• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Hanako5

#2921
ยาดม หนึ่งในสิ่งของที่ติดตัวคู่คนไทยมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่วิงเวียนศีรษะ หลายๆคนก็จะจับยาดมหลากสไตล์ขึ้นมาดม ไม่ว่าจะเป็นยาดมแท่งหรือยาดมน้ำ ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มีให้เลือกหลายแบรนด์ ซึ่งในขณะนี้ยาดมมิได้นิยมแค่ในประเทศไทยเท่านั้น หากแต่ว่าดังไปทั่วทั้งโลก ด้วยประเทศไทยพวกเราเป็นเมืองนักท่องเที่ยวนิยมมาท่องเที่ยวกันมากมายจากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งแน่นอนว่านักท่องเที่ยวที่มาส่วนมากก็จะรู้จักกับยาดมเป็นอย่างดี ทั้งซื้อกลับไปใช้เอง หรือแม้กระทั้งซื้อไปเป็นของฝากก็ดี ยาดมก็เลยกลายเป็นไอเท็มเด็ดที่คนต่างประเทศที่ได้มาเที่ยวเมืองไทยจะต้องซื้อติดไม้ติดมือกลับไป เพื่อเป็นเครื่องหมายหรือของที่ระลึกว่าเคยมาเที่ยวเมืองไทย





ยาดมกระชายขาว ผลิตขึ้นจากกระชายขาวแท้ สมุนไพรท้องถิ่นของไทยที่ได้มีการนำเอาคุณประโยชน์ทางยามาใช้ได้อย่างเหมาะสม กระชายขาวเป็นสมุนไพรภูมิปัญญาชาวบ้านที่ประยุกต์ใช้ประโยชน์ได้หลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นเหง้า ราก ใบ บ้างก็เอามาบดทำเป็นยาในทางแพทย์แผนไทย นับว่าเป็นสมุนไพรที่สารพัดประโยชน์เลยทีเดียว โดยยาดมกระชายขาว มีคุณประโยชน์สร้างภูมิคุ้มกันรวมทั้งช่วยทุเลาอาการต่างๆไม่ว่าจะเป็นการรักษาอาการจมูกไม่ได้กลิ่น อาการไซนัสอักเสบ แก้อาการวิงเวียนศีรษะ แน่นหน้าอก เป็นต้น สารสกัดของกระชายสามารถแสดงฤทธิ์ในการต้านไวรัสซาร์ส ในช่วงหลังการได้รับเชื้อแล้วก็ยังพบว่าสารแพนดูราทิน (pan-duratin) ของกระชายขาวมีฤทธิ์ในการต้านเชื้อไวรัสทั้งในระยะก่อนแล้วก็หลังการได้รับเชื้อ รวมทั้งยังมีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเชื้อเอดส์ ต้านเชื้อไวรัสไข้เลือดออกในกลุ่ม Flaviviridae family แล้วก็ยังยั้งเชื้อพิโคร์นาไวรัส (picornaviruses) ซึ่งก่อโรคมือเท้าปาก และก็นอกจากนี้ ยังมีผลจากการค้นคว้าวิจัยในหลอดทดลอง พบว่า สารสกัดกระชายขาว มีฤทธิ์สำหรับการยับยั้งการเพิ่มปริมาณของเชื้อไวรัสโควิด-19 (SARS-CoV-2) ได้ที่ปริมาณความเข้มข้นในระดับน้อยๆโดยไม่เป็นพิษต่อเซลล์ โดยสารสำคัญที่มีฤทธิ์สำหรับการยับยั้งไวรัส คือ แพนดูราทิน เอ (Panduratin A) และพินอสทรอบิน (Pinostrobin)





Jinn ยาดมสมุนไพรสูตรกระขายขาว ที่มีต้นกำเนิดจากจังหวัดเชียงใหม่ เป็นการบ่มเพาะภูมิปัญญาสมุนไพรล้านนา จากรุ่นสู่รุ่น ใช้วัตถุดิบสมุนไพรโบราณที่สดใหม่จากต้น ผ่านกรรมวิธีแบบดั้งเดิม เพื่อออกมาเป็นสินค้าคุณภาพ ส่งตรงถึงมือท่าน ด้วยกรรมวิธีการผลิตที่ทันสมัย สะอาด และก็ปลอดภัย ด้วยการนำเอาคุณประโยชน์ทางยาของกระชายขาวมาเป็นคุณลักษณะเด่น โดยเป็นการนำเอาสมุนไพรกว่า 12 ประเภท ซึ่งเป็นสมุนไพรที่ได้จากธรรมชาติ 100% จึงทำให้สามารถสูดดมได้ทั้งเด็กและก็ผู้ใหญ่ มีฤทธิ์สำหรับในการยับยั้งเชื้อไวรัสได้อย่างดีเยี่ยม ช่วยต้านทานเชื้อก่อนลงปอด แก้อาการวิงเวียนศีรษะ เหมือนจะเป็นลม บรรเทาอาการเป็นหวัด คัดจมูก น้ำมูกไหล ช่วยทำให้หายใจได้คล่องขึ้นขณะจับไข้ ราคาอยู่ที่ขวดละ 80 บาท โปรโมชั่นพิเศษ ถ้าหากสั่งซื้อ 3 ชิ้นขึ้นไป ฟรีค่าส่งไปเลย สนใจสินค้าสามารถถามข้อมูลอื่นๆได้ที่ Facebook : https://www.facebook.com/Jinnherbal



 

 
 
#2922
จากอิทธิพลของพายุโซนร้อน "เตี้ยนหมู่" ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนในช่วงที่ผ่านมา มีฝนตกหนัก เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่กว่า 30 จังหวัด ในเขตภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง และภาคตะวันออก สร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนจำนวนมาก

โดยบ้านเรือนที่พักอาศัย อาคารพาณิชย์ สถานที่ราชการ โรงเรียน โรงพยาบาล วัดวาอาราม ไปจนถึงพืชผลทางการเกษตรได้รับความเสียหายหนัก ถนนหนทางถูกตัดขาด การเดินทางสัญจรเป็นไปด้วยความยากลำบาก โดยมีประชาชนได้รับผลกระทบแล้วมากกว่า 2 แสนครัวเรือน

แม้ว่าสถานการณ์ในหลายพื้นที่จะเริ่มคลี่คลายกลับสู่ภาวะปกติ แต่อีกหลายจังหวัดน้ำยังท่วมสูง ยังต้องเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาที่จะรับน้ำมาจากตอนบนของประเทศ ซึ่งขณะนี้หลายเขื่อนกำลังเร่งระบายน้ำ เพื่อผลักดันออกสู่ทะเล

โดยหอการค้าไทยประเมินว่าน้ำท่วมรอบนี้จะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจไทยวันละ 5,000-10,000 ล้านบาท ส่วนตลาดหุ้นถูกกดดันจากประเด็นน้ำท่วมเช่นกัน เนื่องจากหวั่นวิตกว่าน้ำอาจท่วมหนักซ้ำรอยปี 2554 ส่งผลให้หุ้นไทยสัปดาห์ที่ผ่านมา (27 ก.ย.-1ต.ค.) ปรับตัวลดลง 1.59% จากสัปดาห์ก่อน

แต่ขณะเดียวกันมีแรงเก็งกำไรหุ้นหลายกลุ่มที่คาดจะได้รับอานิสงส์จากน้ำท่วม โดยเฉพาะ "กลุ่มวัสดุก่อสร้าง" ที่ต้องนำมาใช้ซ่อมแซมอาคารบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหายหลังน้ำลด

ad
สำหรับหุ้นที่โดดเด่นขึ้นมา เช่น "กลุ่มกระเบื้อง" มีบริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ COTTO, บริษัท สหโมเสคอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ UMI ที่วอลุ่มเพิ่มขึ้นจากช่วงปกติหลายเท่าตัว

เช่นเดียวกับบริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT ที่มีสินค้าหลักอย่างหลังคาและไม้สังเคราะห์ และหุ้นสี อย่างบริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TOA ส่วนบริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO จะได้รับอานิสงส์จากการซ่อมแซมถนน หนุนความต้องการใช้ยางมะตอยเพิ่มขึ้น

ส่วนกลุ่มร้านขายวัสดุก่อสร้างมีหลายสาขาที่ถูกน้ำท่วม เช่น บริษัท สยามโกล.เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOBAL แจ้งว่ามีสาขาด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา และสาขาชัยภูมิ ที่ถูกน้ำท่วม มีสินค้าบางส่วนได้รับความเสียหาย แต่บริษัททำประกันภัยคุ้มครองความเสียหายไว้แล้ว

บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME ยังไม่ได้แจ้งอย่างเป็นทางการว่าได้รับความเสียหายหรือไม่ แต่ก็มีหลายสาขาที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่น้ำท่วม ทั้งขอนแก่น อุบลราชธานี นครราชสีมา อย่างไรก็ตามคาดว่าดีมานด์จะกลับมาหลังน้ำท่วมคลี่คลาย

อีกกลุ่มที่ห้ามมองข้าม คือ "กลุ่มโรงพยาบาล" ซึ่งจะได้รับอานิสงส์จากการรักษาโรคที่มากับน้ำท่วม แนวโน้มผู้ป่วยมีโอกาสเพิ่มขึ้นนอกจากนี้ ช่วงไตรมาส 3 ถือเป็นไฮซีซั่นของธุรกิจ เนื่องจากเป็นช่วงฤดูฝน อากาศเปลี่ยนแปลง จำนวนคนไข้จะมากที่สุดในรอบปี


ด้านบล.เอเซีย พลัส ระบุว่า หากย้อนกลับไปดูตลาดหุ้นไทยช่วงที่เกิดวิกฤตน้ำท่วมปี 2554 พบว่า ภายในระยะเวลา 2 เดือน ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงถึง 24.5% และใช้เวลาถึง 5 เดือนกว่าจะฟื้นกลับมา แต่อย่างไรก็ตามไม่ใช่หุ้นทุกตัวจะถูกผลกระทบแรงทั้งหมด ฝ่ายวิจัยจึงทำการวิเคราะห์และค้นหาหุ้นที่เป็นเหมือนถุงยังชีพติดพอร์ต เพื่อหลบหรือลดความเสี่ยงจากกรณีน้ำท่วม ดังนี้

1. หุ้นปลอดภัยได้กระแสการรักษาโรคจากเหตุน้ำท่วม อย่างกลุ่มโรงพยาบาล แนะนำ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS, บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH, บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH ซึ่งมีความผันผวนต่ำเหมาะกับการหลบความผันผวนของตลาด และยังได้รับอานิสงส์จากปริมาณผู้ป่วยที่มีโอกาสเพิ่มขึ้นจากภัยน้ำท่วม ขณะที่ราคาหุ้นในอดีตปี 2554 แข็งแรงกว่าตลาดมาก

2. หุ้นที่จำหน่ายสินค้าจำเป็นเกี่ยวกับการอุปโภคบริโภค อย่างกลุ่มค้าปลีกหรืออาหาร แนะนำ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL, บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC, บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC และ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ได้แรงหนุนจากความต้องการสินค้าจำเป็นในการยังชีพมากขึ้น

และ 3. หุ้นที่เกี่ยวกับการซ่อมแซมบ้านเรือนและสถานที่หลังน้ำท่วม แนะนำ TASCO, GLOBAL, DRT, บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO และ บริษัท ไดนาสตี้เซรามิค จำกัด (มหาชน) หรือ DCC
#2923
บล.ไทยพาณิชย์ ชี้การผ่อนคลายมาตรการเปิดกิจการและการออกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย การท่องเที่ยวของรัฐบาล หนุนเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว ดันหุ้นไทยลุ้นแตะ 1,660 จุด เชียร์ซื้อ ฺBCP - KBANK - TU

บล.ไทยพาณิชย์ ระบุว่า คาดการณ์ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้า (4-8 ต.ค.) จะเคลื่อนไหวในกรอบแนวรับ 1,580 / 1,600 จุด และ แนวต้าน 1,640 - 1,660 จุด โดยได้รับปัจจัยบวกจากการผ่อนคลายมาตรการเปิดกิจการการเพิ่ม หนุนเศรษฐกิจช่วงปลายปีฟื้นตัว

ขณะที่ภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นใช้จ่าย-ท่องเที่ยว คาดเม็ดเงินหมุนเวียนมากขึ้น ด้านสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศ จำนวนผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่ต่อวันลดลงต่อเนื่อง และเดินหน้าเร่งฉีดวัคซีนให้ได้ตามเป้า

ส่วนปัจจัยลบที่จะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุน ได้แก่ ปัญหาผิดนัดชำระหนี้ของ Evergrande นอกจากนี้ หากสหรัฐผ่านร่างกฎหมายระงับเพดานหนี้ไม่ทันเสี่ยงเกิดการผิดนัดชำระหนี้ครั้งแรกในประวัติศาสตร์



