• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Ailie662

#3101
ให้ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับสถาณการ์โควิท สำหรับผู้ป่วยโควิท และ ประชาชนทั่วไป ร่วมกันช่วยเหลือคนที่ได้รับความเดือนร้อนจากโควิด19  ให้ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับสถาณการ์โควิท สำหรับผู้ป่วยโควิท และ ประชาชนทั่วไป

 ให้ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับสถาณการ์โควิท สำหรับผู้ป่วยโควิท และ ประชาชนทั่วไป ร่วมกันช่วยเหลือคนที่ได้รับความเดือนร้อนจากสถานการณ์โควิดได้ที่  www.jitasa.care

เว็บ JITASA.CARE จิตอาสาดูแลไทย (สำหรับอาสาสมัคร)  ร่วมกันช่วยเหลือคนที่ได้รับความเดือนร้อนจากโควิด19

เว็บ ร่วมกันช่วยเหลือคนที่ได้รับความเดือนร้อนจากโควิด19  ให้ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับสถาณการ์โควิท สำหรับผู้ป่วยโควิท และ ประชาชนทั่วไป
.
สายด่วนสถานการณ์โควิด-19, ข้อมูลการติดต่อหน่วยงานสถานการณ์โควิด (กรุงเทพมหานคร),แนวทางปฏิบัติในการแยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation),
แนวทางการจัดการศพผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19

และ ข้อมูลติดต่อฉุกเนิน ต่างๆเช่น

-สายด่วนกรมการแพทย์ ช่วยเหลือผู้ป่วยในการหาเตียง โทร 1668
-สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ สำหรับผู้ป่วยฉุกเฉินทันที /โทร 1669
-สายด่วน สปสช. ช่วยเหลือผู้ติดเชื้อที่ยังไม่ได้รับการดูแลรักษาในโรงพยาบาล โทร 1330
-ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน โทร 1111
-สบายดีบอต หาเตียง Line Official: https://bit.ly/Covid-SaBaiDee
-กรุงเทพมหานคร Line ID: @bkkcovid19connect หรือ https://bit.ly/Covid-BKK
-เราต้องรอด Facebook: www.facebook.com/savethailandsafe Line ID: @iwillsurvive หรือ https://bit.ly/ Covid-iwillsurvive
-โควิดติดล้อถึงเตียง Facebook: www.facebook.com/CC.Kontumngan


และข้อมูลอื่นๆ คลิก JITASA.CARE 

รายละเอียดเพิ่มเติม
https://pantipmart.com/?p=437


คำค้น
#ช่วยเหลือโควิท, #ร่วมกันช่วยเหลือคนเดือดร้อนจากโควิท19, สายด่วน สถานการณ์โควิด-19, ข้อมูลการติดต่อหน่วยงานสถานการณ์โควิด,
แนวทางปฏิบัติในการแยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation), แนวทางการจัดการศพผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19
#3102


โมเดอร์นา อิงค์ เปิดเผยในวันพฤหัสบดี (5 ส.ค.) ว่า วัคซีนโมเดอร์นา ยังคงประสิทธิภาพวัคซีนป้องกันโควิด-19 ประมาณ 93% หลังฉีดโดสแล้ว 4 - 6 เดือน หรือกล่าวได้ว่า แทบไม่เปลี่ยนแปลงตามที่เคยเผยผลทดลองทางคลินิกครั้งแรก 94% 

เมื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพวัคซีนคู่แข่ง อย่าง ไฟเซอร์ - ไบออนเทค ที่เผยผลการทดลองครั้งใหม่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ชี้ว่า วัคซีนไฟเซอร์มีประสิทธิภาพลดลงประมาณ 6% ในทุกๆ 2 เดือน หรือลดลงเหลือประมาณ 84% หลังจากที่ฉีดโดสสองแล้ว 6 เดือน 

วัคซีนโมเดอร์นากับวัคซีนไฟเซอร์ ทั้งคู่เป็นเทคโนโลยี messenger RNA (mRNA)

สเตฟาน บันเซล ซีอีโอของโมเดอร์นา กล่าวว่า วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของโมเดอร์นา กำลังแสดงให้เห็นประสิทธิภาพที่สูงถึง 93% ตลอด 6 เดือน แต่ตระหนักดีว่า สายพันธุ์เดลตาเป็นภัยคุกคามใหม่ที่สำคัญ ดังนั้นเราต้องระมัดระวังตัว 

อย่างไรก็ตาม บัลเซล แนะนำว่า จำเป็นต้องฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้นก่อนฤดูหนาว เนื่องจากระดับแอนติบอดีมีแนวโน้มลดลง 


นายบันเซล กล่าวว่า บริษัทจะไม่ผลิตวัคซีนโมเดอร์นา ไปมากกว่าที่บริษัทตั้งเป้าไว้ 800 - 1,000 ล้านโดสในปีนี้

"ขณะนี้ โมเดอร์นาจำกัดกำลังการผลิตในปี 2564 และเราจะไม่รับคำสั่งซื้อเพิ่มเติมสำหรับการส่งมอบวัคซีนโควิด-19 ในปี 2564" ซีอีโอโมเดอร์นา กล่าว

มีรายงานว่า วันนี้หุ้นโมเดอร์นาร่วงลง 3.6% สู่ระดับ 403.87 ดอลลาร์ ในการซื้อขายก่อนเปิดตลาดหลังจากปิดที่ 419.05 ดอลลาร์ในวันพุธที่ผ่านมา
#3103


นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า บริษัทฯ ขอแจ้งให้ทราบว่า ในวันที่ 5 ส.ค.2564 บริษัทฯ ในฐานะผู้ทำคำเสนอซื้อในการเข้าทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่เหลือทั้งหมดของ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH ได้ยื่นแบบรายงานผลการซื้อหลักทรัพย์ของ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (แบบ 256-2) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แล้ว

ตามที่ บริษัทฯ ได้ทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์โดยสมัครใจแบบมีเงื่อนไขก่อนการทำคำเสนอซื้อ (Conditional Voluntary Tender Offer) ของ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 2,599,720,233 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 81.07 ของหุ้นที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของกิจการ และคิดเป็น 81.07% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ (ไม่รวมหุ้นสามัญของกิจการที่ผู้ทำคำเสนอซื้อถืออยู่เป็นจำนวน 606,878,314 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 18.93% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของกิจการ) โดยมีกำหนดระยะเวลาการรับซื้อทั้งสิ้น 25 วันทำการ ตั้งแต่วันที่ 29 มิ.ย. - 4 ส.ค.2564 นั้น

เพื่อให้เป็นไปตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทจ. 12/2554 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ ลงวันที่ 13 พ.ค.2554 (รวมทั้งที่ได้แก้ไขเพิ่มเติม) ผู้ทำคำเสนอซื้อขอนำส่งแบบรายงานผลการซื้อหลักทรัพย์ของกิจการ (แบบ 256-2) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อทราบและเป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของกิจการในครั้งนี้

โดยหุ้นที่บริษัทฯ ถืออยู่ก่อนทำคำเสนอซื้ออยู่ที่ 606,878,314 หุ้น หรือ 18.93% หุ้นที่เสนอซื้อ 2,599,720,233 หุ้น หรือ 81.07% ส่วนหุ้นที่มีผู้แสดงเจตนาขายอยู่ที่ 747,874,638 หุ้น หรือ 23.32% ส่งผลให้หุ้นที่รับซื้อไว้อยู่ที่ 747,874,638 หุ้น หรือ 23.32% ดังนั้น จำนวนหลักทรัพย์ที่บริษัทฯ จะถือภายหลังการรับซื้อจะอยู่ที่ 1,354,752,952 หุ้น หรือ 42.25%

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ข้อมูลผู้ถือหุ้นใหญ่ INTUCH ณ วันที่ 23 ก.พ.2564 ได้แก่ 

1. SINGTEL GLOBAL INVESTMENT PTE. LTD. 673,348,264 หุ้น 21.00%

2. บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) 505,918,114 หุ้น 15.78%

3. บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 463,009,866 หุ้น 14.44%

4. THE HONGKONG AND SHANGHAI BANKING CORPORATION LIMITED 166,753,460 หุ้น 5.20%

5. SOUTH EAST ASIA UK (TYPE C) NOMINEES LIMITED 45,803,886 หุ้น 1.43%

6. สำนักงานประกันสังคม 43,645,100 หุ้น 1.36%

7. STATE STREET EUROPE LIMITED 33,219,794 หุ้น 1.04%

8. THE BANK OF NEW YORK MELLON 31,611,600 หุ้น 0.99%

9. นาย เพิ่มศักดิ์ เก่งมานะ 31,023,100 หุ้น 0.97%

10. GIC PRIVATE LIMITED 21,620,700 หุ้น 0.67%

ส่งผลให้ภายหลังเทนเดอร์ GULF จะขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นเบอร์ 1 ของ INTUCH
#3104


รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งว่า ได้รับรายงานการจำหน่าย หุ้นของ บริษัท โซลาร์ตรอน จำกัด (มหาชน) หรือ SOLAR โดยนายศึกษิต เพชรอำไพ ซึ่งเป็นการจำหน่าย เมื่อวันที่ 2 ส.ค.2564จำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่าย คิดเป็น 9.189% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ส่งผลให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่าย คิดเป็น 0% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

ส่วนจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่าย ของกลุ่มคิดเป็น 9.189% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ส่งผลให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่าย ของกลุ่มคิดเป็น 0% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

ทั้งนี้เป็นการทำธุรกรรมผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) และยื่นแบบรายงานต่อ ก.ล.ต.วันที่ 5 ส.ค. จำนวนหุ้นที่จำหน่าย 50 ล้านหุ้น หรือ 9.189%

นอกจากนี้ ก.ล.ต.ยังได้รับรายงานการจำหน่าย หุ้นของ บริษัท โซลาร์ตรอน จำกัด (มหาชน) โดยนายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ซึ่งเป็นการจำหน่าย เมื่อวันที่ 2 ส.ค.2564 จำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่าย คิดเป็น 5.5134% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ส่งผลให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่าย คิดเป็น 0.0029% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

ส่วนจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่าย ของกลุ่มคิดเป็น 5.5134% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ส่งผลให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่าย ของกลุ่มคิดเป็น 0.0029% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ
#3105


บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนเอไอเอ (ประเทศไทย) จำกัด นำโดย นายสุขวัฒน์ ประเสริฐยิ่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เป็นตัวแทนรับมอบรางวัล Best New Asset Management Company Thailand ประจำปี 2564 ในหมวด Fund & Asset Management Newcomer Awards จาก Global Banking & Finance Review สื่อการเงินการลงทุนชั้นนำแห่งประเทศอังกฤษ โดยรางวัลดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและความเชี่ยวชาญพร้อมด้วยประสบการณ์ในด้านการลงทุนของบลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) แม้จะเป็นบลจ. ใหม่ในอุตสาหกรรม โดย บลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) เป็นผุ้บริหารเงินลงทุนให้แก่กลุ่มบริษัท เอไอเอ ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทประกันชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในโลก[1] ผ่านความเชี่ยวชาญด้านการลงทุนใน 18 ประเทศทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เสริมด้วยเครือข่ายทางธุรกิจระดับโลก พร้อมทั้งพันธมิตรผู้จัดการกองทุนที่มีชื่อเสียงในระดับสากล

ทั้งนี้ บลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) เริ่มประกอบธุรกิจในปี พ.ศ. 2563 ถือหุ้นโดยกลุ่มบริษัทเอไอเอ ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลก ด้วยวิสัยทัศน์ที่ว่า "เราลงทุนเคียงข้างลูกค้า บริหารจัดการสินทรัพย์ผ่านความชำนาญและประสบการณ์ระดับโลก เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวให้กับผู้ลงทุน" ปัจจุบัน บลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารประมาณ 800,000 ล้านบาท อันรวมถึงกองทุนรวม และกองทุนส่วนบุคคล ซึ่งถือเป็นบลจ. ที่มีขนาดใหญ่ใน 5 อันดับแรกของอุตสาหกรรมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน[2] (ข้อมูล ณ เดือนพฤษภาคม 2564)
#3106


