• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Joe524

#7186



"มาร์ก กูดดิ้ง" ว่าที่เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักร ประจำประเทศไทย ทวีตข้อความในค่ำวานนี้ (28 ก.ค.) @markgooding ระบุว่า  สหราชอาณาจักรประกาศบริจาควัคซีนโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า 415,000 โดสแก่ประเทศไทย

"วันนี้ สหราชอาณาจักรมีวัคซีนบริจาคให้ประเทศไทย จำนวน 415,000 โดส ผลิตโดสบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าในสหราชอาณาจักร และจัดส่งถึงประเทศไทยในอีก 1 - 2 สัปดาห์ข้างหน้า" ว่าที่ทูตกูดดิ้งกล่าว และระบุว่า ตั้งแต่เริ่มมีการระบาดของโควิด-19 สหราชอาณาจักรได้หาทางนำทั่วโลกต่อสู้เพื่อป้องกันโรคร้าย กว่าหนึ่งปีมาแล้วที่เราได้ให้ทุนสนับสนุนพัฒนาวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า - ออกซ์ฟอร์ด โดยยึดหลักต้องแจกจ่ายให้คนทั่วโลกในราคาทุน โดยไม่หาผลกำไร มีเป้าหมายเดียวคือ ขอให้กระจายวัคซีนนี้ไปทั่วโลกอย่างเท่าเทียม และเป็นธรรม 

ว่าที่เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักร กล่าวอีกว่า วัคซีนนี้มีประสิทธิภาพสูง จนถึงวันนี้มีการฉีดวัคซีนไปแล้วมากกว่า 500 ล้านโดสใน 160 ประเทศทั่วโลก และเนื่องจากโครงการวัคซีนโควิด-19 ในสหราอาณาจักรประสบความสำเร็จอย่างมาก ขณะนี้เรามีวัคซีนเพียงพอส่งต่อให้กับประเทศอื่นๆ เพื่อแสดงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างไทยกับสหราชอาณาจักร และไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศทั่วโลกที่ได้รับวัคซีนเหล่านี้ ในช่วงที่ไทยเผชิญกับการระบาดสาหัสเช่นนี้ ผมอยากให้ทุกคนรู้ว่าสหราชอาณาจักรอยู่เคียงข้างประเทศไทยเสมอ


ในเรื่องนี้ กระทรวงการต่างประเทศ มีข้อความระบุว่า ขอขอบคุณในไมตรีจิตของรัฐบาลสหราชอาณาจักร ที่ประกาศมอบวัคซีนโควิด-19 จากบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า จำนวน 415,000 โดส ให้แก่ประชาชนชาวไทย เพื่อรับมือกับการแพร่ระบาด สะท้อนถึงมิตรภาพที่แน่นแฟ้นระหว่างไทย-สหราชอาณาจักร
#7187


หนังว่าด้วยครอบครัวนักซิ่ง Fast 9 กลายเป็นหนังที่ทำเงินได้สูงสุดของฮอลลีวูด หลังจากการระบาดของเชื้อไวรัสถึงตอนนี้ภาคที่เก้าของหนังชุด Fast and Furious กวาดเงินเกิน 500 ล้านเหรียญฯ ซึ่งแม้จะน้อยกว่ามาตรฐานของหนังชุดนี้พอสมควร แต่ด้วยสถานการณ์แวดล้อม รายได้ที่เกิดขึ้นก็ถือว่าสุดยอดแล้ว

นับรวมกับรายได้ของ Godzilla Vs Kong ก่อนหน้านี้ก็ถือว่าหรือเริ่มจะลืมตาอ้าปากได้มากขึ้น หลังสหรัฐสถานการณ์ดีขึ้นมากหนังได้เข้าฉายมากขึ้นเรื่อยๆแต่หนังทั้งสองเรื่องของฮอลลีวูดกลับไม่ใช่หนังที่ทำเงินสูงสุดของปีนี้แต่อย่างใด

ตอนนี้หนังที่ทำเงินมากที่สุดในโลกประจำปี 2021 ยังคงเป็นหนังจากจีนแผ่นดินใหญ่ที่ชื่อว่า Hi, Mom ที่กวาดเงินไปแบบไม่เกรงใจใคร 800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากการฉายจะพูดที่จีนแผ่นดินใหญ่ทีเดียวไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงรายได้จากนอกประเทศเลย

