• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - PostDD

#2701


กูเกิล (Google) เอาจริงเอาจังกับการผลิตฮาร์ดแวร์ แทนที่จะรอพึ่งพาบริษัทอื่นให้ผลิตชิ้นส่วนที่ต้องการ ล่าสุดกูเกิลลงมือสร้างระบบชิป SoC (System on a Chip) สำหรับโทรศัพท์พิกเซล (Pixel) ขึ้นเอง ส่งสัญญาณพร้อมรบกับแอปเปิล (Apple) และซัมซุง (Samsung)

ชิปใหม่ของกูเกิลมีชื่อเรียกว่า "เท็นเซอร์" (Tensor) มีกำหนดเปิดตัวในโทรศัพท์ Pixel 6 และ Pixel 6 Pro เพื่อแจ้งเกิดในไตรมาส 3 ปีนี้ เบื้องต้น กูเกิลให้ข้อมูลว่าใช้เวลาหลายปีในการพัฒนา บนเป้าหมายที่ไม่เพียงแต่ทำให้โทรศัพท์ Pixel มีความสามารถมากขึ้น แต่ยังจะทำให้ฟีเจอร์สำหรับปรับเปลี่ยนตามความต้องการของผู้ใช้ สามารถทำได้ยืดหยุ่นมากกว่าเดิม

จุดเด่นของชิปนี้คือความปลอดภัยที่ทรงพลังยิ่งขึ้น เมื่อรวมกับชิป Titan M2 ก็ยิ่งทำให้ Pixel 6 เป็นอุปกรณ์ที่มีความปลอดภัยในระดับฮาร์ดแวร์มากที่สุดเมื่อเทียบกับโทรศัพท์ทุกเครื่องในตลาด ซึ่งจะเป็นข้อได้เปรียบ ที่ทำให้ Pixel แข่งขันกับไอโฟน (iPhone) ได้ดีขึ้น



ริก ออสเตอร์โลห์ (Rick Osterloh) รองประธานอาวุโสฝ่ายอุปกรณ์และบริการของ Google กล่าวกับสำนักข่าวอินไซเดอร์ (Insider) ว่าสิ่งที่กูเกิลสร้างขึ้นคือคอมพิวเตอร์ AI แบบพกพา เนื่องจากข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ เป็นสิ่งสำคัญที่จำกัดความสามารถในการประมวลผลระบบ ดังนั้นชิปนี้จึงสามารถผลักดันให้สมาร์ทโฟนของ Google ดีขึ้น

ผู้บริหารกูเกิล ยอมว่าข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ทำให้บริษัทไม่สามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ให้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนาฟีเจอร์ด้านปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่อง

จุดนี้สอดรับกับแนวทางของกูเกิล ที่พยายามขยายวงไปยกระดับการถ่ายภาพและการวิเคราะห์รู้จำคำพูด ที่ผ่านมา กูเกิลมุ่งมั่นที่จะพาคุณสมบัติ AI มาเปล่งประกายบนกล้องของ Pixel 6 รวมถึงการติดปีกให้ทักษะการแปลภาษาเก่งกาจไร้เทียมทานมากขึ้น



สำหรับชิป Tensor อีกความสามารถที่โดดเด่นในการช่วยให้การถ่ายภาพได้คมชัด แม้จะถ่ายภาพวัตถุที่เคลื่อนไหวอยู่ เช่น ภาพเด็กวัยหัดเดินที่กำลังเล่น ขณะเดียวกัน ชิปนี้ทำให้เครื่องสามารถเล่นวิดีโอภาษาฝรั่งเศสซึ่งถูกแปลและมีคำบรรยายเป็นภาษาอังกฤษแบบเรียลไทม์ขณะกำลังเล่นวิดีโอ ทั้งหมดนี้ทำได้ไหลลื่นไม่มีสะดุด

กูเกิลมั่นใจว่าชิปใหม่ Tensor จะทำให้ฟีเจอร์ UI เคลื่อนไหวได้อย่างคล่องตัวในลักษณะที่ "เป็นธรรมชาติอย่างไม่น่าเชื่อ" นำไปสู่การยกเครื่องระบบภาพทั้งหมดของโทรศัพท์ได้

ในภาพรวม ชิปใหม่จะเพิ่มความสามารถหลักตั้งแต่ระบบกล้องที่จะเก่งขึ้น ไปจนถึงการรู้จำเสียงพูด และอื่นๆ อีกมากมาย ตรงนี้กูเกิลแซวในบล็อกโพสต์ว่า ไม่ว่าใครจะพยายามถ่ายภาพครอบครัวโดยที่ลูกน้อยไม่ยอมอยู่นิ่ง หรือใครที่พยายามสื่อสารกับคนรู้จักในภาษาอื่น ทั้งหมดนี้ Pixel จะช่วยได้ และจะมีประโยชน์มากกว่าที่เคย

https:// m.mgronline.com/cyberbiz/detail/9640000075801
#2702


ไอบีเอ็ม วิเคราะห์เหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหลที่เกิดกับองค์กรกว่า 500 แห่งทั่วโลก พบมูลค่าความเสียหายของเหตุด้านไซเบอร์ซิเคียวริตี้เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังจัดการยากขึ้น เพราะองค์กรมีการปรับรูปแบบการดำเนินงานครั้งใหญ่ อีกทั้งค่าใช้จ่ายยังเพิ่มขึ้นถึง 10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

ปีที่แล้วองค์กรต่างถูกบีบให้ต้องปรับตัวและนำเทคโนโลยีมาใช้รวดเร็ว หลายบริษัทต้องให้พนักงานทำงานจากบ้าน ขณะที่องค์กร 60% ปรับงานสู่คลาวด์มากขึ้นช่วงแพร่ระบาด ผลศึกษาชี้ให้เห็นว่า ระบบซิเคียวริตี้ขององค์กรอาจยังปรับตัวตามระบบไอทีที่เปลี่ยนอย่างรวดเร็วไม่ทัน กลายเป็นอุปสรรครับมือเหตุข้อมูลรั่วไหลขององค์กร

รายงานมูลค่าความเสียหายของเหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหลประจำปี ที่ดำเนินการโดยสถาบันโพเนมอน ภายใต้การสนับสนุนและวิเคราะห์โดยไอบีเอ็ม ซีเคียวริตี้ ระบุถึงเทรนด์สำคัญ ดังนี้

ผลกระทบจากการทำงานระยะไกล จะเห็นได้ว่าการปรับโหมดสู่การทำงานระยะไกลอย่างรวดเร็ว ทำให้มูลค่าความเสียหายจากเหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหลสูงขึ้น เคสที่มีปัจจัยต้นเหตุมาจากการทำงานระยะไกล สร้างความเสียหายมากกว่า เคสทั่วไปที่ไม่มีปัจจัยดังกล่าวเข้ามาเกี่ยวข้องเฉลี่ยกว่า 35 ล้านบาท (มูลค่าความเสียหาย 162 ล้านบาท เทียบกับ 127 ล้านบาท) 

ความเสียหายจากข้อมูลเฮลธ์แคร์รั่วพุ่งสูง อุตสาหกรรมที่ต้องเผชิญความเปลี่ยนแปลงอย่างมากช่วงการแพร่ระบาด อย่างเฮลธ์แคร์ ค้าปลีก บริการ และการผลิต กระจายสินค้าอุปโภค-บริโภค ต้องเผชิญค่าใช้จ่ายจากเหตุข้อมูลรั่วเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เหตุข้อมูลรั่วในกลุ่มเฮลธ์แคร์สร้างความเสียหายมากสุด คือ 303 ล้านบาทต่อเคส ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 60 ล้านบาทต่อเคส เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

ข้อมูลรับรองตัวตนของบุคคลรั่ว นำสู่ข้อมูลรั่ว ข้อมูลรับรองตัวตนของบุคคลที่ถูกขโมย คือ ต้นเหตุข้อมูลรั่วไหลที่พบมากที่สุด ข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า (เช่น ชื่อ อีเมล และพาสเวิร์ด) คือ ชุดข้อมูลที่พบมากสุดในเหตุข้อมูลรั่วไหล หรือราว 44% ของเหตุที่เกิดขึ้น การที่ข้อมูลชื่อผู้ใช้และพาสเวิร์ดรั่วไปพร้อมกัน อาจนำสู่ผลที่ร้ายแรงกว่าที่คิด เพราะเป็นการเปิดช่องโจมตีในอนาคตให้กับอาชญากร

เทคโนโลยีก้าวล้ำลดมูลค่าความเสียหาย การนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ ซิเคียวริตี้ อนาไลติกส์ และการเข้ารหัสมาใช้ เป็นหนึ่งในสามปัจจัยหลักช่วยลดมูลค่าความเสียหายจากเหตุข้อมูลรั่วให้องค์กรได้ประมาณ 41-48 ล้านบาท เมื่อเทียบกับองค์กรที่ไม่ได้มีการนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้จริงจัง 

ทั้งนี้ พบว่า องค์กรที่ใช้แนวทางไฮบริดคลาวด์มีมูลค่าเสียหายจากเหตุข้อมูลรั่ว 118 ล้านบาท น้อยกว่ากลุ่มที่ใช้พับลิกคลาวด์เป็นหลัก (157 ล้านบาท) หรือกลุ่มที่ใช้ไพรเวทคลาวด์เป็นหลัก (149 ล้านบาท)

"คริส แมคเคอร์ดี" รองประธานและกรรมการผู้จัดการ ไอบีเอ็ม ซิเคียวริตี้ กล่าวว่า มูลค่าความเสียหายจากเหตุข้อมูลรั่วไหลที่พุ่งสูงขึ้นกลายเป็นภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นขององค์กร ขณะที่องค์กรเองต้องปรับตัวรวดเร็ว เพื่อนำเทคโนโลยีมาใช้ช่วงแพร่ระบาด 

"แม้มูลค่าความเสียหายจากเหตุข้อมูลรั่วไหล จะสูงเป็นประวัติการณ์ในปีที่ผ่านมา แต่ผลศึกษาชี้ให้เห็นแนวโน้มเชิงบวกจากการนำเทคโนโลยีซิเคียวริตี้ที่ก้าวล้ำเข้ามาใช้ ไม่ว่าจะเป็น เอไอ ออโตเมชัน หรือ zero trust เทคโนโลยีเหล่านี้อาจนำสู่มูลค่าความเสียหายที่ลดลงในอนาคต"

หลายองค์กรปรับตัวสู่การทำงานระยะไกล และเริ่มใช้คลาวด์มากขึ้น การที่สังคมหันพึ่งการปฏิสัมพันธ์ดิจิทัลเพิ่มช่วงแพร่ระบาด รายงานชี้ให้เห็นว่า ปัจจัยเหล่านี้ก่อให้เกิดผลกระทบ องค์กรเกือบ 20% ระบุว่า การทำงานระยะไกล คือ สาเหตุของข้อมูลรั่ว ซึ่งสร้างความเสียหายให้บริษัทถึง 162 ล้านบาท (สูงกว่าเหตุข้อมูลรั่วโดยเฉลี่ย 15%)

ข้อมูลรับรองตัวตนบุคคลรั่วไหล

รายงานยังชี้ว่า 82% ของกลุ่มบุคคลที่สำรวจยอมรับว่าใช้พาสเวิร์ดเดิมซ้ำในหลายแอคเคาท์ ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นต้นเหตุและผลลัพธ์หลักของเหตุข้อมูลรั่ว แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงให้กับธุรกิจต่างๆ ด้วย

ข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหล เกือบครึ่ง (44%) ของเหตุข้อมูลรั่วที่วิเคราะห์ เป็นต้นเหตุที่ทำให้ข้อมูลลูกค้าหลุดออกไป ไม่ว่าจะเป็นชื่อ อีเมล พาสเวิร์ด หรือแม้แต่ข้อมูลด้านสุขภาพ เหล่านี้เป็นชุดข้อมูลที่พบว่ามีการรั่วไหลมากที่สุด

ข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าสร้างมูลค่าความเสียหายสูงสุด การสูญเสียข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า มีมูลค่าความเสียหายสูงกว่าข้อมูลประเภทอื่นๆ (ราว 6,000 บาทต่อรายการ เทียบกับค่าเฉลี่ย 5,300 บาทของข้อมูลประเภทอื่น)