โดยมีหุ้น (Top Picks) แนะนำ ดังนี้                 

- BCP ราคาเป้าหมาย 34.00 บาท

- KBANK ราคาเป้าหมาย 171.00 บาท

- TU ราคาเป้าหมาย 25.00 บาท
#2924


สมาคมผู้ค้าปลีกไทย เผยดัชนีความเชื่อมั่นเดือนกันยายนเพิ่มขึ้นสองเท่า หลังรัฐผ่อนคลายมาตรการควบคุมแบบเข้มงวด จี้รัฐฟื้นมาตรการ "ช้อปดีมีคืน" ปลุกเศรษฐกิจ ฟากผู้ประกอบการยังคงกังวลปัญหาจำนวนวัคซีน ภาระค่าใช้จ่ายตามมาตรการสาธารณสุขที่พุ่งขึ้นเกือบสามเท่า ด้านประชาชน 90% ยังไม่เชื่อมั่นเดินหน้านโยบายเปิดประเทศ 120 วัน

วันที่ 1 ตุลาคม 2564 นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นค้าปลีกในเดือนกันยายนส่งสัญญาณที่ดีโตขึ้น 2 เท่าเมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคมในปีเดียวกัน เป็นผลจากมาตรการการผ่อนปรนให้เปิดกิจการและธุรกิจเพิ่มเติมในห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า และคอมมูนิตี้มอลล์

ส่งผลให้ความถี่ในการจับจ่าย Frequency of Shopping เพิ่มมากขึ้น แต่ยอดการใช้จ่ายต่อครั้ง Spending per Basket เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย สะท้อนให้เห็นถึงกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และต้องการการกระตุ้นจากภาครัฐเพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยทั้งระบบ โดยมีข้อสรุปของดัชนีความเชื่อมั่นในประเด็นที่สำคัญ ดังต่อไปนี้

1.ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก Retail Sentiment Index (RSI) เดือนกันยายน 2564 ปรับตัวดีขึ้นกว่าสองเท่าอย่างชัดเจน จากที่ระดับ 25.0 ในเดือนสิงหาคม มาอยู่ที่ระดับ 59.0 ในเดือนกันยายน หลังการประกาศผ่อนคลายมาตรการของรัฐ ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก RSI ในอีก 3 เดือนข้างหน้าก็ปรับตัวดีจากระดับที่ 47.8 เดือนสิงหาคม มาอยู่ที่ระดับ 63.8 ในเดือนกันยายน ซึ่งเพิ่มขึ้นเพียง 25% ในขณะที่ความเชื่อมั่นสภาวะปัจจุบันเพิ่มขึ้นกว่า 200% สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการยังมีความวิตกกังวลอยู่มากของมาตรการการผ่อนคลาย และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ยังไม่มีความชัดเจน

2.ดัชนีความเชื่อมั่น RSI แยกตามภูมิภาค ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการต่อยอดขายเดิมเดือนกันยายนดีขึ้นอย่างชัดเจนในทุกภูมิภาค และอยู่เหนือระดับค่าเฉลี่ยกลางที่ 50 ยกเว้น ภาคเหนือ และภาคใต้ ซึ่งยังต่ำกว่าระดับค่าเฉลี่ยกลางที่ 50 ต่อเนื่องมานับจากเดือนพฤษภาคม เนื่องจากเป็นภูมิภาคที่ถูกผลกระทบจากการท่องเที่ยว ที่หดหาย และการเลื่อนการบินภายในประเทศ

3.ดัชนีความเชื่อมั่น RSI แยกตามประเภทร้านค้าปลีก มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกประเภทธุรกิจอย่างชัดเจน โดยเฉพาะร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ตกแต่ง ซ่อมบำรุง (Hard Line) แต่ในขณะที่ร้านค้าปลีกประเภทร้านสะดวกซื้อที่ดัชนีความเชื่อมั่นยังอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลางที่ระดับ 50 เป็นผลจากมาตรการเคอร์ฟิว ส่งผลกระทบยอดขายในรอบดึกซึ่งมีสัดส่วนราว 35% ของยอดขายต่อวันหายไป รวมถึงมาตรการ WFH และการปิดสถานศึกษา ส่งผลให้ปริมาณลูกค้าลดน้อยลง

ทั้งนี้ ยังมีบทสรุปประเด็นสำคัญของ "การประเมินผลกระทบต่อยอดขายและกำลังซื้อและแนวโน้มกิจกรรมทางเศรษฐกิจ จากมุมมองผู้ประกอบการ" ในเดือนกันยายน ดังนี้


1. 68% ผู้ประกอบการคาดว่าการบริโภคภาคเอกชนในไตรมาส 3 น่าจะหดตัวถึง 30% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

2. 57% ผู้ประกอบการระบุว่ายอดขายในไตรมาส 3 น่าจะลดลงมากกว่า 50% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว

3. 73% ของผู้ประกอบการคาดว่า สถานการณ์จะกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 ซึ่งเป็นผลจากการกระจายวัคซีนให้กับประชาชนได้ตามเกณฑ์

4. 26% จะเปิดเป็นบางส่วนหรือปิดชั่วคราว แม้ว่าภาครัฐจะผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ก็ตาม

5. ปัจจัยที่ส่งผลต่อธุรกิจของในสถานการณ์ปัจจุบัน ได้แก่ 83% มาตรการเคอร์ฟิวมีผลต่อยอดขายมาก,58% กำลังซื้อผู้บริโภคหดหาย ไม่ฟื้นตัวเร็ว, 42% ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น,33% มีบุคลากรที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนอีกมาก,33% ค่าใช้จ่ายตามประกาศ Covid Free Setting บานปลาย


6. 90% ไม่มีความมั่นใจในนโยบายที่ภาครัฐประกาศจะเปิดประเทศ 120 วัน

อย่างไรยังได้ยื่น 4 ข้อเสนอต่อภาครัฐ เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้น ได้แก่ 1.ภาครัฐต้องเร่งฟื้นโครงการ "ช้อปดีมีคืน" อย่างเร่งด่วน เพื่อสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบ กระตุ้นมู้ดการจับจ่ายในช่วงไฮซีซั่นให้กลับมาคึกคัก 2.ภาครัฐใช้มาตรการทางภาษีเพื่อช่วยผู้ประกอบการในด้านค่าใช้จ่ายทางสาธารณสุข นอกเหนือจากการลดหย่อนภาษี 1.5 เท่าของค่าใช้จ่าย ATK

3.ภาครัฐต้องสร้างความชัดเจนในการนำมาตรการ Covid Free Setting และ Universal Prevention โดยกำหนดให้ผู้ประกอบการสามารถปฏิบัติได้ง่ายและมีขั้นตอนที่ชัดเจน 4.ภาครัฐเร่งการกระจายการฉีดวัคซีนให้รวดเร็วและเข้าถึงประชาชนมากกว่า 70% ของประชากรทั้งหมดของประเทศ

"จะเห็นได้ว่ามาตรการผ่อนปรนฯ เป็นกุญแจสำคัญที่เรียกความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจกลับคืนมา และยังเป็นการสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ระบบค้าปลีกและบริการได้อย่างทันท่วงที อย่างไรก็ตาม รัฐบาลควรเร่งการกระจายการฉีดวัคซีน ให้ได้ 70% ของประชากรทั้งประเทศตามที่ได้ตั้งเป้าไว้ เพื่อจะได้เปิดประเทศอย่างปลอดภัยและเร็วที่สุด อีกปัจจัยที่สำคัญ ที่จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งเป็นโค้งสุดท้ายของปีนี้ ผมขอเสนอให้นำมาตรการ "ช้อปดีมีคืน" กลับมาใช้อย่างเร่งด่วน เพราะจะเป็นการอัดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ"
#2925

ปานี บาเรล่า ดาวเตะตัวเก่ง เหมาคนเดียวสองประตู พาทัพ 'โปรตุเกส' เฉือนชนะ 'อาร์เจนติน่า' สุดมัน 2-1 ประกาศศักดาคว้าแชมป์ฟุตซอลโลกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

ศึกฟุตซอลชิงแชมป์โลก 2021 ที่ประเทศลิธัวเนีย คืนวันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม 2564 เป็นการชิงชัยในนัดชิงชนะเลิศ อาร์เจนติน่า แชมป์เก่าเมื่อ 5 ปีที่แล้ว พบกับ โปรตุเกส แชมป์ยุโรปทีมล่าสุด

อาร์เจนติน่า ภายใต้การคุมทีมของ มาทิอัส ลูคูอิกซ์ จัดทัพผู้เล่น 5 คนแรก ประกอบด้วย นิโคลัส ซาร์เมียนโต (GK), อังเกล เคลาดิโน่, ซานติอาโก บาซีเล่, อลัน บรานดี, พาโบล ทาบอร์ดา

ขณะที่ โปรตุเกส ของกุนซือฆอร์เก บราซ จัดทัพผู้เล่น 5 คนแรก ประกอบไปด้วย เบเบ้ (GK), ฟาบิโอ เซซิลิโอ, บรูโน่ โคเอลโญ่, เจา มาตอส, ริคาร์ดินโญ่

ครึ่งเวลาแรก รูปเกมของทั้งสองทีมค่อนข้างสูสี แม้อาร์เจนติน่าจะครอง.บุกได้มากกว่า แต่ยังหาโอกาสเจาะประตูโปรตุเกสไม่ได้

อย่างไรก็ตาม โปรตุเกส ก็มาได้ประตูขึ้นนำ 1-0 ในนาทีที่ 15 จากการยิงของ ปานี บาเรล่า ดาวเตะตัวเก่งของทีม และหมดเวลาในครึ่งแรกไปด้วยสกอร์นี้

ครึ่งหลัง อาร์เจนติน่า เปิดเกมบุกอย่างหนักเพื่อทำประตูตีเสมอให้ได้ แต่กลายเป็นโปรตุเกส ที่มาได้ประตูหนีห่าง 2-0 จากจังหวะสวนกลับ และเป็น ปานี บาเรล่า คนเดิมที่ยิงเข้าไปในนาทีที่ 28

แต่ถัดมาไม่ถึงหนึ่งนาที อาร์เจนติน่า ที่จึงเกมบุกอีกครั้ง ก็มาได้ประตูตีไข่แตกไล่มาเป็น 1-2 จากการยิงของ อังเกล เคลาดิโน่ ในนาทีที่ 28

ช่วง 3 นาทีสุดท้าย อาร์เจนติน่า ปรับมาใช้รูปแบบการเล่นเพาเวอร์เพลย์เพื่อหาช่องทำประตูตีเสมอให้ได้ และในวินาทีสุดท้าย เคลาดิโน่ ตวัดยิงด้วยซ้าย.ไปชนเสาเต็มๆ ชวดได้ประตูตีเสมออย่างน่าเสียดาย

หมดเวลาการแข่งขัน โปรตุเกส เฉือนเอาชนะ อาร์เจนติน่า ไปแบบสุดมัน 2-1 คว้าแชมป์ฟุตซอลโลก 2021 ไปครองได้สำเร็จ

ทั้งนี้ถือเป็นการคว้าแชมป์ฟุตซอลโลกเป็นสมัยแรกของ โปรตุเกส หลังจากเคยทำได้ดีที่สุดคืออันดับ 3 เมื่อปี 2000 ที่กัวเตมาลา โดยเป็นการคว้าแชมป์ระดับเมเจอร์ 2 รายการติด หลังเพิ่งจะได้แชมป์ยุโรปมาเมื่อปี 2018 ส่วนแชมป์เก่าอาร์เจนติน่า ชวดคว้าแชมป์สมัยที่สองไปอย่างน่าเสียดาย


ส่วนผลการแข่งขันคู่ชิงอันดับ 3
บราซิล 4-2 คาซัคสถาน
#2926


การแข่งขันฟุต.รีโว่ ไทยลีก 2021 นัดที่ 5 เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2564 'สิงห์เจ้าท่า' การท่าเรือ เอฟซี ทีมอันดับ 8 เปิดสนามแพท สเตเดี้ยม รับการมาเยือนของ 'กิเลนผยอง' เมืองทอง ยูไนเต็ด ทีมอันดับ 7

เริ่มครึ่งแรก นาทีที่ 8 เจ้าถิ่นได้ลุ้นขึ้นนำจากจังหวะเจะมุม .มาถึง ดาบิด โรเชล่า ได้โขกเน้น ๆ แต่.เหินข้ามคานออกไปนิดเดียว

จากนั้น นาทีที่ 30 สิงห์เจ้าท่า ขึ้นนำ 1-0 จากจังหวะที่ สมพร ยศ นายทวารทีมเยือนรับ.กระชอก แล้ว เนลสัน โบนีญ่า ตามมาซ้ำดาบสอง.ตุงตาข่าย

จากนั้นไม่มีใครทำประตูเพิ่มได้ ทำให้จบครึ่งแรก การท่าเรือ ขึ้นนำ เมืองทองฯ 1-0

กลับสู่ครึ่งหลัง นาทีที่ 53 เมืองทอง เกือบได้ประตูตีเสมอ วีระเทพ ป้อมพันธุ์ เปิดเตะมุมเข้าเขตโทษ ทว่า อดิศักดิ์ ไกรษร โหม่งไปชนเสาอย่างน่าเสียดาย

เวลาที่เหลือไม่มีประตูเพิ่ม จบเกม การท่าเรือ เอฟซี เปิดบ้านชนะ เมืองทอง ยูไนเต็ด 1-0 

รายชื่อ 11 ผู้เล่นตัวจริง
การท่าเรือ เอฟซี : วรวุฒิ ศรีสุภา (GK), นิติพงษ์ เสลานนท์, ดาบิด โรเชล่า, ธนบูรณ์ เกษารัตน์, ฟิลิป โรเลอร์, โก ซุลกิ, ศิวกร จักขุประสาท, ปกรณ์ เปรมภักดิ์, เซร์คิโอ ซัวเรส, บดินทร์ ผาลา, เนลสัน โบนีญ่า

เมืองทอง ยูไนเต็ด : สมพร ยศ (GK), บุญทวี เทพวงค์, ลูคัส โรช่า, ชาติชาย แสงดาว, สุพร ปีนะกาตาโพธิ์, วีระเทพ ป้อมพันธุ์, พิชา อุทรา, ธีระพล เยาะเย้ย, ซาร์ดอร์ มีร์ซาเยฟ, วิลเลี่ยน พ็อพพ์, อดิศักดิ์ ไกรษร
#2927

แอนดรอส ทาวน์เซนด์ ฮีโร่ผู้ทำประตูให้ เอฟเวอร์ตัน แบ่งแต้มจาก แมนฯ ยูไนเต็ด 1-1 กล่าวถึงท่าดีใจซึ่งเลียนแบบ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ โดยเขาไม่ได้จะล้อเลียนแต่อย่างใด แค่อยากแสดงความเคารพถึงดาวเตะรายนี้เท่านั้น

'มันไม่ใช่ท่าดีใจที่เลียนแบบ แต่มันคือการแสดงความเคารพต่อนักเตะผู้เป็นแรงบันดาลใจของผมมาตลอด' ทาวน์เซนด์ เริ่มกล่าวกับ บีที สปอร์ต

'ผมใช้เวลาหลายชั่วโมงในสนามซ้อม และห้องเก็บบันทึกการแข่งขัน เพื่อพยายามวิเคราะห์การยิงฟรีคิกของเขา (คริสเตียโน่ โรนัลโด้) ท่าข้าม.หลอก และแนวทางของเขาทั้งหมดที่มีต่อฟุต.'