แถมอันดับสองก็ยังเป็นหนังจีนอีกเช่นเคย กับ Detective Chinatown 3 ที่กวาดเงินไปเกือบ 700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ น่าจะติดอันดับต้นๆ หนังทำเงินประจำปีนี้เช่นเดียวกัน โดยหนังทั้งสองเรื่องเป็นผลผลิตของหนังตรุษจีนประจำปี 2021 ซึ่งตอนนี้น่าจะเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาการฉายหนังที่สำคัญที่สุดในปฏิทินประจำปีปีของวงการภาพยนตร์โลกไม่แพ้ซัมเมอร์ของสหรัฐฯ แต่อย่างใด

ส่วนหนังจีนที่ทำเงินมาเป็นอันดับสามของปีนี้เป็นหนังแนวสายลับผสมชาตินิยมเล่าเรื่องของสายลับจากพรรคคอมมิวนิสต์ ในช่วงยุค 1930 ผลงานของ ยอดผู้กำกับแผนจีนแผ่นดินใหญ่อย่าง "จางอี้โหมว" ที่หลังจากได้รับใช้ชาติกำกับพิธีเปิดโอลิมปิก แถมโดนดำเนินคดีฐานมีลูกหลายคนขัดกับกฏหมายลูกคนเดียวของจีนเมื่อหลายปีก่อนระยะหลังๆ ก็เลยทำหนังเน้นเอาใจพรรคคอมมิวนิสต์แทบจะลูกเดียวแต่ก็ดูเหมือนจะได้ผล เพราะ Cliff Walkers เรื่องนี้ทำเงินไปได้สวยทีเดียวถึง 180 ล้านเหรียญฯ

หนังจีนอีกเรื่องที่ทำเงินได้ น่าพอใจเลยก็คือ A Writer's Odyssey หนังแนวสืบสวนผสมแฟนตาซี ที่เล่าเรื่องของนักเขียนหนุ่มที่โลกแห่งความจริงกับโลกของนิยายที่เขาเขียนเริ่มจะทับซ้อนกัน หนังเต็มไปด้วยเทคนิคพิเศษมากมายจนไม่น่าแปลกใจที่ชาวจีนจะตีตั๋วกันไปชมสูงถึง 150 ล้านเหรียญฯ

หนังจีนที่ทำเงินเกินหนึ่งร้อยล้านเรียนเรื่องสุดท้ายในปีนี้ กลับเป็นหนังที่ใช้ทุนสร้างไม่สูงหนักที่เชื่อ SISTER ที่โดนใจชาวจีนเล่าเรื่องเกี่ยวกับ ชีวิตของคนที่ได้ชื่อเป็นลูกสาวในครอบครัวชาวจีนที่มักจะเติบโตมาโดยไม่ได้รับการเอาใจใส่เท่ากับลูกชายในบ้าน เห็นฟอร์มเล็กทุนไม่สูงแบบนี้ SISTER กดรายได้ไปแล้วเกิน 100 ล้านเหรียญ เรียกว่ากำไรมหาศาลไปเรียบร้อยแล้ว

รวมกับ Shock Wave 2 ของ หลิวเต๋อหัว ที่เข้าฉายตอนสิ้นปี 2020 และทำเงินได้ดีในช่วงต้นปี 2021 จนกวาดรายได้ไปเกิน 200 ล้านเหรียญฯ แล้ว ก็ ถือวงการหนังจีน ยังพอไปได้เลยทีเดียว

แต่ที่กะกวาดเงินเต็มๆ แต่สุดท้ายกลับรายได้กลางๆ เป็นหนังรำลึกความหลังหนึ่งร้อยปีพรรคคอมมิวนิสต์ที่ชื่อว่า 1921 ที่แม้จะเปิดตัวได้มาเป็นอันดับหนึ่ง แต่สุดท้ายรายได้กลับไม่ค่อยเดินหน้า ตอนนี้หนังทำเงินรวมไปแล้วแค่ 49 ล้านเหรียญฯ ห่างไกลเหลือเกินที่จะทะลุหลัก 100 ล้านเหรียญฯ