วิธีการโจมตีที่พบมากที่สุด การเจาะระบบด้วยข้อมูลรับรองตัวตนของบุคคลที่รั่ว คือวิธีการเริ่มต้นโจมตีที่อาชญากรใช้มากที่สุด นับเป็น 20% ของเหตุข้อมูลรั่วไหลที่ศึกษา

แม้การปรับเปลี่ยนระบบไอทีช่วงแพร่ระบาดจะนำสู่มูลค่าความเสียหายจากเหตุข้อมูลรั่วที่เพิ่มขึ้น แต่องค์กรที่ระบุว่าไม่ได้ดำเนินโครงการดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น คือ กลุ่มที่เผชิญกับมูลค่าความเสียหายจากเหตุข้อมูลรั่วสูงกว่า โดยสูงกว่าองค์กรอื่นประมาณ 24.6 ล้านบาทต่อเคส (16.6%)

องค์กรที่ระบุว่าใช้แนวทางซิเคียวริตี้แบบ Zero Trust มีความพร้อมรับมือเหตุข้อมูลรั่วไหลได้ดีกว่า โดย Zero Trust เป็นแนวทางบนพื้นฐานของสมมติฐานที่ว่า ทั้งข้อมูลระบุตัวตนของผู้ใช้และตัวเน็ตเวิร์คเองอาจถูกเจาะแล้ว ดังนั้นจึงใช้เอไอและอนาไลติกส์เข้ามาทำหน้าที่รับรองการเชื่อมต่อระหว่างผู้ใช้ ข้อมูล และทรัพยากรต่างๆ แทน องค์กรที่ใช้กลยุทธ์ Zero Trust มีมูลค่าความเสียหายจากเหตุข้อมูลรั่วเฉลี่ย 108 ล้านบาทต่อเคส ซึ่งต่ำกว่าองค์กรที่ไม่ได้ใช้แนวทางดังกล่าวราว 58 ล้านบาท

การลงทุนพัฒนาทีมและแผนตอบสนองต่อเหตุโจมตียังเป็นหนึ่งในแนวทางที่ช่วยลดมูลค่าความเสียหายจากเหตุข้อมูลรั่ว โดยองค์กรที่มีทีมรับมือเหตุโจมตีและมีการทดสอบแผนการรับมือ มีมูลค่าความเสียหายจากเหตุข้อมูลรั่วเฉลี่ย 106 ล้านบาท ขณะที่องค์กรที่ไม่มีทั้งทีมงานและแผนรับมือ ต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายจากเหตุข้อมูลรั่วเฉลี่ย 187 ล้านบาท (ต่างกัน 54.9%)

เป็นที่น่าสังเกตุว่า ครั้งนี้ เหตุข้อมูลรั่วไหลในอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์มีมูลค่าความเสียหายสูงสุด (ราว 303 ล้านบาทต่อเคส) ตามด้วยอุตสาหกรรมการเงิน (188 ล้านบาท) และเภสัชกรรม (165 ล้านบาท) โดยแม้กลุ่มอุตสาหกรรมค้าปลีก สื่อ บริการ และภาครัฐ จะมีมูลค่าความเสียหายต่ำกว่า แต่ถือว่ามีมูลค่าความเสียหายเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
#2703


"ทีมพี่เลี้ยง" 2 หัวหอกสหภาพแรงงานฯ แท็กทีมเครือข่ายเชิงพื้นที่ผนึก กสศ.ฉุดเยาวชนแรงงานสู้วัฎจักรเหลื่อมล้ำทางการศึกษาก้าวข้ามกับดักความยากจน

กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือ กสศ. เป็นองค์กรแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้กับรัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการศึกษาด้วยการนำเสนอ "โครงการนำร่อง" เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปการศึกษาและแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา เบื้องต้นมีหลักฐานบ่งชี้ว่าภาคประชาสังคม องค์กรพัฒนาเอกชน หรือ เอ็นจีโอ รวมถึงชุมชนสามารถเข้าถึง ค้นหาและสนับสนุนเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาได้ในฐานะเกาะติดในพื้นที่ จึงเกิดความร่วมมือระหว่าง กสศ. กับ โครงการพัฒนาครูและเด็กนอกระบบการศึกษา โดยเครือข่ายเชิงพื้นที่ : ภาคตะวันออก จังหวัดปราจีนบุรี

จังหวัดปราจีนบุรีเป็นหนึ่งในพื้นที่ทำงานที่ กสศ. ต้องการสนับสนุน "เยาวชนแรงงานนอกระบบการศึกษา" อายุระหว่าง 18 ถึง 25 ปี ในเขตนิคมอุตสาหกรรมให้สามารถฝ่าข้ามสถานการณ์เศรษฐกิจอันเปราะบางจากการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา หรือ โควิด – 19 อาจทำให้เกิดปัญหาว่างงานได้ในอนาคตและเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต เนื่องจากการศึกษาเชิงพื้นที่พบว่า วัฏจักรแห่งความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาจากรุ่นสู่รุ่น คือ "ติดกับดักค่าจ้าง" จากอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ , ค่าล่วงเวลา หรือ โอที ,โบนัสประจำปี และเบี้ยขยันขึ้นอยู่กับชั่วโมงการทำงานมากน้อยเพียงใด



ดังนั้นเพื่อความอยู่รอดทางเศรษฐกิจครอบครัว จำเป็นต้องงทำงานหนักอันเป็นผลพวงจากการศึกษาต่ำ จึงทำให้โอกาสในการเลือกประกอบอาชีพที่มีรายได้สูงย่อมแคบลง ประกอบกับปัญหาครอบครัวและหนี้สินสะสม จำเป็นต้องทนทำงานเป็นเวลายยาวนานเฉลี่ย 12 ถึง 14 ชั่วโมงต่อวันเป็นอย่างน้อย จึงส่งผลให้ไม่มีเวลาดูแลครอบครัวและบุตรสุ่มเสี่ยงหลุดนอกระบบการศึกษาได้โดยง่าย นอกจากนี้ยังไม่มีเวลาในการศึกษาหรือพัฒนาทักษะใหม่ และ ปัญหาสุขภาพจากการทำงานในระยะยาวต้องแบกต้นทุนการดูแลสุขภาพจากโรคเรื้อรังรุมเร้าในช่วงบั้นปลายชีวิต

ในการขับเคลื่อนงานเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเยาวชนแรงงานนอกระบบการศึกษา "ปัญญา ตลุกไธสง" ประธานสหภาพแรงงานฮิตาชิแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานกลุ่มสหภาพแรงงานจังหวัดปราจีนบุรี ถือเป็นหัวหอกคนสำคัญในการนำ "ทีมพี่เลี้ยง" จำนวน 20 คน ร่วมกับชุมชนทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายความร่วมมือในพื้นที่ โดยกลุ่มสหภาพแรงงานจังหวัดปราจีนบุรี มีบทบาทเป็นแหล่งค้นหากลุ่มเป้าหมาย ประชาสัมพันธ์และสื่อสารภายในสมาชิกสหภาพฯ ที่ทำงานในโรงงาน 9 แห่ง พร้อมเก็บข้อมูลเบื้องต้น ประสานครอบครัวและชุมชนให้มาเข้าร่วมกิจกรรม รวมถึงอำนวยความสะดวกสถานที่จัดกิจกรรม ทั้งยังผนึกความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายหน่วยงานรัฐ อาทิ สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานปราจีนบุรี , สำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานปราจีนบุรี และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ วิทยาเขตปราจีนบุรี เข้ามาสนับสนุนองค์ความรู้ หลักสูตรและวิทยากร ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญมาร่วมจัดฝึกอบรมทักษะชีวิตและทักษะอาชีพ



ทั้งนี้ กสศ. ได้สนับสนุนการพัฒนาศักยภาพ "ทีมพี่เลี้ยง" ให้เข้ามาช่วยดูแลเยาวชนแรงงานนอกระบบการศึกษาที่เข้าร่วมโครงการฯ โดยเฉพาะแกนนำสหภาพแรงงานจังหวัดปราจีนบุรีที่แต่ละสหภาพฯมีความเชี่ยวชาญในสาขาอาชีพที่ตนเองถนัดตามศักยภาพเข้ามาร่วมจัดพื้นที่การเรียนรู้ใหม่ที่เหมาะสมกับเยาวชนแรงงานและสภาพพื้นที่ อาทิ เพิ่มทักษะอาชีพเสริม หรือ ต่อยอดอาชีพเดิม เช่น ตัดผมเสริมสวย อัดกรอบพระ เบเกอรี่อาหารเครื่องดื่ม หรือ สนับสนุนทุนและทักษะอาชีพแบบรายกลุ่มที่สอดคล้องกับสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของโรงงานที่เยาวชนแรงงานนอกระบบการศึกษาทำงานอยู่นำมาจัดจำหน่าย หรือ ให้บริการภายในชุมชน อาทิ "ฮิตาชิ" และ "ไฮเออร์" โรงงานผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น ตู้แช่ ปั๊มน้ำ เครื่องทำน้ำอุ่น ฯลฯ สนับสนุนให้เกิดอาชีพบริการ "ช่างชุมชน" หารายได้เสริมระหว่างทำงานในโรงงานในช่วงวันหยุด

เช่นเดียวกับ "ธีระพงษ์ อุ่นฤดี" แกนนำสหภาพแรงงานซันโยแห่งประเทศไทย หรือ บริษัท ไฮเออร์ อีเล็คทริค (ประเทศไทย) จำกัด อีกหนึ่งแนวหน้าที่เข้ามาร่วมหนุนเสริม เพราะเห็นว่าโครงการฯ กสศ. สอดคล้องกับปัญหาและสถานการณ์เชิงพื้นที่ โดยเฉพาะสถานการณ์โควิด ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจครอบครัวผู้ใช้แรงงานอย่างมาก เนื่องจากรายได้หลักเกินครึ่งหนึ่งมาจากการทำงานล่วงเวลา หรือ โอที แต่พอเกิดสถานการณ์โควิด รายได้จากโอทีหดหาย ขณะเดียวกันผู้ประกอบการเริ่มใช้แรงงานต่างด้าวเข้ามาทดแทนแรงงานไทยมากขึ้น ดังนั้นแรงงานไทยต้องพัฒนาฝีมือแรงงานอยู่เสมอไม่เช่นนั้นตกงาน



ยิ่งซ้ำร้ายไปกว่านั้น เริ่มมีสัญญาณไม่ดี ลดค่าจ้าง ลดโอที หรือ บางแห่งถึงขั้นปิดโรงงานลอยลอยแพพนักงานจากวิกฤตโควิด จึงทำให้สถานะทางเศรษฐกิจครอบครัวของเยาวชนแรงงานนอกระบบการศึกษาเปราะบางมาก ดังนั้นการมีอาชีพเสริม หรือ อาชีพทางเลือกระหว่างทำงานประจำในโรงงาน จะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงต่อเศรษฐกิจครอบครัว จึงกลายเป็นความร่วมมือระหว่าง กสศ.กับภาคีเครือข่ายในพื้นที่ท่ามกลางสถานการณ์โควิด

