• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Cindy700

#3021


"เศรษฐา ทวีสิน" ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า วิกฤติโควิดครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งต้มยำกุ้ง ปี 2540 ผลกระทบจากโควิดเดือดร้อนหนักหนาสาหัสถึงขั้นไม่มีงานทำ สูญเสียบ้าน รถยนต์ เพราะกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หยุดชะงัก! แม้จะมีวัคซีนป้องกันโควิด แต่การแจกจ่ายวัคซีนยังไม่ทั่วถึงและเป็นไปอย่างล่าช้า

"การนำเข้าวัคซีน ยังคงเป็นเรื่องแรกที่ทุกคนเรียกร้องมานานแล้ว ถือเป็นวาระเร่งด่วน ที่อยู่บนสมมติฐานว่า วัคซีนต้องมา และฉีดให้ครอบคลุมโดยเร็ว ภายใน 120 วัน 180 วัน หรือ 200 วัน ขึ้นอยู่กับรัฐบาล"

รวมถึงเตรียมการ "สั่งซื้อวัคซีนเข็มที่ 3" หรือเตรียมวัคซีน 2-3 เท่า ของจำนวนประชากร (ราว 200 ล้านโดส) ในปีหน้า เป็นสิ่งสำคัญที่รัฐบาลต้องทำ ซึ่งที่ผ่านมาไม่มีใครแฮปปี้เรื่องวัคซีน ถึงขั้นบุคคลกรทางแพทย์ต้องจับฉลากเพื่อฉีดวัคซีน "ผมว่าโควิดทำให้คนตาสว่าง ว่า...สังคมไทยไม่มีความเท่าเทียมกัน"

อีกเรื่องสำคัญที่สุดคือต้องมองไปให้ไกล ไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เฉพาะเรื่องสุขภาพเท่านั้น แต่คือการขับเคลื่อนประเทศที่เข้าไปอยู่บนเวทีแข่งขันโลกที่เราจะแข่งขันได้อย่างมีคุณภาพ สามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย

"ไม่ใช่ว่าหลุดจากกับดักโควิดแล้วก้าวไปสู่ความหายนะทางเศรษฐกิจ เพราะสู้เขาไม่ได้ ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญ โฟกัสวันนี้ ไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปจากการหาวัคซีนมาฉีดให้ประชาชน แต่แผนการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ประเทศไทยจะต้องเกิดขึ้น! เพราะโลกหยุดมา 2 ปีแล้ว มีคนบอบช้ำ มีคนเจ็บปวด มีธุรกิจที่โซซัดโซเซ ล้มหายตายจากไปเยอะมาก เราจะทำอย่างไรให้ตรงนี้กลับมาได้ ดังนั้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่จะต้องเกิดขึ้น"

เศรษฐา ย้ำว่า การเปิดประเทศ120 วัน นั้น ตามทฤษฎียังมีความเป็นไปได้ แต่นัั่นหมายความว่า ต้องฉีดให้ได้วันละ 6 แสนคน ที่ผ่านมามีบางวันสามารถฉีดได้แสดงว่าบุคคลากรทางการแพทย์มีศักยภาพในการฉีดเพียงแต่ว่า "วัคซีนไม่มา! แม้ความหวังหริบหรี่ แต่สุดท้ายวัคซีนก็มาอยู่ดี"


อย่างไรก็ดี การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย เชื่อว่ายังคงเป็นภาพของ "K-Shaped" โดยที่กลุ่มคนรวยจะอยู่ในส่วนของ "K ขาขึ้น" คนรวย-รวยมากขึ้น ส่วน "K ขาลง" จะอยู่ในแรงงานระดับล่างที่ยังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 สะท้อนช่องว่างของความเลื่อมล้ำ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ เกิดขึ้นทั่วโลกส่งผลให้เศรษฐกิจถดถอย

ทั้งนี้ การฟื้นเศรษฐกิจหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลายและลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำไปพร้อมๆ กัน ต้องเริ่มจากที่ รัฐบาล เตรียมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เหมือนสหรัฐ และยุโรปที่มีแผนงานเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่าง "โจ ไบเดน" ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 2.2 ล้านล้านดอลลาร์ ออกมาชัดเจน

รัฐบาลต้องมีการพยุงราคาสินค้า หรือจะเรียกว่าประกันราคาสินค้า จำนำ หรือจ้างผลิต สำหรับสินค้าเกษตรที่สำคัญ อย่าง ข้าว ข้าวโพด ยางพารา ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง และอ้อย เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กลับไปสร้างผลิตผลทางการเกษตรพอที่เลี้ยงครอบครัว

รัฐบาลต้องปรับโครงสร้างการจัดเก็บภาษีใหม่ เรียกเก็บจากคนที่แข็งแรงอยู่บนยอดพีระมิด ไม่ว่าจะเป็นภาษีความมั่งคั่ง ภาษีมรดกเพื่อนำรายได้จากภาษีเหล่านี้มาชดเชยรายจ่ายที่ไปกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงวิกฤติโควิด

รัฐบาลต้องพิจารณากฏหมายเกี่ยวกับการกระตุ้นการลงทุนทั้งในและนอกประเทศ ให้อินเซนทีฟ และเอื้อนักลงทุน ดึงดูดให้มาลงทุนในประเทศไทย

"ไทยมีความได้เปรียบในเรื่องทำเลที่ตั้ง และโครงสร้างพื้นฐานที่ดีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า ที่ผ่านมาบริหารจัดการเรื่องวัคซีนผิดพลาดเท่านั้น"

นอกจากนี้ รัฐบาลต้องเตรียมความพร้อมทางด้านเม็ดเงินที่ใช้ในการลงทุน เพื่อแข่งขันกับประเทศอื่นๆ จึงควรต้องขอขยายสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ซึ่งตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 60% เช่นเดียวกับหลายๆ ประเทศที่มีการปรับอัตราสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP สูงขึ้นเพื่ออัดฉีดเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ สังคม ในประเทศ

อีกมาตรการเร่งด่วน รัฐบาลต้องช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอี เช่น พักหนี้ ให้เงินทุนหมุนเวียน เมื่อเศรษฐกิจกลับมา รวมทั้งธุรกิจสายการบิน หากไม่ช่วยเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวแล้วจะมีเครื่องบินที่ไหนไปรับนักท่องเที่ยวมาประเทศไทย

"ปัญหาการเมืองเป็นสิ่งไม่ควรมองข้าม เศรษฐกิจและการเมืองเป็นของคู่กันมาตลอด หากแก้ไขเศรษฐกิจได้แต่ถ้าการเมืองไม่ถูกแก้ไขก็จะเกิดการเมืองบนท้องถนน เกิดการประท้วง เกิดความรุนแรง มาฉุดรั้งเศรษฐกิจอยู่ดี หากรัฐบาลทำอย่างผมเสนอ เศรษฐกิจฟื้นตัวกลับมา วันนี้ไม่ใช่เรื่องของเราแต่เป็นเรื่องประเทศ เมื่อไรที่ประเทศไปได้ ธุรกิจก็ไปต่อได้ ยกเว้นคนที่มีปัญหากระแสเงินสดเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ผมเชื่อว่าถ้าภาคเอกชนและองค์กรต่างๆ ช่วยกันช่วยเหลือสังคม คนตัวเล็ก พวกเราจะผ่านวิกฤติครั้งไปได้"