'ดังนั้นท่าดีใจมันไม่ใช่การล้อเลียน แต่เป็นการส่งความเคารพไปให้หนึ่งในไอดอลของผม ผมคิดว่าผมทำได้ไม่สมบูรณ์เท่าไหร่ ทำไม่ค่อยเหมือนเขาเลย'

ทั้งนี้ ประตูของ แอนดรอส ทาวน์เซนด์ ที่ยิงช่วยให้ 'ท็อฟฟี่สีน้ำเงิน' ไล่เจ๊า 'ปีศาจแดง' 1-1 ถือเป็นประตูที่ 5 ของเขากับเอฟเวอร์ตันทุกรายการในฤดูกาลนี้
#2928


การบินไทยรับรางวัลพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินที่ดีที่สุดของโลก อันดับ 3 และ รางวัลสายการบินที่ให้บริการภาคพื้นที่สนามบินที่ดีที่สุดของโลก อันดับ 4 จากสกายแทรกซ์ ประจำปี 2021 ตอกย้ำมาตรฐานสายการบินระดับโลก

บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) รับรางวัลพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินที่ดีที่สุดของโลก อันดับ 3 (World's Best Airline Cabin Crew) และสายการบินที่ให้บริการภาคพื้นที่สนามบินที่ดีที่สุดของโลก อันดับ 4 (World's Best Airport Services) จากการประกาศรางวัลจากสกายแทรกซ์ ประจำปี 2021 (The 2021 Skytrax World Airline Awards) ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ซึ่งรางวัลดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการให้บริการของการบินไทยในมาตรฐานระดับโลก และมีคุณภาพในระดับที่นานาชาติยอมรับ

นอกจากนี้ การบินไทยยังได้รับการจัดอันดับอีก 3 รางวัล ได้แก่ สายการบินที่มีพนักงานให้บริการที่ดีที่สุดของเอเชีย อันดับ 5 (Best Airline Staff in Asia) ซึ่งรางวัลนี้ได้จากการให้บริการอันยอดเยี่ยมของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน รวมทั้งพนักงานต้อนรับภาคพื้น สายการบินที่ให้บริการชั้นประหยัดที่ดีที่สุดของโลก อันดับ 6 (World's Best Economy Class) และสายการบินที่ให้บริการอาหารสำหรับชั้นประหยัดที่ดีที่สุด อันดับ 9 (Best Economy Class Airline Catering)

โดยรางวัลเหล่านี้ถือเป็นขวัญกำลังใจแก่พนักงานการบินไทย และเป็นความภาคภูมิใจของการบินไทยที่แสดงให้เห็นถึงการบริการแบบเต็มรูปแบบในระดับมาตรฐานสากล ทั้งนี้ การบินไทยยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาคุณภาพให้ดียิ่งขึ้นต่อไปในทุกด้าน เพื่อให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวกสบาย และสร้างความพึงพอใจสูงสุดตลอดไป

อนึ่ง สกายแทรกซ์ เริ่มจัดตั้งขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 โดยสำรวจความคิดเห็นและความพึงพอใจจากนักเดินทางทั่วโลก และนำมารวบรวมประเมินผลมาตรฐานผลิตภัณฑ์และการบริการของสายการบินต่าง ๆ ที่มีความเป็นเลิศในทุก ๆ ด้าน เริ่มตั้งแต่ก้าวเข้าสู่สนามบินจนถึงการบริการบนเครื่องบิน อาทิ การให้บริการเช็คอิน ความสะดวกสบายของที่นั่งและภายในห้องโดยสาร การให้บริการอาหารและเครื่องดื่ม การให้บริการของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินและระบบสาระบันเทิงบนเครื่องบิน เป็นต้น

โดยการสำรวจความคิดเห็นในครั้งนี้ จัดทำขึ้นระหว่างเดือนกันยายน 2562 ถึงเดือนกรกฎาคม 2564 ทั้งนี้ ในระหว่างปี 2563 และ 2564 เป็นช่วงเวลาที่สายการบินทั่วโลกประสบปัญหาจากวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 รวมทั้งมีข้อจำกัดอันเข้มงวดของการเดินทาง ทำให้ความต้องการในการเดินทางของ  ผู้โดยสารทั่วโลกลดลง แต่ในปี 2564 การเดินทางเริ่มมีมากขึ้นแต่ยังอยู่ภายใต้การเดินทางที่มีข้อจำกัด
URL
 919
 
#2929


ธนาคารไทยพาณิชย์ออกมาตรการพิเศษช่วยเหลือลูกค้าเอสเอ็มอีที่อยู่ในพื้นที่ประสบอุทกภัยจากพายุโซนร้อน "เตี้ยนหมู่" ทั้งผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทางตรงและผลกระทบทางอ้อม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน แบ่งเบาภาระ และคลายความกังวลใจให้ลูกค้าในสถานการณ์ฉุกเฉินครั้งนี้อย่างเร่งด่วน

นางพิกุล ศรีมหันต์ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจ เอสเอ็มอี ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) กล่าวว่า ธนาคารไทยพาณิชย์มีความห่วงใยลูกค้าและประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมในครั้งนี้ และพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือแก่ลูกค้าเอสเอ็มอีของธนาคารอย่างเร่งด่วน ครอบคลุมทั้งกลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทางตรง คือ สถานประกอบการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ประสบอุทกภัยและทรัพย์สินของกิจการได้รับความเสียหาย และกลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทางอ้อม คือ สถานประกอบการตั้งอยู่นอกพื้นที่ แต่มีคู่ค้าอยู่ในพื้นที่ประสบอุทกภัยส่งผลให้ธุรกิจของลูกค้าไม่สามารถดำเนินการตามปกติได้ จึงออกมาตรการพิเศษเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนและคลายความกังวลใจให้ลูกค้าเอสเอ็มอีโดยทันที ผ่าน 5 มาตรการหลัก ได้แก่

1) พักชำระเงินต้น (Grace Period) สูงสุดนาน 6 เดือน 2) พักชำระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย ไม่เกิน 3 เดือน 3) ยกเว้นการเรียกเก็บดอกเบี้ยผิดนัดชำระ (คิดอัตราดอกเบี้ยปกติ) สำหรับการผิดนัดชำระไม่เกิน 30 วัน 4) เพิ่มวงเงินหมุนเวียนชั่วคราว สูงสุด 20% ของวงเงิน Working Capital เดิมและไม่เกิน 10 ล้านบาท 5) วงเงินกู้สำหรับปรับปรุง ซ่อมแซม หรือซื้อทดแทนทรัพย์สินของกิจการที่เสียหายสูงสุด 20% ของวงเงินรวมเดิม สูงสุดไม่เกิน 10 ล้านบาท ผ่อนชำระนานสูงสุด 7 ปี นอกจากนี้ ในส่วนของลูกค้าสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการรายย่อย มีการช่วยเหลือด้วยมาตรการปรับลดอัตราผ่อนชำระต่องวด และ/หรือขยายเวลาผ่อนชำระยาวขึ้น

ทั้งนี้ ธนาคารไทยพาณิชย์จะยังคงติดตามประเมินผลกระทบในระยะถัดไปอย่างใกล้ชิด หากสถานการณ์มีความรุนแรงและขยายวงกว้าง พร้อมที่จะพิจารณาให้ความช่วยเหลือลูกค้าด้วยมาตรการเพิ่มเติมต่อไป เพื่อช่วยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสามารถก้าวผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ด้วยดี และเดินหน้าธุรกิจต่อได้อย่างราบรื่นและเติบโตต่อไป

ลูกค้าเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบสามารถติดต่อรับขอมาตรการช่วยเหลือ ทั้งนี้ เกณฑ์การพิจารณาขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของลูกค้าแต่ละราย และเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด โดยลูกค้าสามารถลงทะเบียนขอรับมาตรการช่วยเหลือได้จนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2564
#2930

ทุกข์สาหัสของประชาชนคนไทยในสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นอกเหนือจากการทำมาหารายได้ฝืดเคืองสุดๆ แล้ว ปัญหาที่สาหัสสากรรจ์คงหนีไม่พ้นเรื่องหนี้สิน เพราะจะว่าไปคนส่วนใหญ่ล้วนแต่มีภาระหนี้ทั้งผ่อนบ้าน ผ่อนรถ กู้ยืมเพื่อการศึกษา จับจ่ายใช้สอย ซึ่งในภาวะปกติที่มีกระแสเงินสดเข้ามาเติมไม่ขาด มีเงินหมุนในมือทุกอย่างก็พอไปได้ แต่เมื่อเจอพิษโควิด-19 การผ่อนหนี้กลายเป็นปัญหาใหญ่ไม่ว่าจะเป็นหนี้ส่วนบุคคลของประชาชนคนธรรมดา หรือผู้ประกอบการที่กู้แบงก์มาลงทุน 

ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ออกมาตรการต่างๆ นาๆ เพื่ออุ้มลูกหนี้ให้รอดพ้นวิกฤต แต่สถานการณ์โดยรวมยังไม่สามารถบรรเทาเบาบางลง เพราะการแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังหนักหนาสาหัส ธุรกิจต่างๆ ยังไม่สามารถกลับมาเปิดกิจการได้เต็มร้อย การทำมาหากินยังฝืดเคือง ขณะที่ดอกเบี้ยเงินกู้ทั้งในระบบและนอกระบบเดินหน้าไม่หยุด

ในที่สุด  ธนาคารแห่งประเทศ (ธปท.) หรือแบงก์ชาติ จึงต้องงัดมาตรการให้มี  การรวมหนี้ (Debt Consolidation) ระหว่างสถาบันการเงิน สำหรับสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน กับสินเชื่อที่มีหลักประกัน เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล หรือสินเชื่อบัตรเครดิต รวมกับสินเชื่อบ้าน หรือสินเชื่อรถยนต์ เป็นต้น เพื่อลดภาระของลูกหนี้ ตามที่  น.ส.สุวรรณี เจษฎาศักดิ์  ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่ามาตรการรวมหนี้ข้ามสถาบันการเงินจะออกมาในช่วงกลางเดือนตุลาคม 2564 เพิ่มเติมจากมาตรการก่อนหน้าที่อนุญาตให้รวมหนี้ที่เกิดขึ้นในสถาบันการเงินเดียวกันเท่านั้น

 ในเบื้องต้นแบงก์ชาติดคาดว่า หากลูกหนี้สามารถรวมหนี้สินเชื่อไม่มีหลักประกันกับสินเชื่อที่มีหลักประกันได้ จะช่วยลดภาระดอกเบี้ยจากระดับสูงให้ลดลงเหลือต่ำกว่า 10% โดยปัจจุบันเพดานหนี้บัตรเครดิต อยู่ที่ 16-18% สินเชื่อบุคคล อยู่ที่ 25% สินเชื่อจำนำทะเบียน อยู่ที่ 24% และสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ อยู่ที่ 33% ซึ่งมาตรการที่ออกมานี้ จะกำหนดไม่ให้สถาบันการเงินคิดค่าธรรมเนียมชำระเงินกู้คืนก่อนครบกำหนด (Prepayment Fee) ด้วย 