"แรงงานที่ติดโควิด ทั้งเพราะไม่รู้ตัว หรือรู้ตัวว่าติดแต่ก็ไม่กล้าบอกใคร เพราะกลัวถูกนายจ้างไล่ออกจากงาน เพราะงานที่ทำอยู่รายได้ก็ไม่พอกินอยู่แล้ว หากติดโควิดหรือต้องกักตัวก็ขาดรายได้แล้วจะอยู่ได้อย่างไร" แกนนำสหภาพซันโยฯ กล่าวถึงผลกระทบวิกฤตโควิดในกลุ่มผู้ใช้แรงงาน แนวทางการดำเนินการต่อไปที่ภาคีเครือข่ายในพื้นที่นำเสนอแนะว่า ควรเน้น "ขยายความร่วมมือ" เพิ่มกับโรงงานอุตสาหกรรมแห่งใหม่ในพื้นที่ มุ่งเน้น "เข้าถึงชุมชน" ในพื้นที่โดยรอบเขตนิคมอุตสาหกรรมให้มากขึ้น เนื่องจากเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของครอบครัวผู้ใช้แรงงานโดยดึงผู้นำชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมสำรวจ ค้นหาและสนับสนุนการพัฒนาทักษะอาชีพและทักษะชีวิตเยาวชนแรงงานนอกระบบการศึกษา พร้อมกับสนับสนุนควรจัดตั้ง "ศูนย์ประสานภาคีความร่วมมือการเรียนรู้ตลอดชีวิตโดยมีชุมชนเป็นฐาน" โดยยึดหลักไม่เน้นจัดตั้งเป็นองค์กร แต่เน้นสร้าง "ภาคีความร่วมมือ" และ "การมีส่วนร่วม" จากทุกภาคส่วนในพื้นที่มาทำงานหรือจัดกิจกรรมร่วมกับ กสศ. เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาอย่างยั่งยืนต่อไป

https:// m.mgronline.com/politics/detail/9640000075266
#2705
111-Lotto 111  ตัวแทนจำหน่าย ล็อตเตอรี่ออนไลน์ รายใหญ่ของ มังกรฟ้าล็อตเตอรี่ออนไลน์  ปรับเปลี่ยนรูปแบบการซื้อล็อตเตอรี่แบบใหม่  ยุค new normal




ไม่ต้องไปหน้าแผง ไม่ต้องเสียเวลาก้มหาเลข ไม่ต้องไปลุ้นว่าจะมีเลขที่อยากได้มั้ย แค่แอดไลน์ หาเรา บอกเลขที่ต้องการ เลขเด็ด เลขดัง แจ้งโอนเงิน จะได้รับ SMS ยืนยัน




ถ้าถูกรางวัลสามารถขึ้นเงินได้จริง ได้รับเงินจริงไม่เกิน 24 ชม โดยปกติใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมงหลังผลสลากกินแบ่งรัฐบาลออกเท่านั้น 

ขั้นตอนการซื้อ ล็อตเตอรี่ออนไลน์ กับเรานั้น ง่ายๆ มาก มี 2 แบบให้เลือกแล้วแต่สะดวก

1. แอดไลน์ @111-lotto หรือคลิกทีนี่ เพื่อ คุยกับแอดมินโดยตรงและทำการสั่งซื้อและโอนเงินผ่านไลน์ มีเจ้าหน้าที่แนะนำทุกขั้นตอน 

111-lotto รีบแอดไลน์เพื่อเลือกเลขรางวัลก่อนใคร

Add Line : @111-lotto





2. สั่งซื้อผ่านระบบ 111-lotto ล็อตเตอรี่ของของมังกรฟ้าล็อตเตอรี่ออนไลน์ ด้วยตัวเอง จะทำที่ไหน เมื่อไหร่ เวลาไหนก็ได้ Add Line : @111-lotto


 


 
#2706



นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ครึ่งแรกของปี 2564 การส่งออกสินค้าเกษตรของไทยขยายตัวมากกว่า 20% และหลายสินค้าขยายตัวสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลไม้สด โดยปี 2564 (ม.ค.-มิ.ย.) ไทยส่งออกผลไม้สดเป็นมูลค่า 2,896.87 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 42.21 % สินค้าส่งออกหลักขยายตัวอย่างโดดเด่น ได้แก่ ทุเรียน  58.24%    ลำไย 51.43%  มะม่วง   50.09%  กล้วย  18.59%  สัปปะรด  98.85%  ผลไม้จำพวกส้ม   374.75%  ลิ้นจี่  32.35%  ซึ่งตลาดส่งออกหลักยังคงเป็นตลาดจีน มีสัดส่วนกว่า  83 %ของการส่งออกผลไม้สดทั้งหมดของไทย นอกจากนี้ ยังมีตลาดอื่นๆ ที่ขยายตัวเช่นกัน อาทิ ฮ่องกง เวียดนาม มาเลเซีย และเกาหลีใต้ เป็นต้น

การส่งออกผลไม้สดไปยังตลาดหลักสำคัญที่สุดอย่างจีน มีมูลค่า 6 เดือนแรกอยู่ที่ 2,425.52 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 71.11% ผลไม้สำคัญที่ไทยส่งออกไปจีน ได้แก่ ทุเรียน ลำไย มังคุด ซึ่งมีการส่งออกไปยังหลายมณฑล โดยมณฑลที่นำเข้าผลไม้สดจากไทยมากที่สุด คือ มณฑลกวางตุ้ง มูลค่า 867.56 ล้านดอลลาร์ รองลงมาเป็นเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง มูลค่า 743.01 ล้านดอลลาร์  และมหานครฉงชิ่ง มูลค่า 485.79 ล้านดอลลาร์  นอกเหนือจาก 3 มณฑลที่กล่าวมา ยังมีมลฑลสำคัญที่นำเข้าผลไม้จากไทยเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยูนนาน เจ้อเจียง หูหนาน มหานครเซี่ยงไฮ้ และซานตง เป็นต้น

นายภูสิต กล่าวว่า ปีนี้ถือเป็นปีทองของการส่งออกผลไม้ไทย แม้จะยังมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่การส่งออกผลไม้ของไทยยังขยายตัวได้อย่างโดดเด่นไม่แพ้สินค้าส่งออกสำคัญอื่นๆ เนื่องจากนโยบายการทำงานเชิงรุกของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่มอบหมายให้ทูตพาณิชย์ในฐานะเซลส์แมนของประเทศ ทำงานร่วมกับพาณิชย์จังหวัดในฐานะเซลส์ของแมนจังหวัด จับคู่เจรจาธุรกิจระหว่างผู้นำเข้าจากต่างประเทศกับผู้ประกอบการสินค้าผลไม้ไทย ทั้งรูปแบบออนไลน์และไฮบริด การจับมือกับศูนย์การค้าและแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชั้นนำของต่างประเทศ เพื่อร่วมกันจัดกิจกรรมส่งเสริมทางการตลาดให้แก่ผลไม้ไทย เช่น จัดงาน Thai Fruit Golden Months เพิ่มยอดขายในประเทศจีนได้กว่า  20%  การจัดงานเปิดตัวและจำหน่ายมะม่วงมหาชนกเป็นครั้งแรกในเกาหลีใต้


ขณะที่ตลาดญี่ปุ่นได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกับศูนย์การค้าและซุปเปอร์มาร์เก็ต AEON, Donki, Itoyokado Store และ Beisia จำนวน 150 สาขา ในเมืองรองที่มีศักยภาพ และตลาดฮ่องกง ทูตพาณิชย์ฮ่องกงได้ติดต่อกับผู้นำเข้ารายใหญ่ของฮ่องกง จัดเจรจาธุรกิจสินค้ามะม่วงน้ำดอกไม้ผ่านระบบออนไลน์ และช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้ให้สามารถส่งออกผลิตภัณฑ์จากไร่สวนของตนมายังผู้นำเข้าผลไม้ฮ่องกงได้โดยตรง ช่วยลดต้นทุนและทำให้เกษตรกรได้เรียนรู้ขั้นตอนและเอกสารที่ต้องใช้ในการส่งออก เพื่อต่อยอดการส่งออกสินค้าเกษตรอื่นๆ ต่อไปในอนาคต 


นายภูสิต กล่าวว่า ทั้งนี้เมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา นายจุรินทร์ ได้เป็นประธานการประชุมผ่านระบบ VDO Conference เพื่อแก้ไขปัญหาการขนส่งผลไม้ โดยเฉพาะมังคุด โดยมีการประชุมร่วมกันระหว่างผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ ผู้ส่งออกผลไม้ ล้งผลไม้ ผู้ประกอบการโลจิสติกส์ ทูตพาณิชย์ ทูตเกษตรประจำประเทศจีน เนื่องจากขณะนี้ การส่งออกผลไม้ของไทยเผชิญปัญหาการจราจรติดขัดบริเวณด่านชายแดนเข้าสู่ประเทศจีน ณ ด่านโหย่วอี้กวน ซึ่งทูตพาณิชย์ และทูตเกษตรได้เจรจากับทางการจีน ขอให้ช่วยอำนวยความสะดวกและแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยแล้ว รวมทั้งขอให้จีนขยายเวลาเปิดด่านให้นานขึ้น ขณะเดียวกัน ได้มีการเจรจากับเวียดนามให้ช่วยอำนวยความสะดวกการขนส่งสินค้าผ่านเส้นทางหล่างเซิน ผ่านด่านหม่องก๋าย จังหวัดกว่างนิงห์ เนื่องจากเส้นทางดังกล่าวของเวียดนาม เป็นเส้นทางผ่านแดนของผู้ประกอบการโลจิสติกส์ไทยเข้าสู่จีน

โดยกระทรวงพาณิชย์ได้แนะนำให้ผู้ส่งออกกระจายไปใช้ด่านตงซิน และด่านรถไฟผิงเสียง เพื่อลดความแออัดและลดปัญหาที่ผลไม้อาจจะเน่าเสียระหว่างการขนส่ง โดยเจ้าหน้าที่ด่านตงซิง และด่านรถไฟผิงเสียง พร้อมอำนวยความสะดวกให้รถบรรทุกไทยให้สามารถขนส่งได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว กระทรวงพาณิชย์จะติดตามสถานการณ์และปัญหาการส่งออกอย่างใกล้ชิด

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/952120
#2707



"สิงห์ผงาด" แอสตัน วิลล่า บรรลุข้อตกลง 30 ล้านปอนด์จ่อคว้า ลีออน เบลี่ย์ ตัวเดินเกมริมเส้นทีมชาติจาไมก้า คาดเพื่อมาแทน แจ๊ค เกรียลิช ที่กำลังจะย้ายไป "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้

ขั้นตอนจากนี้เหลือแค่ เบลีย์ เจรจาเงื่อนไขสัญญาส่วนตัวกับค่าเหนื่อยก็พร้อมเดินทางมาตรวจร่างกายกับถิ่น มิดแลนด์ หลังจาก ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ยอมรับข้อเสนอที่จะขายเรียบร้อยแล้ว

เบลีย์ ได้รับความสนใจจากหลายทีมบนเวที พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ แต่สุดท้ายเป็น วิลล่า ที่กำลังจะได้ตัว โดยที่ผ่านมาปีกวัย 23 ปีซัดไป 28 ประตูจาก 119 นัดในการเล่น บุนเดสลีกา เยอรมัน ให้กับ เลเวอร์คูเซ่น

เบลีย์ จะกลายเป็นนักเตะรายที่ 3 ของ วิลล่า ในช่วงซัมเมอร์นี้ต่อจาก เอมิเลียโน บูเอ็นเดีย ปีกวัย 24 ปีชาวอาร์เจนไตน์ ที่ย้ายจาก นอริช ซิตี้ ด้วยค่าตัว 38 ล้านปอนด์ กับ แอชลีย์ ยัง ตัวริมเส้นสารพัดประโยชน์วัย 36 ปีที่คืนถิ่นเก่า หลังหมดสัญญากับ อินเตอร์ มิลาน

หากได้ตัว เบลีย์ ถือว่า วิลล่า เสริมทัพได้เข้าตาดีทีเดียว โดยจะเข้ามาปั้นเกมแทน เกรียลิช กัปตันทีมที่เมื่อไม่กี่วันมานี้ทีมเพิ่งได้ข้อเสนอก้อนโตจาก แมนฯซิตี้ เป็นค่าตัว 100 ล้านปอนด์
#2708

  

แรงบันดาลใจที่เปลี่ยนแปลงชีวิตคน หรือสร้างอนาคตให้ใครสักคน อาจมีที่มาหลากหลายแหล่ง หนังสือสักเล่ม เพลงสักเพลง หรือหนังสักเรื่อง เช่นเดียวกับแรงบันดาลใจที่ทำให้เด็กชายคนหนึ่งเติบโตมาเป็นศิลปินระดับซูเปอร์สตาร์ของโลก มาจากฉากเดียวในหนังดังเรื่องหนึ่ง