เช็คสถิติ 'ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล' ออกงวด 16 ส.ค. ย้อนหลัง 10 ปี 'หวย16/8/64'
ยอด 'โควิด-19' วันนี้ น่าห่วง! พบติดเชื้อเพิ่ม 21,157 ราย เสียชีวิต 182 ราย ไม่รวม ATK อีก 803 ราย
'โควิดติดเชื้อวันนี้' ชลบุรี 1,223 เสียชีวิตอีก 9 ราย จับตาสถานที่ทำงานยอดพุ่ง
สำหรับวิธีการแก้ปัญหาโควิดของแสนสิริ มองเรื่อง "วัคซีน" เป็นอันดับแรก เพื่อฉีดให้พนักงานและครอบครัว รวมถึงพันธมิตร พนักงานดูแลความสะอาดและความปลอดภัยในโครงการ โดยจองซื้อวัคซีนซิโนฟาร์ม 37,000 โดส ฉีดได้ราว 18,000 คน พร้อมบริจาคให้ราชวิทยาลัยฯ 1,000 โดส เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในสังคมของแสนสิริโดย 9,000 โดสฉีดให้พนักงานและครอบครัว อีก 9,000 โดสฉีดให้พันธมิตรและชุมชนรอบแสนสิริ รวมถึงกลุ่มที่มีโอกาสเข้าถึงวัคซีนน้อย เช่น รปภ. แม่บ้าน คนสวน ช่าง คนงานในแคมป์ก่อสร้าง ทำให้แรงงานแคมป์ของแสนสิริ มีภูมิคุ้มกันหมู่กว่า 70% บางไซต์ 100%

พร้อมกันนี้ได้หารือกระทรวงสาธารณสุข เรื่องการสร้างโรงพยาบาลสนาม ในช่วงเกิดโควิดระลอก 2 ย่านนนทบุรี และสมุทรปราการ แต่ยังไม่ทันลงมือสร้าง สถานการณ์ดีขึ้นจึงไม่ได้ทำ พร้อมกันนี้ มีการบริจาครถตรวจโควิด และช่วงโควิดระลอก 3 ร่วมกับพาร์ทเนอร์ สร้างห้องอาบน้ำ 500 ห้องสำหรับผู้ป่วยโควิดในโรงพยาบาลบุษราคัม โรงพยาบาลสนามเมืองทองธานี ล่าสุดทำห้องไอซียู 17 ห้อง

กรณี หากมีลูกบ้านที่ติดเชื้อระดับสีเขียวและประสงค์ที่จะกักตัวและรักษาตัวแบบ Home Isolation จะมี "พลัส พร็อพเพอร์ตี้" ทำหน้าที่ประสานงานโรงพยาบาล ที่มีบริการเทเลเมดิซีน เข้ามาดูแล

"วันนี้เราอยากเชิญชวนภาคเอกชนและองค์กรต่างๆ ให้ความช่วยเหลือสังคมเพื่อให้เกิดการบูรณาการผู้ที่อ่อนแอให้แข็งแรง ตรงไหนรัฐบาลมองไม่เห็นหรือว่าไม่สามารถเข้าถึงได้ก็เข้าไปช่วยพยุง ไม่ว่าจะเป็นสตรีทฟู้ด โชว์ช้าง โชว์ลิง ลิเก หมอรำ ลำตัด ให้อยู่ได้จนถึงช่วงที่เศรษฐฟื้นตัว"
#3022


นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า  GULF ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2564 โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) จำนวน 1,401 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 412 ล้านบาท หรือคิดเป็น 42% จากไตรมาสเดียวกันในปีก่อน

สาเหตุหลักมาจากการรับรู้ผลกำไรของโครงการโรงไฟฟ้ากัลฟ์ ศรีราชา (GSRC) หน่วยที่ 1 ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 662.5 เมกะวัตต์ ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ไปเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564 โดยมี Load Factor เฉลี่ยเท่ากับ 88% ในไตรมาสนี้ ประกอบกับโครงการโรงไฟฟ้า 12 SPP ภายใต้กลุ่ม GMP และโครงการโรงไฟฟ้า 7 SPP ภายใต้กลุ่ม GJP ที่รับรู้ Core Profit เพิ่มขึ้นจากปริมาณการขายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมที่สูงขึ้นในทุกภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มผลิตภัณฑ์เหล็ก โดย 12 SPP มี Load Factor เฉลี่ยของกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมในไตรมาสนี้ เท่ากับ 63% เทียบกับ 51% ปีที่แล้ว

ขณะที่ 7 SPP มี Load Factor เฉลี่ยเท่ากับ 66% ในไตรมาสนี้ เทียบกับ 57% ในปีก่อน นอกจากนี้ โรงไฟฟ้า 2 IPP ภายใต้กลุ่ม GJP ยังมีปริมาณการขายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเพิ่มขึ้น 148% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2563 ส่งผลให้โรงไฟฟ้าเดินเครื่องอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้ง ในไตรมาส 2 ปี 2564 ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก PTT NGD จำนวน 63 ล้านบาท จากการที่ GULF เข้าไปลงทุนในสัดส่วน 42% ด้วย


ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2564 Core Profit ในไตรมาสนี้ลดลง 989 ล้านบาท หรือคิดเป็น 41.4% เนื่องจากไม่มีการบันทึกเงินปันผลรับจาก INTUCH ในไตรมาสนี้ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล Borkum Riffgrund 2 (BKR2) มีปริมาณการขายไฟฟ้าที่ลดลงจากปัจจัยด้านฤดูกาล ซึ่งไตรมาส 2 และไตรมาส 3 นับเป็น low season เมื่อเทียบกับ ไตรมาส 1 และ ไตรมาส 4 ซึ่งถือเป็น high season ของพลังงานลมในทะเลที่ประเทศเยอรมนี

ในไตรมาส 2 ปี 2564 GULF มีรายได้รวม (Total Revenue) 11,845 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,707 ล้านบาท หรือคิดเป็น 29.6% จากไตรมาส 2 ปี 2563 จากการรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 1 ที่เปิดดำเนินการในไตรมาส 1 ปี 2564 และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล BKR2 ที่รับรู้รายได้ครั้งแรกในไตรมาส 4 ปี 2563

อีกทั้ง ยังรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการขายไฟฟ้าและไอน้ำให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมของกลุ่ม GMP อย่างไรก็ตาม รายได้จากการขายไฟฟ้าของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ GTN1 และ GTN2 ที่ประเทศเวียดนาม ลดลงเล็กน้อยจากการจำกัดการรับซื้อไฟฟ้าชั่วคราว (Temporary Curtailment) เนื่องจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศเวียดนาม

อัตรากำไร EBITDA Margin ในไตรมาส 2 ปี 2564 เท่ากับ 35.6% เพิ่มขึ้นจาก 31.9% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติที่ลดลง 8.7% จากปีก่อน แม้ว่าค่า Ft เฉลี่ยจะลดลงก็ตาม


นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)

GULF มีกำไรสุทธิ (Net Profit) ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ ซึ่งรวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน เท่ากับ 1,407 ล้านบาท ลดลง 25.2% เทียบกับผลกำไรสุทธิ 1,881 ล้านบาทในไตรมาส 2 ปี 2563 เนื่องจากในปีก่อนมีผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง (Unrealized Gain) จำนวน 892 ล้านบาท เทียบกับ 6 ล้านบาทในไตรมาส 2 ปีนี้

ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 GULF มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net Interest-Bearing Debt to Equity) เท่ากับ 1.75 เท่า ซึ่งยังต่ำกว่าข้อกำหนดสิทธิสำหรับหุ้นกู้ (Bond Covenant) ที่ 3.50 เท่า

นางสาวยุพาพิน กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากที่ GULF ได้ทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH แล้วเสร็จ ทำให้มีสัดส่วนการถือหุ้น INTUCH ทั้งสิ้น เท่ากับ 42.25% โดย GULF ได้ทำการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินในประเทศทั้งสิ้นจำนวน 48,612 ล้านบาท โดย GULF มีแผนในการออกและเสนอขายหุ้นกู้มูลค่ารวมประมาณ 20,000 ล้านบาทภายในปีนี้ โดยจะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นกู้ไปลงทุนเพื่อขยายธุรกิจ และชำระคืนเงินกู้ที่ใช้ในการซื้อหุ้น INTUCH ในบางส่วน นอกจากนี้ บริษัทฯ จะรับรู้เงินปันผลรับทันที ประมาณ 1,600 ล้านบาทในไตรมาส 3 นี้

สำหรับแผนการดำเนินงานในครึ่งปีหลังของปี 2564 GULF ยังมีโครงการที่จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเลที่ประเทศเวียดนาม (Mekong Wind) ระยะที่ 1-3 กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 128 เมกะวัตต์ ที่จะทยอยเปิดดำเนินการระหว่างไตรมาส 3-4 ปีนี้, โครงการโรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 2 กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 662.5 เมกะวัตต์ ที่กำหนดเปิดดำเนินการในเดือนตุลาคม 2564

โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่ประเทศโอมาน (DIPWP) จำนวน 326 เมกะวัตต์ ระยะที่ 1 ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 40 เมกะวัตต์ ที่จะเปิดดำเนินการระหว่างไตรมาส 3-4 และโครงการ solar rooftop ภายใต้ Gulf1 กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 20 เมกะวัตต์ ที่จะทยอยเปิดดำเนินการภายในสิ้นปี ส่งผลให้ GULF มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวมทั้งสิ้น 7,922 เมกะวัตต์ ณ สิ้นปี 2564
#3023


วันนี้ (15ส.ค.) สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อกรณีคนไทยกับตัวเลข/สถิติเกี่ยวกับ โควิด-19 กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,270 คน ระหว่างวันที่ 9-12 สิงหาคม 2564 พบว่า ในช่วงโควิด-19 ส่วนใหญ่ติดตามข้อมูลตัวเลขและสถิติจากโทรทัศน์ ร้อยละ 71.84 และโซเชียลมีเดีย ร้อยละ 70.49 ใช้เวลาในการติดตามน้อยกว่า 30 นาทีต่อวัน เรื่องที่สนใจติดตาม คือ ยอดผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตรายวัน ร้อยละ 92.33 และมองว่าข้อมูลปัจจุบันค่อนข้างน่าเชื่อถือ ร้อยละ 45.87 โดยเห็นว่าข้อมูลเหล่านี้ช่วยสะท้อนให้เห็นแนวโน้ม ระดับความรุนแรงของโควิด-19 ร้อยละ 89.29 และอยากให้นำเสนอข้อมูลที่ชัดเจน ไม่ปกปิด ร้อยละ 92.01 เมื่อติดตามข้อมูลเกี่ยวกับตัวเลข/สถิติแล้วรู้สึกค่อนข้างเครียดและวิตกกังวลพอสมควร ร้อยละ 57.05

นางสาวพรพรรณ บัวทอง นักวิจัย สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เผยปฏิเสธไม่ได้ว่าในสถานการณ์ใด ๆ ก็ตาม การรายงานข้อมูลแบบตัวเลขและสถิติเป็นสิ่งที่ทำให้ประชาชนรับรู้และเข้าใจได้ง่ายที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 เพราะทำให้ประชาชนเห็นภาพรวมและเข้าใจถึงความหนัก-เบาของสถานการณ์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลในการสื่อสารข้อมูลตามความเป็นจริง ชัดเจน ตรงไปตรงมา เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน
ศาสตราจารย์ธานินทร์ สิทธิวิรัชธรรม คณะวิๆทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เผย ตัวเลขเริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตมนุษย์ตั้งแต่ตอนที่มนุษย์รู้จัก "การเทียบสิ่งของด้วยวิธีหนึ่งต่อหนึ่ง" เช่น เทียบสัตว์ 1 ตัว กับ นิ้วมือ 1 นิ้วหรือก้อนหิน 1 ก้อน ส่วนคำว่า สถิติ คือวิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific method) ซึ่งจะช่วยในการประเมินและตัดสินใจต่อสถานการณ์หรือปัญหาต่าง ๆ ในสภาวการณ์ปัจจุบัน หากได้รับข้อมูลตัวเลขและสถิติเกี่ยวกับโควิด-19 ก่อนอื่นต้องตรวจสอบแหล่งที่มาการเผยแพร่ก่อนว่าเป็น Fake News หรือไม่ เราทุกคนต้อง อย่าตื่นตระหนกแต่ให้ตระหนักอย่างมีสติ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ประชาชนต้องเชื่อมั่นในนโยบายของรัฐบาลและปฏิบัติตนตามข้อกำหนดต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด ในขณะที่ทางฝ่ายรัฐบาลเองจะต้องเปิดเผยข้อมูลต่าง ๆ อย่างตรงไปตรงมา ชัดเจน และตรวจสอบได้ หากประชาชนเชื่อใจในรัฐบาล ก็จะเกิดความเชื่อมั่นในนโยบาย ทำให้เชื่อถือในกฎเกณฑ์ข้อกำหนด ต่าง ๆ เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะส่งผลทำให้เราทุกคนผ่านวิกฤตินี้ไปได้อย่างแน่นอน
#3024


คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเมื่อวันที่ 4 ส.ค.2564 รับทราบความก้าวหน้าแผนบริหารจัดการน้ำในอีอีซี รองรับทั้งภาคการผลิตและการเกิดขึ้นของ "เมืองใหม่ทั้งเมืองอัจฉริยะ" และ "เมืองการบินภาคตะวันออก" ที่ครอบคลุมรัศมี 30 กิโลเมตร รอบสนามบินอู่ตะเภาที่อยู่ระหว่างการออกแบบโครงการ โดยต้องสร้างความมั่นใจว่าจะมีน้ำเพียงพอถึงปี 2580 

สำหรับการจัดหาแหล่งน้ำในอีอีซี ที่มีระบบบริหารน้ำในภาพรวมครบถ้วน ซึ่งการวางแผนให้อีอีซีจะมีน้ำใช้พอเพียงทั้งการใช้น้ำภาคอุตสาหกรรมการผลิต ภาคธุรกิจและการใช้น้ำเพื่อเกษตรกรรม โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดโครงการสำคัญ เช่น ให้กรมชลประทานเร่งเสนอโครงการก่อสร้างสถานีสูบน้ำกลับคลองสะพาน-ประแสร์ เส้นที่ 2 และเครือข่ายคลองวังโตนด-อ่างเก็บน้ำประแสร์ เส้นที่ 2 เพื่อสร้างความมั่นคงการจัดการน้ำในระยะยาว 

ส่วนในนิคมอุตสหกรรม สั่งการให้แต่ละนิคมอุตสาหกรรมจัดหาแหล่งน้ำสำรองของตนเอง รวมถึงเร่งเพิ่มน้ำต้นทุน และเร่งศึกษาเดินหน้าโครงการเปลี่ยนน้ำทะเลเป็นน้ำจืด โดยต้องดำเนินการให้เกิดความคุ้มค่าสูงสุด 

ขณะที่การหาแหล่งน้ำเพื่อรองร้บเมืองการบินภาคตะวันออกในรัศมี 30 กิโลเมตรรอบสนามบินอู่ตะเภา ซึ่งถือเป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญในอนาคต และจะมีการขยายตัวของที่อยู่อาศัยตามการเติบโตของประชากร โดยนอกจากแผนการจัดหาแหล่งน้ำเพิ่ิมเติมได้หาแหล่งน้ำใต้ดินเพื่อนำมาใช้ประโยชน์เพิ่มในอนาคต ถือเป็นครั้งแรกที่บริหารน้ำผิวดินร่วมกับน้ำใต้ดิน

ทั้งนี้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ช่วยทำ "แผนที่น้ำใต้ดิน" ซึ่งนำมาใช้ประโยชน์ได้ 4 จุด จากการสำรวจพบว่ามีปริมาณน้ำใต้ดินรวมกว่า 4,000 ล้านลบ.ม. ซึ่งใช้เป็นแหล่งน้ำรองรับความต้องการน้ำในอีอีซีทั้งภาคการผลิต และเมืองการบินภาคตะวันออก 4 พื้นที่ ได้แก่ 

1.อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา ปริมาณน้ำที่กักเก็บ 3,013 ล้านลบ.ม. มีปริมาณน้ำบาดาลที่สามารถนำมาใช้ได้ 2,260 ล้านลบ.ม. 

2.อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี ปริมาณน้ำกักเก็บ 599 ล้านลบ.ม. มีปริมาณน้ำบาดาลที่สามารถนำมาใช้ได้ 449 ล้านลบ.ม.

3.อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ปริมาณน้ำที่กักเก็บ 883 ล้านลบ.ม. มีปริมาณน้ำบาดาลที่สามารถนำมาใช้ได้ 662 ล้านลบ.ม.

4.อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ปริมาณน้ำกักเก็บ 890 ล้านลบ.ม. มีปริมาณน้ำบาดาลที่สามารถนำมาใช้ได้ 668 ล้านลบ.ม.



สำหรับพื้นที่แหล่งน้ำบนดินในรัศมี 30 กิโลเมตร รอบสนามบินอู่ตะเภา สำรวจพบแหล่งน้ำที่พัฒนาเป็นแหล่งน้ำรองรับการพัฒนาพื้นที่ประกอบด้วย การพัฒนาคลองบางไผ่ จ.ชลบุรี และแหล่งน้ำขนาดเล็กในบริเวณใกล้เคียง โดยมอบให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นหน่วยงานหลักบูรณาการกับหน่วยงานที่ี่เกี่ยวข้องเพื่อบริหารจัดการ  

การปรับปรุงและพัฒนาอ่างเก็บน้ำคลองบางไผ่ คณะอนุกรรมการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำรายภาคในพื้นที่ภาคตะวันออก วันที่ 21 พ.ค.2564 เห็นชอบแผนดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาอ่าง พื้นที่ 3,348 ไร่ โดยมอบให้กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป

สำหรับแผนระยะยาว ในการบริหารจัดการน้ำในอีอีซีมีโครงการพัฒนาแหล่งน้ำและการจัดการทรัพยากรน้ำรองรับอีอีซี ปี 2563-2580 รวม 38 โครงการ รวม 52,874 ล้านลบ.ม. โดยเพิ่มน้ำต้นทุน 872 ล้าน ลบ.ม.ปัจจุบันแล้วเสร็จ 9 โครงการ

การผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล (Desalination) โดยแผนงานดังกล่าวได้ประชุม กนช.เมื่อวันที่ 22 ก.ค.2563 เห็นชอบหลักการเร่งรัดแผนงานก่อสร้าง 14 โครงการสำคัญ โดยมี Desalination เป็นหนึ่งในโครงการสำคัญ และเมื่อวันที่ 24 ก.ค.2564 มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานทางเทคนิคการพัฒนาโครงการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล 
สมเกียรติ ประจําวงษ์ เลขาธิการ สทนช. กล่าวว่า ผลการวิเคราะห์ความต้องการใช้น้ำใน 3 จังหวัดอีอีซี โดยใช้ปี 2560 เป็นปีฐาน และวิเคราะห์ความต้องการ ประกอบด้วย น้ำอุปโภคบริโภค น้ำเพื่อภาคการผลิต ไม่ว่าภาคเกษตรกรรมหรือภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนน้ำเพื่อรักษาระบบนิเวศ และผลักดันน้ำเค็ม กรอบเวลากําหนดไว้ 20 ปี ในภาพรวมความต้องการใช้น้ำทุกกิจกรรมในปี 2560 มีจํานวน 2,404.91 ล้านลบ.ม. เพิ่มเป็น 2,777.68 ล้านลบ.ม. ในปี 2570 และ 2,977.55 ล้านลบ.ม. ในปี 2580 

ในช่วง 10 ปีแรก (2570) ความต้องการใช้น้ำในทุกกิจกรรมเพิ่มขึ้นจากปีฐาน 372.77 ล้าน ลบ.ม. และ 10 ปีที่สอง (2580) เพิ่มขึ้นจากช่วง 10 ปีแรก 199.87 ล้านลบ.ม.