นายอัฏฐ์ ทองใหญ่ อัศวานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็กซ์สปริง ดิจิทัล จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทในฐานะผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัลในประเทศไทย (ICO Portal) ที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เตรียมเสนอขายโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนตัวแรกของไทย "สิริฮับ" หรือโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนสิริฮับ (SiriHub Investment Token) มูลค่าเสนอขาย 2,400 ล้านบาท โดยปัจจุบันได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต.ให้เสนอขายโทเคนดิจิทัลต่อประชาชนอย่างเป็นทางการแล้วในวันที่ 29 ก.ค.2564 ที่ผ่านมา โดยคาดว่าจะเปิดให้จองซื้อและเข้าซื้อขายบนตลาดรองภายในปีนี้

โครงการสิริฮับ เป็นการลงทุนในกระแสรายรับค่าเช่าของกลุ่มอาคารสำนักงาน สิริ แคมปัส ซึ่งมีบมจ.แสนสิริ (SIRI) เป็นผู้เช่าระยะยาวเต็มพื้นที่ 100% โดยโครงการดังกล่าวตั้งอยู่ภายในพื้นที่ T77 ของบริษัท เอสพีวี 77 จำกัด สัญญาเช่าระยะยาว 12 ปี ค่าเช่าปีละ 149.4 ล้านบาท ขณะที่โครงการเสนอขายโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนสิริฮับ มีอายุโครงการ 4 ปี ดังนั้นนักลงทุนจึงมั่นใจได้ว่าโครงการนี้จะมีรายรับที่ต่อเนื่อง


ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

สำหรับการเสนอขายโทเคนดิจิทัลในครั้งนี้ จะแบ่งเสนอขายทั้งหมด 2 ชุดอายุ ได้แก่ 1. สิริฮับ A (SiriHubA) จำนวน 160 ล้านโทเคน มูลค่า 1,600 ล้านบาท กำหนดส่วนแบ่งรายได้รายไตรมาสที่ 4.5% ต่อปี โดยนักลงทุนจะได้รับส่วนแบ่งรายได้จากการจำหน่ายทรัพย์สินเมื่อสิ้นสุดอายุโครงการจำนวนไม่เกิน 1,600 ล้านบาท 

2. สิริฮับ B (SiriHubB) จำนวน 80 ล้านโทเคน มูลค่า 800 ล้านบาท ส่วนแบ่งรายได้ 8% ต่อปี นักลงทุนจะได้รับส่วนแบ่งรายได้สูงถึง 8% ต่อปี และยังได้รับส่วนแบ่งรายได้จากการจำหน่ายทรัพย์สินโครงการเมื่อสิ้นสุดอายุโครงการเฉพาะส่วนเกิน 1,600 ล้านบาทเป็นต้นไป

การประเมินมูลค่าทรัพย์สินจากผู้ที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงาน ก.ล.ต. จำนวน 2 ราย คาดการณ์ว่าในอนาคตอีก 4 ปีข้างหน้า มูลค่าตลาดของโครงการนี้จะมีมูลค่าประมาณ 2,600 ล้านบาท

"เรากำหนดมูลค่าจองซื้อขั้นต่ำเพียง 10 บาทต่อ 1 โทเคน เพื่อกระจายโอกาสให้นักลงทุนทุกกลุ่มสามารถลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณภาพและมีมูลค่าโครงการระดับพันล้านบาทได้ ในขณะเดียวกันยังมีโอกาสได้รับส่วนแบ่งรายได้ที่ดีและสม่ำเสมอเป็นรายไตรมาส"

นายอัฏฐ์ กล่าวว่า ในการเสนอขายโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนสิริฮับครั้งนี้ ถูกรองรับด้วยเทคโนโลยีระบบบล็อกเชน (Blockchain) ของเทโซส (Tezos) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มบล็อกเชนที่ทันสมัยที่สุดถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการระดมทุนในรูปแบบของโทเคนดิจิทัลที่มีสินทรัพย์อ้างอิงโดยเฉพาะ ทำให้ระบบดังกล่าวมีความปลอดภัยสูง 

สำหรับรายละเอียดวันที่เปิดให้จองซื้อและวันที่เข้าซื้อขายในตลาดรอง บริษัทจะแจ้งให้นักลงทุนอีกครั้ง เพราะจะต้องได้รับการอนุมัติจากก.ล.ต.ให้แบบแสดงรายการข้อมูลเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) มีผลบังคับใช้ก่อน แต่เบื้องต้นนักลงทุนสามารถลงทะเบียนในแอพพลิเคชั่น "XSpring" ซึ่งเป็นช่องทางที่บริษัทจะเปิดให้จองซื้อโทเคนดิจิทัลได้แล้ววันนี้ ทั้งในระบบ iOS และ Android เพื่อเปิดบัญชีและยืนยันตัวตนใช้บริการ ซึ่งจะต้องผูกกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์(e-Wallet) ไว้สำหรับการรับเงินปันผล

ทั้งนี้คาดว่าจะเปิดให้จองซื้อประมาณ 10 วันทำการนับตั้งแต่วันที่เริ่มขาย แต่สามารถปิดขายได้ก่อนกำหนด หากกระจายได้ครบจำนวนแล้วและจะดำเนินการตั้งกองทรัสต์หลังจากปิดการขายภายใน 15 วันทำการ ก่อนจะนำโทเคนดังกล่าวเข้าไปซื้อขายในตลาดรองของพันธมิตรบริษัท อีอาร์เอ็กซ์ จำกัด ซึ่งเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับใบอนุญาตการประกอบธุรกิจเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลจากกระทรวงการคลัง และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. โดยอีอาร์เอ็กซ์จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลในตลาดรอง
#3107


นายวุฒิภูมิ จุฬางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOK เปิดเผยว่า ตามที่ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งให้บริษัทฯ ฟื้นฟูกิจการและแต่งตั้งผู้ทำแผนตามที่บริษัทเสนอเมื่อวันที่ 4 พ.ย.2563 และบริษัทได้นำส่งแผนฟื้นฟูกิจการในวันที่ 17 พ.ค.2564 แล้วนั้น บริษัทใคร่ขอรายงานว่า ในวันนี้ (4 ส.ค.) เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีการจัดการประชุมเจ้าหนี้ของบริษัทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และที่ประชุมได้มีมติตามมาตรา 90/46 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม)

โดยมีเจ้าหนี้ที่มีจำนวนหนี้รวมกันในสัดส่วนร้อยละ 76.72 ของจำนวนหนี้ของเจ้าหนี้ทั้งหมดที่เข้าร่วมประชุมและออกเสียงลงคะแนน ลงมติยอมรับแผนฟื้นฟูกิจการที่ผู้ทำแผนได้ยื่นต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เมื่อวันที่ 17 พ.ค.2564 และคำร้องขอแก้ไขแผนฟื้นฟูกิจการจำนวน 1 ฉบับที่บริษัทได้ยื่นต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์รัพย์เมื่อวันที่ 30 ก.ค.2564 ส่งผลให้บริษัทฯ จะมีผู้บริหารแผนที่ถูกนำเสนอดังนี้

1. นายวุฒิภูมิ จุฬางกูร

2. นายไต้ ชอง อี

3. นายปริญญา ไววัฒนา

4. นายชวลิต อัตถศาสตร์
#3108



ความหวังที่ว่าอุตสาหกรรมการบินทั่วโลกจะเริ่มฟื้นตัว เพราะหลายประเทศเริ่มเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนในประเทศ แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะดูเหมือนสายการบินอเมริกันหลายแห่งเริ่มมีรายได้เข้ามาแต่สายการบินในเอเชีย โดยเฉพาะสายการบินชั้นนำของญี่ปุ่นกลับขาดทุน

เว็บไซต์นิกเคอิ เอเชีย รายงานว่า สายการบินเจแปน แอร์ไลน์ (เจเอแอล)เผยตัวเลขขาดทุนสุทธิ 5.792 หมื่นล้านเยน (531 ล้านดอลลาร์) ในไตรมาสที่ 2/2564 สวนทางกับบรรดาสายการบินอเมริกันหลายแห่ง ทั้งเดลตา แอร์ไลน์ และอเมริกัน แอร์ไลน์ที่รายได้เพิ่มขึ้น

ถึงแม้เจเอแอลขาดทุนแต่ก็เป็นตัวเลขขาดทุนสุทธิที่ลดลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความพยายามลดต้นทุนของบริษัทโดยบริษัทเคยขาดทุนสูงถึง 9.371 หมื่นล้านเยนในไตรมาสที่ 2/2563 ซึ่งถือเป็นการขาดทุนมากที่สุดเมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส นับตั้งแต่บริษัทจดทะเบียนใหม่เมื่อปี 2555 ส่วนยอดขายขยายตัว 74.1% จากปีที่แล้ว อยู่ที่ 1.3303 แสนล้านเยน

อย่างไรก็ตาม เจเอแอลไม่ได้เปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ผลประกอบการสำหรับปีงบการเงิน 2564 โดยระบุถึงความไม่แน่นอนของธุรกิจ อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้การจราจรทางอากาศยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าระดับก่อนการแพร่ระบาด แต่จำนวนผู้โดยสารเที่ยวบินภายในประเทศและระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น ส่งผลให้รายได้ของสายการบินขยับขึ้น

ถึงอย่างนั้น เจเอแอลก็มองว่าสภาพแวดล้อมทางธุรกิจยังไม่น่าไว้วางใจ เนื่องจากผลกระทบที่ยืดเยื้อของวิกฤตสุขภาพทั่วโลก แต่มีความหวังมากขึ้นว่าธุรกิจการบินจะฟื้นตัวจากอุปสงค์ด้านการเดินทางภายในประเทศ และความคืบหน้าในการฉีดวัคซีน

จำนวนผู้โดยสารสำหรับเที่ยวบินภายในประเทศเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าอยู่ที่ 2.71 ล้านคนเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่อุปสงค์ด้านการเดินทางลดลง เนื่องจากญี่ปุ่นประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศ

แต่ไม่ได้มีแค่เจเอแอลเท่านั้นที่ประสบปัญหาในการสร้างรายได้และผลกำไร สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า สายการบินแควนตัส ของออสเตรเลียก็เจอปัญหาเช่นกันจากผลพวงของโรคโควิด-19 ทำให้สายการบินต้องปรับลดเที่ยวบินจากเดือนพ.ค. ซึ่งอยู่ที่เกือบ 100% ของระดับก่อนโควิด-19 แพร่ระบาด ลงเหลือน้อยกว่า 40% ในเดือนก.ค. เพราะมาตรการล็อกดาวน์ที่รัฐบาลออสเตรเลียประกาศเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของสายพันธุ์เดลตา

ซิดนีย์ ซึ่งเป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดของออสเตรเลียได้รับผลกระทบมากเป็นพิเศษจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส และคาดว่าทางการซิดนีย์จะยังคงใช้มาตรการล็อกดาวน์ต่อไปนานกว่า 3 สัปดาห์ ขณะที่หน่วยงานสาธารณสุขออสเตรเลียก็เร่งฉีดวัคซีนให้กับประชาชนอย่างรวดเร็วที่สุด

"ดูจากยอดผู้ติดเชื้อในขณะนี้ ผมคาดว่าซิดนีย์จะยังคงปิดพรมแดนต่อไปอย่างน้อย 2 เดือน" "อลัน จอยซ์" ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ)สายการบินแควนตัส กล่าว

นอกจากลดเที่ยวบินแล้ว แควนตัสยังตัดสินใจให้พนักงานประมาณ 2,500 คนพักงานเป็นเวลาอย่างน้อย 2 เดือนโดยงดจ่ายค่าตอบแทน

สายการบินระบุว่า การตัดสินใจครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อนักบินประจำเที่ยวบินภายในประเทศ พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน และพนักงานประจำท่าอากาศยานในรัฐนิวเซาท์เวลส์