จอห์น เมเยอร์ ในวัย 8 ขวบ หลงใหลเสน่ห์ของกีตาร์จากการดู ไมเคิล เจ. ฟ็อกซ์ ในบท มาร์ตี แม็คฟลาย เล่นกีตาร์ในหนัง Back to the Future แต่กว่าจะได้จับกีตาร์จริงจังก็ตอนอายุ 13 ปี และไม่นานหลังจากนั้น เขาก็เริ่มฟังเพลงบลูส์จากศิลปินระดับตำนาน อย่าง บี.บี. คิง, บั๊ดดี กาย, อัลเบิร์ท คิง, โอทิส รัช, เฟร็ดดี คิง, ไลก์ทนิน' ฮ็อปกินส์ จนถึง สตีวี เรย์ วอห์น

เมเยอร์ เริ่มเรียนกีตาร์พื้นฐานจากเจ้าของร้านขายกีตาร์ในบริดจ์พอร์ท, คอนเนตทิคัต บ้านเกิด และเหมือนเด็กวัยรุ่นที่ดิ่งลึกกับดนตรี เขาตั้งวงเล่นดนตรีร็อกกับเพื่อนร่วมโรงเรียนมัธยม ก่อนจะเข้าเรียนที่วิทยาลัยดนตรีเบิร์คลี แต่เพียง 2 ภาคเรียน เมเยอร์ ก็ตัดสินใจทิ้งการเรียนมุ่งหน้าสู่อาชีพดนตรีเต็มตัว

หลังจากตระเวนเล่นหาเลี้ยงชีวิตตามผับบาร์ เมเยอร์ ก็ได้ทำผลงานชุดแรกเป็นอีพี.ออกขายอิสระชื่อ Inside Wants Out ซึ่งเป็นที่มาของการได้เซ็นสัญญากับบริษัทเพลงยักษ์ใหญ่ โคลัมเบีย เรคคอร์ดส์ ในเวลาต่อมา

Room for Squares เป็นอัลบั้มแรก ออกในปี 2002 ไม่เพียงเป็นอัลบั้มขายดี ยังได้รับคำวิจารณ์เชิงบวก และทำให้ เมเยอร์ ได้รางวัล แกรมมี่ สาขานักร้องชายยอดเยี่ยมจากเพลง "Your Body Is a Wonderland"

Heavier Things อัลบั้มที่ 2 ออกในปีถัดมา แม้ยอดขายจะไม่เท่าอัลบั้มแรก แต่ผลลัพธ์ด้านอื่นเหนือกว่าทุกด้าน ติดอันดับ 1 บนตาราง บิลล์บอร์ด 200, คำวิจารณ์บวกจากสื่อยักษ์ใหญ่ทุกแห่ง และเพลง "Daughters" ได้รางวัลใหญ่สุดของ แกรมมี่ คือรางวัลเพลงแห่งปี

เมเยอร์ ไม่เพียงได้การยอมรับจากผู้ฟัง บรรดาศิลปินอาวุโสในทางบลูส์และแจ๊ซมากมายก็ให้ความชื่นชมเขา โดยเฉพาะในฐานะมือกีตาร์ฝีมือเยี่ยม ทำให้ เมเยอร์ ได้ร่วมเล่นกับศิลปินเหล่านั้นมากมาย ขณะเดียวกันเขาเองก็ขยายขอบเขตดนตรีของตนด้วยการร่วมงานกับศิลปินร่วมรุ่นต่างแนวทาง ทั้งป็อป, ร็อค, ฮิป-ฮอป ฯลฯ



ในปี 2005 เมเยอร์ ตั้งวง จอห์น เมเยอร์ ทริโอ เพื่อออกตระเวนทัวร์คอนเสิร์ต เป็นวงที่ฮือฮากันมากเพราะสมาชิกอีก 2 คนนั้น จัดเป็นสุดยอดนักดนตรีที่ฝากฝีมือไว้ในการบันทึกเสียงให้ศิลปินนับพันๆ นั่นคือ พิโน พาลลาดิโน มือเบส และ สตีฟ จอร์แดน มือกลอง ทั้งสามออกอัลบั้มแสดงสด Try! มาชุดหนึ่งก่อนแยกย้ายกัน

เมเยอร์ ยังคงทำงานต่อเนื่อง ออกอัลบั้ม, ออกทัวร์ และรับเชิญไปบันทึกเสียงหรือขึ้นคอนเสิร์ทจากเพื่อนศิลปินมากหน้าหลายตา อัลบั้มที่ตามติดมา Continuum (2006), Where the Light Is (2007) และ Battle Studies (2009) ยังรักษาระดับความสำเร็จทุกด้านไว้ได้อย่างน่าทึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องยากมากที่ศิลปินดนตรีจะรักษาความต่อเนื่องได้ขนาดนี้

หลังจากอัลบั้ม Born and Raised ออกในปี 2012 เมเยอร์ ก็ประสบปัญหาส่วนตัว ซึ่งมีผลทำให้ต้องยกเลิกการทัวร์ทั้งหมด แต่ระหว่างที่หยุด เขาก็ไม่ได้อยู่เฉย เพราะกลางปี 2013 เขาออกอัลบั้มใหม่ Paradise Valley ซึ่งพลิกแนวดนตรีไปเป็นโฟล์ค-ร็อคและคันทรี่-ร็อค จากนั้นก็ออกทัวร์เพื่อสนับสนุนอัลบั้มทั้งสองควบกัน ยาวไปจนถึงปี 2015

ปี 2016 ขณะที่เริ่มทำเพลงสำหรับอัลบั้มใหม่ เมเยอร์ ก็ไปรวมตัวกับอดีตสมาชิกวง เกรทฟูล เดด ตั้งวงขึ้นมาเพื่อออกแสดงคอนเสิร์ทในนาม เด๊ด แอนด์ คอมพานี ซึ่งมีเป็นระยะๆจากปี 2016-2018 ระหว่างช่วงเวลานี้ เมเยอร์ ก็ออกอัลบั้ม The Search for Everything (2017)

และกลางเดือนกรกฎาคม 2021 นี้ เมเยอร์ ออกอัลบั้มล่าสุด Sob Rock เป็นอัลบั้มจากสตูดิโอชุดที่ 8 ของเขา โดยพลิกแนวอีกครั้งไปเป็นซอฟท์-ร็อคแบบเวสต์โคสต์ที่นิยมกันในทศวรรษ 1970-1980

เมเยอร์ ไม่ใช่คนที่สมบูรณ์แบบ เขาเป็นคนที่มีปัญหาสุขภาพและด้านจิตใจตั้งแต่วัยรุ่น แต่มีคนไม่น้อยพยายามวิเคราะห์ถึงปัจจัยแห่งความสำเร็จของเขา ถ้ามองภาพกว้างๆจะพบว่า เมเยอร์ มีคุณสมบัติครบเครื่องของการเป็นดารา รูปร่างหน้าตาหล่อเหลา, ทักษะทางดนตรีชั้นเลิศ และเสียงร้องที่ไพเราะ

แต่ถ้ามองลึกลงไป เพลงของ เมเยอร์ จับความรู้สึกของผู้ฟังได้ดี เขาไม่พยายามเขียนเพลงที่เข้าถึงยากเกินไป เป็นอารมณ์ที่มีอยู่ในคนทั่วไป และที่สำคัญ ผลงานทุกชิ้นของเขาไม่ถูกปล่อยผ่านออกมาสู่สาธารณะอย่างลวกๆ ผ่านกระบวนความคิดที่แน่นอนมาแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในแนวร็อคอเมริกัน, บลูส์ หรือคันทรี่-ร็อค และด้วยท่วงทำนองฟังไม่ยาก นอกจากนี้เขายังเป็นคนที่เปิดกว้างกับการรับดนตรีแนวต่างๆ และพร้อมหาประสบการณ์จากการร่วมงานกับคนอื่นๆทุกครั้งที่พร้อม

ยิ่งกว่านั้น ใครที่ติดตามมาพอสมควรและช่างสังเกต จะพบว่า จอห์น เมเยอร์ ใช้สื่อเก่งมาก โดยที่ไม่เสียความเป็นตัวของตัวเอง

ดนตรี / ทิวา สาระจูฑะ https:// siamrath.co.th/n/266350
#2709



นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลังเปิดเผยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคประจำเดือนก.ค.2564ว่า จากการประมวลผลข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจรายจังหวัดจากสำนักงานคลังจังหวัด76 จังหวัดทั่วประเทศสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยเพื่อจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค(RSI)พบว่า ดัชนี RSI เดือนดังกล่าวปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าทุกภูมิภาค เนื่องจาก ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 อย่างไรก็ดี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคเหนือ ยังมีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในอนาคต

ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคใต้อยู่ที่ระดับ 46.8 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจที่ปรับตัวชะลอลง แต่ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคเกษตร เนื่องจาก ปริมาณผลผลิตทางการเกษตรที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เช่น มังคุด และทุเรียน เป็นต้น

ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันตกอยู่ที่ 41.7 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจที่ชะลอลงเช่นกัน แต่ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคเกษตรซึ่งยังมีแนวโน้มความเชื่อมั่นที่ดีขึ้นเนื่องจาก เข้าสู่ฤดูการเก็บเกี่ยวข้าว และคาดว่า จะมีความต้องการสินค้าเกษตรภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท
ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของ กทม. และปริมณฑลอยู่ที่ 40.2 สะท้อนความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการลงทุนและการจ้างงานที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้ต้องลดปริมาณการผลิต และลดชั่วโมงการทำงานลง

ในส่วนของดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคกลางอยู่ที่ระดับ 37.7 สะท้อนภาวะอนาคตเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง เนื่องจาก ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เช่นกันโดยเฉพาะในภาคการลงทุน ส่งผลให้ผู้ประกอบการชะลอการลงทุนลง

ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ที่ระดับ 57.6 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่มีทิศทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม เนื่องจาก เข้าสู่ช่วงฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิตพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น ข้าวนาปี อ้อยโรงงานและมันสำปะหลัง

ประกอบกับ การสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐในการช่วยเหลือเกษตรกรสำหรับภาคอุตสาหกรรมคาดว่าความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมจะเพิ่มขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ

กลุ่มป่า 'แก่งกระจาน' มรดกโลกแห่งใหม่ของไทย
เอกชนชงรัฐเร่งสกัดโควิด บูรณะแหล่งท่องเที่ยว"อีอีซี"
'ดูดวง' สิงหาคม 2564 ตามหลักโหราศาสตร์จีน กับซินแสนัตโตะ
ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออกอยู่ที่ระดับ 56.1แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่ดีขึ้นเช่นกัน โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม เนื่องจาก สภาพภูมิอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการทำการเกษตร ส่งผลให้มีแนวโน้มผลผลิตที่เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีความต้องการสินค้าเกษตรจากตลาดในประเทศที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย ในส่วนของภาคอุตสาหกรรมคาดว่า ความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมในตลาดต่างประเทศจะเพิ่มสูงขึ้นตามการส่งออกของไทยมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น

ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคเหนืออยู่ที่ระดับ 51.7สะท้อนถึงความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจในอนาคตที่ดีขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรรม เนื่องจาก ปริมาณน้ำมีเพียงพอต่อการเพาะปลูก ประกอบกับการเริ่มเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวพืชเศรษฐกิจสำคัญ เช่น ลำไย และน้อยหน่า เป็นต้น สำหรับภาคอุตสาหกรรม คาดว่า ความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมภายในประเทศจะเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ค่าดัชนีอยู่ในช่วง 0-100 > 50 แนวโน้มความเชื่อมั่น "ดีขึ้นกว่าปัจจุบัน" , < 50 แนวโน้มความเชื่อมั่น "ชะลอกว่าปัจจุบัน" , = 50 แนวโน้มความเชื่อมั่น "ทรงตัว"
#2710
ยุคออนไลน์สื่อสิ่งพิมพ์จำเป็นหรือไม่https://www.chatstickmarket.com/single-post/intheonlineera-isprintmedianecessary

#2711



ปังตั้งแต่เริ่มจริงๆ สำหรับค่ายดัง genie records ที่ขอรัวกลองต้อนรับวงร็อกน้องใหม่ "BOMB AT TRACK" (บอมบ์ แอท แทร็ค) เข้าสู่บ้านหลังใหญ่ ประกอบด้วยสมาชิก 5 คน เต้-วงศกร เตมายัง (นักร้องนำ), เมษ-ภควรรษ ประเสริฐศักดิ์ (กีตาร์), ปุ้ย-ปราชญานนท์ ยุงกลาง (กีตาร์), ข้น-ศาสตร์ พรมุณีสุนทร (เบส) และ นิล-สิรภพ เลิศชวลิต (กลอง) หลังโดนกระชากหน้ากากเผยโฉมว่าเป็นมือดีที่บุกอาละวาดห้องทำงานป๋าเต็ด ไปในวันครบรอบ 5 ปี ของวง เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ที่ผ่านมา 