"รวมความแล้วความต้องการใช้น้ำในอีอีซีในปี 2580 จะเพิ่มขึ้นจํานวน 572.64 ล้านลบ.ม. เมื่อโจทย์ความต้องการใช้น้ำชัดแล้วที่เหลือเป็นการค้นหาปริมาณน้ำที่อยู่ในมือและที่ต้องจัดหาเพิ่มเติม เพื่อให้พอความต้องการ"

ทั้งนี้ สทนช.วางแผนพัฒนาแหล่งน้ำและจัดหาน้ำ 7 มาตรการ ได้แก่ 1.ปรับปรุงเพิ่มความจุอ่างเก็บน้ำเดิม 2.พัฒนาอ่างเก็บน้ำเพิ่มเติมใน EEC และนอก EEC 3.พัฒนาระบบผันน้ำเชื่อมโยงแหล่งน้ำ 4.พัฒนาแหล่งน้ำสํารองภาคเอกชน 5.พัฒนาน้ำบาดาลสําหรับภาคอุตสาหกรรมและเสริมในพื้นที่ขาดแคลน 

6.ใช้เทคโนโลยีใหม่ อาทิ การผลิตน้ำจืดจากน้ําทะเล และนําน้ำเสียที่ผ่านการบําบัดมาใช้ประโยชน์ 7.การจัดการด้าน Demand Side ได้แก่ การเสริมประสิทธิภาพการใช้น้ำ การลดน้ำสูญเสีย การปรับ ระบบการเพาะปลูกให้เหมาะสม
#3025


นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ กนอ. (บอร์ด กนอ.) เมื่อ 11 ส.ค.ได้มีมติอนุมัติโครงการนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ภายใต้ชื่อนิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา บลูเทค ซิตี้ ในรูปแบบนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานกับ บริษัท ดับเบิ้ลพี แลนด์ จำกัด พื้นที่โครงการอยู่ในตำบลเขาดิน อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา บนพื้นที่ประมาณ 1,181 ไร่ มูลค่าการลงทุนโครงการ 4,856 ล้านบาท คาดว่าจะใช้ระยะเวลาพัฒนาพื้นที่และระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกและเปิดให้บริการได้ภายใน 2 ปี ทั้งนี้ เมื่อเปิดดำเนินการแล้วจะก่อให้เกิดมูลค่าการลงทุนประมาณ 33,200 ล้านบาท เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นประมาณ 8,300 คน

สำหรับพื้นที่โครงการอยู่ห่างจากสนามบินสุวรรณภูมิประมาณ 44 กิโลเมตร ท่าเรือแหลมฉบังประมาณ 60 กิโลเมตร และท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดประมาณ 119 กิโลเมตร มุ่งเน้นรองรับการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่เป็นเทคโนโลยีขั้นสูงและสมัยใหม่ ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมอุปกรณ์กักเก็บพลังงานไฟฟ้าประจุสูง รวมถึงกิจการอื่นที่เกี่ยวข้อง และกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับการส่งเสริมตามโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ด้วย

โครงการนิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา บลูเทค ซิตี้ แบ่งเป็นพื้นที่ประกอบกิจการประมาณ 70% และเป็นพื้นที่สาธารณูปโภคและพื้นที่สีเขียวรวมประมาณ 30% โดยได้นำแนวคิดนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Industrial Town) มาประยุกต์ใช้ในการออกแบบ การจัดให้มีพื้นที่สีเขียวและพื้นที่แนวกันชนเชิงนิเวศ (Eco-Belt) รอบพื้นที่โครงการฯ การจัดสรรพื้นที่สีเขียวภายในนิคมอุตสาหกรรมไม่น้อยกว่า 10% และการนำน้ำทิ้งที่ผ่านการบำบัดแล้วมาปรับปรุงคุณภาพ ก่อนนำกลับไปใช้ประโยชน์ใหม่ภายในโครงการ

"เมื่อเปิดดำเนินโครงการนิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา บลูเทค ซิตี้ แล้วคาดว่าจะก่อให้เกิดมูลค่าการลงทุนในประเทศอีกประมาณ 33,200 ล้านบาท และเกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 8,300 คน ทำให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้ นอกจากนี้ โครงการฯ มีความเป็นไปได้ทางการตลาดสูง เนื่องจากตั้งอยู่ในพื้นที่เป้าหมายคือพื้นที่อีอีซี โดยคาดว่าจะขายพื้นที่และให้เช่าพื้นที่ทั้งหมดได้ภายใน 4 ปี" ผู้ว่าการ กนอ.กล่าว
#3026


นายศิริพงษ์ สมบูรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดี–แลนด์ กรุ๊ป จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำเขตกรุงเทพฯ ตอนใต้ พระราม 2–สมุทรสาคร โซนภาคตะวันออก และโซนกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก รวมถึงคอมมูนิตี้มอลล์ "พอร์โต้ ชิโน่" และจุดแวะพักครบวงจร "พอร์โต้ โก" กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด–19 ส่งผลให้ผู้บริโภควิตกกังวลในเรื่องของความปลอดภัย รวมทั้งการลดกิจกรรมนอกบ้านและมาตรการล็อกดาวน์ เป็นตัวเร่งสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายโดยหันมาซื้อสินค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น ถือเป็นโอกาสให้ผู้ประกอบการร้านค้า รวมถึงพ่อค้าแม่ค้าหันมาปรับเปลี่ยนการขายสู่การทำการตลาดออนไลน์ผ่านโซเชียลมีเดียมากขึ้น

ทั้งนี้จากข้อมูลของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ระบุว่า มูลค่าการตลาด e-Commerce ซึ่งเป็นการทำธุรกรรมซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการบนอินเทอร์เน็ต โดยใช้เว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันเป็นสื่อในการนำเสนอสินค้าและบริการต่างๆ ในประเทศไทยมีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยในปี 2563 ขยายตัวเพิ่มขึ้น 16% และคาดการณ์ว่าปี 2564 จะเพิ่มขึ้นเป็น 18% ปี 2565 เพิ่มขึ้น 20% และปี 2566 จะเพิ่มขึ้นเป็น 22% และความต้องการในการซื้อสินค้าและบริการผ่านทางออนไลน์นั้นจะกลายเป็นช่องทางการซื้อที่สำคัญมากขึ้นสำหรับผู้บริโภค แม้เป็นยุคหลังการแพร่ระบาดของโควิด–19