"ปัจจุบันอาจจะมีนอนแบงก์ ที่ไม่ได้มีหนี้ที่มีหลักประกัน ซึ่งเมื่อมีมาตรการนี้อาจทำให้ลูกหนี้โอนมารวมกับสถาบันการเงินได้ ซึ่งนอนแบงก์เองก็ต้องยอมปล่อยลูกหนี้ออกมา จะบังคับไม่ให้ปิดหนี้เดิมไม่ได้ เนื่องจากกฎหมายกำหนดว่า เมื่อมีเงินไปปิดหนี้สถาบันการเงินก็ต้องรับ โดยในครั้งนี้ ธปท.จะเพิ่มหลักเกณฑ์ในเรื่องห้ามคิดค่าธรรมเนียมชำระคืนเงินกู้ก่อนครบกำหนดด้วย" น.ส.สุวรรณี กล่าว

นางสาวสุวรรณี กล่าวว่า ภายใต้ภาวะที่ความเสี่ยงยังอยู่ในระดับสูง จะต้องเน้นการเลือกใช้มาตรการที่ตรงจุด และไม่ส่งผลกระทบเชิงลบหรือผลข้างเคียงต่อระบบการเงิน เพื่อให้ระบบการเงินและระบบสถาบันการเงินยังทำงานได้ตามปกติและหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจให้ไปต่อได้ ขณะที่ไม่ทำให้ลูกหนี้กลุ่มเสี่ยงและเปราะบางถูกผลักไปอยู่นอกระบบ ดังนั้น มาตรการปรับโครงสร้างหนี้พร้อมการให้แรงจูงใจเพิ่มเติม มาตรการเพิ่มเงินใหม่ รวมถึงมาตรการรวมหนี้จะเป็นการแก้ปัญหาได้ตรงจุด และระบบสถาบันการเงินยังสามารถส่งผ่านความช่วยเหลือได้อย่างต่อเนื่อง

สำหรับความคืบหน้าของมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ณ สิ้นเดือน กรกฎาคม 2564 มีลูกหนี้ได้รับความช่วยเหลือภายใต้มาตรการทั้งสิ้น 5.12 ล้านบัญชี คิดเป็นยอดหนี้ 3.35 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นลูกหนี้ของสถาบันการเงินและมิใช่สถาบันการเงิน 2 ล้านบัญชี ยอดหนี้ 2.1 ล้านล้านบาท และลูกหนี้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ 3.12 ล้านบัญชี ยอดหนี้ 1.25 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ เมื่อรวมลูกหนี้ของสถาบันการเงินและมิใช่สถาบันการเงินที่เข้ามาตรการเร่งด่วนพักชำระหนี้ มีมากกว่า 3 ล้านบัญชี

นอกจากนี้ ธปท.ได้อนุมัติสินเชื่อฟื้นฟูไปแล้วทั้งสิ้น 106,156 ล้านบาท ถึงเป้าหนึ่งแสนล้านบาทเร็วกว่ากำหนด โดยสินเชื่อกระจายตัวได้ดีและครอบคลุมลูกหนี้จำนวน 34,538 ราย เฉลี่ยรายละ 3.07 ล้านบาท เป็นธุรกิจเอสเอ็มอี 44.3% ประกอบธุรกิจการพาณิชย์และบริการ 67.2% และเป็นลูกหนี้ที่อยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัด 68.4% ในส่วนของโครงการพักทรัพย์พักหนี้ มีมูลค่าสินทรัพย์ที่รับโอน 15,167 ล้านบาท ผู้ได้รับความช่วยเหลือ 106 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบธุรกิจโรงแรม โรงงาน และสปา

สำหรับธุรกิจโรงแรมและที่พัก มีลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ไทย ที่ได้รับความช่วยเหลือภายใต้มาตรการ 2.83 แสนล้านบาท คิดเป็น 65% ของสินเชื่อธุรกิจโรงแรมและที่พัก ด้วยการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ 61% การช่วยเหลืออื่น เช่น พักชำระหนี้ หรือลดภาระหนี้ระยะสั้น 34% และโครงการพักทรัพย์พักหนี้ 5% อีกทั้งยังมีการให้สินเชื่อใหม่เพื่อเสริมสภาพคล่องกว่า 18,000 ล้านบาท



 นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์  ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า นอกจากมาตรการรวมหนี้ (Debt Consolidation) ระหว่างสถาบันการเงิน ดังกล่าวข้างต้นแล้ว ธปท.เตรียมออกมาตรการจูงใจแก่สถาบันการเงินเพิ่มเติม จากปัจจุบันให้สิทธิประโยชน์แก่ธนาคารที่ลดภาระดอกเบี้ยลงมาเทียบเท่ากับสินเชื่อที่มีหลักประกันให้กับลูกหนี้ ได้แก่ ผ่อนคลายการจัดชั้นสำรองหนี้ และการนำอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงมานับรวมกับค่าธรรมเนียมเงินนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF Fee) โดยมาตรการใหม่จะช่วยลดน้ำหนักความเสี่ยงของธนาคาร เพื่อสร้างแรงจูงใจและลดต้นทุนการดำเนินงานของสถาบันการเงิน ซึ่ง ธปท.ได้หารือกับสถาบันการเงินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และจะเสนอเข้าคณะกรรมการ ธปท.เพื่อพิจารณาต่อไป

อย่างไรก็ตาม มาตรการรวมหนี้ที่แบงก์ชาติกำลังเตรียมทำคลอดออกมาในช่วงกลางเดือนตุลาคมนี้นั้น มีความจำเป็นต้องให้ความรู้แก่ประชาชนและสถาบันการเงินถึงประโยชน์และความเสี่ยงของการรวมหนี้ ซึ่งที่ผ่านมาลูกหนี้กังวลว่าทรัพย์สิน เช่น บ้าน หรือรถ อาจถูกยึดหากรวมหนี้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว หากไม่ทำการรวมหนี้ และหนี้ที่ไม่มีหลักประกันมีมูลค่าสูงมากอาจส่งผลกระทบต่อทรัพย์สินของลูกหนี้ในะระยะข้างหน้า

ทั้งนี้ ธปท. ได้ย้ำถึงความสำคัญของมาตรการแก้หนี้ระยะยาวที่ออกมาล่าสุดเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา เพื่อสนับสนุนให้ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิดได้รับการแก้ไขหนี้เดิมด้วยการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ที่  "มองยาว" ให้สอดคล้องกับรายได้ เพื่อช่วยลดภาระต่อเดือนและทำให้ลูกหนี้เหลือสภาพคล่องมากขึ้น แม้จะทำให้ระยะเวลาชำระหนี้ขยายออกไป แต่ก็ไม่กลายเป็นหนี้เสีย และผลักดันให้แบงก์ช่วยลูกหนี้มากกว่ายืดหนี้ เช่น ลดดอกเบี้ยค้างรับ หรือปรับโครงสร้างหนี้ร่วมกับให้เม็ดเงินใหม่ตามอาการของลูกหนี้

ขณะเดียวกัน ธปท. ยังมีแนวทางเพิ่มเติมเพื่อเสริมประสิทธิภาพของมาตรการต่าง ๆ โดยยึดหลักคิด คือ หนึ่ง  "ไปให้ถึง"  โดยเพิ่มการประสานงานเชิงรุกกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเพื่อหาทางออกรูปแบบใหม่ๆ กรณี Lineman X Wongnai กับธนาคารออมสิน  ที่ ธปท. ประสานงานให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อให้ธุรกิจร้านอาหารและกลุ่มไรเดอร์เข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น

รวมทั้งการไกล่เกลี่ยหนี้ที่เป็นความร่วมมือระหว่าง ธปท. กระทรวงยุติธรรม สำนักงานศาลยุติธรรรม และสำนักงานอัยการสูงสุด การเพิ่มช่องทางสื่อสารรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะ ผ่านช่องทาง Clubhouse, Line official, Facebook และ 1213 รวมถึงการให้คำปรึกษาเชิงลึก เช่น โครงการหมอหนี้เพื่อประชาชน

สอง  "ช่วยให้มากที่สุด" ผ่านการออกมาตรการเพิ่มเติมต่อเนื่องตามสถานการณ์ เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบให้ได้มากที่สุด โดย ธปท. สนับสนุนการทำ Refinance และการรวมหนี้ระหว่างสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อรายย่อยเพื่อลดอัตราดอกเบี้ยของลูกหนี้ และ สาม "ระบบการเงินเดินต่อไปได้"  โดยภายใต้ภาวะที่ความเสี่ยงยังอยู่ในระดับสูง จะต้องเน้นการเลือกใช้มาตรการที่ตรงจุด และไม่ส่งผลกระทบเชิงลบหรือผลข้างเคียงต่อระบบการเงิน

แม้ว่ามาตรการรวมหนี้ที่แบงก์ชาติประกาศออกมาจะเป็นการช่วยเหลือลูกหนี้ แต่ราคาหุ้นในกลุ่มแบงก์กลับตอบรับมาตรการดังกล่าวในเชิงลบจากความกังวลถึงความไม่แน่นอน โดยความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นไทย เมื่อวันที่ 28 กันยายน ซึ่งเป็นวันถัดมาหลังแบงก์ชาติเตรียมออกมาตรการรวมหนี้ ตลาดหุ้นปิดที่ 1,616.50 จุด ปรับตัวลดลง 3.52 จุด หรือ -0.22% มีมูลค่าการซื้อขายรวมที่ 98,947.17 ล้านบาท โดยหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ (BANK) ทั้งหมดปรับตัวร่วง เช่น CIMBT ลดลง 6.19%, TTB ลดลง 2.61%, SCB ลดลง 2.34%, BAY ลดลง 2.22%, KTB ลดลง 1.75%, KBANK ลดลง 1.48%, KKP ลดลง 1.36%, TISCO ลดลง 0.81%, LHFG ลดลง 0.67% และ BBL ลดลง 0.42% โดยนักวิเคราะห์มองว่าการรวมหนี้ข้ามแบงก์กันได้และผ่อนยาวได้ ซึ่งต่อยอดจากมาตรการที่ออกมาก่อนหน้าที่ให้รวมหนี้ในสถาบันการเงินเดียวกัน ส่งผลให้นักลงทุนเกิดความกังวลจากปัจจัยใหม่ที่มีความไม่แน่นอน จึงเกิดแรงเทขายทำกำไร อย่างไรก็ตาม ในวันถัดมา หุ้นแบงก์เช่น กสิกรไทย ปรับราคาขึ้นและวอลุ่มซื้อขายนำตลาด

สำหรับมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยด้วยวิธีการรวมหนี้ก่อนหน้านั้น แบงก์ชาติได้ร่วมกับสถาบันการเงินและสถาบันการเงินเฉพาะกิจปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำหรับลูกหนี้รายย่อยด้วยวิธีการรวมหนี้ โดยลูกหนี้สามารถนำสินเชื่อรายย่อยประเภทอื่นที่อยู่ภายใต้ผู้ให้บริการทางการเงิน หรือบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของผู้ให้บริการทางการเงินเดียวกัน เช่น บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ และสินเชื่อที่เกิดจากการให้เช่าซื้อ มารวมหนี้กับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเพื่อใช้ประโยชน์จากหลักประกัน ซึ่งจะทำให้สามารถลดอัตราดอกเบี้ยในส่วนของสินเชื่อรายย่อยประเภทอื่นให้เหลือไม่เกินอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี และขยายระยะเวลาการชำระหนี้ตามความสามารถของลูกหนี้

ทั้งนี้ ลูกหนี้สามารถแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2563 ถึง 31 ธันวาคม 2564 สำหรับประโยชน์ที่ลูกหนี้จะได้รับจากการรวมหนี้ช่วยลดภาระการชำระหนี้โดยที่ลูกหนี้ไม่เสียประวัติข้อมูลเครดิตไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ค่าธรรมเนียม หรือค่าบริการอื่นใด รวมทั้งไม่ต้องจ่ายเบี้ยปรับการชำระหนี้ก่อนกำหนด และยังสามารถใช้วงเงินบัตรเครดิตหรือสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับที่มีลักษณะหมุนเวียนที่ยังเหลือได้

มาตรการรวมหนี้ของสถาบันการเงินเดียวกันหรือมาตรการรวมหนี้ข้ามแบงก์ที่ออกมาล่าสุดนั้น ทางฟากฝั่งของธนาคารพาณิชย์หลายแห่ง ได้ล้ำหน้าไปก่อนแล้วด้วยการแห่อัดแคมเปญ  "สินเชื่อบุคคลรวมหนี้"  เพื่อดูดลูกค้าจากสถาบันการเงินคู่แข่ง และช่วยลดภาระลูกหนี้ในยามวิกฤตซึ่งตรงกับความต้องการของลูกค้ามากกว่าความต้องการขอสินเชื่อใหม่ โดยธนาคารที่มีแคมเปญรวมหนี้ เช่น  ธนาคารไทยพาณิชย์  ที่มีแคมเปญ  "หนี้หนัก ๆ ผ่อนให้เป็นเบาได้ รวบหนี้บัตรกับ SCB ผ่อนสบายสูงสุด 72 เดือน" อัตราดอกเบี้ยต่ำสุด 9.99% ต่อปี (ดอกเบี้ย 9.99% เฉพาะเดือนที่ 1-12 สำหรับลูกค้าที่เป็นพนักงานประจำ ที่โอนหนี้บัตรเครดิตหรือสินเชื่อบุคคล ของสถาบันการเงินอื่น ที่ได้รับวงเงินตั้งแต่ 5 แสนบาทขึ้นไป)