งานนี้เปิดฉากแนะนำตัวอย่างเป็นทางการด้วยการปล่อยเพลงและมิวสิกวิดีโอสุดแสบ "บ้ายอ" เพื่อให้เห็นถึงตัวตนที่มาพร้อมกับอาวุธทางดนตรีสไตล์ RAP METAL แถมยังแสดงฝีมือแต่งเนื้อเพลงทั้งหมดเองอีกด้วย นับเป็นวงร็อกวัยรุ่นเลือดใหม่ที่น่าจับตามองของยุคนี้เลยทีเดียว


เต้-วงศกร นักร้องนำของวงได้พูดถึงแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงว่า "ผมนึกถึงสถานการณ์ที่คนผู้น้อยคอยประจบเจ้านายเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตัวเองต้องการ คำว่าบ้ายอมันเลยผุดขึ้นมาในใจผมครับ ผมจึงตั้งใจหยิบประเด็นนี้มาต่อยอดเป็นเพลงบ้ายอซึ่งเพลงก็จะพูดถึงคนที่มีอำนาจ มีพวกพ้องไว้คอยสรรเสริญเยินยอและเรียกใช้จนลืมตัว จนเป็นต้นตอของปัญหาที่ตามมาอีกมากมาย ทั้งเนื้อร้อง ทำนอง และดนตรีเพลงนี้ ถูกขึ้นโครงไปพร้อมๆกัน จากโจทย์ของวงที่อยากได้ซาวด์ที่เป็นเอกลักษณ์และแตกต่างจากอัลบั้มที่เราเคยทำ"


"นอกจากนี้เรายังได้ พี่มิน-ศิวโรจน์ จิตตนิยมพาณิชย์ (Minerva Recording Studios) มาเป็นโปรดิวเซอร์ให้ และได้ Ted Jensen (Sterling Sound) Mastering Engineer ที่เคยทำงานให้กับ Green Day, Madonna และศิลปินระดับโลกอีกหลายคน มาจบขั้นตอน Mastering ให้วงของพวกเรา จนในที่สุดวง BOMB AT TRACK ก็ได้ซาวด์ดนตรีที่มีความเปลี่ยนแปลงและมีเอกลักษณ์เฉพาะวงของเราชัดเจนยิ่งขึ้น แต่อุดมการณ์ในการทำเพลงของพวกเรายังเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือพัฒนาการทางดนตรีที่จะเข้มข้นกว่าเดิมครับผม ยังไงก็ฝากแฟนๆ ติดตามผลงานของพวกเราด้วยครับทาง genie records ทุกช่องทางครับ"
 
#2712



31 ก.ค.2564 นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 (ศบศ.) กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนทุกคน  จึงได้สั่งการให้เร่งรัดขยับเวลาการจ่ายเงินเยียวยาประกันสังคม ให้กับผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 10 จังหวัด ใน 9 ประเภทกิจการที่ได้รับผลกระทบจากการปิดกิจการ

โดยจะเริ่มทยอยจ่ายตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคมนี้  ซึ่งผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ได้รับเยียวยาจากรัฐบาลคนละ 2,500 บาท จะโอนผ่านบัญชีพร้อมเพย์เลขประจำตัวประชาชนเท่านั้น ซึ่งสามารถดำเนินการได้วันละ 1 ล้านบัญชี  จากผู้ประกันตนที่มีสิทธิได้รับเงินเยียวยามีจำนวน 2.87 ล้านคน ส่วนนายจ้างจะได้รับการเยียวยาจากรัฐบาล ตามจำนวนลูกจ้าง หัวละ 3,000 บาท สูงสุดลูกจ้างไม่เกิน 200 คน สำหรับนายจ้างบุคคลธรรมดา จะโอนเงินผ่านบัญชีพร้อมเพย์เลขประจำตัวประชาชนเช่นกัน และนายจ้างสถานะนิติบุคคล จะโอนเข้าบัญชีธนาคารตามชื่อนิติบุคคลนายจ้าง ทุกๆ วันศุกร์ จนถึงวันที่ 29 ตุลาคม 2564
             

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท
โฆษก ศบศ. ยังกล่าวถึงการที่รัฐบาลได้ออกมาตรการเยียวยาและการฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศ ทั้งโครงการคนละครึ่ง เฟส 3 เพิ่มกำลังซื้อในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ และโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ที่เปิดให้ประชาชนใช้สิทธิล่าสุดไปเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 หลังผ่านมา 1 เดือน

ปรากฎว่ายอดการใช้จ่ายของแต่ละโครงการมีผู้ใช้สิทธิสะสมรวม 36.89 ล้านคน มียอดใช้จ่ายสะสม รวม 49,884.3 ล้านบาท แบ่งเป็น 1) โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 มีผู้ใช้สิทธิสะสม 22.74 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 46,317.4 ล้านบาท

แบ่งเป็นส่วนที่ประชาชนจ่ายสะสม 23,455.6 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่ายสะสม 22,861.8 ล้านบาท  2) โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 59,284 คน ยอดใช้จ่ายสะสม 758.3 ล้านบาท  3) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 13.26 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 2,644.8 ล้านบาท และ 4) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 826,684 คน ยอดใช้จ่ายสะสม 163.8 ล้านบาท
             
นายธนกร กล่าวว่า ทั้งนี้จากการประเมินพบว่าประชาชนทั่วประเทศ ยังมีการใช้จ่ายผ่านโครงการต่างๆอย่างต่อเนื่อง มีการปรับปรุงรายละเอียดของบางโครงการ เช่น โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ โดยขยายระยะเวลาการซื้อสินค้าหรือบริการที่จะได้รับ e-Voucher ถึงวันที่ 31 พฤศจิกายน 2564 เพิ่มวงเงินการใช้จ่ายสูงสุดที่จะนำมาคำนวณ e-Voucher สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาทต่อคนต่อวัน และปรับลดจำนวนกลุ่มเป้าหมายของโครงการฯ เป็น 1.4 ล้านสิทธิ เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19

และขณะนี้กระทรวงการคลังได้กำชับให้ธนาคารกรุงไทย เร่งดำเนินการปรับปรุงระบบการใช้จ่ายเงินในโครงการ "คนละครึ่ง" ให้สามารถเชื่อมกับระบบของผู้ให้บริการแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ เพื่อให้สามารถใช้จ่ายเงินได้อย่างถูกต้องและเป็นไปตามเงื่อนไขของโครงการ

โดยคาดว่าจะดำเนินการเชื่อมระบบเสร็จสิ้นและพร้อมใช้งานได้ในเดือนตุลาคม 2564 นี้ เพื่อรองรับการใช้จ่ายหลังกระทรวงการคลังโอนเงิน "คนละครึ่ง" รอบ 2 อีก 1,500 บาทเข้าแอปพลิเคชั่นเป๋าตัง ซึ่งประชาชนสามารถใช้จ่ายได้ถึงสิ้นปี 2564 ส่วนยอดการลงทะเบียนล่าสุดของวันที่ 30 ก.ค. 2564 โครงการคนละครึ่งมีการลงทะเบียนแล้ว 29.9 ล้านคน เหลืออีก 1.1 ล้านคน จะครบ 31 ล้านคน

และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ที่ปรับลดเหลือ 1.4 ล้านสิทธิ ขณะนี้เหลืออีก 937,338 สิทธิ โดยประชาชนสามารถใช้จ่ายในโครงการต่างๆ ได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นมาตรการเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนควบคู่ไปกับการดำเนินการป้องกันและรักษาผู้ติดเชื้ออย่างเต็มที่ตามเจตนารมณ์ของนายกรัฐมนตรี
#2713



เอสซีจี เซรามิกส์ ขึ้นแท่นบริษัทยั่งยืนที่น่าลงทุน ผลประกอบการไตรมาส 2 และครึ่งปีแรก 64 แข่งขันได้กำไรต่อเนื่อง โชว์นวัตกรรมกระเบื้องฟอกอากาศ พร้อมดันแบรนด์ SUSUNN ลุยธุรกิจพลังงานทางเลือกเต็มตัว

นายนำพล มลิชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ COTTO ผู้ผลิตและจำหน่ายกระเบื้องภายใต้แบรนด์คอตโต้ (COTTO) โสสุโก้ (SOSUCO) และ คัมพานา (CAMPANA) เปิดเผยงบการเงินรวมก่อนสอบทาน ของ COTTO ในไตรมาสที่ 2 ปี 2564 ว่า บริษัทมีรายได้จากการขาย 2,807 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 16 จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสำหรับงวด 177 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 328 โดยในไตรมาสนี้บริษัทยังคงสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการบริหารและการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตได้ดีอย่างต่อเนื่องจึงทำให้ผลประกอบการใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ไว้ โดยผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2564 บริษัทมีรายได้จากการขาย 5,613 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน บริษัทสามารถทำกำไรสำหรับงวดได้ 364 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 119 ใกล้เคียงที่คาดการณ์ไว้



"แม้ว่าราคาก๊าซธรรมชาติจะปรับตัวสูงขึ้นมากแต่ด้วยการปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิตที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เรายังสามารถควบคุมต้นทุนการผลิตให้เป็นไปตามแผนงานได้ สำหรับยอดขายไตรมาสนี้และในครึ่งปีแรกจะเห็นได้ว่าสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนมากแม้ว่าการระบาดของ COVID-19 จะมีความรุนแรงมากกว่าปีที่แล้ว แต่เนื่องจากในปีนี้ช่องทางจัดจำหน่ายที่สำคัญ โดยเฉพาะโมเดิร์นเทรดและร้านผู้แทนจำหน่ายขนาดใหญ่ ยังสามารถเปิดดำเนินการได้ตามปกติจึงทำให้ยอดขายในตลาดระดับกลาง-ล่างยังเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงทั้งลาวและกัมพูชา ตลอดจนสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศเมียนมาร์ ส่งผลให้ยอดขายในส่วนของตลาดต่างประเทศลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีก่อน"

นายนำพล กล่าวต่อว่า ภาวะตลาดในช่วงครึ่งปีหลังจากนี้ คาดว่าผลกระทบของการระบาดของ COVID-19 จะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวช้าและมีความไม่แน่นอนมากยิ่งขึ้น เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคในภาพรวมยังไม่ฟื้น เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังมีแนวโน้มที่จะขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ค่อนข้างมากจากปัจจัยลบหลายด้าน ทั้งจากความยืดเยื้อของการระบาด และการกลายพันธุ์ของไวรัสที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการใช้จ่ายในประเทศ แผนการเปิดประเทศ การปิดกิจการ และการเลิกจ้างแรงงาน ล่าสุด การแพร่ระบาดของ COVID-19 รอบใหม่ที่กระจายตัวไปยังแคมป์ก่อสร้างมีผลกระทบเพิ่มเติมทำให้เกิดภาวะการขาดแคลนแรงงานด้วย ส่วนแนวโน้มของตลาดอสังหาริมทรัพย์น่าจะมีการชะลอโครงการใหม่และหันมาเร่งการโอนในปัจจุบันให้เร็วขึ้น ซึ่งภาครัฐอาจจะช่วยกระตุ้นได้ด้วยมาตรการทางการเงินเพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจ มาตรการฟื้นฟูการสร้างรายได้ให้ประชาชน และเร่งฉีดวัคซีนป้องกันให้ครอบคลุมจำนวนมากที่สุด