ส่วนสายการบินยุโรปก็เจอชะตากรรมคล้ายกัน โดยอินเตอร์เนชั่นแนล แอร์ไลน์ส กรุ๊ป (ไอเอจี)บริษัทแม่ของบริติช แอร์เวย์ส รายงานตัวเลขขาดทุนหลังหักภาษีในไตรมาส2 อยู่ที่ 981 ล้านยูโร (1,160 ล้านดอลลาร์)โดยอ้างถึงผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19

สวนทางกับบรรดาสายการบินรายใหญ่ๆของสหรัฐที่มีอัตราการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนไปแล้ว 70% เริ่มส่งสัญญาณการฟื้นตัวให้เห็น โดยสายการบินรายใหญ่ 3 รายอันได้แก่ สายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์ เดลตา แอร์ไลน์ และอเมริกัน แอร์ไลน์มีกำไรสุทธิรวมกัน 237 ล้านดอลลาร์สำหรับไตรมาสล่าสุด โดยสายการบินสองรายสุดท้ายมีกำไรเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2563 ​

ผลกำไรของสายการบินชั้นนำทั้งสามแห่งเป็นผลมาจากการเดินทางภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยผู้โดยสารในสหรัฐใช้บริการเที่ยวบินในประเทศเดือนมิ.ย.ปี 2562 เพิ่มขึ้นเป็น 85% เทียบกับในญี่ปุ่นที่มีสัดส่วนเพียง 32%

ขณะที่สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ(ไออาต้า)ระบุว่า การจราจรทางอากาศระหว่างประเทศในยุโรป ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเที่ยวบินข้ามพรมแดนระยะสั้นๆมีสัดส่วนแค่ 31% ของจำนวนเที่ยวบินข้ามพรมแดนเมื่อสองปีก่อน
#3109


วัคซีนโควิด-19 ของซิโนแวค มีประสิทธิภาพ 58.5% ในการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 แบบแสดงอาการในประชาชนชาวชิลีที่ได้รับวัคซีนระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงกรกฎาคม จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขชิลีในวันอังคาร (3 ส.ค.) ขณะที่ไฟเซอร์มีประสิทธิภาพ 87.7% และแอสตร้าเซนเนก้า มีประสิทธิภาพ 68.7% แต่สุดท้ายเชื่อว่าวัคซีนทุกตัวคงต้องฉีดเข็ม 3 รับมือกับตัวกลายพันธุ์เดลตา

ตัวเลขดังกล่าวเป็นข้อมูลล่าสุดที่เผยแพร่โดยกระทรวงสาธารณสุข เกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนต่างๆ จากการใช้งานจริงกับประชาชนชาวชิลี

ชิลีเป็นหนึ่งในชาติที่เริ่มโครงการฉีดวัคซีนแก่ประชาชนรวดเร็วที่สุดในโลก โดยพวกเขาเริ่มฉีดวัคซีนแก่ประชาชนในเดือนธันวาคม และเวลานี้มีประชาชนชาวชิลีที่ฉีดวัคซีนครบถ้วนแล้วคิดเป็นสัดส่วนกว่า 60% ของจำนวนประชากร ส่วนใหญ่ฉีดวัคซีนโคโรนาแวค ของบริษัทสัญชาติจีน "ซิโนแวค"

นายแพทย์ราฟาเอล อาราออส เจ้าหน้าที่สาธารณสุขกล่าวระหว่างแถลงข่าวในวันอังคาร (3 ส.ค.) ว่าวัคซีนโคโรนาแวค มีประสิทธิภาพป้องกันการติดเชื้อเข้าโรงพยาบาล 86% ป้องกันการป่วยหนักถึงขึ้นเข้าห้องไอซียู 89.7% และป้องกันการเสียชีวิต 86% ในบรรดาประชาชนที่ฉีดวัคซีนระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนกรกฎาคม

ในเดือนเมษายน ผลการศึกษาเดียวกันพบว่าโคโรนาแวค มีประสิทธิภาพป้องกันการติดเชื้อแบบแสดงอาการ 67% ป้องกันการติดเชื้อเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล 85% และป้องกันการเสียชีวิต 80% จากตัวเลขดังกล่าวบ่งชี้ว่าพอเวลาผ่านไปมันยังคงมีประสิทธิภาพระดับสูงในการป้องกันการป่วยหนัก แต่ประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อแบบแสดงอาการลดลง

อาราออส ระบุว่า พอเวลาผ่านไป ประสิทธิภาพการป้องกันที่ลดลงของวัคซีนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะการคืบคลานเข้ามาและอัตราความชุกของตัวกลายพันธุ์ต่างๆ อย่างเช่นตัวกลายพันธุ์เดลตา

"ถ้าเดลตาแพร่ระบาดมากกว่านี้และวัคซีนก่อการตอบสนองที่อ่อนแอลง เราอาจได้เห็นประสิทธิภาพของวัคซีนลดลงเร็วกว่านี้" เขากล่าว พร้อมส่งเสียงเรียกร้องขอวัคซีนเข็มที่ 3 หรือวัคซีนเข็มกระตุ้น ที่เป็นประเด็นถกเถียงกันในเวลานี้

รัฐบาลยังเผยแพร่ข้อมูลประสิทธิภาพของวัคซีนตัวอื่นๆ ที่ฉีดในชิลี ได้แก่ ไฟเซอร์/ไบออนเทค และแอสตร้าเซนเนก้า

นายแพทย์อาราออส ระบุว่า วัคซีนของไฟเซอร์ มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อแบบแสดงอาการ 87.7% ในช่วงเวลาเดียวกัน มีประสิทธิภาพป้องกันการติดเชื้ออาการหนักเข้าห้องไอซียู 98% และป้องกันการเสียชีวิต 100%

ส่วนวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า มีประสิทธิภาพป้องกันการติดเชื้อแบบแสดงอาการ 68.7% ในช่วงเวลาเดียวกัน มีประสิทธิภาพป้องกันการติดเชื้ออาการหนักเข้าห้องไอซียู 98% และป้องกันการเสียชีวิต 100% เช่นกัน จากการเปิดเผยของอาราออส

การศึกษาของชิลี เป็นการศึกษาประสิทธิภาพของวัคซีนในกลุ่มประชากรต่างๆ ที่ทั้งได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว ได้รับ 1 เข็ม หรือยังไม่ได้ฉีดวัคซีน

อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่าในการวิจัยนั้น วัคซีนซิโนแวคมีกลุ่มประชากรเป็นส่วนหนึ่งในการศึกษามากถึง 8.6 ล้านคน ไฟเซอร์/ไบออนเทค ใช้กลุ่มประชากร 4.5 ล้านคน และแอสตร้าเซนเนก้า ศึกษาประสิทธิภาพของวัคซีนจากประชาชน 2.3 ล้านราย

(ที่มา : รอยเตอร์)
#3110


สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ก.ล.ต. แจ้งให้ บมจ.ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป (THG) และนายบุญ วนาสิน ชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับการเซ็นสัญญากับกระทรวงกลาโหมเพื่อนำเข้าวัคซีนไฟเซอร์ รวมถึงการเสียเงินมัดจำจำนวน 500-600 ล้านบาท จากการผิดเงื่อนไขของสัญญา

สืบเนื่องจากนายบุญ ในฐานะประธานกรรมการ THG ให้ข่าวผ่านสื่อเมื่อวันที่ 3 ส.ค.2564 ว่า ภายในสัปดาห์นี้จะมีการเซ็นสัญญากับกระทรวงกลาโหมที่เป็นหน่วยงานนำเข้าวัคซีนไฟเซอร์ ต่อมาในวันเดียวกัน โฆษกกระทรวงกลาโหมได้ออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าวและยืนยันว่า ขณะนี้กระทรวงกลาโหมและหน่วยงานในสังกัดยังไม่มีแผนหรือความตกลงร่วมกับหน่วยงานภาคเอกชนใดๆ ในการสั่งซื้อหรือนำเข้าวัคซีนไฟเซอร์แต่อย่างใด นอกจากนี้ นายบุญ ยังกล่าวถึงการที่ต้องเสียเงินมัดจำเป็นจำนวน 500-600 ล้านบาท เนื่องจากผิดเงื่อนไขของสัญญาด้วย

ก.ล.ต. เห็นว่าเนื่องจากข้อเท็จจริงดังกล่าวมีความขัดแย้งกัน ซึ่งอาจก่อให้เกิดความสำคัญผิด และอาจมีผลกระทบต่อสิทธิประโยชน์ของผู้ถือหุ้นหรือต่อการตัดสินใจลงทุนหรือต่อการเปลี่ยนแปลงในราคาหลักทรัพย์ ก.ล.ต. จึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 58 (1) และ (2) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ให้ THG และนายบุญ ชี้แจงข้อมูลที่เกี่ยวข้องภายใน 7 วันนับแต่วันที่ 4 ส.ค.2564 พร้อมทั้งให้ THG เปิดเผยคำชี้แจงผ่านระบบของตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วย

ทั้งนี้ ก.ล.ต. ได้มีหนังสือ 2 ฉบับถึงประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ THG และนายบุญ วนาสิน ในฐานะประธานกรรมการของ THG ให้ชี้แจงกรณีดังกล่าว เมื่อช่วงเช้าวันที่ 4 ส.ค.2564

ด้านราคาหุ้น THG เมื่อเวลา 10.14 น. อยู่ที่ระดับ 28.50 บาท ลดลง 2.25 บาท หรือเปลี่ยนแปลง 7.32% มูลค่าการซื้อขาย 76.8 ล้านบาท
#3111


นายอภิชาติ ชโยภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัท ท่าเรือราชาเฟอร์รี่ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) ซึ่งเป็นการประชุมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ตามมาตรการด้านความปลอดภัยภายใต้การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ที่ประชุมมีมติเห็นชอบอนุมัติการก่อสร้างโครงการท่าเทียบเรือเฟอร์รี่เกาะพะลวย โดยว่าจ้างบริษัท เดอะซีบอร์ด ดี แอนด์ ซี จำกัด เป็นผู้รับเหมาดำเนินการก่อสร้างท่าเทียบเรือเกาะพะลวย จำนวน 2 ท่าเทียบ จะเริ่มเดินหน้าก่อสร้างได้ช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ และคาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี 2565


"เชื่อว่าการก่อสร้างท่าเรือเกาะพะลวยจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้กับบริษัทฯ เนื่องจากเกาะพะลวยเป็นหมู่เกาะที่อยู่ใกล้อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นที่รู้จักดี ปกติจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาปีละไม่ต่ำกว่า 5-6 แสนคน และเกาะพะลวยยังเป็นเกาะพลังงานต้นแบบที่สามารถต่อยอดไปธุรกิจอื่นๆ ได้ มีลักษณะคล้ายกับเกาะพะงันเมื่อก่อน" นายอภิชาติ กล่าว



สำหรับโครงการก่อสร้างท่าเรือเกาะพะลวยขนาดไม่เกิน 500 ตันกรอส 2 ท่าเทียบ ได้ทำการเปิดยื่นซองประมูลไปก่อนหน้านี้ และล่าสุดบอร์ดบริษัทได้อนุมัติว่าจ้างให้บริษัท เดอะซีบอร์ด ดี แอนด์ ซี จำกัด เป็นผู้รับเหมาในการดำเนินการก่อสร้าง คาดใช้เวลาในการก่อสร้างประมาณ 14 เดือน หรือจะแล้วเสร็จช่วงปลายปี 2565

ขณะเดียวกันก็ได้มีการแจ้งในที่ประชุมว่า บริษัทฯ กำลังศึกษาเรื่องของการทำสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) ในรูปของการรับชำระค่าบริการเป็นเงินสกุลดิจิทัล (Crypto Currency) และ Token Utility แบบพร้อมใช้ เพื่อรองรับกระแสสังคมไร้เงินสด และยังเป็นการขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ อีกทั้งยังเป็นเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในอนาคตอันใกล้

นายอภิชาติ กล่าวว่า การลงทุนก่อสร้างท่าเรือเกาะพะลวยเพิ่ม หลังจากสร้างท่าเทียบเรือ 2 ท่า ที่ท่าเรือดอนสัก (ท่า4-5) ในภาวะที่ธุรกิจมีความท้าทายจากความไม่แน่นอนของปัจจัยต่างๆ เป็นการตัดสินใจที่ถูกทาง เพราะนำมาซึ่งการเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจในอนาคต นอกจากนี้ ยังได้พิจารณาอย่างรอบคอบ รอบด้านและรัดกุม ภายใต้ความเสี่ยงที่นำมาพิจารณาอย่างเข้มงวดแล้ว
#3112


โบรกฯ มองแนวโน้มดัชนีเช้าแกว่งไซด์เวย์อิงลงรับขยายล็อกดาวน์ ห่วงกระทบ ศก.-กำไร บจ. และในทางเทคนิคมีสัญญาณเป็นลบหลังจากที่ดัชนีหลุดแนว 1,530 จุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา จึงมีโอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวลงต่อได้

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่ง Sideway ถึง Sideway Down จากความกังวลสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในประเทศจำนวนผู้ติดเชื้อยังสูงต่อเนื่อง ทำให้ภาครัฐขยายพื้นที่สีแดงเข้มออกไปเป็น 29 จังหวัด จากเดิม 13 จังหวัด และขยายระยะเวลาล็อกดาวน์ไปจนถึงสิ้นเดือน ส.ค.นี้ เชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ และกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.)