นายศิริพงษ์ กล่าาว่า บริษัทมองเห็นโอกาสขยายฐานการตลาดในกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจค้าออนไลน์ที่มีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จึงได้จัดโปรโมชัน "อาคารพาณิชย์ดีที่สุด" ผ่านโครงการ "บ้านดี เดอะมอนเทอเรย์ ศรีราชา–อัสสัมชัญ" ท่ามกลางธรรมชาติร่มรื่นและสวยงาม บนเนื้อที่รวมประมาณ 11 ไร่ ใจกลางเมืองศรีราชา จังหวัดชลบุรี ในรูปแบบอาคารพาณิชย์ 2 ชั้น สไตล์ American Cottage ขนาดที่ดิน 16.5 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 95 ตร.ม. กับฟังก์ชัน 1 ร้านค้า 2 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ภายในโครงการครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ทั้งพื้นที่สีเขียวร่มรื่น American Courtyard ขนาดใหญ่ด้านหน้าโครงการ สวนขนาดย่อมกระจายอยู่รอบโครงการ คลับเฮาส์ สระว่ายน้ำ คีย์การ์ดสำหรับเข้า–ออกโครงการ และระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมกล้อง CCTV ในราคาเริ่มต้น 2.49 ล้านบาท* พร้อมเฟอร์นิเจอร์ทั้งหลังสามารถเข้าอยู่ได้ทันที ไม่ต้องตกแต่งเพิ่ม

"บ้านดี เดอะมอนเทอเรย์ อีกหนึ่งโครงการคุณภาพจากดี–แลนด์ กรุ๊ป ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ ใจกลางเมืองศรีราชา การเดินทางสะดวกสบาย สามารถเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองชลบุรี–ระยอง–พัทยา หรือจะใช้เส้นทางจากถนนอัสสัมชัญเชื่อมต่อเข้าสู่ถนนสุขุมวิทก็สะดวก โดยอาคารพาณิชย์ในโครงการบ้านดี เดอะมอนเทอเรย์ มีพื้นที่สำหรับขายหน้าร้านและขายออนไลน์ พร้อมฟังก์ชัน 1 ร้านค้า 2 ห้องนอน ที่สามารถปรับเปลี่ยนให้เป็นห้องไลฟ์สดขายของ หรือห้องสต๊อกสินค้า และซื้อ 1 ได้ถึง 2 กับห้องนอนที่พร้อมปล่อยเช่าได้ทันที นอกจากนี้ ยังอยู่ใกล้กับบริษัทขนส่ง อาทิ ไปรษณีย์ไทย เคอรี่ แฟลช และเจแอนด์ที สะดวกต่อการจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้า ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.49 ล้านบาท ตอบครบทุกความต้องการสำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่กำลังองหาอาคารพาณิชย์ที่ดีที่สุดและตอบโจทย์การลงทุนในอนาคตที่คุ้มค่า" นายศิริพงษ์ กล่าว
#3027


ค่าเงินบาทปีนี้อ่อนค่าแรงต่อเนื่อง โดยปิดการซื้อขายเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (13 ส.ค.) ที่ระดับ 33.35 บาทต่อดอลลาร์ เทียบกับระดับปิดสิ้นปี 2563 ที่ 29.99 บาทต่อดอลลาร์

โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ตั้งแต่ต้นปีเงินบาทอ่อนค่าลงมากกว่า 10% และเป็นการอ่อนค่ามากกว่าสกุลเงินภูมิภาค เป็นไปตามกลไกตลาด ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัจจัยทั้งภายนอกและภายในประเทศ ดังนี้

1. สถานการณ์เศรษฐกิจกลุ่มประเทศหลักที่มีแนวโน้มฟื้นตัวดี ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น สร้างแรงกดดันต่อสกุลเงินภูมิภาคให้ปรับอ่อนค่าลง

2. เงินสกุลภูมิภาคบางประเทศอาจได้รับผลบวกจากปัจจัยเฉพาะ เช่น ประเทศที่มีสัดส่วนการส่งออกสินค้าสูง หรือประเทศที่สามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด 19 ได้ดี ทำให้สกุลเงินอ่อนไม่มากนัก เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย เกาหลีใต้

3. ไทยยังมีการแพร่ระบาดของโควิด 19 ที่รุนแรง รวมถึงนักวิเคราะห์ปรับลดคาดการณ์การฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยลงมากกว่าประเทศอื่น เนื่องจากมีสัดส่วนพึ่งพาการท่องเที่ยวสูง

4. นักลงทุนต่างชาติปรับลดการถือครองหุ้นไทย แต่ยังคงเพิ่มการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย โดยเฉพาะพันธบัตรระยะยาว สะท้อนความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทย รวมถึงฐานะด้านต่างประเทศของไทยยังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง จากปริมาณเงินสำรองระหว่างประเทศที่สูง และสัดส่วนหนี้ต่างประเทศที่ต่ำ

ทั้งนี้ ธปท. ติดตามถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพร้อมดูแลไม่ให้เงินบาทผันผวนจนกระทบการปรับตัวของภาคธุรกิจ และแนะนำให้ภาคเอกชนบริหารความเสี่ยงค่าเงินอย่างสม่ำเสมอ โดยผู้นำเข้า-ส่งออก ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยงค่าเงินได้ที่ https://bit.ly/35lWOaG
#3029


นางสาวอรรัตน์ ชุติมิต รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Retail and Business Banking ธนาคารไทยพาณิชย์  กล่าวว่า  นอกจากมาตรการช่วยเหลือขั้นต่ำตามประกาศของธปท.โดยการพักชำระหนี้ 2 เดือน ที่ผ่านมา ทางธนาคารยังมีมาตรการแก้ไขปัญหาในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง โดยได้ให้คำปรึกษาและพิจารณาร่วมกับลูกค้าในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้แบบเบ็ดเสร็จ เพื่อเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าสามารถดำรงชีพได้ในระยะยาว

รวมถึงในช่วงที่ผ่านมา ทางธนาคารมีมาตรการช่วยเหลือมาอย่างต่อเนื่อง โดยธนาคารจะประเมินลูกค้าตามสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจ เช่น ข้อมูลความเสี่ยง การคาดการณ์กระแสเงินสดใหม่ การฟื้นตัวของอุตสาหกรรม กลุ่มธุรกิจ จากนั้น ธนาคารจะกำหนดแพ็คเกจการช่วยเหลือที่เหมาะสมกับลูกค้า ซึ่งอาจรวมถึงการขยายระยะเวลาการชำระหนี้ การปรับอัตราการผ่อนชำระหนี้ การลดอัตราดอกเบี้ย การปรับดอกเบี้ยเป็นขั้นบันได (step-up rates) เป็นต้น

รายงานข่าวจากธนาคารไทยพาณิชย์ พบว่า ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค. - 10 ส.ค. 2564 มีลูกค้าสินเชื่อรายย่อยและสินเชื่อเพื่อธุรกิจรายย่อย (sSME) ลงทะเบียนเพื่อเข้ามาตรการพักหนี้ 2 เดือน จำนวน 262,451 ราย คิดเป็นยอดหนี้ 108,937 ล้านบาท  ทั้งนี้ ธนาคารก็ยังคงติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิดอย่างต่อเนื่อง เพื่อพิจารณาความช่วยเหลือเพิ่มเติมให้กับลูกค้าทุกกลุ่มด้วยมาตรการที่เหมาะสมอย่างตรงจุด

