ยาวขึ้น และหากคอนโดฯมีฟังก์อื่นที่น่าสนใจเพิ่มเติม เช่น สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ก็จะยิ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการปล่อยเช่าได้มากยิ่งขึ้น"

แม้พฤติกรรมการหาห้องชุดเพื่อเช่าจะเปลี่ยนไปแต่ผู้เช่ายังให้ความสำคัญกับเรื่องของ ทำเล โดยยังคงมองหาห้องชุดในทำเลกลางใจเมืองมีระบบการเดินทางที่สะดวกสบาย และใกล้กับสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ สำหรับทำเลที่ผู้เช่าให้ความสนใจและมีอัตราการเช่าเติบโตอย่างต่อเนื่องคือทำสุขุมวิทตอนกลางถึงตอนปลาย ลาดพร้าว-พหลโยธิน



ขณะที่ ทำเลย่านสุขุมวิทตอนกลาง เริ่มตั้งแต่แยกอโศกไปจนถึงสถานีรถไฟฟ้าพระโขนง พบว่า มีความหลากหลายของการใช้ชีวิตมากที่สุด โดยเฉพาะ "ทองหล่อ-เอกมัย" เพราะเป็นทำเลที่มีปัจจัยหนุนเอื้อต่อการเติบโตในอนาคตอย่างมากมายและยังเป็นทำเลยอดนิยมของชาวต่างชาติ และในอนาคตพื้นที่นี้จะมีโครงการรถไฟฟ้าสายสีเทาจุดเชื่อมต่อที่บริเวณBTS สถานีทองหล่อ (วัชรพล - ทองหล่อ)และอีกจุดที่BTS สถานีพระโขนง (พระโขนง - ท่าพระ) มาเสริมศักยภาพพื้นที่ส่งผลให้ปัจจุบันอัตราการเช่าในพื้นที่ดังกล่าวสูงถึง40 % โดยส่วนใหญ่เป็นผู้เช่าชาวต่างชาติคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง70% และมีอัตราค่าเช่าห้องชุดขนาดประมาณ40-60 ตร.ม. เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 35,000 บาทต่อเดือนส่งผลให้กลุ่มนักลงทุนเข้ามาลงทุนเพื่อปล่อยเช่าจำนวนมาก โดยมีอัตราRentalield เฉลี่ย อยู่ที่4-6% (ข้อมูลปี64) ซึ่งสูงที่สุดเมื่อเทียบกับพื้นที่อื่น ๆ ในทำเลสุขุมวิท

ในส่วนของพื้นที่สุขุมวิทตอนปลายที่เริ่มจากสถานีรถไฟฟ้าพระโขนงไปจนถึงสถานีแบริ่งนั้น เป็นทำเลที่ได้รับความสนใจจากกลุ่มคนวัยทำงานหรือFirst Jobber อย่างมากโดยมีสัดส่วนการเช่าสูงถึง 50% จากกลุ่มผู้เช่าทั้งหมด เนื่องจากราคาปล่อยเช่าคอนโดมิเนียมยังไม่สูงมากห้องชุดขนาด40-60 ตร.ม. จะมีอัตราค่าเช่าเฉลี่ย24,000 บาทต่อเดือน

ส่วนทำเลลาดพร้าว – พหลโยธิน เป็นอีกหนึ่งทำเลที่มีอัตราการเติบโตของตลาดเช่าค่อนข้างดีเนื่องจากการขยายตัวของรถไฟฟ้าสายใหม่อย่างสายสีเขียวส่วนต่อขยาย (หมอชิต –สะพานใหม่ – คูคต) ส่งผลให้มีประชากรในพื้นที่เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งพื้นที่อาคารสำนักงานห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ สถานศึกษา ก็มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สถานีกลางบางซื่อศูนย์กลางการคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดของกรุงเทพฯก็เป็นอีกปัจจัยหนุนสำคัญที่จะทำให้ตลาดเช่ามีอัตราการเติบโตในอนาคต โดยปัจจุบันค่าเช่าเฉลี่ยอยู่ที่18,000 บาทต่อเดือนโดยกลุ่มผู้เช่าส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มวัยทำงาน นักศึกษา โดยมีอัตราผลตอบแทนในการลงทุนปล่อยเช่าเฉลี่ย5%

จากสัญญาณการขยายตัวของดีมานด์ในตลาดเช่าขณะนี้คาดว่าจะส่งฝผลต่อการระบายออกของห้องชุดในตลาดที่ดีขึ้น จากการซื้อเพื่อลงทุนเนื่องจากกลุ่มนักลงทุนได้รับปัจจัยกระตุ้นจากการที่สถาบันการเงินที่ประกาศลดวงเงินประกันเงินฝากลงมาอยู่ที่1 ล้านบาท ซึ่งอาจมีผลส่งผลต่อการตัดสินใจนำเงินฝากออกมาซื้อห้องชุดคอนโดเพื่อลงทุนระยะยาวมากชึ้นเพราะปัจจุบันดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่ราคาขายอสังหาฯในขณะนี้ต่ำกว่าปกติ30-40%ถือเป็นช่วงนาทีทองของผู้ซื้อลงทุนมากที่สุด
#3020


นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เปิดเผยว่า การลงทุนของบริษัท มุ่งเน้นผลักดันธุรกิจเข้าสู่คาร์บอนนิวทรัล (Carbon–neutral) และการลงทุนธุรกิจใหม่ที่เพิ่มมูลค่าหรือต่อยอดและส่งเสริมให้ภาพรวมของบริษัทเติบโตยั่งยืนได้ระยะข้างหน้า เพื่อลดความเสี่ยงที่ตลาดลดการใช้น้ำมันรถยนต์ในระยะ 10-15ปีข้าง

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า เงินลงทุนของบริษัทช่วง 5 ปีข้างหน้า(ปี 2565-2569) วางงบไว้ที่88,000 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนธุรกิจ BCPG สูงถึง 73% สำหรับการขยายพอร์ตโรงไฟฟ้าสีเขียวของ BCPG เพื่อเข้าสู่คาร์บอนนิวทรัล ให้ได้เร็วที่สุด  ส่วนที่เหลือเป็น BBGI 6% ,ธุรกิจ MKBG 8% ,ธุรกิจ RFBG 7% และธุรกิจใหม่ New S-curve 6% ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาด้วย  อย่างเช่นที่ผ่านมาบริษัทได้ลงทุนในธุรกิจไบโอเบส ต่อยอดการผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า เช่น ยา อาหาร และเครื่องสำอางค์  ซึ่งใช้เงินลงทุนไม่สูงแต่มีกำไร  

"แนวโน้มผลการดำเนินงานปีนี้ ถือเป็นปีที่ดี ท่ามกลางโควิด-19ยังแพร่ระบาด ซึ่งบริษัทสามารถบริหารจัดการได้ดีต่อเนื่องจากปีก่อนและธุรกิจใหม่ๆทั้ง 5 ธุรกิจ นปีนี้สร้างเติบโตที่ดี  และการลงทุนพิจารณาลงทุธุรกิจใหม่จะช่วยต่อยอดและส่งเสริมให้ภาพรวมของบริษัทเติบโตยั่งยืนได้ โดยช่วงที่เหลือปีนี้ บริษัทยังมีความเป็นไปได้ท่ีจะมีดีลซื้อกิจการและร่วมลงทุน ในธุรกิจใหม่อื่นๆ ก็ยังมีการเจรจาหลายที่อยู่ต่อเนื่องตลอดเวลา"

นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า  พร้อมกันนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาและมีแผนที่จะเข้าซื้อกิจการธุรกิจขุดเจาะสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในแหล่งอื่นๆ เพิ่มเติมอีก โดยยังคงอยู่ในแทบทะเลเหนือ ประเทศนอร์เวย์ เพราะถือว่าเป็นแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่และมีต้นทุนการผลิตต่ำที่สุด

ในส่วนธุรกิจต้นน้ำ (Natural Resources Business) โดย บริษัท OKEA ซึ่งเป็นบริษัทที่สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P) ในนอร์เวย์ของกลุ่มบางจากฯ ที่ได้สิทธิ์สำรวจและพัฒนาในหลุมแหล่งใหม่ คือ Yme  คาดว่า จะมีน้ำมันหยดแรกจากบ่อ ช่วงเดือนก.ย.ถึงต้นเดือนต.ค.นี้  ทำให้มีกำลังการกลั่นเพิ่มอีก 5,000 บาร์เรลต่อวัน จากปัจจุบันที่ 10,000 บาร์เรลต่อวัน รวมเป็น  15,000 บาร์เรลต่อวัน

และในจังหวะน้ำมันอยู่ในระดับค่อนข้างสูงราว 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล  จะส่งผลให้ OKEA มีทั้งกระเงินสดและผลประกอบการแข็งแกร่งมากขึ้นในปีนี้และยังมีโอกาสเติบโต สร้างรายได้ที่ดีกลับมาให้บริษัท ปัจจุบันพอร์ต OKEA เป็นแก๊ส 50% และน้ำมันอีก 50%   

ด้านความคืบหน้าการนำ บริษัท บีบีจีไอ หรือ BBGI  ซึ่งเป็นธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ  คาดว่า ก.ล.ต.จะนับหนึ่งไฟลิ่งได้ ช่วงเดือนก.ย.นี้ และเข้าเทรดในตลาดได้ช่วงไตรมาส 1 ปี 2565 บริษัทตั้งเป้าอิบิทดาธุรกิจนี้ ที่ 50%ในปี2569