นอกจากนี้ ในทางเทคนิคมีสัญญาณเป็นลบหลังจากที่ดัชนีหลุดแนว 1,530 จุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา จึงมีโอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวลงต่อได้ ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้รีบาวนด์ได้เล็กน้อยราว 0.2-0.3% แต่ตลาดบ้านเราน่าจะอ่อนกว่าภูมิภาค

แนะนำติดตามดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือน ก.ค.ของสหรัฐฯ วันนี้ การประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) วันที่ 5 ส.ค. ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ศุกร์นี้ ส่วนบ้านเราติดตามการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันพุธนี้

พร้อมให้แนวรับ 1,510-1,500 จุด ส่วนแนวต้าน 1,530-1,540 จุด
#3113


เป็นระยะเวลา 16 เดือนแล้ว ที่วิกฤติโควิด-19 ยังอยู่กับคนทั้งโลก รวมถึงประเทศไทย และสร้างความเสียหายต่อสุขภาพ ประชากรกว่า 198 ล้านคนต้องติดเชื้อไวรัส และกว่า 4.2 ล้านคนต้องเสียชีวิต

ส่วนประเทศไทย ผู้ติดเชื้อล่าสุด ณ วันที่ 1 สิงหาคม ยอดพุ่งทยานแตะ 18,000 ราย และเสียชีวิตเพิ่ม 133 ราย จนรัฐต้องประกาศขยายพื้นที่สีแดงเข้มเพิ่ม 16 จังหวัด เป็น 29 จังหวัด พร้อมยืดระยะเวลา "ล็อกดาวน์" ออกไปอีก 14 วัน เพื่อบริหารจัดการการแพร่ระบาดของไวรัส 

ความสูญเสียครั้งนี้ไม่จำกัดวงแค่สุขภาพ แต่ทำลายล้าง "เศรษฐกิจ" หรือจีดีพีของทั้งโลกและไทยกลายเป็นบาดแผลฉกรรจ์ ซึ่งความหวังเดียวที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องถึงการกู้ชีพจรเศรษฐกิจได้ ต้องแก้ที่ต้นตอ นั่นคือการ "ฉีดวัคซีน" โดยเร็วและทั่วถึง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ เมื่อคนแข็งแรง ย่อมมีพลังไปพลิกฟื้นเรื่องปากท้องได้อีกครั้ง 

ประเทศไทยมี "เครื่องยนต์" สำคัญที่ขับเคลื่อนการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ จากอุตสาหกรรมหลายเซ็กเตอร์ แต่หนึ่ง "ฮีโร่" ต้องมี "อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว" อยู่ในทำเนียบ เพราะไม่เพียงดึงดูดนักเดินทางจากทั่วโลกมาเยือน ยังสร้างรายได้มหาศาล โดยปี 2562 ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวเยือนไทยร่วม 40 ล้านคน ทำเงินให้ประเทศมูลค่าราว 3 ล้านล้านบาท หรือเกือบ 20% ของจีดีพี 

ทว่า นับต้ังแต่วินาทีที่โรคระบาดลามโลก ได้ "ชัตดาวน์" เศรษฐกิจทุกประเทศ และ "ดับเครื่องยนต์" เซ็กเตอร์ "การท่องเที่ยว" ให้จอดสนิท ทั้งห่วงโซ่ธุรกิจเสียหายสาหัส โรงแรมปิดให้บริการ สายการบินต้องหยุดบิน ทำให้ขาด "รายรับ" แต่ต้อง "แบกภาระรายจ่าย" รอบด้านทำให้ผู้ประกอบการต้อง "ขาดทุน" 

ส่วน "แรงงาน" ในภาคการท่องเที่ยวนับ "ล้านคน" ต้องตกงาน ว่างงาน หยุดงานโดยไม่ได้รับเงินเดือน ฯ ท่ามกลางสถานการณ์เลวร้าย เชื่อว่าไม่มีใครปล่อยให้วิกฤติครั้งนี้ผ่านไปอย่างไร้ค่า ดั่งที่อดีตนายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร "เซอร์วินสตัน เชอร์ชิล" เคยทิ้งวรรคทองให้โลกจำ "Never let a good crisis go to waste."  

"เนชั่น ทีวี ช่อง 22" จัดฟอรั่มออนไลน์ หยิบหัวข้อ "ไทยพร้อม...เปิดประเทศ ฟื้นท่องเที่ยว" เชิญตัวแทนภาครัฐ เอกชน ภาคการท่องเที่ยวมาช่วยระดมสมองเพื่อพลิกฟื้นท่องเที่ยวระยะสั้น และปลดล็อกกับดักดีใจกับ "ตัวเลข" นักท่องเที่ยวปีละหลายสิบล้าน สู่การแสวงหาโอกาส ตลาด นักเดินทางกลุ่มใหม่หลังโควิด-19 คลี่คลาย

++กล้าปลดล็อกอุปสรรค

แก้ "คอขวด" ท่องเที่ยว

วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ไทยควรใช้ห้วงเวลาที่โรคโควิดระบาดซ่อมบ้านหรือปรับปรุงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้ดี ไม่ใช่แค่จังหวัดที่มีเศรษฐกิจอิงการท่องเที่ยวหรือเมืองหลัก แต่ต้องขยายสู่เมืองรองด้วย ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงทางเดิน ชายหาด ฯ  

 นอกจากนี้ ท่ามกลางการบริหารจัดการไวรัส มีการกระจายฉีดวัคซีน จึงเห็นว่าการเปิดเผยข้อมูลด้านสาธารณสุขต้องกระจ่างแจ้งเพื่อสร้างความสบายใจให้กับทุกฝ่าย เพราะนาทีนี้ วัคซีนเป็นทรัพยากรหายาก และเงินงบประมาณที่นำไปใช้จ่ายมีอยู่จำกัด 

ขณะเดียวถึงเวลาที่ทุกฝ่ายต้องมี "ความกล้า" ในการแก้ไขกฏระเบียบที่เป็น "คอขวด" กติกาที่เป็นอุปสรรค สร้างความไม่สะดวก ช่วยลดภาระให้กับประชาชน ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งตอนนี้ใช้ชีวิตยากลำบากอยู่แล้ว

"ใช้วิกฤติให้เกิดโอกาสใหม่ ต้องกล้าผ่าตัด รื้อกฎระเบียบ ใช้ปากกาแก้ไขกฎกระทรวง ค่าธรรมเนียมต่างๆ ตอนนี้มีประชุมเยอะ ก็ประชุมออนไลน์ซะ"   

ส่วนการปั๊มชีพจรผู้ประกอบการท่องเที่ยวระยะสั้น รัฐควรพิจารณากระบวนการให้สินเชื่อของสถาบันการเงินต่างๆ จากปีก่อนพูดไม่ถนัด เพราะยังไม่เห็นผลประกอบการธนาคารพาณิชย์ที่ยังทำ "กำไรมาก" 

"ตอนนี้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวกำลังอ่อนแอ หลังจมน้ำมานาน แต่การพิจารณาให้สินเชื่อสามารถช่วยคนที่กำลังขึ้นจากน้ำ และดึงผู้ประกอบการในห่วงโซ่หรือซัพพลายเชนให้พ้นน้ำได้ทั้งระบบ"  


++4D คัมภีร์ดึงดูดนักเดินทาง

ศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร รองผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) ฉายภาพธุรกิจท่องเที่ยวของไทยที่ผ่านมา ผู้ประกอบการมีความสุขกับตัวเลขนักท่องเที่ยวร่วม 40 ล้านคนต่อปี แต่โลกภายใต้โควิด ยากจะเห็นจำนวนคนมากมายเดินทางเช่นเดิม เพราะผ่านพ้นครึ่งปีแรก นักท่องเที่ยวมาไทยกว่า 34,000 คนเท่านั้น หลังเปิดโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ อ้าแขนรับนักเดินทางไปเกือบครึ่งหนึ่ง 


นอกจากนี้ โลกวิถีปกติใหม่(New Normal) แผนการเดินทางของนักท่องเที่ยวไม่เหมือนเดิม เพราะการจองทริปเกิดขึ้นในเวลาอันสั้น ไม่เตรียมการนานเหมือนในอดีต เพราะมีเงื่อนไขสถานการณ์โรคระบาดของแต่ละประเทศให้ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ตัวเลขผู้ติดเชื้อ ผู้เสียชีวิต มีผลต่อตารางการท่องเที่ยวทั้งสิ้น 

ท่ามกลางตัวแปรที่หลากหลาย แต่ภารกิจของททท. คือต้องผลักดันอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยให้เติบโต จึงผ่อนเกียร์ในการขับเคลื่อนเครื่องยนต์การท่องเที่ยวไม่ได้ มุ่งผนึกกับสำนักงานทั้ง 29 ประเทศ ดึงนักเดินทางให้กลับมาเยือนไทย สื่อสารให้เข้าใจไทยมีภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ พัก อาศัย เที่ยวในเกาะได้ หากอยู่ครบตามเงื่อนไข ไร้ความเสี่ยงโรคระบาด อาจได้ขยายพื้นที่เที่ยวยังจุดอื่นๆได้ขึ้นภายใต้สถานการณ์และการควบคุมโรคระบาด  

ขณะที่การทำตลาดจะยึดสูตรเดิมไม่ได้ เพราะพฤติกรรมนักท่องเที่ยวเปลี่ยน จึงต้องปรับตัวเข้ากับกลุ่มเป้าหมาย คัมภีร์ 4D ลุยตลาด ได้แก่ Demand ผู้ประกอบการต้องฟังความต้องการของนักท่องเที่ยวให้มากขึ้น รวมถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย(Stakeholders)ที่ทำงานร่วมกัน อย่างยุคนี้มาเที่ยวโรงแรม ที่พักต่างๆต้องปลอดภัย เมื่อมาต้องตรวจเชื้อโควิด-19 ทำให้กินเวลานานขึ้น มีผลต่อเวลาเช็คอิน เช็คเอาท์ จึงต้องปรับให้เหมาะสม ไม่ยึดกฏเหล็กนับ 24 ชั่วโมง เช่น หากมาเช็คอิน 08.00 น. แล้วต้องเช็คเอาท์ เวลาใกล้เคียงกัน แขกเข้าพักต้องตื่นเช้าเพื่อออกจากโรงแรม อดมื้อเช้า เหล่านี้ต้องยืดหยุ่นได้ อย่าคำนึงถึงแค่ผลทางธุรกิจ