น่าสนใจว่าสุดท้ายจะมีหนังอะไรที่มาแซงหน้าขึ้นเป็นหนังทำเงินอันดับ 1 ประจำปีนี้ได้หรือไม่ จะมีหนังม้ามืด หรือจะเป็นม้าเต็งอย่างหนังสงคราม The Battle at Lake Changjin ที่ถล่มทุนสร้างไปถึง 200 ล้านเหรียญฯ ผลงานของสามผู้กำกับ ฉีเคอะ ดังเด้ แลม และ เฉินกายเค่อ เรื่องนี้ ก็อยากจะคาดเดาจริงๆ เพราะถึงแม้วงการหนังจีน จะเงินสะพัด แต่ก็คาดเดาได้ลำบาก บทจะฮิตก็ทำเงินอย่างถล่มทลาย บทจะเจ๊งก็เจ๊งกันแบบไม่รู้ตัว
 
#7188
ขายดาวน์  215,800 ( กค 2564 ) ห้อง 716
#7190
ขายดาวน์  215,800 ( กค 2564 ) ห้อง 716
#7191
ขายดาวน์  215,800 ( กค 2564 ) ห้อง 812
#7192



บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP รายงานผลดำเนินงานไตรมาส 2/64 มีกำไรสุทธิ 2,263.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,904.21 ล้านบาท โดยบริษัทยังคงสามารถบริหารจัดการการดำเนินงานได้ดีท่ามกลางความท้าทายของโรคระบาดใน ASEAN และทั่วโลก

โดยบริษัทมีรายได้จากการขายเท่ากับ 29,895 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการขยายธุรกิจทั้งแบบ M&P (SOVI และ Go-Pak) และการเติบโตจากภายในอย่างต่อเนื่อง มี EBITDA เท่ากับ 5,564 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมี EBITDA margin ที่ 19%

ส่วน 6 เดือนแรกปี 64 มีกำไรสุทธิ 4,398 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 3,636.34 ล้านบาท และมีอัตรากำไรสุทธิที่ 8%

ขณะที่ ประชุมคณะกรรมการบริษัทอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 64 ในอัตรา 0.25 บาทต่อหุ้น กำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 25 ส.ค.64 กำหนดวันที่ไม่ได้สิทธิรับเงินปันผล (XD) ในวันที่ 9 ส.ค.64
#7193



สอวช. จับมือ วช. และ มจธ. เดินหน้าพัฒนาระบบวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล และพัฒนากลไก ในการขับเคลื่อนระบบวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ให้สัมฤทธิ์ผลอย่างเป็นรูปธรรม

 นอกจากนี้ ยังเป็นการร่วมพัฒนาองค์ความรู้และบุคลากรด้านการพัฒนานโยบายวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) ในการเพิ่มขีดความสามารถและการขับเคลื่อนการพัฒนานวัตกรรมของประเทศ และเพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาครัฐ สถาบันการศึกษา และภาคเอกชน ให้เกิดเครือข่าย การวิจัยและนวัตกรรมของประเทศไทย ที่จะนําไปสู่การร่วมกําหนดและผลักดันนโยบาย ววน. ร่วมกันได้อย่าง มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล

โดยมี ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) พร้อมด้วย ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) และ รศ.ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย อธิการมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการพัฒนาระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ผ่านระบบออนไลน์ (ระบบ ZOOM)

ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กล่าวถึงการเชื่อมโยงบทบาทของ วช. กับนโยบายวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศในฐานะ PMU ด้วยว่า การมี กระทรวง อว.เกิดขึ้นในส่วนของการรวมกลไกหลักสำคัญของประเทศ ทั้งในเรื่องของการอุดม วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญและต้องมีความเข้าใจอย่างมาก สำหรับทีมงานของ วช.ที่ต้องเข้าไปสัมพันธ์กับรูปแบบการทำงานที่มีความเชื่อมโยงทั้งเรื่องเชิงระบบ เชิงกลไก เชิงแผนงาน และการนำส่งผลสำเร็จผลลัพธ์ของงาน อย่างไรก็ตาม การที่จะขับเคลื่อนงานให้เดินหน้าอย่างมีประสิทธิภาพสิ่งหนึ่งคือการเชื่อมต่อในเชิงนโยบาย

สำหรับบทบาทของ PMU ที่ วช.ให้ความสำคัญคือนโยบายและยุทธศาสตร์ อววน.ที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา ในส่วนของการลงนามวันนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และตัวสมรรถนะของความเข้าใจของบุคลากร วช. ในเรื่องของการพัฒนานโยบาย ววน.มีความเข้มแข็ง สามารถเข้าไปทำความใจระบบใหม่ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ


ด้าน ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผอ.สอวช.กล่าวถึง ความสำคัญของระบบและนโยบายวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ว่า การสนับสนุนในเรื่องดังกล่าวถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด19 ที่เกิดขึ้นขณะนี้ที่มีส่วนสำคัญในการสนับสนุนการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น และการลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ก็เพื่อให้ระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) มีความเข้มแข็งมากขึ้น ในส่วนของการจัดการนั้นจะต้องดำเนินการในเชิงระบบให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล รวมทั้ง ววน.จะต้องมีมากกว่างานวิจัย และต้องไปถึงการพัฒนาที่มีฐานความรู้ทั้งจากงานวิจัยและนวัตกรรม โดยจะต้องมีการถ่ายทอดให้ความรู้ลงไปถึงกลุ่มเป้าหมายต่างๆ เพื่อนำไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์มากขึ้น


ขณะที่ รศ.ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย อธิการมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) กล่าวถึงงนวัตกรรมหลักสูตรเพื่อส่งเสริมสมรรถนะของบุคลากรในการบริหารการวิจัยของประเทศด้วยว่า ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นความสำคัญอย่างมาก ในการบริหารจัดการงานวิจัยให้ตอบสนองนโยบายของประเทศและยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งหลักสูตรการพัฒนาบุคลากร ถือเป็นเรื่องจำเป็นอย่างมากที่มีการคิดอย่างตนวางระบบที่ดี ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นเรื่องที่สำคัญ
#7194



กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ)เตือนสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19ที่กลับมารุนแรงอีกครั้ง กำลังส่งผลกระทบโดยตรงต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของหลายประเทศ ขณะที่มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้มีคนจนเพิ่มขึ้น ผู้คนออกมาชุมนุมประท้วงเพราะปัญหาปากท้องกันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เกิดปัญหาความตึงเครียดทางการเมืองเพิ่มขึ้น

ไอเอ็มเอฟ ออกรายงานเตือนเมื่อวันอังคาร(27ก.ค.)ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังคงดำเนินอยู่แต่ก็ยังคงมีความเหลื่อมล้ำอย่างมากระหว่างประเทศที่มีเศรษฐกิจก้าวหน้า ตลาดเกิดใหม่หลายประเทศและประเทศกำลังพัฒนา เพราะการเข้าถึงวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19ที่ไม่เท่าเทียมกัน และการขาดการสนับสนุนด้านงบประมาณ

รายงานเตือนของไอเอ็มเอฟฉบับล่าสุด มีขึ้นหลังจากประมาณกลางเดือนก.ค.ที่ผ่านมา เกิดการชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่ในคิวบา ที่เป็นอีกประเทศหนึ่งที่พึ่งพิงรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นหลัก แต่ต้องเผชิญภาวะชะงักงันจากวิกฤตโรคระบาด จนส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสภาพเศรษฐกิจ และการดำเนินชีวิตของประชาชน

ชาวคิวบานับหมื่นคนออกมาเดินขบวนประท้วงในหลายเมือง เพื่อแสดงความไม่พอใจการบริหารจัดการของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการระบาดของโรคโควิด-19 และมาตรการทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลนำมาใช้ได้สร้างความยากลำบากให้ชาวคิวบา ก่อให้เกิดความไม่พอใจสะสมจนนำมาสู่การชุมนุมประท้วง

นอกจากนี้ ยังเกิดเหตุจลาจลและปล้นสะดมร้านค้าในหลายประเทศของแอฟริกาใต้ โดยมีสาเหตุมาจากความไม่พอใจที่รัฐบาลไม่เร่งแก้ปัญหาปากท้องประชาชน รวมทั้งความยากลำบากและความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นจากเศษฐกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากโรคโควิด-19 ระบาดจำนวน จนส่งผลให้ผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 77 ราย

รายงานฉบับนี้ของไอเอ็มเอฟ ระบุว่า ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงวัคซีนเป็นตัวขับเคลื่อนหลักที่จะทำให้ความสามารถในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วกับกลุ่มประเทศพัฒนาน้อยแตกต่างกัน

"ประเทศที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสกลายพันธุ์และมีผู้ติดเชื้อโควิด-19จำนวนมากอาจจะไม่สามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจได้ตามเป้าที่วางไว้ และสิ่งนี้จะทำให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจคิดเป็นมูลค่า 4.5 ล้านล้านดอลลาร์ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี)โลก ภายในปี 2568"กีตา โกปินาธ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ไอเอ็มเอฟ ระบุ
#7195