"แอลเอชแบงก์ คุยลูกค้าทุกราย ย้ำช่วยตรงจุด"  

รายงานข่าวจากธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH BANK พบว่า  จำนวนลูกค้าที่ขอพักหนี้ตามมาตรการล่าสุด ที่ธนาคารให้พักหนี้ 3 เดือน มากกว่ามาตรการธปท.ให้ 2 เดือน มีจำนวน 49 ราย คิดเป็นยอดหนี้ 3,400 ล้านบาท ซึ่งธนาคารอนุมัติทุกราย

ประกอบกับตอนนี้ธนาคารยังมีมาตรการช่วยเหลือตามมาตรการ premtive ของธปท. อยู่แล้ว เช่น ลดค่างวดจ่ายเท่าที่มีความสามารถจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยพักเงินต้น จ่ายดอกเบี้ยบางส่วน พักเงินต้น พักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย ซึ่งธนาคารจะคุยกับลูกค้าทุกรายเพื่อช่วยเหลือได้ตรงประเด็นในระยะยาว 
#3030


กรุงเทพฯ, 13 สิงหาคม 2564 – เอไอเอ ประเทศไทย เปิดตัว ทางเชื่อมสกายวอล์กจากบีทีเอสเซนต์หลุยส์ เข้าสู่อาคาร "เอไอเอ สาทร ทาวเวอร์" เพื่อเป็นสาธารณประโยชน์อำนวยความสะดวก และเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางแก่คนในชุมชน พนักงานออฟฟิศ ตลอดจนผู้สัญจรไปมา ตอกย้ำคำมั่นสัญญา 'Healthier, Longer, .ter Lives' ที่มุ่งสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น เสริมแกร่งเอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ ยืนหนึ่งในฐานะอาคารสำนักงานให้เช่าเกรดเอระดับพรีเมี่ยมย่าน CBD ของกรุงเทพฯ ทั้งยังมุ่งอนุรักษ์​พลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนด้วยมาตรฐาน LEED EBOM ระดับ Platinum Level พร้อมอีกหลากหลายรางวัลจากเวทีระดับโลก

นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า "นับตั้งแต่บริษัท​ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอส ร่วมกับกลุ่มบริษัทเอไอเอ เปิดให้บริการสถานีเซนต์หลุยส์ ตั้งแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่พักอาศัยในย่านสาทร ซอยเซนต์หลุยส์​ และพื้นที่โดยรอบ รวมถึงนักเรียน บุคลากรของโรงพยาบาลเซ็นต์หลุยส์ ผู้ที่ทำงานในอาคารเอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ และอาคารสำนักงานใกล้เคียง ได้รับความสะดวกสบายในการเดินทางมากขึ้น ด้วยความมุ่งมั่นในการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับคนไทย วันนี้ เอไอเอ ในฐานะบริษัทประกันชีวิตไทยเพื่อคนไทย ขอเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาสังคมเมืองสู่ความยั่งยืน ด้วยการเปิดตัวทางเชื่อมสกายวอล์ก ระหว่างบริเวณสถานีเซนต์หลุยส์ กับอาคารเอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ เพื่ออำนวยความสะดวกอีกขั้นให้กับผู้ที่เดินทางจากตัวสถานีมายังอาคาร หรือจากตัวสถานีผ่านทางเชื่อมต่อไปยังจุดอื่น ๆ ภายในชุมชน โดยทุกท่านสามารถเดินทางด้วยความสะดวกสบายและปลอดภัยยิ่งกว่าเดิม เป็นไปตามคำมั่นสัญญา 'Healthier, Longer, .ter Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น' ซึ่งเอไอเอยึดถือในการดำเนินธุรกิจ และอยู่เคียงข้างคนไทยมาตลอดระยะเวลา 83 ปีที่ผ่านมา"

นายโจฮัน ดีทอย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายลงทุน เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า "ปัจจุบันเอไอเอ ประเทศไทย ได้มีการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์รวมทั้งสิ้น 3 โครงการด้วยกัน ได้แก่ เอไอเอ แคปปิตอล เซ็นเตอร์ (AIA Capital Center) เอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ (AIA Sathorn Tower) และ เอไอเอ อีสต์ เกตเวย์ (AIA East Gateway) โดยทั้ง 3 อาคารเป็นอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกให้เช่า บนย่านสำคัญทางธุรกิจของไทย โดยปัจจุบันการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทคิดเป็นประมาณ 2% ของพอร์ตการลงทุน ทั้งนี้ การเลือกลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ของเอไอเอนั้น เรามีความมุ่งมั่นที่จะช่วยยกระดับคุณภาพอาคารสำนักงานระดับพรีเมี่ยมในเมืองไทยให้อยู่ในระดับสากล ที่มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ทั้งแก่ผู้เช่า และชุมชนรอบข้าง เพื่อสนับสนุนให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สำหรับสถานีเซนต์หลุยส์ บีทีเอสได้มีการประมาณการผู้ใช้บริการคิดเป็นจำนวนเที่ยวการเดินทางประมาณ 17,000 คน/วัน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการคมนาคมด้วยระบบขนส่งสาธารณะมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การลงทุนดังกล่าวถือเป็นแผนการลงทุนระยะยาวของเอไอเอ เนื่องจากเราเล็งเห็นแนวโน้มการเติบโตทั้งทางเศรษฐกิจ และความเป็นอยู่ของผู้คนบนย่านที่เราลงทุน"

ด้านนายปกป้อง ยินดีผล ผู้อำนวยการฝ่ายอสังหาริมทรัพย์ เอไอเอ ประเทศไทย เผยว่า "การมีทางเชื่อมโดยตรงจากสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสเข้าสู่ตัวอาคาร เชื่อว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อาคาร เอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ ได้รับความสนใจจากผู้ที่ต้องการเช่าพื้นที่สำนักงานเพิ่มขึ้น เพราะนอกจาก เอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ จะเป็นอาคารสำนักงานเกรดเอระดับพรีเมี่ยม โดดเด่นด้วยดีไซน์ล้ำสมัย และฟังก์ชันพิเศษของอาคารอัฉจริยะที่ครบครันเพื่อตอบสนองต่อการใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพ เน้นประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งผ่านการรับรองมาตรฐาน LEED EBOM ในระดับ Platinum พร้อมด้วยรางวัลอันทรงเกียรติจาก 2 เวทีชั้นนำอย่าง Thailand's Property Awards และ Southeast Asia Property Awards ตัวอาคารยังตั้งอยู่บนทำเลทองย่าน CBD ที่สะดวกสบายต่อการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ส่วนตัว หรือรถโดยสารสาธารณะ อันถือเป็นปัจจัยอันดับต้นๆ ที่ผู้เช่าใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาเลือกเช่าสำนักงาน"