"กลยุทธ์เดิมอาจพัฒนาสินค้าดีขึ้นห้างขาย ประเทศไทยสวยหล่อเลือกได้ นักท่องเที่ยวมาเยือน 40 ล้านคน Enjoy มานาน แต่ยุคนี้ต้อง Demand Driven ทำตลาดต้องฟังเสียงลูกค้า ตอนนี้นักท่องเที่ยวพาครอบครัว คนรักมาเที่ยวจะมองหาสถานที่เที่ยวแล้วมั่นใจ ปลอดภัย"

Data Driven ข้อมูลขับเคลื่อนธุรกิจ ทำตลาดต้องรู้สถานการณ์แต่ละประเทศมีเงื่อนไขเกี่ยวกับโรคโควิด-19 อย่างไร ไทยอยู่ในโซนสีไหนของแต่ละประเทศ เพราะมีผลต่อการพัก กักตัวของนักท่องเที่ยวเมื่อกลับประเทศเหล่านั้น Digital โรคระบาดเป็นปัจจัยเร่งให้ดิจิทัลทรงพลังมากขึ้นและเปลี่ยนทุกสิ่งทั้งการติดต่อกัน อีเวนท์แบบกายภาพหรือ Physical ลดลง หากนักท่องเที่ยวไม่ต้องการใช้จ่ายเงินสด โรงแรมที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ต้องมีเทคโนโลยี บริการอิเล็กทรอนิกส์รองรับ และควรใช้เวลานี้ปรับตัวให้ทันการเปลี่ยนแปลง เพราะยังมีเวลาก่อนนักเดินทางกลับมาเยือนไทยอีกครั้ง

  Domestic กลับมาพึ่งการตลาดในประเทศ เมื่อคนไทยหยุดเชื้อเพพื่อชาติเป็นเวลานาน หากนโยบายเปิดประเทศ สถานการณ์โควิดคลี่คลาย การกระตุ้นให้คนไทยเดินทางท่องเที่ยวทั่วไทย เป็นกลไกฟื้นเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้ "จีน" เป็นกรณีศึกษาน่าสนใจ เมื่อรัฐยังไม่ให้เดินทางออกนอกประเทศ ประชากรจำนวนมากเดินทางเที่ยวในประเทศทำสถิติเท่ากับปี 2562 การพักที่จุดหมายปลายทางต่างๆนานขึ้น เช่น ไปมาเก๊า 5 วัน จากปกติ 1-2 วันเท่านั้น 

++ เที่ยวเชิงสุขภาพ 

New S-Curve เติบโต   

อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทย อดีตเคยมีนักท่องเที่ยวเชิงคุณภาพจากยุโรป สหรัฐฯ เข้ามาพักผ่อนเป็นเวลาหลายวัน กระทั่ง "มังกรผงาด" จีนยุคใหม่ต่างพากันตบเท้าออกนอกประเทศเพื่อชมโลกกว้าง ไม่เพียงเท่านั้น ยุคโลกไร้พรมแดน ทำให้มีนักท่องเที่ยวอิสระ(FIT)ทั่วทุกมุมโลกออกเดินทางมากขึ้น ทำให้กลุ่มเป้าหมายของแต่ละตลาดเปลี่ยน รวมถึงไทยที่เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจีนหลั่งไหลมามหาศาล 

ทว่า จากนี้ไปตัวเลข ไม่ใช่เป้าหมายสำคัญสุดอีกต่อไป เพราะผู้ประกอบการตีโจทย์ใหม่ ป้องกันความเสี่ยงจากตลาดเดียว และขยายตลาดเพิ่มขุมทรัพย์รายได้ ซึ่งหลายส่วนเห็นพ้องว่าหลังโรคโควิดระบาด การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) รวมถึง การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์(Medical Tourism) จะมีบทบาทยิ่งขึ้น 

กิตติศักดิ์ ปัทมะเสวี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจมนทาระ ฮอสพิตาลิตี้ กรุ๊ป ผู้บริหาร ตรีสรา รีสอร์ต ภูเก็ต หยิบข้อมูลย้อนหลังปี 2560 การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพทั่วโลกมีมูลค่าถึง 6.4 แสนล้านดอลลาร์ ขนาดใหญ่กว่าจีดีพีไทยมาก และมีอัตราการเติบโตราว 7% ขยายตัวเร็วกว่าเศรษฐกิจหลายประเทศด้วยซ้ำ 

ทั้งนี้ หากธุรกิจท่องเที่ยว โดยเฉพาะจังหวัดภูเก็ตที่พึ่งพาชาวต่างชาติจำนวนมาก โดยเฉพาะจีน รัสเซีย ซึ่งยังไม่กลับมาในเร็วๆนี้ ทำให้ต้องปรับตัวหาตลาดใหม่ เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาวให้ได้

นอกจากนี้ การติดตามสถานการณ์โรคระบาด และศึกษาข้อมูลต่างๆ ทำให้กรณีที่น่าสนใจ อย่างสหรัฐฯ มีผู้ป่วยนับล้าน หากไม่มีโรคเรื้อรังอัตราการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล 14% หากมีโรคเรื้อรัง อัตราจะเพิ่มเป็น 45% หรือราว 3 เท่าตัว และมีผลต่อการเสียชีวิตจาก 5% เป็น 20% หรือเพิ่ม 4 เท่าตัว ผลกระทบไม่ได้เกิดกับร่างกายเท่านั้น แต่มีผลต่อสภาพจิตใจของคนในครอบครัวด้วย 

ขณะที่พฤติกรรมการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพยังสูง 2-4 เท่าตัว และใช้เวลาทำกิจกรรม พักผ่อนยาวนานเมื่อเทียบกับนักท่องเที่ยวทั่วไป ส่วนการเดินทางยังไปพร้อมครอบครัว พ่อแม่ ลูกฯ 

"โควิดทำให้คนตระหนักเรื่องสุขภาพ และกระตุ้นตลาดความต้องการตลาดสุขภาพทั่วโลก wellness tourism จึงเป็นโอกาสในวิกฤติ" 

ทั้งนี้ บริษัทจึงพัฒนาโครงการ "ตรีวนันดา" บนพื้นที่ 600ไร่ มีโซนที่พักอาศัย และรีสอร์ท รองรับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพครอบคลุมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ โดยจุดเด่นโครงการไม่เพียงรองรับนักท่องเที่ยว แต่ยังตอบโจทย์การลงทุนด้วย เพื่อให้ลูกค้าที่ลงทุนสามารถปล่อยเช่าได้ผลตอบแทน ซึ่งคาดว่าจะช่วยดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศให้กลับเข้ามาลงทุนส่งเสริมเครื่องยนต์เศรษฐกิจภูเก็ตและประเทศต่อไป

"ระยะยาว Wellness Tourism ตอบโจทย์การผลักดันอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยให้เติบโตในอนาคต เพราะคนทัวโลกต้องการมีสุขภาพดี ประเทศไทยมีทรัพยากร วัฒนธรรม บุคลากรตอบโจทย์" 

 ศิริญา เทพเจริญ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด บริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) เห็นพ้องว่า การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ถือเป็นปัจจัยสร้างการเติบโตใหม่หรือ New S-Curve ของภาคท่องเที่ยว เพราะโควิด-19 ทำให้ผู้คนต้องรักษาชีวิต รักสุขภาพ หันมาสร้างภูมิป้องกันโรคต่างๆมากขึ้น 


หากมองดูประเทศไทย มีจุดแข็งมากมายที่ตอบโจทย์ด้านสุขภาพ ทั้งมีทรัพยากรสมุนไพร การปลดล็อกกัญชาเพื่อทางการแพทย์ และเชิงพาณิชย์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ บริษัทนำไปต่อยอดในโครงการมายโอโซน เพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจชุมชนเติบโต ยกระดับเป็นจุดหมายปลายทางของนักเดินทางเหมือนการไปดื่มไวน์ณ เมืองต่างๆในประเทศฝรั่งเศส 

"โควิดทำให้คนโหยหามากสุดคือสุขภาพ เพราะมีเงินก็ตาย ขณะที่การส่งเสริมท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เมดิคัล ฮับต่างๆ ไม่ยาก เพราะไทยมีจุดแข็งอยู่แล้ว หากทำได้เชื่อว่าเศรษฐกิจจะฟื้นกลับมาเร็ว"

พัลลภ แซ่จิว ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ธุรกิจท่องเที่ยวเชียงใหม่จะยั่งยืน ต้องหันพึ่งพาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และไม่แค่การรักษาพยาบาล แต่มองถึงการเป็นแหล่ง "ดิจิทัล ดีท็อกซ์" ใช้พื้นที่อับสัญญาณโทรศัพท์ พัฒนารีสอร์ท เพื่อให้นักเดินทางมาปรับคุณภาพชีวิต กลับมาตั้งสติมากขึ้น 

นอกจากนี้ จะยกระดับการท่องเที่ยวเชิงอาหาร Agro Gastronomy เชื่อมโยงการเกษตรกับอาหารแบบครบวงจร มีลายแทงร้านเด็ดดี ปราศจากสารเคมี ดึงนักเดินทางให้มาเที่ยวแล้วได้เรียนรู้ศาสตร์การทำอาหารที่ดีต่อสุขภาพติดตัวกลับไป เป็นต้น  

ภูเก็ต จุดหมายปลายทางท่องเที่ยวสำคัญของไทย แต่ละปีโกยนักเดินทางจำนวนมาก เศรษฐกิจท้องถิ่น 95% พึ่งพาการท่องเที่ยว แต่โควิดทำให้ต้องคิดใหม่ ภูมิกิตติ์ รักแต่งาม นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต บอกว่า ระยะยาวการฟื้นเศรษฐกิจภูเก็ต ต้องไม่ยึดติดกับท่องเที่ยว ต้องสร้างเครื่องยนต์ใหม่ เช่น การท่องเที่ยวเชิงกีฬา การศึกษา สมาร์ทซิตี้ฯ เพื่อกระจายความเสี่ยง แต่ยอมรับว่าจะก้าวไปสู่จุดดังกล่าว เป็นความท้าทายอย่างมาก เพราะต้องใช้งบประมาณจำนวนไม่น้อย พัฒนาระบบขนส่ง ดูแลการท่องเที่ยว และสิ่งแวดล้อมให้ดี

"เพื่อไม่ต้องพึ่งพางบประมาณภาครัฐ  ควรหานวัตกรรมทางการเงินเพื่อให้ภูเก็ตเดินหน้าต่อได้ อย่างไรก็ตาม ก่อนมองระยะยาว ต้องเอาตัวรอดปัจจุบันก่อน หากติดหล่มการจัดการโรคระบาด อนาคตคงเป็นแค่ฝัน"
#3114


เมืองชายฝั่งทั่วเอเชีย ได้แก่ ฮ่องกง โตเกียว จาการ์ต้า โซล ไทเป มะนิลา และกรุงเทพฯ กำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากน้ำท่วมที่มากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลและพายุหมุนเขตร้อนที่เข้มข้นมากขึ้น

รายงานของกรีนพีซ เอเชียตะวันออก คาดการณ์ว่าภายในปี 2573 ประชาชนกว่า 15 ล้านคนใน 7 เมือง อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อน้ำท่วม การวิเคราะห์ครั้งนี้เป็นหนึ่งในการวิเคราะห์ครั้งแรกที่ใช้ข้อมูลเชิงพื้นที่ที่มีความละเอียดสูงในการระบุถึงพื้นที่ของเมืองที่อาจได้รับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล และขอบเขตของผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

เมืองชายฝั่งทั่วเอเชียกำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากน้ำท่วมที่มากขึ้นเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลและพายุโซนร้อนที่เข้มข้นมากขึ้น คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ(IPCC) เตือนว่า การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ระหว่าง 0.43-0.84 เมตรภายในปี พ.ศ.2643 (IPCC, 2019) ขณะเดียวกัน ตลอดศตวรรษที่ 21 พายุมีความเร็วลมรุนแรงซึ่งสร้างความเสียหายมากขึ้น คลื่นพายุซัดฝั่งที่สูงขึ้น และปริมาณน้ำฝนที่มีสภาวะสุดขีดมากกว่าในอดีต (Knutson et al., 2020)