แม้จะเป็นประเทศต้นตำรับ แต่ในครั้งนี้พวกเข้าไม่ประสบความสำเร็จ ทัพจอมเตะจากเกาหลี่ใต้ ไร้เหรียญทองเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่กีฬาเทควันโดมีบรรจุในโอลิมปิกเกมส์ เมื่อปี 2000 ที่ประเทศออสเตรเลีย

ผลงานก่อนหน้านี้ของทัพเทควันโดจากแดนกิมจิในกีฬาโอลิมปิก ซึ่งถือเป็นต้นตำรับในกีฬาชนิดนี้ พวกเขาคว้าไปแล้วทั้งสิ้น 12 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน และ 6 เหรียญทองแดง แต่ในโอลิมปิก 2020 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่พวกเขาไม่สามารถคว้าเหรียญทองมาเชยชมได้แม้แต่เหรียญเดียว

ในโอลิมปิก 2020 ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ทีมจอมเตะจากเกาหลีใต้คว้าโควตามาได้ถึง 6 คน ซึ่งถือว่ามากที่สุดเมื่อเทียบกับทุกชาติ พวกเขาทำได้แค่ 1 เหรียญเงิน กับอีก 2 เหรียญทองแดง เท่านั้น

โดย อี ดา-บิน จอมเตะสาว เป็นผู้ที่คว้าเหรียญเงินในรุ่นน้ำหนักมากกว่า 67 กิโลกรัม มาครองให้กับเกาหลีใต้ ส่วนอีก 2 เหรียญทองแดง ได้จาก จาง จุน รุ่นน้ำหนัก 58 กิโลกรัม ชาย และ อิน คโย-ดอน ในรุ่นน้ำหนักมากกว่า 80 กิโลกรัม ชาย

ขณะที่ตัวเต็งซึ่งถูกยกให้เป็นมือวางอันดับ 1 ของรุ่น 68 กิโลกรัม ชาย อย่าง อี แด-ฮุน ต้องผิดหวังในกีฬาโอลิมปิกอีกครั้ง แม้เขาจะพกดีกรีต่างๆ มากมาย แต่กลับไร้เหรียญในครั้งนี้ โดย แด-ฮุน พ่ายให้กับ อูลุกเบค ราชิตอฟ มือวางอันดับสุดท้ายของรุ่น ชาวอุซเบกิสถาน ตั้งแต่รอบ 16 คนสุดท้าย แม้จะโชคดีได้กลับมาเล่นในรอบชิงเหรียญทองแดง แต่เขาก็พ่ายแพ้ให้กับ จ้าว ฉ่วย มือวางอันดับ 3 ของรุ่น จากประเทศจีน 15-17 คะแนน

ทำเนียบเหรียญในกีฬาเทควันโดของทัพจอมเตะจากเกาหลีใต้
โอลิมปิก 2020 ที่ญี่ปุ่น : 1 เหรียญเงิน, 2 เหรียญทองแดง
โอลิมปิก 2016 ที่บราซิล : 2 เหรียญทอง, 3 เหรียญทองแดง
โอลิมปิก 2012 ที่อังกฤษ : 1 เหรียญทอง, 1 เหรียญเงิน
โอลิมปิก 2008 ที่จีน : 4 เหรียญทอง
โอลิมปิก 2004 ที่กรีซ : 2 เหรียญทอง, 2 เหรียญทองแดง
โอลิมปิก 2000 ที่ออสเตรเลีย : 3 เหรียญทอง, 1 เหรียญเงิน
#7197



รายงานวิจัยล่าสุดของธนาคารโลกคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของเมียนมาจะหดตัวประมาณ 18% ในปีนี้เพราะผลพวงของปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองอันเนื่องมาจากการทำรัฐประหารยึดอำนาจของกองทัพเมียนมาเมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา และการที่จำนวนผู้ป่วยโรคโควิด-19รายใหม่ในระลอกที่3ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ตัวเลขประมาณการทางเศรษฐกิจที่บรรจุในรายงาน"สังเกตุการณ์เศรษฐกิจเมียนมา"และถูกนำออกเผยแพร่วานนี้(26ก.ค.)ร่วงลงเกือบ2เท่าเหลือ 10% ในเดือนมี.ค.และบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจเมียนมาจะแย่ลงยิ่งกว่านี้ในอีกสองสามเดือนข้างหน้า