อย่างไรก็ตามแม้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มที่จะชะลอตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 และมีผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้าแต่สำหรับตลาดสร้างซ่อมตกแต่งต่อเติมเห็นว่ามีแนวโน้มที่ยังไปต่อได้โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ผู้คนต่างก็มีประสบการณ์ที่ต้องเก็บตัวอยู่ในที่พักอาศัยเป็นระยะเวลานาน กระตุ้นให้เกิดความต้องการที่จะปรับปรุงและเตรียมความพร้อมของที่อยู่อาศัยเพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น ดังนั้น บริษัทฯ จึงเร่งออกสินค้านวัตกรรมในกลุ่ม Health and Clean อย่างต่อเนื่อง โดยมั่นใจว่าหลังจากสถานการณ์ฯ คลี่คลายลง จะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญและใส่ใจในเรื่องสุขภาพ

"COTTO ยังคงเป็นผู้นำเทรนด์เรื่องสินค้านวัตกรรมเพื่อสุขภาพที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ภายในบ้านและที่พักอาศัย จากปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กหรือฝุ่น PM2.5 มีปริมาณสูงเกินค่ามาตรฐานทุกปีส่งผลให้เกิดมลพิษทางอากาศ และเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ ล่าสุด ได้ออกสินค้า "กระเบื้องฟอกอากาศ" หรือ AIR ION (แอร์ ไอออน) ที่มีคุณสมบัติช่วยลดฝุ่นละอองขนาดเล็กซึ่งเป็นภัยร้ายใกล้ตัวมากกว่าที่คาดคิด โดยเมื่อติดตั้งกระเบื้อง AIR ION 40% ของพื้นที่ บนพื้นหรือผนังของห้องจะสามารถดักจับฝุ่น PM2.5 ได้ถึง 89% โดยคุณสมบัติฟอกอากาศนี้เกิดจากชั้นเคลือบของกระเบื้องที่มีส่วนผสมของแร่ธาตุธรรมชาติที่มีคุณสมบัติปล่อยไอออนลบออกมากว่า 3,000 ไอออนต่อลูกบาศก์เซนติเมตร เพื่อเข้าจับฝุ่นละอองที่ลอยตัวฟุ้งอยู่ในอากาศให้ตกสู่พื้นจนเหลือเพียงอากาศที่สะอาดตลอดทั้งวัน โดยที่ไม่ต้องจ่ายค่าไฟเพิ่ม"



ทั้งนี้ในส่วนของแบรนด์ "SUSUNN" ที่ดำเนินธุรกิจให้คำปรึกษา ออกแบบ จัดจำหน่ายและติดตั้งระบบผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนซึ่งเป็นพลังงานสะอาดหลากหลายประเภท ในไตรมาสนี้ บริษัทฯ ได้เริ่มเปิดตัวแบรนด์ SUSUNN อย่างจริงจัง โดยลงนามความร่วมมือกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในส่วนของโครงการระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารสำนักงาน บริษัทโอสถสภา จำกัด (มหาชน) เรื่องเทคโนโลยีด้านการประหยัดพลังงาน หรือ Energy Saving ทั้งในด้าน Solar Business ด้าน Energy Audit และ โครงการซื้อขายไฟฟ้าและคาร์บอนเครดิต ผ่านคนกลาง บน SUSUNN Platform ล่าสุด ยังได้ร่วมลงนามในสัญญาความร่วมมือกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงานเกี่ยวกับคาร์บอนเครดิตจากโครงการลดก๊าซเรือนกระจกของ เอสซีจี เซรามิกส์ ด้วย

"แบรนด์ SUSUNN ถือได้ว่าเป็นศูนย์รวมของผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานทดแทนอย่างแท้จริงโดยที่ผ่านมาบริษัทได้รับรางวัลการันตีทั้งจากในและต่างประเทศทั้ง Thailand Energy Award และ ASEAN Energy Award หลายปีซ้อน โดยเราได้เริ่มดำเนินธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบมาประมาณ 2 ปีแล้ว และมีลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ กลุ่มวัสดุวาล์วและข้อต่ออุตสาหกรรม เช่น บริษัท เอ็ม.เจ.บางกอกวาล์วและฟิตติ้ง จำกัด, กลุ่มวัสดุก่อสร้าง เช่น บริษัท ควอลิตี้คอนสตรัคชั่นโปรดัคส์ จำกัด (มหาชน) กลุ่มผลิตภัณฑ์ถุงพลาสติก เช่น บริษัท มัลติแบกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือแม้กระทั่งกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เช่น นิคมอุตสาหกรรมสงขลา ในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ)"

โดยตลอด 2 ปีที่ผ่านมามีรายได้จากสินค้าและบริการรวมแล้วประมาณ 227 ล้านบาท ถึงแม้จะยังไม่สูงมากแต่ก็ถือว่าสอดคล้องกับเทรนด์การเติบโตของตลาดธุรกิจพลังงานสะอาดในประเทศที่มีมูลค่าประมาณ 20,000 ล้านบาทและคาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากนี้ไปในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า จากการวางแผนขยายกลุ่มเป้าหมายจากเดิมและบริการเพิ่มเติมเพื่อตอบสนองกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น เช่น การนำเสนอนวัตกรรมด้านพลังงานแสงอาทิตย์ อาทิ แผงโซล่าร์เซลล์ แบบ BIPV (Building Integrated Photovoltaics) ที่ใช้แทนวัสดุก่อสร้าง เช่น หลังคาหรือผนัง โรงจอดรถพลังงานแสงอาทิตย์ หรือ Solar Carport with EV Charger รวมถึงนำเสนอระบบการจัดการพลังงาน เช่น ระบบตรวจรับรองการจัดการพลังงาน ระบบตรวจวัดวิเคราะห์การใช้พลังงาน ตลอดจนจัดทำโครงการอนุรักษ์พลังงานให้กับสถานประกอบการของลูกค้าด้วยมาตรฐานระดับสากล และจัดทำโครงการที่สอดคล้องกับนโยบายด้านพลังงานของภาครัฐในอนาคต เช่น โครงการซื้อขายไฟฟ้าและคาร์บอนเครดิตผ่านคนกลาง เป็นต้น

นอกจากนี้ ในปีนี้ยังมีเรื่องที่น่ายินดีที่ บริษัทเอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ COTTO ได้รับคัดเลือกจากสถาบันไทยพัฒน์ให้อยู่ในทำเนียบ "บริษัทวิถียั่งยืนที่น่าลงทุน" หรือ ESG Emerging List ในฐานะบริษัทจดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) และเป็นทางเลือกสำหรับการลงทุนแบบยั่งยืนที่ทนทานต่อวิกฤตการณ์โควิด โดย COTTO เป็น 1 ใน 24 หลักทรัพย์ที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าอยู่ในกลุ่ม ESG Emerging ปี 2564 และติดกลุ่มหลักทรัพย์ยั่งยืนที่น่าลงทุน หรือ ESG100 ประจำปีด้วย

โดยล่าสุดจากการประเมินภาพรวมผลการดําเนินงานของ บริษัทฯ โดย สถาบันไทยพัฒน์ พบว่า บริษัทฯ ได้มีการเปิดเผยข้อมูลผลการดําเนินงานทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม ผลการดำเนินงานด้านสังคมและผลการดำเนินงานด้านธรรมาภิบาล โดยมีภาพรวมผลการประเมินอยู่ในระดับ GOLD ซึ่งเป็นระดับสูงสุดด้วย
#2714



"เคอรี่ โลจิสติคส์" วางยุทธศาสต์ในไทย รุกหนักธุรกิจการบริหารคลังสินค้า เจาะกลุ่มลูกค้าทุกอุตสาหกรรม ชูจุดแข็งให้บริการครบวงจร ทั้งคลังสินค้า ขนส่ง บริการเพิ่มมูลค่าสินค้า และวางแผนการตลาดon-line เพิ่มประสิทธิภาพ-ลดต้นทุน ตั้งเป้า 3 ปี ขึ้นแท่นผู้นำให้บริการกลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคต S-Curve มั่นใจเครือข่ายครอบคลุมทั่วโลก

นายพงศ์ศิริ ศิริธร ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เคอรี่ โลจิสติคส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเป็นหนึ่งในกลุ่ม Kerry Logistics Network Limited หรือ KLN ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ ปัจจุบันจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ที่ฮ่องกง โดย KLN เป็นบริษัทแม่และเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเคอรี่ โลจิสติคส์ ฯ ที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยเป็นกลุ่มแรกและเป็นหัวหอกสำคัญ ที่ให้บริการด้านบริหารคลังสินค้าแบบครบวงจร ก่อนจะขยายไปสู่กลุ่มธุรกิจด้านโลจิสติกส์อื่นๆ ทั่วประเทศ

ปัจจุบันบริษัทมีพื้นที่ให้บริการคลังสินค้ารวมกันมากกว่า 1 แสนตารางเมตร ครอบคลุม 3 พื้นที่สำคัญใน กรุงเทพฯ ชลบุรี และระยอง โดยมีสัดส่วนรายได้จากการบริการ 3 ส่วนสำคัญอันได้แก่ การบริหารคลังสินค้า, การขนส่งทุกรูปแบบ, และบริการอื่นๆเช่น การบริหารการบรรจุหีบห่อ, การจัดการด้านการตลาดออนไลน์ เป็นต้น จากประสบการณ์ ความชำนาญ ของทีมงานคนไทย 100% ที่เข้าใจถึงความต้องการลูกค้า สามารถยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการได้ตามความต้องการของตลาดในเมืองไทย ภายใต้ระบบการทำงานที่เป็นมาตรฐานสากลทั้ง ISO9001, ISO45001, ISO14001, GMP, Halal etc. ส่งผลให้บริษัทได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า offline และ online ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจ

โดยกลุ่มลูกค้าของบริษัทประกอบด้วย 1.สินค้าภาคอุตสาหกรรม 2.สินค้าสุขภาพและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ที่กำลังมาแรงในยุคนี้ 3.สินค้าอาหารและเครื่องดื่ม 4.สินค้าแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ เช่น เครื่องสำอางค์ และสินค้าแบนด์เนม เป็นต้น 5.สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ 6.สินค้าอุปโภคบริโภค และ 7. สินค้าอุตสาหกรรมยานยนต์

"บริษัทตั้งเป้า 3 ปี ขึ้นแท่นผู้นำให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจรในการบริหารคลังสินค้ากลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคต S-Curve ขยายสัดส่วนรายได้จากการบริหารคลังสินค้าให้มีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดดและด้านการขนส่งทุกรูปแบบเท่าตัวภายในปี 2022" นายพงศ์ศิริ กล่าว

นายพงศ์ศิริ กล่าวต่อว่า บริษัทได้วางจุดยืนอย่างชัดเจนในเรื่อง "Global Network and Local Specialist" คือ เรามีความชำนาญในการให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจรในประเทศไทย และด้วยเครือข่ายที่มีครอบคลุมทั่วโลก จะช่วยสนับสนุนและสร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้ประกอบการของไทยในการเชื่อมโยงธุรกิจสู่เวทีระดับภูมิภาคเอเชีย หรือแม้แต่ระดับโลกได้

การเปลี่ยนไปของตลาดกับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่จาก Disruption ในทุกทิศทุกทาง โดยเฉพาะจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้เกิด New Normal ของการดำเนินธุรกิจของลูกค้าที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป บริษัทจึงได้พัฒนานวัตกรรมและสรรหาเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาบริหารจัดการด้านคลังสินค้า, สต๊อกสินค้า และการขนส่ง ที่จะทำให้การบริการด้านโลจิสติกส์เป็นเรื่องง่าย รวดเร็ว พร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่จะเปลี่ยนไปในอนาคต

"การที่ลูกค้ามีพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจที่ช่วยบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ในยุค Disruption เคอรี่ โลจิสติคส์ น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดที่อยู่เคียงข้างลูกค้า ในการทำธุรกิจแบบยั่งยืน" นายพงศ์ศิริ กล่าว
#2715



สุดาพร สีสอนดี กำปั้นหญิงจอมฝีมือทีมชาติไทย โชว์ลีลาสอนเชิงคู่ต่อกรจากอินเดีย ก่อนชนะขาด 5-0 เข้ารอบ 8 คนสุดท้ายศึกมวยโอลิมปิก เมื่อเช้าวันที่ 30 กรกฏาคม 2564