คิม มีกยอง ผู้จัดการโครงการภาวะฉุกเฉินด้านสภาพภูมิอากาศ กรีนพีซ เอเชียตะวันออก กล่าวว่า "ภายในทศวรรษนี้ เมืองที่อยู่ติดชายฝั่งในเอเชียจะมีความเสี่ยงสูงจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลและพายุที่เข้มข้นรุนแรงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อบ้านเรือน ความปลอดภัย และวิถีชีวิตของผู้คน นอกจากเหลือเวลาไม่มากในการยุติโครงการเชื้อเพลิงฟอสซิลทั้งหมด รัฐบาลแต่ละประเทศจะต้องดำเนินการระบบบริหารจัดการน้ำท่วมและการแจ้งเตือนล่วงหน้าเพิ่มมากขึ้น ปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงเป้าหมายภายใต้แผนที่นำทางก๊าซเรือนกระจกของประเทศ (nationally determined contribution targets) นั้นไม่เพียงพอที่จะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากน้ำท่วมชายฝั่งในสภาวะสุดขีด"

นอกจากอินโดนีเซีย และไทเป อีกหลายเมืองในเอเชียที่จะได้รับผลกระทบเช่นกัน เช่น จาการ์ตา โตเกียว ฮ่องกง โซล มะนิลา รวมทั้งกรุงเทพมหานครด้วย

เราเลือกเมือง 7 แห่งในเอเชียที่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและตั้งอยู่บนชายฝั่งหรือใกล้ชายฝั่งเพื่อวิเคราะห์ถึงผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ว่าจะได้รับผลกระทบอย่างไรจากน้ำท่วมชายฝั่ง(coastal flooding) ในปี พ.ศ.2573 ตามภาพฉายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นไปตามปกติ (business as usual) การวิเคราะห์ของเราชี้ให้เห็นว่าวิกฤตสภาพภูมิอากาศอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของเมืองต่างๆ ที่อยู่ในรายงานนี้ ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งทศวรรษ เว้นแต่เราจะลงมือทำในทันทีเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอย่างรวดเร็ว

จากปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงเป้าหมายภายใต้แผนที่นำทางก๊าซเรือนกระจกขอประเทศ(nationally determined contribution targets) นั้นยังไม่เพียงพอที่จะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากน้ำท่วมชายฝั่งแบบสภาวะสุดขีด รัฐบาลและบรรษัทต่างๆ ต้องลงมือทำอย่างเป็นรูปธรรมให้เร็วขึ้น เช่น ยุติการสนับสนุนทางการเงินให้กับอุตสาหกรรมถ่านหินและเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบพลังงานหมุนเวียนที่สะอาด เพื่อป้องกันมิให้อุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกเพิ่มมากไปกว่า 1.5 องศาเซลเซียส

ข้อมูลอ้างอิง Greenpeace Thailand
อ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่ >> https:// act.gp/2Tf58WS
#3115


ประชุม ศบค.สั่งเข้มเพิ่มล็อกดาวน์อีก 1 เดือน พร้อมเพิ่มเป็น 29 จังหวัด จากเดิม 13 จังหวัด เคอร์ฟิวห้ามออกจากบ้าน 3 ทุ่ม-ตี 4 งดบริการขนส่งข้ามจังหวัด แต่ปรับให้เปิดแคมป์ก่อสร้าง กทม.-ปริมณฑล ส่วนร้านอาหารในห้างกลับมาขายเดลิเวอรีได้อีกครั้ง

วันนี้ (1 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานในที่ประชุม ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) มีการเสนอยกระระดับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) จากเดิม 13 จังหวัดปรับเพิ่มเป็น 29 จังหวัด โดยจังหวัดที่เพิ่มประกอบด้วย กาญจนบุรี ตาก นครนายก นครราชสีมา ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี เพชรบุรี เพชรบูรณ์ ระยอง ราชบุรี ลพบุรี สิงห์บุรี สมุทรสงคราม สระบุรี สุพรรณบุรี และอ่างทอง

ส่วนพื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดง) จากเดิม 53 จังหวัด ปรับลดลงเป็น 37 จังหวัด ประกอบด้วย กาพสินธุ์ กำแพงเพชร ขอนแก่น จันทบุรี ชัยนาท ชัยภูมิ ชุมพร เชียงราย เชียงใหม่ ตรัง ตราด นครศรีธรรมราช นครสวรรค์ บุรีรัมย์ พัทลุง พิจิตร พิษณุโลก มหาสารคาม ยโสธร ระนอง ร้อยเอ็ด ลำปาง ลำพูน เลย ศรีสะเกษ สกลนคร สตูล สระแก้ว สุโขทัย สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อุตรดิตถ์ อุทัยธานี อุดรธานี อุบลราชธานี และอำนาจเจริญ

ขณะที่พื้นที่ควบคุม (สีส้ม) จากเดิม 10 จังหวัด ปรับเพิ่มเป็น 12 จังหวัด พื้นที่เฝ้าระวังสูง (สีเหลือง) จากเดิม 1 จังหวัดเป็นศูนย์ และพื้นที่เฝ้าระวัง (สีเขียว) คงเดิมคือศูนย์จังหวัด

สำหรับมาตราการป้องกันการควบคุมโรคโควิด-19 ตามระดับของพื้นที่สถานการณ์ย่อยในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักรนั้น พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) จะเพิ่มมาตรการห้ามออกนอกเคหสถานในเวลา 21.00-04.00 น.ของวันรุ่งขึ้น งดให้บริการขนส่งข้ามเขตจังหวัด และตั้งด่านสกัดระหว่างเขตจังหวัดเพื่อเป็นการจำกัดการเดินทาง ห้ามจัดกิจกรรมรวมคนมากกว่า 5 คน ส่วนศูนย์การค้า คอมมูนิตีมอลล์ ห้างสรรพสินค้า หรือสถานประกอบการอื่นที่มีลักษณะคล้ายกัน เปิดบริการได้เฉพาะร้านอาหาร เครื่องดื่มให้บริการผ่านระบบเดลิเวอรี และร้านยา เวชภัณฑ์เปิดได้ไม่เกินเวลา 20.00 น. ร้านเสริมสวย ร้านนวด สถานเสริมความงาม สถานที่เล่นกีฬา หรือแข่งขันกีฬายังปิดให้บริการทั้งหมด ขณะที่สถานศึกษาทุกระดับ และสถาบันกวดวิชาห้ามใช้อาคารสถานที่เพื่อจัดการเรียนการสอน กิจกรรมที่มีการรวมคนจำนวนมาก ส่วนพื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดง) และพื้นที่ควบคุม (สีส้ม) ยังคงมาตรการเดิม ทั้งนี้ เบื้องต้นจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 3 -31 ส.ค.นี้

อสังหาฯ เฮ! ศบค.ผ่อนปรนเปิดแคมป์คนงานได้แล้ว

สำหรับในสถานประกอบกิจการประเภทโรงงาน แคมป์แรงงานบริษัทจะต้องควบคุมในรูปแบบการป้องกันควบคุมโรคเฉพาะพื้นที่ หรือ Bubble and Seal ส่วนแคมป์ก่อสร้างเขตพื้นที่ กทม. และปริมณฑลให้ดำเนินกิจการได้ภายใต้มาตรการ Bubble and Seal หลังจากที่ก่อนหน้านี้ปิดการดำเนินการ ทั้งนี้ การยกระดับและผ่อนคลายมาตรการดังกล่าวจะมีประเมินใน 2 สัปดาห์หลังออกประกาศ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แคมป์คนงานก่อสร้าง เป็นหนึ่งในคลัสเตอร์ที่เกิดการระบาดของเชื้อไวโควิด-19 จนทำให้ ศบค.ได้ออกมาตรการปิดแคมป์คนงานชั่วคราวตลอดเดือน ก.ค. ซึ่งมีผลกระทบต่อผู้ประกอบการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย เนื่องจากในบางโครงการอยู่ในระหว่างตกแต่งห้องชุดหรือที่อยู่อาศัยแนวราบเพื่อเตรียมส่งมอบให้ลูกค้า การชะลอและหยุดโครงการตลอดเดือน ก.ค.ส่งผลให้รายได้ของบริษัทอสังหาฯ ลดลง

โดยการปิดแคมป์ครั้งนี้ (ก.ค.) หากประเมินมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากตัวเลขมูลค่าตลาดอสังหาฯ ทั้งแนวราบและแนวสูงในประเทศไทยปีละ 9 แสนล้านบาท หารด้วย 12 เดือน เดือนหนึ่งตกประมาณ 70,000-80,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลกระทบจากการหยุดการก่อสร้าง ที่ยังไม่รวมถึงอุตสาหกรรมต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำที่ต่อเนื่องกัน ไม่ว่าจะเป็นโรงงานผลิตวัสดุก่อสร้าง

https:// m.mgronline.com/stockmarket/detail/9640000075245
#3116



อาการแพ้นมแบบเฉียบพลัน มักเกิดขึ้นหลังจากดื่มนมภายใน 15 นาที-2 ชั่วโมง โดยมีอาการที่แตกต่างกันไป เช่น มีผื่นคันขึ้นตามผิวหนัง ลมพิษ ปากบวม ลิ้นบวม หายใจลำบาก ปวดท้อง หรืออาเจียน
ถ้ารู้ว่าตัวเองแพ้ ให้งดดื่มนมวัวและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมวัวทุกชนิด อย่างน้อย 3-6 เดือน ถึง 1 ปี แล้วลองกลับมาดื่มอีกครั้ง

นมมีโปรตีนและแคลเซียมสูง หากต้องการรับประทานอาหารอื่นเพื่อทดแทนการดื่มนม ควรเลือกอาหารที่มีโปรตีน เช่น ไข่ เนื้อสัตว์ หรือถั่วเมล็ดแห้ง หรืออาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น ปลาตัวเล็ก เต้าหู้ก้อน บรอกโคลี ผักกวางตุ้ง เป็นต้น
นมวัวเป็นแหล่งของโปรตีนและแคลเซียม มีประโยชน์กับคนทุกเพศ ทุกวัย แต่ก็พบว่าผู้บริโภคนมวัวบางกลุ่มจะมีอาการแพ้ ซึ่งสาเหตุหลักมักเป็นการแพ้โปรตีนจากนมวัว (cow's milk allergy) ในปัจจุบันโรคแพ้นมวัวพบได้บ่อยและมีอาการแสดงหลากหลายรูปแบบ ซึ่งปฏิกิริยาในการแพ้นมวัวอาจเกิดจากกระบวนการทำงานของแอนติบอดี IgE mediated หรือ non IgE mediated หรืออาจเกิดจากทั้ง 2 อย่างร่วมกันได้ โดยสาเหตุอาจเกิดจากการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันตั้งแต่ในช่วงตั้งครรภ์ นอกจากนี้ยังพบโรคแพ้นมวัวได้บ่อยในช่วงวัยทารกอันอาจเกิดจากระบบการย่อยอาหารของทารกที่ยังไม่พัฒนาอย่างเต็มที่