ส่วนการคาดการณ์จากที่อื่นๆ ที่รวมถึงการคาดการณ์ในเดือนมิ.ย.โดยฟิทช์ โซลูชันส์ หน่วยงานในเครือกลุ่มบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของโลก ประเมินว่าเศรษฐกิจของเมียนมาจะหดตัว 20% หรือมากกว่านั้นในปีงบประมาณนับจนถึงวันที่ 30 ก.ย.โดยอ้างถึงภาวะช็อคทางเศรษฐกิจเมื่อไม่นานมานี้

ธนาคารโลก ยอมรับว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19สร้างผลกระทบเพิ่มเติมอย่างมีนัยสำคัญแก่เศรษฐกิจของเมียนมาทั้งยังคุกคามชีวิตและการทำมาหากินที่อาจจะกินเวลาไปจนถึงปี 2565

ทางการเมียนมารายงานว่า นับจนถึงวันที่ 24 ก.ค.ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศมีจำนวนเกือบ 260,000 ราย และยอดผู้เสียชีวิต 6,460 ราย ส่วนยอดผู้ติดเชื้อรายวันเฉลี่ยวันละประมาณ 6,000 ราย แม้ว่านี่อาจเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าความเป็นจริง เนื่องจากข้อจำกัดในการตรวจหาเชื้อและการหลั่งไหลของข้อมูล

อย่างไรก็ตาม รายงานวิจัยเศรษฐกิจของธนาคารโลกฉบับนี้มีมุมมองเกี่ยวกับเศรษฐกิจเมียนมาแย่ลง เพราะเมื่อวันที่ 26 มี.ค.ธนาคารโลก ได้ออกรายงานคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจเมียนมาจะหดตัวลง 10% ในปีนี้ โดยได้รับผลกระทบจากการชุมนุมประท้วงทั่วประเทศ, การผละงาน และการที่เมียนมาถูกนานาประเทศคว่ำบาตร หลังจากกองทัพเมียนมาได้ก่อรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลเมื่อวันที่ 1 ก.พ. ซึ่งตัวเลขคาดการณ์นี้ สวนทางกับที่ธนาคารโลกคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า เศรษฐกิจเมียนมาจะขยายตัว 5.9% ในปีนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวเลขคาดการณ์แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคเอเชีย

ธนาคารโลก ระบุว่า เมียนมาได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากเหตุการณ์ประท้วง, การผละงาน และการใช้มาตรการทางทหาร ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้การเคลื่อนไหวสัญจรภายในประเทศลดน้อยลง และทำให้การบริการในด้านต่างๆ ต้องหยุดชะงัก ซึ่งรวมถึงการบริการในภาคธนาคาร, โลจิสติกส์ และอินเทอร์เน็ต

รายงานของธนาคารโลกยังระบุด้วยว่า กลุ่มผู้ประท้วงในเมียนมาพุ่งเป้าโจมตีไปที่เศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงอารยะขัดขืนเพื่อต่อต้านการก่อรัฐประหารของกองทัพเมียนมา ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวได้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อระบบธนาคารของเมียนมา และยังทำให้นักลงทุนต่างชาติถอนการลงทุนออกจากประเทศไปจนกว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลตามระบอบประชาธิปไตย

นอกจากนี้ การที่รัฐบาลทหารเมียนมาชัตดาวน์ระบบอินเทอร์เน็ตเพื่อสกัดการประท้วงไม่ให้ลุกลามนั้น ยังเป็นอีกปัจจัยที่สร้างความเสียหายต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจของเมียนมาด้วย

"ขณะที่การตรวจหาเชื้อโควิด-19ในเมียนมายังเป็นไปอย่างจำกัด จำนวนผู้มีผลตรวจเป็นบวกก็สูงมาก บ่อยครั้งพบว่ามีอัตรามากกว่า 33% บ่งชี้ว่ามีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ในวงกว้างบวกกับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และพฤติกรรมเฝ้าระวังของผู้คนทำให้ความท้าทายทางด้านเศรษฐกิจของเมียนมาเพิ่มขึ้น" รายงานของธนาคารโลก ระบุ

"คิม อลัน เอ็ดวาร์ดส์" นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสประจำเมียนมาของธนาคารโลก เตือนว่า เศรษฐกิจของเมียนมาจะหดตัวมากกว่านี้ในช่วงปลายปีนี้เพราะการระบาดของโรคโควิด-19