ศึกมวยสากลสมัครเล่น โตเกียว 2020 ที่สนามเรียวโกคุ โกกุกิกัง ประเทศญี่ปุ่น รุ่นน้ำหนัก 60 กก.หญิง มาถึงคิวของ สุดาพร สีสอนดี กำปั้นหญิงดีกรีเหรียญเงิน เอเชียน เกมส์ 2018 กลับขึ้นสังเวียนรอบ 16 คนสุดท้าย

รอบนี้ สุดาพร ขึ้นดวลหมัดกับ ซิมรานจิต คูร์ จากอินเดีย ยกแรก ซิมรานจิต เป็นฝ่ายเดินบุกประเคนหมัด แต่ สุดาพร อาศัยตั้งรับแล้วต่อยสวนเข้าเป้าหลายจังหวะ ยกสอง สุดาพร เป็นฝ่ายเปลี่ยนมาเดินบุกแทน แม้พลาดถูกต่อยบ้างแต่ก็ยังยิงหมัดโจมตีฝั่งตรงข้ามได้คะแนนขาด

สุดาพร ยังต่อยได้ยอดเยี่ยมเมื่อถึงยกตัดสิน ก่อนกรรมการจะกดคะแนนให้นักชกไทย ชนะขาดลอย 5-0 เสียง ฟอร์มอันสวยงามนี้ส่งให้ "เจ้าแต้ว" เข้ารอบ 8 คนสุดท้าย เจอกับ คาโรไลน์ ดูบัวส์ จากสหราชอาณาจักร โดยหากชนะได้อีกไฟต์ ก็จะตุนเหรียญทองแดงมาไว้ในมือเป็นอย่างน้อย
 
#2716



นายสิทธิเดช มัยลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ SKY ผู้นำการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานความปลอดภัย ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารระดับประเทศ กล่าวว่า ร่วมกับบริษัท แอพแมน จำกัด (AppMan) ผู้นำเทคโนโลยี OCR อันดับหนึ่งในตลาด เรื่องความแม่นยำในการอ่านอักขระโดยเฉพาะภาษาไทย เชื่อมโยงเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งของทั้ง 2 บริษัทเข้าด้วยกัน เพื่อสนับสนุนการทำสร้างระบบ e-KYC Solution ครบวงจร พร้อมตอบโจทย์โลกแห่งอนาคตเทคโนโลยีดังกล่าวมีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อความปลอดภัยของธุรกิจและแพลตฟอร์มต่างๆ สำหรับการเปิดให้บริการบนช่องทางออนไลน์ 

"เรามีความเชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ โดยเฉพาะเทคโนโลยีการตรวจจับใบหน้า หรือ Face Recognition ที่ได้รับเทคโนโลยีมาจากพันธมิตรชั้นนำด้าน AI ของโลกอย่าง SenseTime ขณะเดียวกัน AppMan ก็ถือเป็นผู้นำในเทคโนโลยีการอ่านอักขระด้วยแสง หรือ Optical Character Recognition เมื่อเราเชื่อมโยงเทคโนโลยีของทั้ง 2 บริษัทเข้าด้วยกัน จะช่วยให้เราสามารถสร้าง e-KYC Solution ครบวงจร สร้างมูลค่าเพิ่มและยกระดับมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยให้แก่ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่กำลังมุ่งหน้าสู่ดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ" นายสิทธิเดช กล่าว

ทั้งนี้ เทคโนโลยี e-KYC ของทั้ง 2 บริษัท จะช่วยพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้งาน ผ่านการสแกนบัตรประชาชน สแกนเอกสารทางราชการ ตลอดจนสแกนใบหน้า บนแพลตฟอร์มหรือแอปพลิเคชันต่างๆ ช่วยให้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนสามารถป้องกันการปลอมแปลงเอกสารหรือตัวตน ป้องกันความเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมาย เรียกใช้ข้อมูลได้ง่ายจากฐานข้อมูล ลดขั้นตอนการทำงานเมื่อเทียบกับการต้องยืนยันตัวตนแบบต่อหน้า (Face to Face) ขณะเดียวกัน ยังช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้งาน ลดขั้นตอนการกรอกเอกสาร ลดระยะเวลาในการวิเคราะห์ข้อมูล โดยเทคโนโลยี Face Recognition และ OCR ของบริษัทยังมีจุดแตกต่างจากเทคโนโลยี e-KYC ทั่วไปที่มักมีต้นทุนต่อการทำธุรกรรม (Transaction) ค่อนข้างสูง การผนึกกำลังระหว่าง 2 บริษัท จะส่งผลให้ลูกค้ามีต้นทุนต่อ Transaction ต่ำลง เพื่อให้บริการในราคาที่เข้าถึงได้ มีความแม่นยำสูง อีกทั้งมีความปลอดภัยมาตรฐาน Banking Grade

ด้านนายธนภูมิ เจริญศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอพแมน จำกัด หรือ AppMan ผู้นำเทคโนโลยี OCR อันดับหนึ่งในตลาด กล่าวว่า เนื่องจากข้อมูลส่วนบุคคลนั้นเป็นข้อมูลที่มีความเปราะบางสูง บริษัทฯ จึงสร้างความเชื่อมั่นปกป้องข้อมูลความปลอดภัย ผ่านการตรวจสอบ (Audit) ทุกขั้นตอนมาตรฐานสากลระดับ CSA- Star Level 2 และ ISO/IEC27001 ก่อนนำเสนอสู่ตลาด พร้อมให้บริการบน Cloud อีกทั้งในระดับโลกนั้น เทคโนโลยีที่ใช้ร่วมกับ e-KYC เข้ามามีบทบาทสำคัญมากในหลากหลายกลุ่มธุรกิจระยะหนึ่งแล้ว อาทิ กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัลโดยตรง เช่น ธุรกิจศูนย์ซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซี ธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่ใช้ e-KYC เข้ามายืนยันตัวตน ป้องกันการโจรกรรมทางการเงินและการฟอกเงิน กลุ่มธุรกิจการศึกษาที่ปัจจุบันเริ่มมีสถาบันการศึกษาดิจิทัล หรือแม้กระทั่งการเรียนออนไลน์ของสถาบันการศึกษาต่างๆ ใช้ e-KYC เข้ามาช่วยยืนยันตัวตนผู้เข้าเรียนและผู้เข้าสอบ


"ในไทยเอง e-KYC ก็เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้นในแทบทุกกลุ่มธุรกิจเช่น ในกลุ่มธุรกิจบริการสุขภาพ ก็มีการปรับตัวให้บริการคำปรึกษาด้านสุขภาพแบบ Online Video Consultation ต้องมีกระบวนการ Digital Onboarding และ e-KYC เข้ามาเกี่ยวข้อง ความร่วมมือกับสกาย ไอซีทีในครั้งนี้ จึงถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ทั้ง 2 บริษัทขยายโอกาสในการบริการกลุ่มลูกค้าให้หลากหลายมากขึ้น รองรับทั้งการเติบโตในไทยและระดับโลก" นายธนภูมิ กล่าว

ทั้งนี้ กลุ่มเป้าหมายหลักที่ทั้ง 2 บริษัท จะมุ่งเจาะตลาด มีทั้งกลุ่มหน่วยงานภาครัฐที่มีความจำเป็นต้องมีมาตรการพิสูจน์ตัวตนและตรวจสอบเอกสารทางราชการเพื่อความปลอดภัย กลุ่มภาคเอกชนในหลากหลายประเภทธุรกิจ อาทิ กลุ่มธุรกิจการเงิน กลุ่มธุรกิจประกันภัย กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ กลุ่มธุรกิจการศึกษา กลุ่มธุรกิจบริการสุขภาพ กลุ่มธุรกิจขนส่งอาหาร กลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา และยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง

สำหรับ บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ SKY เป็นบริษัท Tech Company เต็มรูปแบบที่เน้นการพัฒนานวัตกรรม การให้บริการ Digital Platform และ AI Solutions ให้ลูกค้าอย่างครบวงจร เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคมด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะของ SKY ICT

ขณะที่ บริษัท แอพแมน จำกัด หรือ AppMan เป็นบริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยีกระบวนการทำงานอัจฉริยะ หรือ Intelligent Working Process (IWP) ดิจิตอลโซลูชั่นหลากหลายรูปแบบด้วยความเชี่ยวชาญเทคโนโลยี OCR, เอไอ (AI) และ แมชชีนเลิร์นนิง (Machine Learning) ครอบคลุมทุกธุรกิจ เสริมศักยภาพและขยายอีโคซิสเต็ม (Ecosystem) ทุกองค์กรตามมาตรฐานสากล
#2717



นายประเสริฐศักดิ์ เชิงชวโน รองผู้ว่าการพัฒนาโรงไฟฟ้าและพลังงานหมุนเวียน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำร่วมกับโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนสิรินธร จ.อุบลราชธานี (Hydro-floating Solar Hybrid) หรือ โรงไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริดเขื่อนสิรินธร ขนาดกำลังผลิต 45 เมกะวัตต์ ได้ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์กับทุ่นลอยน้ำในเขื่อนสิรินธรครบทั้งหมด 7 ชุด พร้อมติดตั้งทุ่นคอนกรีตของระบบยึดโยงใต้น้ำและก่อสร้างอาคารสวิตช์เกียร์แล้วเสร็จ

โดยจะเตรียมทดสอบขนานเครื่องกําเนิดไฟฟ้าเข้ากับระบบโครงข่ายไฟฟ้าครั้งแรก (First Synchronization) ในวันพรุ่งนี้ คาดจะสามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (Commercial Operation Date: COD) ได้ในเดือนตุลาคม 2564

 
พร้อมกันนี้ กฟผ. ยังเร่งมือสร้าง "เส้นทางเดินชมธรรมชาติ หรือ Nature Walkway" เพื่อเป็นจุดเช็คอินและแหล่งท่องเที่ยวสำคัญแห่งใหม่ของ จ.อุบลราชธานี สามารถชมโซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริดใหญ่ที่สุดในโลกในมุมสูงอย่างใกล้ชิด อยู่ระหว่างปรับภูมิทัศน์รอบพื้นที่

รวมถึงก่อสร้างอาคารอเนกประสงค์สำหรับให้ข้อมูลนักท่องเที่ยวก่อนเดินชม เตรียมเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมได้ในเดือนมกราคม 2565 คาดว่าจะช่วยเสริมให้ธุรกิจท่องเที่ยวของจังหวัดกลับมาคึกคัก ช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนอีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งในช่วงของการก่อสร้าง กฟผ. ได้จ้างผู้ประกอบการแพท่องเที่ยว เรือ และเจ็ตสกีจากชุมชนรอบพื้นที่มาใช้ในงานก่อสร้าง

รวมถึงเช่าแพเพื่อเป็นที่พักให้กับคนงาน ซึ่งช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนในช่วงที่นักท่องเที่ยวลดลงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมแล้วคิดเป็นมูลค่าการจ้างงานในพื้นที่ทั้งหมดกว่า 30 ล้านบาท สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมของจังหวัดได้เป็นอย่างดี

 

สำหรับโรงไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริดเขื่อนสิรินธร ถือเป็นโรงไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ลอยน้ำที่ไฮบริดกับพลังน้ำจากเขื่อน ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก สามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดร่วมกันระหว่าง "พลังงานแสงอาทิตย์" และ "พลังน้ำ" โดยโซลาร์เซลล์จะผลิตไฟฟ้าในช่วงกลางวันที่มีปริมาณความเข้มของแสงเพียงพอ และนำพลังน้ำมาผลิตไฟฟ้าเสริมในช่วงที่ความเข้มแสงไม่เพียงพอหรือในช่วงกลางคืน ช่วยลดความไม่แน่นอนของพลังงานหมุนเวียนที่ปกติแล้วจะขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ทำให้ผลิตไฟฟ้าได้ต่อเนื่องยาวนาน