ประวัติที่น่าสงสัยว่าแพ้นมวัว

มีโรคภูมิแพ้ของบุคคลในครอบครัว
มีอาการที่แสดงหลังจากเด็กดื่มนมวัว เช่น มีผื่นลมพิษ ปากบวม ตาบวม ถ่ายมูกเลือด หายใจติดขัดดังครืดคราด หรือผื่นแพ้ผิวหนังที่มีอาการปานกลางถึงรุนแรง
มีประวัติว่าแม่ดื่มนมวัวในช่วงตั้งครรภ์มากกว่าปกติ ซึ่งโปรตีนในนมวัวอาจกระตุ้นให้ทารกเกิดการแพ้ได้
กรณีที่เด็กกินนมแม่อย่างเดียว ในขณะที่แม่ดื่มนมวัวมากกว่าปกติในช่วงให้นมบุตร
เด็กมีน้ำหนักน้อยกว่าปกติ หรือมีประวัติเปลี่ยนนมมาหลายยี่ห้อ แต่ยังมีอาการดังที่กล่าวไปข้างต้น
ซึ่งสามารถวินิจฉัยหาสาเหตุได้ตรงจุด หากพาเด็กมาพบกุมารแพทย์เพื่อซักประวัติและตรวจทางห้องปฏิบัติการร่วมด้วย

อาการแพ้นม

หากเป็นอาการเฉียบพลันที่เกิดจาก IgE mediated อาการจะเกิดขึ้นหลังจากดื่มนมวัวภายใน 15 นาที-2 ชั่วโมง โดยจะมีอาการแพ้ซึ่งแต่ละคนจะมีอาการที่แตกต่างกันไป เช่น มีผื่นคันขึ้นตามผิวหนัง, ลมพิษ, ปากบวม, ลิ้นบวม, หายใจลำบาก, ปวดท้อง หรืออาเจียน เป็นต้น

หากอาการเกิดจาก non IgE mediated หรือทั้ง 2 อย่างตามที่กล่าวในตอนต้น อาการอาจเกิดขึ้นหลังดื่มนมวัวประมาณ 6-48 ชั่วโมง ซึ่งอาการก็อาจต่างกัน เช่น ผื่นแพ้ผิวหนัง ถ่ายเป็นมูกเลือด หรือหายใจครืดคราด

ทำอย่างไรถ้ารู้ว่าแพ้นมวัว
ถ้ารู้ว่าตัวเองมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง แนะนำให้มาพบแพทย์ เพื่อการวินิจฉัยและให้การรักษาที่ถูกต้อง และการปฏิบัติตัวที่ดีที่สุด คือ การงดดื่มนมวัวและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมวัวทุกชนิดอย่างน้อย 3-6 เดือน ถึง 1 ปี แล้วลองกลับมาทดลองดื่มใหม่ในปริมาณน้อยๆ หากไม่ใช่อาการแพ้รุนแรง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเห็นของแพทย์

สำหรับทารกที่ดื่มนมแม่ สามารถกินนมแม่ต่อได้ แต่ต้องให้แม่งดนมวัวและผลิตภัณฑ์จากนมวัว อย่างน้อย 1 สัปดาห์ จึงเริ่มกินนมแม่ได้ ในระหว่างที่งดนมแม่อาจพิจารณาใช้นมสูตรพิเศษทางการแพทย์สูตรเปปไทด์สายสั้น (extensively hydrolyzed formula) แทนได้ แต่หากอาการแพ้ไม่ดีขึ้นค่อยพิจารณาใช้นมที่เป็นอาหารทางการแพทย์ หรือที่เรียกว่าสูตรกรดอะมิโน (amino acid formula) โดยมารดาที่งดนมวัวและผลิตภัณฑ์จากนมวัว ควรได้รับการเสริมแคลเซียมทดแทน

สำหรับการรักษาอาการที่เกิดขึ้นจากการแพ้นมวัวจะเป็นการงดนมวัว และให้ยารักษาตามอาการ นอกจากนี้มีการแนะนำให้เด็กที่มีอายุมากกว่า 1 ปี ที่ไม่ได้แพ้ถั่วเหลือง อาจพิจารณาเปลี่ยนเป็นนมถั่วเหลืองสูตรไม่หวาน ที่มีการเสริมแคลเซียม เป็นทางเลือกได้

การป้องกันการแพ้นมวัว

ในเด็กเล็ก การดื่มนมแม่จะช่วยป้องกันการเกิดการแพ้อาหารได้ เพราะเป็นการลดการสัมผัสโปรตีนแปลกปลอมจากนมผสม นอกจากนี้นมแม่ยังช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้อีกด้วย โดยไม่ควรงดนมวัวในกรณีที่ไม่มีอาการแพ้นมวัว เนื่องจากอาจทำให้มีความเสี่ยงต่อการขาดสารอาหารในเด็กได้โดยเฉพาะแคลเซียม

(ปริมาณแคลเซียมที่ต้องการตามอายุ ได้แก่ ทารกอายุ 0-5 เดือน ได้รับเพียงพอจากนมแม่เพียงอย่างเดียว, ทารกอายุ 6-11 เดือน 270 มิลลิกรัมต่อวัน, เด็กอายุ 1-3 ปี 270-500 มิลลิกรัมต่อวัน)

ทางเลือกอื่นๆ สำหรับเด็กโต หรือผู้ใหญ่ที่แพ้นมวัว
ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์นมที่ได้จากพืชหลากหลายชนิด และสามารถหาซื้อได้ง่ายตามห้างสรรพสินค้าหรือร้านสะดวกซื้อต่างๆ เช่น

นมจากถั่วเหลือง (Soy milk) สามารถใช้เป็นทางเลือกหากแพ้นมวัว แต่ไม่แพ้ถั่วเหลือง โดยให้เลือกนมถั่วเหลืองที่มีการเสริมแคลเซียม เนื่องจากนมถั่วเหลืองจากธรรมชาติจะมีแคลเซียมต่ำ ข้อดีคือ ราคาไม่แพง หาซื้อได้ง่าย
นมจากอัลมอนด์ (Almond milk) เป็นนมทางเลือกของกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการจำกัดปริมาณแคลอรีในแต่ละวัน เพราะนมจากอัลมอนด์ให้พลังงานที่ต่ำกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับนมวัวหรือนมถั่วเหลืองในปริมาณที่เท่ากัน อีกทั้งยังอุดมไปด้วยไขมันที่ดี และวิตามินอี แต่มีปริมาณโปรตีนและแคลเซียมน้อย ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องระวัง โดยเฉพาะการให้นมชนิดนี้กับเด็กอาจได้คุณค่าทางอาหารน้อย ดังนั้นควรอ่านฉลากโภชนาการก่อน และเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีการเสริมแคลเซียมด้วย
นมข้าวโพด (Corn milk) และนมจากข้าว (Rice milk) นมข้าวโพดและนมจากข้าว จะมีปริมาณโปรตีนไม่มากนักเมื่อเทียบกับนมวัว และเหมาะกับผู้บริโภคที่มีประวัติการแพ้ถั่ว หรืออัลมอนด์ อย่างไรก็ตามเพื่อให้การกินนมที่ไม่ใช่นมวัวนั้นมีคุณค่าทางสารอาหารมากขึ้น ผู้ผลิตบางรายก็มีการนำกระบวนการแปรรูปวัตถุดิบโดยใช้เทคโนโลยีต่างๆ เพื่อช่วยเพิ่มปริมาณสารอาหารในนมข้าวโพดและนมจากข้าวให้มีมากขึ้น เช่น การเสริมแคลเซียม เป็นต้น
คุณประโยชน์ของนมจากพืชแต่ละชนิดจะมีความแตกต่างกันตามชนิดของพืช คุณภาพของวัตถุดิบ และกรรมวิธีการผลิต บางผลิตภัณฑ์ใช้วัตถุดิบในระยะที่มีสารอาหารสูง เช่น ใช้ข้าวในระยะงอก หรือการใช้เทคโนโลยีการแปรรูปวัตถุดิบให้คงปริมาณสารอาหารไว้ให้ได้มากที่สุด ดังนั้นก่อนการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ สิ่งสำคัญที่ต้องใส่ใจ คือ การอ่านฉลากข้อมูลทางโภชนาการ (Nutrition information) และส่วนประกอบ (Ingredients) อย่างละเอียด เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพ และได้รับสารอาหารที่เพียงพอในแต่ละช่วงวัย อีกทั้งข้อควรระวังในการบริโภคนมจากพืช บางผลิตภัณฑ์มักมีปริมาณน้ำตาลสูง ควรเลือกสูตรหวานน้อยหรือไม่หวานเลย และควรให้ความสำคัญกับการรับประทานอาหารให้หลากหลาย และครบ 5 หมู่ เพื่อให้ได้รับสารอาหารครบถ้วน

อาหารทางการแพทย์ที่ใช้รักษาผู้ที่มีภาวะแพ้โปรตีนนมวัว
1. Soy protein-based formula (อาหารทางการแพทย์สูตรโปรตีนจากถั่วเหลือง) ใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะแพ้โปรตีนนมวัวได้ อย่างไรก็ตามในถั่วเหลืองมีโปรตีน β-conglycin และ glycinin ซึ่งเป็นโปรตีนโมเลกุลใหญ่ และสามารถก่อให้เกิดอาการแพ้ได้เช่นกัน จึงมีการแนะนำให้ใช้อาหารทางการแพทย์สูตรโปรตีนจากถั่วเหลืองสำหรับรักษาภาวะแพ้โปรตีนนมวัวในผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง ซึ่งได้แก่ กลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการแสดงของภาวะแพ้อาหารแบบเฉียบพลัน ผิวหนังอักเสบ ภูมิแพ้ที่มีอาการไม่รุนแรง และแนะนำให้ใช้ในทารกอายุมากกว่า 6 เดือนขึ้นไป หากผู้ป่วยรับประทานอาหารทางการแพทย์สูตรโปรตีนจากถั่วเหลืองแล้วไม่ได้ผล แนะนำให้ใช้อาหารทางการแพทย์สูตรเปปไทด์ขนาดเล็ก หรือสูตรกรดอะมิโนแทน

2. Extensively hydrolyzed formula (อาหารทางการแพทย์สูตรเปปไทด์สายสั้น) เป็นสูตรอาหารที่ทำให้โปรตีนผ่านกระบวนการย่อยโดยใช้เอนไซม์ ความร้อน หรือกระบวนการ Ultrafiltration เพื่อให้แตกตัวเป็นเปปไทด์สายสั้นๆ เพราะเนื่องจากภาวะแพ้โปรตีนจากนมวัวนั้น โปรตีนที่ทำให้เกิดอาการแพ้ คือ β-lactoglobulin ดังนั้นการย่อยโปรตีนเป็นเปปไทด์สายสั้นจะทำให้ปริมาณ βlactoglobulin ในนมลดลง ซึ่งจะมีโอกาสกระตุ้นให้เกิดการแพ้ลดลง

3. Amino acid-based formula (อาหารทางการแพทย์สูตรกรดอะมิโน) เป็นสูตรนมที่ประกอบด้วย กรดอะมิโนจำเป็น (essential amino acids) และกรดอะมิโนไม่จำเป็น (non-essential amino acids) ส่วนคาร์โบไฮเดรตมาจาก corn glucose polymer เป็นส่วนใหญ่ และปราศจากน้ำตาลแลคโตส ส่วนไขมันมาจากน้ำมันพืชชนิดต่างๆ ซึ่งนมชนิดนี้จะใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการแพ้โปรตีนนมวัวอย่างรุนแรง และไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยนมสูตรเปปไทด์ขนาดเล็ก

4. Modular formula (MF, อาหารทางการแพทย์สูตรที่เตรียมสำหรับผู้ป่วยเฉพาะราย) คือ นมสูตรทางการแพทย์ที่เตรียมสำหรับผู้ป่วยให้เหมาะสมกับโรคแต่ละโรค โดยนมสูตรที่เตรียมสำหรับผู้ป่วยเฉพาะรายที่ใช้ในการรักษาภาวะแพ้โปรตีนนมวัว เช่น นมสูตรโปรตีนจากเนื้อไก่ หรือนมข้าวอะมิโน เป็นต้น

อาหารทดแทนนม
เนื่องจากผลิตภัณฑ์นมเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณประโยชน์ คือ มีโปรตีน และแคลเซียมสูง ดังนั้นหากต้องการรับประทานอาหารอื่นๆ เพื่อทดแทนการดื่มนม ควรเลือกดังนี้

อาหารที่มีโปรตีน เช่น ไข่ เนื้อสัตว์ หรือถั่วเมล็ดแห้ง เป็นต้น
อาหารที่มีแคลเซียมในปริมาณสูง เช่น ปลาตัวเล็ก เต้าหู้ก้อน บรอกโคลี ผักกวางตุ้ง เป็นต้น
ซึ่งการกินในปริมาณที่เพียงพอ สามารถเป็นอาหารทางเลือกสำหรับผู้ที่แพ้นมวัว.