ด้าน  ธนาคารกสิกรไทย  โปรโมตสินเชื่อเงินด่วน XPRESS LOAN "เงินก้อนทันใจ ปิดหนี้หมดไว สบายตัว เงินยังเหลือใช้" โดยลูกค้าสามารถใช้รวมหนี้ หรือปิดหนี้ก็ได้ ซึ่งผู้มีเงินเดือน 7,500 บาท ก็สามารถกู้ได้แบบไม่ต้องค้ำประกัน ส่วนธนาคารซิตี้แบงก์ มี "สินเชื่อบุคคลธนาคารซิตี้แบงก์ รวมหนี้เพื่อลดภาระหนี้" อัตราดอกเบี้ยเลือกได้ต่ำสุด 13.99% ต่อปี ผ่อนนานสูงสุด 60 เดือน ไม่ต้องค้ำประกัน อนุมัติวงเงินสูงสุด 2 ล้านบาท

ขณะที่  ธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อย  เสนอ  "รวมหนี้เป็นก้อนเดียวภาระเบากว่า"  ด้วยสินเชื่อบุคคลอัตราดอกเบี้ยต่ำสุด 9.99% ต่อปี นานสูงสุด 120 วัน วงเงินสูงสุด 2 ล้านบาท ผ่อนชำระขั้นต่ำ 3% เงื่อนไขต้องเป็นพนักงานประจำเงินเดือน 3 หมื่นบาทขึ้นไป

มาดูว่า สถานะ "หนี้ครัวเรือน"  ของไทย หนักหนาสาหัสเพียงใด ล่าสุด ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี (ttb analytics) ออกรายงานเมื่อกลางเดือนกันยายน 2564 ที่ผ่านมาว่า หนี้ครัวเรือนไทยปัจจุบันอยู่ในภาวะเปราะบาง ด้วยสัดส่วนหนี้เพื่อการบริโภคที่สูงขึ้น จึงเป็นปัญหากระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจ ทางออกคือการปรับโครงสร้างหนี้ให้ตรงจุดและเน้นการรวบหนี้เพื่อแก้ไขปัญหาระยะยาว

นับตั้งแต่เกิดวิกฤตการระบาดของโรคโควิด-19 หนี้ครัวเรือนของไทยมีการปรับตัวสูงมากขึ้น โดยเพิ่มขึ้นจาก 80% ของจีดีพี ณ สิ้นปี 2562 เป็น 90.5% ของจีดีพี ณ ไตรมาส 1/2564 และจากสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศระลอก 3 ที่ลุกลามยืดเยื้อมาจนถึงครึ่งหลังของปี 2564 ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี คาดการณ์ว่า ระดับหนี้ครัวเรือนของไทยอาจเพิ่มขึ้นไปถึง 93.0% ณ สิ้นปี 2564

สาเหตุจากความจำเป็นในการก่อหนี้เพิ่มเนื่องจากขาดสภาพคล่อง รายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติในช่วงล็อกดาวน์ การถูกปรับลดเงินเดือน ถูกเลิกจ้าง ฯลฯ สะท้อนจากหนี้ครัวเรือนไทย ณ ต้นปี 2564 ที่ขยายตัว 4.6% จากระยะเดียวกันกับปี 2563 โดยไทยมีปริมาณหนี้ครัวเรือนอยู่อันดับที่ 17 ของโลก ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน คือ เกาหลีใต้และมาเลเซีย ซึ่งอยู่อันดับที่ 9 และ 14 ตามลำดับ โดยเกาหลีใต้มีหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นจาก 93.9% ของจีดีพี เป็น 103.8% ณ ต้นปี 2564 และมาเลเซียที่เพิ่มจาก 82.7% เป็น 93.2%

ความเปราะบางของหนี้ครัวเรือนของไทย ดูจากประเภทของหนี้ที่ประกอบด้วย สัดส่วนหนี้ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน 47% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด เช่น หนี้บ้านและรถยนต์ และสัดส่วนหนี้ที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน 35% เช่น หนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลทั่วไป รวมถึงหนี้เพื่อการศึกษา และส่วนที่เหลืออีก 18% เป็นหนี้รายย่อยเพื่อธุรกิจครัวเรือน

ขณะที่สภาพเศรษฐกิจโดยรวม  นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล  ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนสิงหาคม 2564 ว่า เศรษฐกิจไทยในเดือนสิงหาคม 2564 ส่งสัญญาณชะลอตัวลงจากเดือนก่อนหน้า ตามการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่มีสัญญาณชะลอตัวลง เนื่องจากยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อย่างไรก็ดี การส่งออกสินค้ายังคงขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้

เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน มีสัญญาณชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า โดยการบริโภคสินค้าคงทน สะท้อนจากปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งและปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ในเดือนสิงหาคม 2564 ลดลงที่ร้อยละ -35.0 และ -29.2 ต่อปี ตามลำดับ และเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลลดลงร้อยละ -19.0 และ -21.9 ตามลำดับสอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับตัวลดลงมาที่ระดับ 39.6 จากระดับ 40.9 ในเดือนกรกฎาคม 2564 เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ยังไม่คลี่คลาย

อย่างไรก็ดี การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ ยังคงขยายตัวที่ร้อยละ 12.4 ต่อปี ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้าที่เพิ่มสูงขึ้นตามมูลค่าการนำเข้าสินค้า นอกจากนี้รายได้เกษตรกรที่แท้จริงยังคงขยายตัวได้ที่ร้อยละ 5.9 ต่อปี

ด้าน "นางสาวกุลยา ตันติเตมิท  ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจกรคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 11 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2564 (ตุลาคม 2563 – สิงหาคม 2564) รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ จำนวน 2,105,023 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 285,670 ล้านบาท หรือร้อยละ 11.9 และต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 57,292 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.6

โดยการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ ต่ำกว่าประมาณการ 186,921 84,998 และ 19,026 ล้านบาท หรือร้อยละ 10.4 14.7 และ 12.4 ตามลำดับ เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ระลอกใหม่ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลง ประกอบกับมีการดำเนินนโยบายการคลังและภาษีเพื่อช่วยเพิ่มสภาพคล่องและบรรเทาภาระแก่ประชาชนและผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่อง จึงส่งผลให้การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลต่ำกว่าที่ประมาณการไว้

ขณะที่ฐานะการคลังของรัฐตามระบบกระแสเงินสดในช่วง 11 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2564 (ตุลาคม 2563 – สิงหาคม 2564) รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้นจำนวน 2,144,766 ล้านบาท ในขณะที่มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณทั้งสิ้น จำนวน 2,905,931 ล้านบาท โดยรัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุล จำนวน 675,210 ล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2564 มีจำนวนทั้งสิ้น 499,342 ล้านบาท

 ...เห็น "สารพัดตัวเลข" แล้ว คงประเมินกันได้กระมังว่า สภาพเศรษฐกิจของประเทศไทยจะดำเนินไปในทิศทางใด 
#2931


โฆษกรัฐบาล ช่วยยันน้ำท่วมไม่เหมือนปี 54 หลังรัฐบาลวางแผน-ใช้ดาวเทียมของจิสด้า วิเคราะห์สถานการณ์ ขอให้ติดตามข้อมูลจากราชการอย่างใกล้ชิด

วันนี้ (1 ต.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "แจงให้เคลียร์กับทีมโฆษกรัฐบาล" ถึงสถานการณ์น้ำท่วมและข้อสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ว่า ขอให้ประชาชนได้ติดตามข้อมูลข่าวสารจากส่วนราชการอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นกรมอุตุนิยมวิทยา หรือติดตามทางแอปพลิเคชันต่างๆ จากรัฐบาล อย่าง 4 แอปรู้ทันสถานการณ์น้ำ 1. กรมบรรเทาสาธารณภัย 2. กรมทรัพยากรน้ำ 3. กรมชลประทาน และ 4. พีม็อก

นายธนกร กล่าวต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้สั่งการให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทุกคนลงพื้นที่ติดตามแก้ปัญหาน้ำท่วม ให้กับประชาชนอย่างเร่งด่วน และขอยืนยันว่า สถานการณ์น้ำท่วมจะไม่เหมือนกับปี 2554 อย่างแน่นอน เพราะรัฐบาลโดยพล.อ.ประยุทธ์ ได้มีการวางแผนในระยะเวลาหนึ่งแล้ว นอกจากนั้น รัฐบาลชุดนี้ยังใช้ข้อมูลดาวเทียมของสำนักงานจิสด้า ฉะนั้นจากข้อมูลจิสด้าได้รายงานและจากการที่ได้ลงพื้นที่ก็สามารถที่จะวิเคราะห์ได้ว่าสถานการณ์น้ำท่วมจะไม่เหมือนกับปี 2554 อย่างแน่นอน และได้มีการเตรียมการและประชาชนจะต้องมีความพร้อมในการป้องกันและติดตามข้อมูลข่าวสารสถานการณ์น้ำท่วมด้วย
URL
 133
 
#2932
กระทรวงสาธารณสุข เผย ผู้ปกครองแสดงความจำนงให้บุตรหลานฉีดวัคซีนไฟเซอร์ 3.6 ล้านราย คิดเป็นร้อยละ 71 ของจำนวนเด็กนักเรียน 5 ล้านราย จัดส่งวัคซีนให้ทุกจังหวัดสัดส่วนพิจารณาจากความพร้อม เริ่มฉีดวันที่ 4 ตุลาคมนี้ มีระบบติดตามอาการและความปลอดภัยเหมือนผู้ใหญ่ พร้อมติดตามภาวะ"กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ" แนะผู้ปกครองเฝ้าระวังอาการเบื้องต้นต่อเนื่อง 30 วัน ย้ำ หากเปลี่ยนใจขอฉีดวัคซีนเพิ่มภายหลังได้ ไม่ปิดกั้นและไม่เสียสิทธิ

วันนี้ (1 ตุลาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โรคโควิด 19 และการฉีดวัคซีนในเด็กนักเรียน ว่า วันนี้มีผู้ป่วยรักษาหาย 12,473 ราย ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 11,754 ราย เสียชีวิต 123 ราย ภาพรวมทั้งประเทศการติดเชื้อมีแนวโน้มลดลง ส่วนจังหวัดชายแดนใต้ยังเพิ่มขึ้น รวมถึงเรือนจำที่วันนี้มีรายงาน 501 ราย สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ของวันที่ 30 กันยายน ที่มีการรายงานเข้ามา 2.28 ล้านโดสนั้น เป็นการนำข้อมูลจากการระดมฉีดวัคซีนตั้งแต่วันมหิดล 24 กันยายน ซึ่งมีการฉีดเชิงรุกและฉีดในชุมชนรวม 1,700,523 โดส รวมกับการฉีดของวันที่ 30 กันยายน จำนวน588,205 โดส รวมเป็น 2,288,728 โดส

นพ.เฉวตสรร กล่าวต่อว่า สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ในนักเรียน ขณะนี้กระทรวงศึกษาธิการได้แจ้งตัวเลขนักเรียนทั่วประเทศในฐานข้อมูลจำนวน 5,048,000 ราย โดยผู้ปกครองแสดงความจำนงให้บุตรหลานฉีดวัคซีน 3,618,000 กว่าราย คิดเป็นร้อยละ 71 สำหรับการจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ลอตแรก 2 ล้านโดส จะกระจายให้ทุกจังหวัด โดยสัดส่วนวัคซีนจะพิจารณาความพร้อมของแต่ละจังหวัดด้วย และจะส่งให้ครบภายในเดือนตุลาคมซึ่งจะมีวัคซีนไฟเซอร์เข้ามาอีก 8 ล้านโดส จะเริ่มฉีดวัคซีนวันที่ 4 ตุลาคมนี้ ตามความพร้อม และไม่มีระยะเวลาสิ้นสุดของการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจมีผู้แสดงความจำนงขอฉีดเพิ่มก็จะดำเนินการฉีดให้ ไม่เสียสิทธิแต่อย่างใด สถานที่ฉีดสามารถฉีดได้ทั้งที่สถานศึกษาและโรงพยาบาล โดยขอให้บริหารจัดการคิวไม่ให้มีความแออัด

สำหรับการติดตามเฝ้าระวังอาการและความปลอดภัยใช้ระบบเดียวกับผู้ใหญ่ โดยมีการเฝ้าระวังอาการแพ้รุนแรงช่วง 30 นาทีแรกหลังฉีด และมีการติดตามอาการต่อเนื่องอีก 30 วัน โดยกรณีข้อกังวลเรื่องภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบนั้น อัตราการเกิดต่ำมาก แต่ขอให้สังเกตอาการ คือ แน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก หอบเหนื่อยง่าย ใจสั่น หมดสติ เป็นลม หรือรู้สึกอ่อนเพลียผิดปกติ หากมีอาการเหล่านี้ให้รีบมารับการรักษา เพื่อให้การดูแลรักษาอย่างถูกต้อง เนื่องจากอาการเหล่านี้อาจเกิดจากภาวะอื่นได้ และข้อปฏิบัติภายใน 7 วันหลังฉีดวัคซีน ไม่แนะนำเรื่องออกกำลังกายหนักๆ เพราะจะทำให้หัวใจต้องทำงานเพิ่มขึ้น และความรู้สึกเหนื่อยจากออกกำลัง อาจทำให้กังวลและไม่แน่ใจว่าเป็นผลจากวัคซีนหรือไม่

ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป ยังฉีด 2 เข็ม ระยะห่าง 3-4 สัปดาห์ ส่วนข้อเสนอการฉีดวัคซีนในเด็กผู้ชายเพียงเข็มเดียว จะมีการพิจารณาข้อมูลทางวิชาการ หากมีการปรับเปลี่ยนจะดำเนินการให้ทันก่อนฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ส่วนกลุ่มเด็กประถมอายุต่ำกว่า 12 ปีที่ยังไม่อยู่ในเกณฑ์การรับวัคซีน ข้อแนะนำคือใช้มาตรการป้องกันตนเอง สวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง หากดำเนินการได้ดีก็ยังสามารถทำกิจกรรมการเรียนการสอนได้
#2933


บริษัท เอ็นเอสแอล ฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางธุรกิจร่วมกับ บริษัท เชิญยิ้ม ฟู้ด โปรดักส์ จำกัด (CYP) พร้อมเดินหน้าเปิดตัวผลิตภัณฑ์ "น้ำปลาร้าปรุงรสต้มสุก ตราเชิญยิ้ม" ขยายฐานธุรกิจจากสื่อบันเทิงสู่การลุยตลาดน้ำปลาร้าปรุงรสต้มสุก และ สินค้ากลุ่มต่างๆ ตั้งเป้ายอดขายปี 2565 ไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาทต่อปี

นายสมชาย อัศวปิยานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอ็นเอสแอล ฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงบทบาทความร่วมมือของเอ็นเอสแอล ฟู้ดส์ ในการลงนามบันทึกข้อตกลงทางธุรกิจครั้งนี้ว่า ทางบริษัทฯ จะมีบทบาทหน้าที่ในการเข้ามาเป็นผู้ผลิต และจัดจำหน่าย พร้อมดูแลเรื่องการกระจายสินค้าของ บริษัท เชิญยิ้ม ฟู้ด โปรดักส์ จำกัด และต่อยอดในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ พร้อมทำการตลาดร่วมกันในทุกมิติ เพื่อนำไปสู่การขยายขีดความสามารถที่จะกระจายสินค้าสู่ตลาดโลก โดยเรามีแผนเริ่มต้นการส่งออกผลิตภัณฑ์ไปในต่างประเทศ

ส่วนช่องทางการจำหน่ายจะมีแผนการวางจำหน่ายอยู่ที่สามช่องทางหลัก ได้แก่ Modern Trade, Traditional Trade และ ร้านสะดวกซื้อ ซึ่งเป็นช่องทางการจำหน่ายที่ครอบคลุม และเข้าถึงผู้บริโภคอย่างทั่วถึง โดยจัดจำหน่ายทาง 7-11 (เซเว่น-อีเลฟเว่น) ตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2564



ทางด้าน ดร.ธัญญา โพธิ์วิจิตร รองประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เชิญยิ้ม ฟู้ด โปรดักส์ จำกัด (CYP) เปิดเผยว่า การร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงของทั้งสองบริษัท ได้แก่ บริษัท เชิญยิ้ม ฟู้ด โปรดักส์ จำกัด (CYP) และ บริษัท เอ็นเอสแอล ฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) นั้น ถือเป็นการริเริ่มความร่วมมือทางธุรกิจซึ่งทั้งสองบริษัทต่างเห็นพ้องต้องกันถึงโอกาสทางธุรกิจ ในการสร้าง และผลักดันผลิตภัณฑ์น้ำปลาร้าปรุงรสต้มสุกสู่ตลาด ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ปรุงรสอาหารที่มีมูลค่าสูงถึง 10,000 ล้านบาท (หนึ่งหมื่นล้านบาท) ต่อปี จึงเป็นโอกาสที่ทางบริษัทฯ จะผลิตผลิตภัณฑ์น้ำปลาร้าปรุงรสต้มสุก อีกทั้งทางบริษัทฯ ยังมีศักยภาพเพียงพอในด้านการสื่อสารการตลาดเพื่อให้ผลิตภัณฑ์เป็นที่รู้จักในวงกว้างทั้งทาง Online, Offline, On ground Activity รวมถึงทางรายการ "ก่อนบ่ายคลายเครียด" ที่จัดเป็นสื่อประชาสัมพันธ์อย่างดีในการนำเสนอผลิตภัณฑ์สู่กลุ่มเป้าหมาย ซึ่งกลุ่มประชากรส่วนใหญ่ที่เป็นผู้ชมรายการคือ กลุ่มพ่อบ้าน แม่บ้าน พ่อค้า แม่ค้า และผู้ที่ชื่นชอบการทำอาหารในทุกเพศทุกวัย

ถึงแม้ในตลาดของผลิตภัณฑ์น้ำปลาร้าปรุงรสต้มสุกนั้น จะมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด แต่ด้านเอกลักษณ์อันเป็นที่จดจำของผลิตภัณฑ์ "น้ำปลาร้าปรุงรสต้มสุก ตราเชิญยิ้ม" นั้น คือ ความสะอาด รสชาติอร่อย เข้มข้น และสามารถนำไปปรุงประกอบได้กับอาหารหลายเมนู ไม่เฉพาะแค่อาหารจานเผ็ดเท่านั้น และ "เชิญยิ้ม" คือแบรนด์ที่ผู้บริโภครู้จักเป็นวงกว้าง และเป็นชื่อที่มีความใกล้ชิดกับผู้บริโภคมาอย่างช้านาน ในแง่ของการสร้างความบันเทิง และเสียงหัวเราะจากตลกคณะ "เชิญยิ้ม" ซึ่งเป็นคณะดาราตลกที่มีชื่อเสียง และมีสมาชิกมากที่สุดของวงการบันเทิงไทย จึงกล่าวได้ว่าเรามีจุดยืนที่เข้มแข็งในด้าน Brand Positioning
สำหรับยอดขายที่ตั้งเป้าหมายไว้ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 อยู่ที่จำนวน 1 ล้านขวด และตั้งเป้ายอดขายในปี 2565 อยู่ที่ 9 ล้านขวด ซึ่งความเชื่อมั่นนั้นวิเคราะห์ได้จากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจจากวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้น ที่ยังไม่ส่งผลกระทบใดๆ จึงไม่ถือเป็นอุปสรรคและความท้าทายของการผลักดันยอดขายตามที่ตั้งเป้าไว้

นอกจากนี้ ในอนาคตผลิตภัณฑ์ "น้ำปลาร้าปรุงรสต้มสุก ตราเชิญยิ้ม" ยังมีแผนในการต่อยอดผลิตภัณฑ์เป็นน้ำปลาร้าปรุงรสต้มสุก สูตรแม่ค้าขนาดใหญ่ (Big Size) เหมาะสำหรับผู้ประกอบการร้านอาหารที่มีความจำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์ปรุงรสเป็นจำนวนมาก สำหรับแผนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ "เชิญยิ้ม" ในปี 2565 จะอยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหาร กลุ่มอาหารกินเล่น เช่น ลูกชิ้นคากิ, ไส้กรอกอีสาน, ไส้กรอกคากิ, หมูยอ, ขาหมูชิ้น, หมูบะช่อ กลุ่มเครื่องดื่มกาแฟสุขภาพ 3 in 1 ผลิตภัณฑ์ขนมกัมมี่ "อารมณ์ดี" ผลิตภัณฑ์อาหารบนสายการบิน ผลิตภัณฑ์ประเภทกับข้าว แกงถ้วยสำเร็จรูป ฯลฯ ซึ่งเป็นแผนการขยายฐานธุรกิจในอนาคต ที่ทางบริษัทฯ ตั้งใจส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพ สะอาด อร่อย ปลอดภัยต่อสุขภาพให้ผู้บริโภคต่อไป ภายใต้แนวคิด Enjoy Life Enjoy Food
#2934


ชาวเน็ตแฉอีกเคส ร้านเค้กดังโซเชียลฯ ตอบแชตลูกค้าด่าควาย ท้าให้แจ้งความ หลังพบค่าส่งจากบางบัวทองไปเสรีไทยแพงตั้ง 700 บาท ทั้งที่เช็กจริงไม่ถึง ปะทะคารม ขายมาเป็นสิบปี โกงอะไรเงินตั้ง 700 กระจอก ไม่มีปัญญาจ่ายก็บอกกันดีๆ อย่าอวดรวย ไม่อยากคุยกับคนโง่ ด้านร้านฉาวขอโทษเคสที่แล้วส่งเค้กช้า ขอปรับปรุงตัว คืนเงินลูกค้าเต็มจำนวนให้แล้ว

เมื่อวันที่ 1 ต.ค. จากกรณีที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ข้อความระบุว่า ร้านเค้กที่ชื่อว่า Cake Homemade by Me&Mom ซึ่งเป็นร้านเค้กที่มีชื่อเสียงในเรื่้องตกแต่งสวยและอร่อย ได้โต้ตอบลูกค้าด้วยถ้อยคำที่รุนแรง และไม่รับผิดชอบในความผิดพลาด หลังสั่งเค้กเพื่อเตรียมนำมาเซอร์ไพรส์วันเกิด แต่ทางร้านได้ทำเค้กล่าช้า ทำให้เลยเวลาที่จัดเตรียมเซอร์ไพรส์ กลายเป็นที่วิจารณ์ในโลกโซเชียลฯ จำนวนมาก

ล่าสุด เฟซบุ๊ก Cake Homemade by Me&Mom โพสต์ข้อความระบุว่า "ทางร้านต้องขอโทษลูกค้าทุกท่าน ที่ตอบด้วยวาจาที่ไม่ดีกับลูกค้า ทางร้านขอรับผิดโดยการคืนเงินให้ลูกค้าเต็มจำนวน กราบขอโทษลูกค้าทุกท่าน ทางร้านจะปรับปรุงไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก" พร้อมแนบอี-สลิปโอนเงินไปให้ลูกค้าผู้เสียหายผ่านพร้อมเพย์ จำนวนเงิน 2,130 บาท
#2935
 การรับประทานข้าว Low GI คนเป็นโรคเบาหวานควรทานข้าวกล้องโภชนาการสูง ข้าวสุขภาพ ข้าวทุ่งกุลาร้องไห้แท้ 100% 
ข้าวฮอร์   ข้าวกล้องหอมมะลิorganic ข้าวออร์แกนิคหอมมะลิสุรินทร์ 100%   ข้าวออแกนิคสำหรับทารกส่งทั่วไทย
ข้าวหอมมะลิออแกนิค   ข้าวกล้องหอมมะลิออร์แกนิก  ข้าวออร์แกนิคหอมมะลิจังหวัดสุรินทร์ ข้าวหอมสุรินทร์ ข้าวหอมอินทรีย์ คัดพิเศษ 100%
"ข้าวฮอร์ ข้าวออร์แกนิกสุรินทร์"   ข้าวหอมมะลิอินทรีย์ เป็นผลิตผลจากการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ด้วยการปลูกข้าวแบบปลอดสารพิษในทุกขั้นตอน ณ ดินแดนสุรินทร์ ซึ่งเป็นแหล่งปลูกข้าวที่ดีที่สุดของประเทศไทย ที่มีความอุดมสมบูรณ์ทั้งดินและน้ำ เหมาะแก่การปลูกข้าวอินทรีย์คุณภาพสูง ประกอบกับกระบวนการผลิตอย่างพิถีพิถันในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเตรียมดิน การเตรียมพันธุ์ข้าว การหว่าน การดูแลแปลงนา และการเก็บเกี่ยว โดยครอบครัวชาวนาที่มีประสบการณ์และร่ำรวยความสุขจากการทำนาอินทรีย์แบบปลอดสารพิษ เพื่อให้เมล็ดข้าว ข้าวหอมมะลิออแกนิก ที่ได้นั้น มีความหอม นุ่ม อร่อย ดีต่อสุขภาพและเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการอย่างครบครัน การมีสุขภาพดี คือ ความสุขที่อยู่ใกล้ตัวเรา นอกจากตนเองแล้ว เราควรแบ่งปันความสุขให้กับคนที่เรารักด้วยข้าวหอมมะลิ   ข้าวกล้องหอมมะลิorganic ขัดสีไม่ขาวเพื่อคงคุณค่าและใยอาหาร มีกลิ่นหอม นุ่ม ตามเอกลักษณ์ของ ข้าวออร์แกนิคหอมมะลิสุรินทร์ 100%