โดยโรงไฟฟ้าฯ ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนทุ่นลอยน้ำและอุปกรณ์ต่าง ๆ โดยใช้พื้นที่ผิวน้ำประมาณ 450 ไร่ คิดเป็นสัดส่วนพื้นที่ผิวน้ำไม่ถึงร้อยละ 1 ของพื้นที่อ่างเก็บน้ำทั้งหมด ใช้แผงโซลาร์เซลล์ชนิดกระจกทั้งสองด้าน (Double Glass) สามารถทนต่อความชื้นสูงได้ดี ไม่มีสิ่งปนเปื้อนลงสู่แหล่งน้ำ นอกจากนี้ ได้ติดตั้งทุ่นลอยน้ำชนิด HDPE (High Density Polyethylene) ซึ่งเป็นวัสดุชนิดเดียวกับท่อส่งน้ำประปา จึงเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสัตว์น้ำ ที่สำคัญ การผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริดเขื่อนสิรินธร จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (CO2) ได้ประมาณ 47,000 ตัน/ปี ซึ่งมีส่วนช่วยในการแก้ปัญหาภาวะโลกรวน ให้กับโลก

กฟผ. ยังเตรียมพัฒนาโครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริดในพื้นที่เขื่อนของ กฟผ. อีกหลายแห่งทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง รวมกำลังผลิตทั้งหมด 2,725 เมกะวัตต์ รวมทั้งอยู่ในช่วงพิจารณาศักยภาพเพิ่มเติมอีกกว่า 5,000 เมกะวัตต์ นับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของ กฟผ. ในการก้าวเข้าสู่สังคมไร้คาร์บอนอย่างแท้จริงในอนาคต
#2718



นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) (EGCO) หรือเอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า บริษัท เอ็กโก ลินเดน ทู ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่เอ็กโกถือหุ้นทั้งหมด ที่ได้ลงทุนในบริษัท ลินเดน ทอปโก้ (Linden Topco) ผู้ดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าโคเจนเนอเรชั่น "ลินเดน โคเจน" ในสหรัฐอเมริกา ได้บรรลุข้อตกลงในการรับก๊าซที่เกิดจากกระบวนการผลิตของโรงกลั่นที่มีองค์ประกอบเป็นไฮโดรเจนจากบริษัท ฟิลิปส์ 66 (Phillips 66) โรงกลั่นน้ำมันรายใหญ่ในสหรัฐอเมริกา เพื่อนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงผสมในการผลิตไฟฟ้า

บริษัท ลินเดน ทอปโก้ จะปรับปรุงเครื่องกังหันก๊าซของโรงไฟฟ้าลินเดน หน่วยที่ 6 ให้สามารถรองรับก๊าซที่เกิดจากกระบวนการผลิตของโรงกลั่นที่มีองค์ประกอบเป็นไฮโดรเจน จากโรงกลั่นน้ำมันเบย์เวย์ (Bayway Oil Refinery) ของบริษัท ฟิลิปส์ 66 ที่ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกัน เพื่อนำมาผสมเป็นเชื้อเพลิงร่วมกับก๊าซธรรมชาติที่ใช้อยู่เดิม การปรับปรุงเครื่องกังหันก๊าซดังกล่าวมีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2565 ส่งผลให้โรงไฟฟ้าลินเดน หน่วยที่ 6 สามารถรองรับการเผาไหม้เชื้อเพลิงผสมที่มีไฮโดรเจนผสมอยู่ได้สูงสุดถึง 40% ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 10% เมื่อเทียบกับปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่โรงไฟฟ้าลินเดน หน่วยที่ 6 ปลดปล่อยปกติในแต่ละปี

ปัจจุบันผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมพลังงานและเชื้อเพลิง อย่างบริษัท เจร่า อเมริกา จำกัด (JERA Americas Inc.) ซึ่งเป็นพันธมิตรของบริษัท ลินเดน ทอปโก้ กำลังพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงทางเลือกสำหรับการผลิตไฟฟ้าและการขนส่ง นอกจากนี้ เอ็กโก กรุ๊ปยังได้ลงทุนในโรงไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิงกังดง ในเกาหลีใต้ ซึ่งใช้ไฮโดรเจนเป็นสารตั้งต้นหลักในการผลิตไฟฟ้าและความร้อน การลงทุนในโรงไฟฟ้าที่ใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิง ทั้งโรงไฟฟ้าลินเดน โคเจน และโรงไฟฟ้ากังดงนั้น เอ็กโก กรุ๊ปมีเป้าหมายที่จะสั่งสมความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากไฮโดรเจนเพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับโครงการทั้งในประเทศและต่างประเทศของบริษัทในอนาคตเมื่อเทคโนโลยีด้านนี้พัฒนาเต็มที่

"เอ็กโก กรุ๊ป เป็นบริษัทลำดับต้นๆ ของประเทศไทยที่ส่งเสริมและสนับสนุนแผนการใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงสะอาดสำหรับการผลิตไฟฟ้าของประเทศ บริษัทมุ่งมั่นส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงสะอาดมาผลิตไฟฟ้าและพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีผลิตไฟฟ้าที่ทันสมัยอย่างต่อเนื่อง" นายเทพรัตน์กล่าว
#2719



นายดิถดนัย สังขะรมย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่าขณะนี้ทรีนีตี้เองมีลูกค้าที่ปรึกษาในการระดมทุนเข้าตลาดหลักทรัพย์ในมือ อยู่ราว 7-9 บริษัท และช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ทรีนีตี้ได้เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ให้กับ 3 บริษัท  คือ บมจ.เอเอ็มอาร์ เอเชีย (AMR) บมจ.โคลเวอร์ เพาเวอร์ (CV) และบมจ.เบริล 8 พลัส (BE8)

ทั้งนี้ ทิศทางธุรกิจการให้บริการด้านวาณิชธนกิจ ถือเป็นธุรกิจที่สำคัญและมีแนวโน้มการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แม้จะอยู่ภายใต้สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะการเป็นที่ปรึกษาในการระดมทุน นำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ ในธุรกิจที่ได้ประโยชน์หรือไม่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 โดยตรง ซึ่งบริษัทเหล่านี้ยังคงต้องการระดมเงินทุนเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจ เช่น ธุรกิจด้านเทคโนโลยี ธุรกิจด้านพลังงาน และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปตาม "วิถีชีวิตใหม่"

ขณะที่บางธุรกิจที่ได้รับผลกระทบและอาจจะชะลอแผนการระดมทุนเข้าตลาดหุ้นออกไป  คาดว่าเมื่อสถานการณ์คลี่คลายในปีหน้าก็น่าจะทยอยกลับเข้ามาได้ เช่น ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ เพราะตลาดทุนคือแหล่งเงินทุนที่สำคัญ ทำให้ธุรกิจให้บริการด้านวาณิชธนกิจยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก


นายดิถดนัย กล่าวว่า ที่ผ่านมาบริษัทได้เข้าไปเป็นที่ปรึกษาในการออกและเสนอขายหุ้น IPOนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ มาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นความแข็งแกร่งของทีมวาณิชธนกิจของทรีนีตี้ โดยนอกจากจะสร้างรายได้ให้กับธุรกิจวาณิชธนกิจแล้ว ยังทำให้ลูกค้าของบริษัทได้มีโอกาสลงทุนในหุ้น IPO ที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีด้วย

โดยปี 2563 บริษัทได้รับรางวัลยอดเยี่ยม หรือ Deal of the Year ด้านการระดมทุนในฐานะที่ปรึกษาการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ที่เสนอขายหุ้น IPO ให้กับ บมจ.บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ (BAM) ในงาน SET Awards ปี 2020 โดยช่วง 3 ปีที่่ผ่านมาบริษัท  ได้เป็นที่ปรึกษานำหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ จำนวน 4 บริษัท และมีมูลค่าระดมทุนรวมราว 10,000 ล้านบาท


บริษัท มีบริการที่ปรึกษาทางการเงิน และงานวาณิชธนกิจครบวงจร หรือ "ONE STOP SERVICE" ครอบคลุมด้านการระดมทุนผ่านตราสารทุนและตราสารทุนหนี้ การควบรวมหรือซื้อกิจการ (M&A) ตลอดจนต่อยอดธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง โดยได้มีการจัดตั้งบริษัท ทรีนีตี้ อินเทลลิเจนส์ พลัส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่จะเข้าไปวางระบบการควบคุมภายใน หรือการตรวจสอบภายในให้แก่บริษัทที่กำลังเตรียมความพร้อม

โดยให้บริการลูกค้าตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำและเข้าไปเป็นพี่เลี้ยงให้กับบริษัทในการสร้างมูลค่าเพิ่มและพัฒนาธุรกิจให้มีมาตรฐาน มีโครงสร้างและระบบการบริหารจัดการที่ดีขึ้น รวมทั้งมีระบบการควบคุมภายในที่ดี เพื่อให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ไม่ว่าบริษัทนั้นจะมีเป้าหมายในการระดมทุนเข้าตลาดหลักทรัพย์ หรือไม่ก็ตาม เพราะถือว่าเราได้มีส่วนสำคัญในการเข้าไปพัฒนาและยกระดับมาตรฐานธุรกิจให้ลูกค้าและหากลูกค้ามีเป้าหมายที่่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ก็ถือเป็นการส่งต่อบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่มีคุณภาพให้กับตลาดหุ้นไทยอีกด้วย    
#2720



ยังคงเดินหน้าช่วยเหลือสังคมอย่างต่อเนื่อง สำหรับนางเอกหน้าหวาน มิน พีชญา วัฒนามนตรี ที่ก่อนหน้านี้ลงครัวทำอาหารไปมอบให้กับคนงานที่แคมป์ก่อสร้างต่างๆ ในกรุงเทพมหานคร

แต่ล่าสุดนางเอกคนดังก็ครีเอทไอเดียเจ๋งช่วยประชาชนที่เดือดร้อนกับพิษโควิด-19 แบบคูณสอง กับการเหมาอาหาร ขนมและเครื่องดื่มจากพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของไม่ได้เพื่อแจกจ่ายให้กับผู้เดือดร้อนจากโรคระบาดดังกล่าวได้กินฟรีรอบกรุงฯค่ะ

"กับโครงการนี้จริงๆ มินได้มีโอกาสทำมาพักนึงแล้วค่ะ คือตอนแรกอย่างที่ทุกคนได้เห็นว่ามินทำอาหารแจกพี่ๆ น้องๆ ที่แคมป์คนงาน แต่ตอนนี้เราก็ลองปรับมาดูว่าเราสามารถช่วยอะไรได้มากกว่านั้นไหม


มินเลยลองเปลี่ยนจากการทำอาหารเองมาเป็นการซื้ออาหาร ไปเหมาอาหารจากพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของไม่ได้ดีกว่า แล้วมินก็เอาของที่ซื้อมาแจกจ่ายให้กับพี่ๆ น้องๆ ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากพิษโควิดแทน

ถือว่าเราได้ช่วยคนแบบสองต่อเลยค่ะ เพราะบางร้านค้าขายของไม่ได้เลย บางร้านก็ขายได้แต่ก็ไม่พอค่าเช่าที่ แถมพ่อค้าแม่ค้าบางคนยังมีลูกเล็กๆ ที่ต้องเลี้ยงดูอีก

คือเราเห็นแล้วก็สงสารพ่อค้าแม่ค้าทุกคนค่ะ เราเลยมาช่วยตรงจุดนี้ เพราะพอเราซื้อของเค้า เหมาของเค้าพ่อค้าแม่ค้าเองก็ยิ้มได้ มีเงินกินเงินใช้เลี้ยงดูครอบครัว

มินเห็นเค้ามีความสุขเราเองก็ดีใจ ส่วนคนที่มารับของที่เราซื้อไว้ทุกคนก็ยิ้มได้ ได้กินของอร่อย ได้ยินแค่คำขอบคุณเราเองก็ปลื้มใจเช่นกันค่ะ


เพราะเรารู้ว่าตอนนี้พี่ๆ น้องๆ บางคนก็ตกงาน บางคนทำงานเป็นรายวัน ตอนนี้โรงงานปิดก็ขาดรายได้ บางคนก็โดนลดเงินเดือน เราก็ถือว่าเราได้ช่วยให้เค้ามีความสุข ได้อิ่มท้องในแต่ละวัน

เราเองก็มีความสุขมากแล้วค่ะ เพราะถ้าทุกคนมีข้าวกินในแต่ละวัน ทุกคนก็จะมีแรงต่อสู้กับปัญหาที่จะเข้ามาและมินก็คิดว่าจะทำโครงการดีๆ แบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าสถานการณ์ทุกอย่างจะดีขึ้นค่ะ"