บทความโดย : พญ.ธนิศา ขวัญบุญบำเพ็ญ กุมารแพทย์ด้านโภชนาการเด็ก โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช ศรีนครินทร์
#3117
สำหรับการประชุมหรือ เรียนออนไลน์ โปรแกรมมีให้ใช้งานหลากหลายมากๆ ครับ แต่วันนี้ ทางผู้เขียนอยากแนะนำโปรแกรม Zoom หรือชื่อในการค้นหาคือ Zoom meeting นั่นเองครับทำไมโปรแกรม Zoom meeting ถึงมีคนนิยมใช้ทั่วโลก ..?สาเหตุส่วนใหญ่ก็คือ มันตอบโจทย์ ใช้งานง่าย แชร์สกรีนได้ทั้งภาพและมิเดีย แต่ที่ผู้เขียนชอบที่สุดก็น่าจะเป็นการใช้งานแบนด์วิทอินเตอร์เน็ตน้อยมากเมื่อเทียบกับ โปรแกรมอื่นๆ เพราะความเร็วเน็ตในแต่ละที่ก็แตกต่างกัน แล้วแต่ผู้ใช้งานด้วย อันนี้สามารถช่วยได้มากทีเดียว


 การเข้าใช้งาน zoom join ก่อนที่เราจะเข้าใช้งาน Zoom เราจะต้อง sign in เพื่อสมัครก่อนครับ โดยไปที่https://zoom.us/signin   แล้วกด Sign in อาจเลือกเป็น sign in ด้วย google หรือ Facebook ก็ได้นะครับ





 1.      ผ่านทางหน้าเว็ป https://zoom.us/signin
 2.      ผ่านโปรแกรมที่ดาวน์โหลดติดตั้งไว้ในเครื่อง (ทั้งคอมพิวเตอร์ , Notebook , Tablet , มือถือ)ในทีนี้ ผู้เขียน เลือกที่จะเข้าแบบที่ 2 นะครับ เพราะมันง่ายดี เลือกโปรแกรม zoom meeting ในคอมฯของคุณเปิดขึ้นมาจะเป็นหน้าต่างแบบนี้ครับ เข้าใช้งานด้วย Email ที่สมัครไว้ครับ ก็จะสามารถใช้งานได้แล้วครับผม
#3118



ราคาบิทคอยน์ เทรดที่เว็บไซต์คอยน์เดสก์ เมื่อเวลา 06.00 น.ของวันนี้ (31ก.ค.)ปรับตัวขึ้น 3.72% เคลื่อนไหวที่ 41,249.28 ดอลลาร์

การเคลื่อนไหวในแดนบวกช่วงเช้าวันนี้ของราคาบิทคอยน์ มีขึ้นหลังจากรัฐบาลเยอรมนี ออกกฏหมายฉบับใหม่อนุญาติให้กองทุนรวมพิเศษ เข้าลงทุนเงินหนึ่งในห้าของพอร์ตที่เป็นคริปโตเคอร์เรนซีได้ โดยเริ่มตั้งแต่ต้นเดือนส.ค.เป็นต้นไป

ขณะเดียวกัน รัฐบาลอิสราเอล ก็เตรียมออกกฎหมายใหม่เพื่อยับยั้งการหลีกเลี่ยงภาษีและปิดช่องโหว่สำหรับการฟอกเงิน โดยจะกำหนดให้พลเมืองที่ถือเหรียญคริปโต ที่มีรวมมูลค่ามากกว่า 60,000ดอลลาร์ต้องแสดงข้อมูลต่อเจ้าหน้าที่

ราคาน้ำมันเวสต์เท็กซัสร่วง 8 เซนต์

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ส่งมอบเดือนก.ย. ซึ่งมีการซื้อขายที่ตลาดไนเม็กซ์ ปรับตัวลง 8 เซนต์ ปิดที่ 73.53 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ปรับตัวลง 2 เซนต์ ปิดที่ 76.03 ดอลลาร์/บาร์เรล

นักลงทุนคาดการณ์ว่าตลาดจะยังคงเผชิญภาวะน้ำมันตึงตัวไปจนถึงสิ้นปีนี้ จากการเปิดเศรษฐกิจในประเทศต่างๆ

นอกจากนี้ แม้กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส มีมติเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเดือนละ 400,000 บาร์เรล/วัน ตั้งแต่เดือนส.ค.จนถึงเดือนธ.ค. แต่ก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้น้ำมันที่คาดว่าจะพุ่งขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ขณะที่คาดว่าการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในวงกว้างจะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น

ขณะเดียวกัน การที่อิหร่านออกแถลงการณ์ตำหนิสหรัฐว่าเป็นฝ่ายทำให้การเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ต้องหยุดชะงักลง ก็ได้เป็นปัจจัยบวกต่อตลาด เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างอิหร่านและสหรัฐจะทำให้การส่งออกน้ำมันของอิหร่านต้องล่าช้าออกไป ซึ่งจะช่วยคลายความกังวลเกี่ยวกับภาวะน้ำมันล้นตลาด
#3119


วันที่ 30 ก.ค.64 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2564 ณ ห้องประชุมศูนย์ปฏิบัติการโสมสวลี ชั้น 11 สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยส่วนหนึ่งของผู้เข้าร่วมประชุมใช้ระบบ conference โดยมีนางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกรัฐบาล เข้าร่วมด้วย ภายหลังจากการประชุม นายจุรินทร์ เผยว่า มีประเด็นสำคัญ 5 ประเด็น คือ

1. ที่ประชุมให้ความเห็นชอบให้จ่ายเงินให้กับผู้สูงอายุผู้มีรายได้น้อย ที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาท จำนวน 100 บาทและมีรายได้ 30,000 ถึงไม่เกิน 100,000 บาท เป็นจำนวน 50 บาท สำหรับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยที่ผ่านมาได้มีการค้างการจ่ายเงินให้กับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย เป็นเวลา 4 เดือนตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงกันยายน 2563 วันนี้ที่ประชุมมีมติให้จ่ายเงินย้อนหลังให้กับผู้สูงอายุที่ค้างจ่ายอยู่จำนวน 4,700,000 รายทั่วประเทศและมีมติเห็นชอบให้จ่ายเงินให้กับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในปี 2564 โดยให้จ่ายเป็นเวลา 1 ปี รวม 6 งวด โดยจ่ายเดือนเว้นเดือน ซึ่งมีอยู่จำนวน 4,700,000 ราย

2. การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุซ้ำซ้อนซึ่งเป็นประเด็นก่อนหน้านี้ สำหรับผู้สูงอายุที่รับเงินไปแล้วจะทำอย่างไร ได้มีการถามไปยังกฤษฎีกาได้ตอบกลับมาแล้วว่าให้สามารถดำเนินการได้ ถ้าผู้สูงอายุท่านใดจ่ายเงินกลับคืนมาให้จ่ายกลับไปยังผู้สูงอายุโดยให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวข้องจ่ายเงินคืนไปให้ผู้สูงอายุ สำหรับการดำเนินการกรณีเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุในอนาคตได้มีการตั้งอนุกรรมการชุดหนึ่งเพื่อพิจารณาดำเนินการให้เสร็จสิ้นโดยเร็วภายใน 1 เดือนตามที่กฤษฎีกาแนะนำมาเบื้องต้น จากนั้นจะนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีต่อไป สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่รับเบี้ยยังชีพซ้ำซ้อนมีอยู่ 15,000 ราย

3. ก่อนหน้านี้มีการจัดโครงการชำระหนี้ให้กับผู้สูงอายุที่เป็นหนี้กองทุนผู้สูงอายุและจะครบกำหนดวันที่ 30 กันยายน 2564 ที่ประชุมมีมติให้ต่ออายุพักชำระหนี้ผู้สูงอายุไปอีกหกเดือนจนถึงเดือนมีนาคมปี 2565

4. ที่ประชุมให้ความเห็นชอบแผนปฏิบัติการผู้สูงอายุระยะยาวตั้งแต่ปี 2566-2580 ที่จะเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป

และ ประเด็นที่5 ที่ประชุมขอให้ตนเรียนให้ผู้สูงอายุทั่วทั้งประเทศได้รับทราบว่าคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติเป็นห่วงเป็นใยผู้สูงอายุทุกคนโดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด ขอเป็นกำลังใจให้กับผู้สูงอายุทุกท่านขอความกรุณาให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาโควิดกรุณาอำนวยความสะดวกให้กับผู้สูงอายุที่เข้าไปขอรับบริการเป็นกรณีพิเศษด้วย
#3120



นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน เปิดเผยว่า ความคืบหน้ากรณีการจ่ายเงินเยียวยากลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการตามมาตรการบรรเทาผลกระทบโควิด-19 ที่อยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 10 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นราธิวาส ปัตตานี ยะลา สงขลา ใน 9 ประเภทกิจการได้แก่ กิจการก่อสร้าง กิจการที่พักแรมบริการด้านอาหาร กิจกรรมศิลปะ ความบันเทิงและนันทนาการ กิจกรรมบริการด้านอื่นๆ สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า สาขาขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์ สาขากิจกรรมการบริหารและบริการสนับสนุน สาขากิจกรรมวิชาชีพ วิทยาศาสตร์และกิจกรรมทางวิชาการ สาขาข้อมูลข่าวสาร และการสื่อสาร

โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมมีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงได้สั่งการให้ รมว.แรงงานเร่งรัดขยับเวลาการจ่ายเงินเยียวยาให้กับผู้ประกันตนไม่ให้เกินวันที่ 6 สิงหาคม โดยจะเริ่มทยอยจ่ายตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคมนี้ ที่ต้องทำเช่นนี้เพราะระบบการโอนผ่านพร้อมเพย์สามารถดำเนินการได้วันละ 1 ล้านบัญชีเท่านั้น โดยผู้ประกันตนที่มีสิทธิได้รับเงินเยียวยามีจำนวน 2.87 ล้านคน จะต้องใช้เวลาถึง 3 วันจึงได้สามารถโอนได้ครบภายในกำหนดเวลาวันที่ 6 สิงหาคม ตามเจตนารมณ์ของนายกรัฐมนตรี และจะทยอยโอนครั้งต่อไปให้กับนายจ้าง และผู้ประกันตนมาตรา 33 ทุกๆวันศุกร์จนถึงวันที่ 29 ตุลาคม 2564

น.ส.ลัดดา แซ่ลี้ รองโฆษกสำนักงานประกันสังคม กล่าวว่า วิธีการจ่ายเงินเยียวยาสำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ได้รับเยียวยาจากรัฐบาลคนละ 2,500 บาท จะโอนผ่านบัญชีพร้อมเพย์ เลขประจำตัวประชาชนเท่านั้น ส่วนนายจ้างจะได้รับการเยียวยา จากรัฐบาล ตามจำนวนลูกจ้าง หัวละ 3,000 บาท สูงสุดลูกจ้างไม่เกิน 200 คน โดยนายจ้างบุคคลธรรมดา จะโอนเงินผ่านบัญชีพร้อมเพย์ เลขประจำตัวประชาชนเช่นกัน และนายจ้างสถานะนิติบุคคล จะโอนเข้าบัญชีธนาคารตามที่แจ้งไว้กับสำนักงานประกันสังคม

สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 และนายจ้างที่อยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 3 จังหวัดที่เหลือ ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และพระนครศรีอยุธยา นั้น สำนักงานประกันสังคมจะประชาสัมพันธ์วันจ่ายเงินให้ทราบในภายหลัง สอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน 1506 ตลอด 24 ชั่วโมง