ข้าวหอมมะลิออแกนิค ได้รับมาตราฐานเกษตรอินทรีย์ -มีวิตามินและสารอาหารจากข้าวสูง -สะอาด..บริสุทธิ์..จากธรรมชาติ ทุกขั้นตอน"ข้าวอินทรีย์ (  ข้าวกล้องหอมมะลิออแกนิคสำหรับทารก)" ที่ผ่านกระบวนการเพาะปลูก และบำรุงรักษาทุกขั้นตอน ด้วยวิถีของเกษตรอินทรีย์ -ไม่มีสารเคมีเข้ามาเกี่ยวข้องในทุกขั้นตอนการผลิต"เมล็ดพันธุ์" คัดเลือกเมล็ดพันธุ์ แต่ละชนิด ด้วยความรัก ใส่ใจ ในรายละเอียดทุกเมล็ด -ด้วยกระบวนการปักดำ..อย่างพิถีพิถันจากธรรมชาติ"พื้นที่เพาะปลูก" ในจังหวัดสุรินทร์ - ทำการเพาะปลูก และควบคุมเองทุกขั้นตอน"แหล่งน้ำ"   ข้าวอินทรีย์หอมมะลิอาศัยน้ำฝนตามธรรมชาติที่ตกตามฤดูกาล"ปุ๋ยที่ใช้" ไถกลบตอซังหลังเก็บเกี่ยวทุกครั้ง และปลูกพืชตระกูลถั่วเพื่อปรับปรุงบำรุงดิน, -  ข้าวกล้องหอมมะลิออแกนิคสำหรับทารกใช้ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ,ปุ๋ยหมักเพื่อเพิ่มธาตุอาหารในดิน"การกำจัดศัตรูพืช" ควบคุมด้วยระบบนิเวศน์หรือใส่สารสกัดจากพืชสมุนไพรแทนการฉีดสารฆ่าแมลง

  ข้าวหอมมะลิออแกนิคสำหรับทารก เพื่อความมั่นใจถึงความเป็นข้าวออร์แกนิคที่แท้จริงของเรา
ข้าวฮอร์ (HOR) ได้รับมาตรฐาน
1. ใบรับรองมาตรฐานข้าวอินทรีย์ ( Organic Thailand)
2. ใบรับรองเครื่องหมาย "ข้าวพันธุ์แท้" จากกรมการข้าว จาก กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในประเภทของ
2.1 ข้าวขาวดอกมะลิ 105 (ข้าวขาว)
2.2 ข้าวขาวดอกมะลิ105 (ข้าวกล้อง)
2.3 ข้าวมะลินิลสุรินทร์

ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์   ข้าวกล้องหอมมะลิออร์แกนิค 
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website :   ข้าวไรซ์เบอรี่อินทรีย์
Facebook : www.facebook.com/Consuming.Rice.During.Pregnancy
Twitter : https://twitter.com/hor_boutique
IG : https://www.instagram.com/hor.boutique/
Line: @ Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1.ข้าวหอมสุรินทร์
2.ข้าวกล้องหอมสุรินทร์
3.ข้าวปกาอำปึลอินทรีย์ (#ข้าวพื้นถิ่นสุรินทร์)
4.ข้าวผสมห้าสายพันธุ์อินทรีย์
5.  ข้าวหอมมะลิแดงออแกนิค
6. ข้าวกล้องหอมมะลินิลออร์แกนิก
7.  ข้าวไรซ์เบอร์รี่ปลอดสารพิษ

ข้าว Hor พร้อมขายแล้วที่ Shopee & Lazada
https://shopee.co.th/hor.boutique
https://www.lazada.co.th/shop/horboutique/

#ข้าวหอมมะลิ #ข้าวหอมมะลิอินทรีย์ #ข้าวหอมมะลิปลอดสาร #ข้าวหอมมะลิเพื่อสุขภาพ #ข้าวหอมมะลิออร์แกนิก #ข้าวหอมสุรินทร์ #ข้าวหอมมะลิออร์แกนิค
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 
 
#2936


ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์นิเวศน์ นันทจิต อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ นายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ ผ่านระบบการประชุมออนไลน์ Microsoft Teams เพื่อดำเนินโครงการ Microsoft Learn for Educators เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2564 เวลา 10.00 น. ณ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสให้อาจารย์เข้าถึงสื่อการสอนของไมโครซอฟท์ และนำมาถ่ายทอดแก่นักศึกษา ซึ่งการลงนามบันทึกข้อตกลงในครั้งนี้ มหาวิทยาลัยได้รับเกียรติเป็นอย่างสูงจากศาสตราจารย์พิเศษ ดร. สุรเกียรติ์ เสถียรไทย กรรมการสภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้ทรงคุณวุฒิ ร่วมให้เกียรติเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามด้วย

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. สุรเกียรติ์ เสถียรไทย กรรมการสภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้ทรงคุณวุฒิ ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเป็นพันธมิตร ระหว่างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ และบริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านเทคโนโลยีและแพลทฟอร์มดิจิทัลระดับโลก ที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปเศรษฐกิจ สังคม และการศึกษาด้วยนวัตกรรมดิจิทัลในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่องว่า "ผมเองเชื่อว่าอนาคตของประเทศขึ้นอยู่กับการปฏิรูปการศึกษา โดยเพิ่มทักษะที่จำเป็นต่อนักศึกษาและคณาจารย์ และขอชื่นชมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่มีเจตนารมณ์อันมุ่งมั่นในการเปลี่ยนผ่านไปสู่การเป็นมหาวิทยาลัยดิจิทัล มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้กับวิชาการแขนงต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการและการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัย รวมถึงการพัฒนาบุคลากรและนักศึกษาให้มีทักษะดิจิทัลในระดับมาตรฐานสากลเพื่อให้มีความสามารถ มีทักษะที่พร้อมสำหรับการทำงานทั้งในปัจจุบันและอนาคต"

นอกจากนั้น ยังกล่าวถึงบริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ด้วยว่า "มีความโดดเด่นที่จะส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของสังคมไทยทางด้านดิจิทัล ให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงและสามารถใช้ประโยชน์เพื่อการดำรงชีวิต การศึกษาเรียนรู้ตลอดชีวิต การทำงาน และการประกอบอาชีพ ซึ่งถือเป็นแบบอย่างที่ดีของธุรกิจเพื่อสังคมที่มีบทบาทในการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน ความร่วมมือในครั้งนี้ จึงถือว่าเป็นความร่วมมือที่สำคัญ ที่บริษัทไอทีชั้นนำระดับโลกอย่าง บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด จะได้ให้การสนับสนุนผลิตภัณฑ์ บุคลากร เครื่องมือและเทคโนโลยี แก่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อยกระดับการพัฒนาศักยภาพการให้บริการทางการศึกษา วิจัย และบริการวิชาการของมหาวิทยาลัยให้ก้าวทันมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก และเพื่อพัฒนาองค์ความรู้และทักษะดิจิทัลให้กับคณาจารย์ บุคลากร และนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อให้เป็นบุคคลากรที่มีความพร้อมทางทักษะสำหรับอนาคตซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการร่วมกันพัฒนาสังคมแห่งการเรียนรู้ การพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนบนพื้นฐานของเทคโนโลยีดิจิทัล ตลอดจนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมของประเทศไทยอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต"

ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์นิเวศน์ นันทจิต อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า "มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างความร่วมมือด้านการส่งเสริมการดำเนินการของหน่วยงานเอกชนและหน่วยงานภาครัฐ รวมไปถึงการร่วมพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพของบุคลากร และนักศึกษา โดย บริษัท ไมโครซอฟท์ มีความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนนักศึกษาภายใต้โครงการ Microsoft Learn for Educators ซึ่งเปิดโอกาสให้คณาจารย์เข้าถึงหลักสูตรและสื่อการสอนของไมโครซอฟท์ เพื่อนำมาถ่ายทอดให้นักศึกษา รวมถึงสนับสนุนการสอบใบรับรองของไมโครซอฟท์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นที่ยอมรับและจะช่วยเพิ่มช่องทางการศึกษาในระดับอุดมศึกษา เป็นการเปิดโอกาสสำคัญให้นักศึกษาประสบผลสำเร็จในสาขาวิชาชีพที่สอดคล้องกับการรับรองของไมโครซอฟท์ จึงมั่นใจว่าการลงนามบันทึกความร่วมมือทางวิชาการในครั้งนี้ จะส่งผลให้เกิดการพัฒนานักศึกษา บุคลากร เพื่อให้มีความพร้อมด้านทักษะดิจิทัล ในการสร้างประโยชน์ให้กับประเทศ เตรียมความพร้อมให้บุคลากรทุกกลุ่ม มีความรู้และทักษะที่เหมาะสม ต่อการดำเนินชีวิต และการประกอบอาชีพในยุคดิจิทัล สอดคล้องกับนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมต่อไป"

ด้านนายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้กล่าวสั้นๆ ถึงความร่วมมือในว่า "เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อสนับสนุนให้นักศึกษาและคณาจารย์ได้เสริมสร้างทักษะดิจิทัลในหลากหลายระดับและทิศทาง ผ่านทางหลักสูตรหรือเส้นทางการเรียนรู้ที่ครอบคลุมทั้งคลาวด์ ข้อมูล AI หรือแม้แต่ทักษะพื้นฐานในการก้าวเข้าสู่ชีวิตการทำงาน ขณะที่การรับรองของไมโครซอฟท์ (Microsoft Certification) ก็นับเป็นเครื่องยืนยันถึงทักษะความสามารถอันเป็นที่ต้องการในหลากหลายตำแหน่งงาน พร้อมเปิดประตูสู่โอกาสมากมายในการก้าวสู่ความสำเร็จต่อไป

ความร่วมมือนี้เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญ ภายใต้เป้าหมายของไมโครซอฟท์ในการเสริมทักษะเชิงดิจิทัลให้กับคนไทยถึง 10 ล้านคนทั่วประเทศ ซึ่งจะนำไปสู่การร่วมกันขับเคลื่อนการปฏิรูปเชิงดิจิทัลของประเทศไทยในหลายมิติ ให้นำไปสู่เศรษฐกิจและสังคมที่สอดรับกับชีวิตในโลกดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ"
#2937

เทคนิคส์ (Technics) แบรนด์เครื่องเสียงระดับไฮเอนด์ ส่งหูฟังไร้สายสองรุ่นใหม่ Technics EAH-AZ60 และ EAH-AZ40 ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ "Work from Anywhere" พร้อมวางจำหน่ายเดือนตุลาคมนี้

โคจิ คุวะฮะระ ผู้จัดการ ฝ่ายวางแผนผลิตภัณฑ์ ส่วนงานธุรกิจ สมาร์ท ไลฟ์ เน็ตเวิร์ค พานาโซนิค แอปพลายแอนซ์ กล่าวว่า กว่าหนึ่งปีที่ผ่านมา ผู้คนทั่วโลกเริ่มทำงานทางไกล และพบว่าหูฟังแบบไร้สายคุณภาพสูงที่น่าเชื่อถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการประชุมทางไกล (VDO Conference) รวมถึงการโทรที่ต้องการรักษาประสิทธิภาพในการทำงาน

ทำให้เทคโนโลยี JustMyVoice ที่สามารถตรวจหาและจับเสียงของผู้พูด ขณะเดียวกันจะวิเคราะห์พร้อมแยกเสียงรบกวนรอบข้างออกเพื่อให้สามารถสื่อสารด้วยเสียงที่คมชัดในหูฟังไร้สาย Technics รุ่น EAH-AZ60 และ EAH-AZ40 นี้เข้ามาช่วยตอบโจทย์การใช้งานที่เกิดขึ้น

อเล็กซ์ ชอง รองผู้อำนวยการ การตลาดส่วนภูมิภาค ผลิตภัณฑ์ภาพและเสียง พานาโซนิค แอปพลายแอนซ์ มาร์เก็ตติ้ง เอเชีย แปซิฟิค กล่าวเสริมว่า ต้นปีที่ผ่านมา ทางพานาโซนิค ได้นำเสนอ คอนเซ็ปต์ 'Wellness for Life' เพื่อเน้นเสริมสร้าง คุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ที่ดีให้กับผู้คน

ขณะที่แบรนด์ Technics ก็มีคอนเซ็ปต์ไปในทิศทางเดียวกัน ด้วยการมุ่งมั่นที่จะพัฒนาชีวิตของผู้คนผ่านทางผลิตภัณฑ์ที่สร้างสรรค์ขึ้น และนี่คือเหตุผลที่นำ Technics ประกอบกับประสบการณ์ทางด้านวิศวกรรมเสียงที่เป็นเลิศ มาผลิตหูฟังรุ่นต่างๆ ที่มีคุณภาพเสียงยอดเยี่ยมสำหรับกับผู้บริโภค



สำหรับหูฟังไร้สายที่เปิดตัวใหม่อย่าง EAH-AZ60 มีการออกแบบ Acoustic Chamber ที่เป็นเอกลักษณ์โดยเฉพาะของ Technics ที่มาพร้อมกับ Harmonizer และ Drivers ขนาด 8 มม. รองรับการเชื่อมต่อบลูทูธ และ LDAC ส่งให้ช่วงไดนามิกของเสียงกว้างพร้อมการตอบสนองที่รวดเร็วและมีความคมชัดสูงอีกด้วย


ขณะที่ หูฟังไร้สายรุ่น EAH-AZ40 มาพร้อมกับไดรเวอร์ไดนามิกขนาด 6 มม. แต่เมื่อผสานรวมเข้ากับ Acoustic Control Chamber และ Harmonizer ก็สามารถให้เสียงที่ชัดใส พร้อมความกว้างและความลึกของทุกช่วงเสียง ในขณะที่ยังคงไว้ซึ่งดีไซน์ในขนาดกะทัดรัด