"ขณะที่มีสัญญาณเบื้องต้นที่บ่งชี้ถึงความมีเสถียรภาพในบางส่วนในช่วงเดือนพ.ค.และมิ.ย.ที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นและปัญหาการดิสรัปด้านโลจิสติกก็บรรเทาลง แต่หากมองภาพรวมกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ยังถือว่าอ่อนแออยู่มาก และมีแนวโน้มว่าเศรษฐกิจเมียนมาจะหดตัวตั้งแต่เดือนก.ค.เป็นต้นไป "นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสประจำเมียนมาของธนาคารโลก กล่าว


ธนาคารโลกคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อของเมียนมาจะอยู่ที่ 6% ในปี 2564 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 5.8% ในปี 2563 และมีแนวโน้มว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์หลายคนเตือนว่า อัตราเงินเฟ้อในเมียนมาอาจเพิ่มขึ้นเป็นตัวเลขสองหลักในไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ หลังจากเมื่อไม่นานมานี้ มีสัญญาณบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นเมื่อทางการพิมพ์ธนบัตรใหม่ๆออกมาสู่ระบบบเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ รายงานของธนาคารโลกยังอ้างถึงราคาเชื้อเพลิงในเมียนมาที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเพิ่มขึ้น 50% นับตั้งแต่ปลายเดือนม.ค.การที่เงินจัตอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว โดยอ่อนค่าลงไปประมาณ 23% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐตั้งแต่วันที่ 1ก.พ.-กลางเดือนก.ค. ประกอบกับภาวะขาดแคลนอาหารในช่วงที่คนทั้งประเทศวิตกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีปัญหาความขัดแย้ง

ขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยิ่งซ้ำเติมปัญหาต่างๆที่มีอยู่แล้วให้ย่ำแย่ลงไปอีก จนส่งผลให้ความต้องการบริโภคในประเทศลดลงเพราะคนตกงานจากมาตรการล็อกดาวน์และตัวแปรอื่นๆที่จะหนุนอัตราเงินเฟ้อในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยเฉพาะการที่ราคาสินค้าประเภทอาหารปรับตัวเพิ่มขึ้น
#7198



สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 26 ก.ค.ว่านพ.แอนโธนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติของสหรัฐ ( เอ็นไอเอช ) กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (25 ก.ค.) เกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศ ที่จำนวนผู้ป่วยยืนยันรายวันกลับมา "เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด" ซึ่งเป็นผลจากการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ "เดลตา" ว่า "เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่จำเป็น" เมื่อพบว่า ผู้ติดเชื้อในระยะหลังยังไม่ได้ฉีดวัคซีน

ขณะเดียวกัน นพ.เฟาซีกล่าวถึงการปรับเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติ เรื่องการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าเมื่ออยู่ในสถานที่สาธารณะ ว่าหน่วยงานกลางที่เกี่ยวข้องกำลังพิจารณาทบทวน "อย่างจริงจัง" หลังเทศบาลหลายแห่ง รวมถึงเทศบาลนครลอสแอนเจลิส มีคำสั่งให้ประชาชนกลับมาสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าเมื่ออยู่ในสถานที่สาธารณะ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แล้วหรือไม่

เกี่ยวกับประเด็นการฉีดวัคซีนเข็มที่สาม หรือ "บูสเตอร์" เพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย นพ.เฟาซีกล่าวว่า "ยังคงเป็นเรื่องที่กำลังศึกษา" แต่หากได้ข้อสรุปชัดเจนกว่านี้ บูสเตอร์ "มีความจำเป็นจริง" กลุ่มที่สมควรได้รับวัคซีนเข็มที่สามก่อน ควรรวมถึง ผู้ป่วยที่เข้ารับการปลูกถ่ายอวัยวะ ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ในกระบวนการเคมีบำบัด ผู้ป่วยโรคภูมิต้านทานเนื้อเยื่อตัวเอง และผู้ที่ต้องรับประทานยากดภูมิต้านทาน เนื่องจากกลุ่มคนเหล่านี้มีระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอและไม่เป็นปกติ
#7199
ขายดาวน์  215,800 ( กค 2564 ) ห้อง 716
#7200
ขายดาวน์  215,800 ( กค 2564 ) ห้อง 812