ทั้งนี้ เมื่อหูฟังแบบไร้สายได้กลายเป็นอุปกรณ์เสริมหลักสำหรับการทำงาน ไปจนถึงการออกกำลังกาย การเดินทาง และการพักผ่อน ผู้ใช้สามารถเลือกสีต่างๆ ได้จากทั้งสองรุ่น โดยรุ่น EAH-AZ60 มีสีดำและสีเงิน ส่วนรุ่น EAH-AZ40 มีสีโรสโกลด์ สีดำ และสีเงิน

โดยทาง Technics ยังไม่เปิดเผยราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทย ขณะที่ราคาในต่างประเทศ EAH-AZ60 อยู่ที่ 199 เหรียญ (ราว 6,700 บาท) ขณะที่ EAH-AZ40 อยู่ที่ 129 เหรียญ (ราว 4,400 บาท)
#2938
การดูดไขมันถือได้ว่าเป็นการทำศัลยกรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งจำเป็นมากที่จำเป็นต้องทำด้วยทีมแพทย์ที่มีความชำนิชำนาญเฉพาะด้านนี้แล้วก็ที่ FAT Center ก็ได้รับความชื่นชอบในเรื่องของการดูดไขมันที่มีแนวทางเฉพาะตัวในเรื่องนี้รวมทั้งประสบการณ์ มาดูกันเลยดีกว่าว่าเพราะอะไรจำเป็นต้องดูดไขมันที่นี่




เพราะเหตุใดต้องดูดไขมันที่ FAT Center 

- FAT Center มีทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์และก็มีความชำนาญในด้านการดูดไขมันโดยตรงซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเพื่อการดูดไขมัน เนื่องจากว่าไม่ใช่คนไหนก็สามารถทำได้ การดูดไขมันต้องทำโดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญมากเนื่องจากว่าคนไข้แต่ละคนก็มีความแตกต่างกัน ทั้งยังสัดส่วนของร่างกายและปริมาณไขมันเพราะฉะนั้นจะต้องประเมินแล้วก็วิเคราะห์ออกมาแบบละเอียด เพื่อผลที่ดีและก็ความปลอดภัยของคนไข้เอง

- FAT Center มีเครื่องมือที่ใช้ในการดูดไขมันที่ทันสมัยได้มีมาตรฐานในระดับสากล มีคุณภาพรวมทั้งมีความปลอดภัยสำหรับเพื่อการให้บริการ ซึ่งจะมีผลให้ได้สัดส่วนที่ดี สามารถเลือกเครื่องมือได้อย่างเหมาะสมกับแต่ละคนเพื่อจะได้แก้ปัญหาของคนไข้ได้อย่างตรงจุด เนื่องจากความแตกต่างของบุคคลจำเป็นต้องใช้เครื่องมือแต่ละเครื่องให้เหมาะสมด้วย 





- กลุ่มแพทย์ของ FAT Center มีวิธีการเฉพาะ ที่ได้รับการยินยอมรับในเรื่องเกี่ยวกับการดูดไขมันแล้วมีแผลขนาดเล็ก มีความเจ็บน้อยเรียกว่านอนชิลๆระหว่างการดูดไขมันเลยก็ว่าได้ รวมทั้งหลังจากที่ทำแล้วยังพักฟื้นในช่วงเวลาไม่นานอีกด้วย
 
- มีบริการภายหลังการดูดไขมันที่ดี มีความเอาใจใส่คนไข้ทุกราย ภายหลังที่ดูดไขมันแล้วยังมีวิธีที่ช่วยทำให้ผิวหนังกระชับได้เร็วขึ้น กระตุ้นให้รูปร่างเข้าที่เข้าทางได้เร็วขึ้น และก็ดูแลใกล้ชิดตั้งแต่ขั้นแรกที่เข้ารับคำปรึกษา การให้คำแนะนำสำหรับเพื่อการเตรียมความพร้อมก่อนเข้ารับการดูดไขมัน การติดตามอาการหลังจากนั้นไปจนกระทั่งขั้นตอนสุดท้ายที่ได้รับผลลัพธ์เป็นที่น่าพึงพอใจ 

เชื่อมั่นได้เลยว่าการดูดไขมันที่ FAT Center พร้อมดูแลและก็ให้บริการแบบเต็มที่ทุกขั้นตอน เพื่อให้คนไข้ได้รับบริการที่ดีตั้งแต่ครั้งแรกไปจนกระทั่งในตอนที่ได้รับหุ่นสวย รูปร่างดีกระชับอย่างที่ต้องการ และที่สำคัญราคาตรงปกแน่นอน!
ติดต่อเราได้ที่ 099-426-3939 หรือ http://m.me/fatcenter 

#2939


Jamie Dimon เจ้าพ่อธนาคารซึ่งเป็น CEO ของ JPMorgan มองราคา Bitcoin อาจเพิ่มขึ้น 10 เท่า ในเวลาเพียง 5 ปี ชี้ปัจจุบันผู้คนส่วนมากเสียเวลาและหมกมุ่นกับมันมากเกินไป

ในการสัมภาษณ์ออนไลน์กับ Times of India นาย Jamie Dimon ซีอีโอของบริษัทวาณิชธนกิจยักษ์ใหญ่อย่าง JPMorgan Chase ได้ตำหนิการดึงดูดความนิยมของ Bitcoin แม้ว่าจะระบุว่าสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำสามารถเพิ่มขึ้น 10 เท่าในเวลาเพียง 5 ปี

ในอดีต Dimon ได้วิจารณ์ Bitcoin หรือ BTC อย่างรุนแรง โดยในปี 2017 เขาเรียกว่าเป็นการฉ้อโกงและอ้างถึงความสามารถในการใช้เป็นเครื่องมือของอาชญากรในการหลบเลี่ยงการจับกุม จากทางการด้วยการทำธุรกรรมทางการเงินใน BTC แทนที่จะเป็นดอลลาร์สหรัฐ

ขณะที่เมื่อ Times of India ถาม Jamie Dimon ว่าควรห้ามหรือควบคุม Bitcoin หรือสินทรัพย์ Cryptocurrency อื่น ๆ หรือไม่อย่างไร เขาได้ให้คำตอบว่า "ผมไม่สนใจ Bitcoin จริง ๆ เพราะคิดว่าผู้คนส่วนมากเสียเวลาและหมกมุ่นกับมันมากเกินไป แต่อนาคตมันอาจจะถูกควบคุม และสร้างกรอบจำกัดความเหมาะสมไว้บ้าง แต่ไม่ว่าจะกำจัดมันออกไปหรือไม่ก็ตาม ซึ่งส่วนตัวไม่รู้และไม่ได้สนใจอีกทั้งไม่ใช่ผู้ซื้อ Bitcoin นั่นไม่ได้หมายความว่าราคาจะไปไม่ถึง 10 เท่าในอีกห้าปีข้างหน้า"

อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ JPMorgan ได้แสดงความสนใจเพิ่มขึ้นในการพัฒนาและดำเนินการตามความคิดริเริ่มของ crypto และ blockchain ในปีที่ผ่านมา โดยในเดือนมกราคม บริษัทได้ซื้อหุ้น 10% ในบริษัทข่าวกรองธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็ว MicroStrategy ซึ่ง CEO Michael Saylor เป็นหนึ่งในนักลงทุนและผู้ถือ Bitcoin ที่มีชื่อเสียงที่สุด

ต่อมาในเดือนกรกฎาคม บริษัทได้สร้างประกาศรับสมัครงานทั่วโลกหลายรายการสำหรับนักพัฒนาบล็อกเชน วิศวกร และนักการตลาด เพื่อทำงานในแผนก Onyx ที่เน้นการพัฒนาคริปโต ซึ่งรับผิดชอบในการเปิดตัวสินทรัพย์ Stablecoin ของธนาคาร JPM Coin ในเดือนตุลาคม 2563

ตามรายงานล่าสุด Counterpoint Global บริษัทในเครือ JPMorgan กำลังพิจารณาที่จะเสนอการลงทุน cryptocurrency ให้กับลูกค้าที่ร่ำรวย ด้วยสินทรัพย์ภายใต้การบริหารที่มีมูลค่าสูงถึง 150,000 ล้านดอลลาร์ ถือเป็นการอนุมัติอย่างมากสำหรับอุตสาหกรรมการธนาคารที่เหลือ
#2940


ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ชี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ส่งสัญญาณเดินเกมนโยบายการเงินเข้มกว่าตลาดคาด จับตาหาก Bond Yield เด้งแตะ 1.7% อาจฉุดตลาดหุ้นทั่วโลกปรับฐาน แนะจับจังหวะช้อนซื้อหุ้นยุโรป และญี่ปุ่น รับอานิสงส์กำไรโตดี ราคาหุ้นถูกกว่าสหรัฐ พร้อมทยอยลดน้ำหนักตลาดหุ้นเกิดใหม่

วันที่ 28 กันยายน 2564 นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (Mr.Komsorn Prakobphol, Head of Economic Strategy Unit, TISCO Economic Strategy Unit : TISCO ESU) เปิดเผยว่า ในการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เดือนกันยายนที่ผ่านมา Fed ส่งสัญญาณนโยบายการเงินที่เข้มงวดกว่าที่ตลาดคาดค่อนข้างมาก

คมศร ประกอบผล
คมศร ประกอบผล
ทั้งในแง่ความเร็วของการขึ้นดอกเบี้ยและการลดการอัดฉีดสภาพคล่อง ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) ของสหรัฐพุ่งขึ้นแรงจาก 1.3% ก่อนการประชุม มาอยู่ที่ 1.45% ถือว่าเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน และแม้ว่าในรอบนี้ตลาดหุ้นยังไม่ได้รับผลกระทบเชิงลบจากนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากนัก เนื่องจากได้ปรับฐานลงมาก่อนจากความกังวลเรื่องการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัท Evergrande ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ในจีน แต่หาก Bond Yield ยังพุ่งขึ้นต่อเนื่องก็อาจจุดชนวนให้ตลาดปรับฐานอีกครั้งได้


"คณะกรรมการ Fed จำนวน 9 จากทั้งหมด 18 คน สนับสนุนให้ขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้า และส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 3 ครั้งในปี 2566 เพิ่มขึ้นจากประชุมครั้งก่อนที่ส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นเพียง 2 ครั้ง นอกจากนี้ ในการประชุมครั้งนี้ยังส่งสัญญาณว่าในปี 2567 จะปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องอีก 3 ครั้ง สำหรับแผนการลดมาตรการผ่อนคลายนโยบายการเงิน (QE) Fed ส่งสัญญาณว่าจะเริ่มประกาศลดการเข้าซื้อสินทรัพย์ (QE Taper) ในการประชุมวันที่ 2-3 พฤศจิกายน 2564 และยุติการทำ QE ในกลางปี 2565 กรณีนี้ชี้ว่า Fed จะลดการเข้าสินทรัพย์ลงเดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเร็วกว่าตลาดคาดว่าจะลด QE ในอัตราเดือนละ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ" นายคมศรกล่าว

ทั้งนี้ เพื่อสร้างความชัดเจนให้กับนักลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ได้ประเมินโดยใช้แบบจำลอง (Earning Yield Gap Model) พบว่า หาก Bond Yield พุ่งขึ้นเกิน 1.7% ตลาดหุ้นโลกก็มีความเสี่ยงที่จะปรับฐาน โดยเฉพาะหุ้นในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ที่มีความอ่อนไหวต่อนโยบายการเงินของสหรัฐเป็นอย่างมาก

ซึ่งจากการศึกษาความเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ในช่วงที่ Fed ปรับนโยบายการเงินให้เข้มงวดขึ้น พบว่าตลาดหุ้น Emerging Markets มักให้ผลตอบแทนต่ำและให้ผลตอบแทนติดลบ 6 ครั้ง จากทั้งหมด 7 ครั้ง สาเหตุส่วนหนึ่งมากจากแรงกดดันจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น ในขณะที่ตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วส่วนใหญ่ยังสามารถให้ผลตอบแทนเป็นบวกได้โดยเฉพาะตลาดหุ้นยุโรปและญี่ปุ่นที่มักให้ตอบแทนสูงกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ


นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ในตลาดต่างคาดการณ์กำไรปี 2564 ของตลาดหุ้นสหรัฐ (S&P 500) ตลาดหุ้นยุโรป (STOXX 600) และตลาดหุ้นญี่ปุ่น (Nikkei 225) ว่าจะเติบโตในอัตราที่ใกล้เคียงกันราว 7-9% แต่มูลค่า (Valuation) ของตลาดหุ้นยุโรป และญี่ปุ่นยังเทรดในระดับที่ถูกกว่าตลาดหุ้นสหรัฐค่อนข้างมาก โดยค่า Forward P/E ของตลาดหุ้นยุโรป (STOXX 600) และตลาดหุ้นญี่ปุ่น (Nikkei 225) เทรดในระดับต่ำกว่า (Discount) ตลาดหุ้นสหรัฐ (S&P 500) มากถึง -24% และ -29% ตามลำดับ ซึ่งนับว่าเป็นระดับที่ Discount มากสุดในรอบกว่า 10 ปี

จากประเด็นข้างต้นศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้จึงแนะนำให้นักลงทุนจับตา Bond Yield สหรัฐ อย่างใกล้ชิด พร้อมปรับลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Emerging Market ลงหาก Bond Yield พุ่งขึ้นใกล้ระดับ 1.7% และอาจใช้จังหวะที่ตลาดปรับฐานเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรป และญี่ปุ่นต่อไป