อาคาร เอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ ถือเป็นอาคารสำนักงานเกรดเอระดับพรีเมี่ยม สูง 29 ชั้น มีพื้นที่อาคารสำนักงานให้เช่ารวม 38,000 ตารางเมตร โดดเด่นด้วยคุณสมบัติของอาคารอัจฉริยะ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน LEED EBOM (The Leadership in Energy and Environmental Design) ในระดับ Platinum ผ่านคุณสมบัติหลัก 5S คือ Space, Saving Energy, Safety, Smart และ Speed ในทุกจุดทั่วอาคาร โดยถือเป็นอาคารประหยัดพลังงานจากความสามารถในการบริหารการใช้พลังงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ พร้อมกับความใส่ใจในทุกรายละเอียดเพื่อตอบสนองต่อความพึงพอใจสูงสุดของผู้เช่า ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพของอากาศที่ดีภายในอาคาร การจัดการขยะและของเสียที่ได้มาตรฐาน รวมไปถึงการเพิ่มพื้นที่สีเขียวทั่วทั้งโครงการ


นอกจากนี้ อาคารเอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ ได้รับรางวัลเป็นเครื่องการันตีคุณภาพงานก่อสร้างและออกแบบมากมาย อาทิ Best Office Architectural Design Award อาคารสำนักงานที่มีภูมิสถาปัตย์ยอดเยี่ยม, Best Green Development Award โครงการอาคารสีเขียวยอดเยี่ยม, Best Commercial Development อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ยอดเยี่ยม และ Best Office Development อาคารสำนักงานยอดเยี่ยม และอีก 2 รางวัลจากเวที South East Asia Property Awards 2015 ได้แก่ รางวัล Highly Commended : Best Commercial Development และ รางวัล Highly Commended: Best Green Development
#3031


ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวขึ้น 15.53 จุด ปิดที่ 35,515.38 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปรับตัวขึ้น 0.16% ปิดที่ 4,468.00 จุดและดัชนีแนสแด็ก ปรับตัวขึ้น 0.04% ปิดที่ 14,822.90 จุด


ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกัน โดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน และแนวโน้มการชะลอตัวของภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐ

หุ้นดิสนีย์พุ่งขึ้นกว่า 3% ขานรับการเปิดเผยผลประกอบการที่สูงเกินคาด

ผลการสำรวจของนักวิเคราะห์คาดว่า บริษัทในดัชนีเอสแอนด์พี500 มีแนวโน้มที่จะรายงานตัวเลขกำไรพุ่งขึ้น 92.9% ในไตรมาส 2 ซึ่งเป็นการขยายตัวมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2552 และบรรดาบริษัทในดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่ได้รายงานผลประกอบการในไตรมาส 2 แล้ว พบว่า 88% มีกำไรสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการประชุมประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 26-28 ส.ค.

ทั้งนี้ คาดว่าเฟดจะส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งแนวโน้มการปรับลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ในการประชุมดังกล่าว

การประชุมที่เมืองแจ็กสัน โฮลในปีนี้ จะเป็นการประชุมแบบพบหน้ากัน หลังจากที่เมื่อปีที่แล้ว เฟดต้องจัดการประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ครั้งแรกในรอบเกือบ 40 ปี เพื่อลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ที่ผ่านมา การประชุมที่เมืองแจ็กสัน โฮล ถือเป็นการประชุมที่ได้รับความสนใจอย่างมาก โดยมีผู้ว่าการธนาคารกลาง รัฐมนตรีคลัง นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน จากประเทศต่างๆทั่วโลก เดินทางเข้าร่วมการประชุม ขณะที่ไฮไลท์จะอยู่ที่การกล่าวปาฐกถาของประธานเฟดในขณะนั้นเพื่อแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับนโยบายการเงินของเฟด และแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ

นักวิเคราะห์คาดการณ์ไทม์ไลน์ของเฟดว่า เฟดจะเริ่มปรับลดคิวอีในเดือนม.ค.2565 โดยจะปรับลดวงเงินคิวอี เดือนละ 20,000 ล้านดอลลาร์ จากปัจจุบันที่เฟดทำคิวอีวงเงิน 120,000 ล้านดอลลาร์/เดือน ซึ่งจะทำให้เฟดใช้เวลา 6 เดือนในการปรับลดคิวอีจนเหลือ 0 หมายความว่าเฟดจะยุติการทำคิวอีโดยสิ้นเชิงในช่วงกลางปี 2565 และเฟดจะพักการดำเนินการเป็นเวลา 1 ปีเพื่อให้ตลาดปรับตัว ก่อนที่จะทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปี 2566
#3032


บมจ. ทีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น แจ้งผลงานไตรมาส 2/64 กำไรสุทธิ 220.6ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 35.5 % เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และขยายตัวเพิ่มขึ้น 9.4% จากไตรมาสที่แล้ว โดยไตรมาสนี้มีรายได้รวม 858.3 ล้านบาท บริษัทฯ สร้างยอดขายประกันภัยได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ทุกช่องทาง และยังมีรายได้จากประกันโควิดที่เติบโตตามความต้องการของตลาด เบี้ยประกันภัย COVID-19 ทำได้เกือบ 700 ล้านบาท มั่นใจปีนี้ทำยอดขายได้ตามเป้า 25,000 ล้านบาท ยังคงเดินหน้าบุกผลิตภัณฑ์ประกันออนไลน์เต็มรูปแบบด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายตอบโจทย์ความต้องการประกันของผู้บริโภคในทุกมิติ พร้อมเปิดตัว Innovative ในการเลือกซื้อประกันภัยบ้านเร็วๆ นี้


ดร.อัญชลิน พรรณนิภา ประธาน บริษัท ทีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TQM ผู้นำด้านที่ปรึกษาประกันภัยและการเงิน เปิดเผยภาพรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2564 ว่า บริษัท ฯ มีกำไรสุทธิ 220.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.5% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมีรายได้รวม 858.3 ล้านบาท โดยเฉพาะรายได้ค่าบริการ จำนวน 835.7 ล้านบาท บริษัทฯ สร้างยอดขายประกันภัยได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ทุกช่องทาง และยังมีรายได้จากประกันโควิดทั้งจากการต่ออายุและที่เติบโตตามความต้องการของตลาดที่ในไตรมาสนี้มีความตื่นตัวของการทำประกันภัยโควิดในวงกว้าง เบี้ยประกันภัยโควิด ทำได้เกือบ 700 ล้านบาท โดยช่องทางหลักยังเป็นช่องทางออนไลน์ ทำให้บริษัทมีฐานลูกค้าสะสมกว่า 2 ล้านราย

ขณะเดียวกัน บริษัท ฯ ยังสามารถบริหารจัดการต้นทุนและควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยต้นทุนและค่าใช้จ่ายการให้บริการคิดเป็น 45.7% ของรายได้รวม หรือลดลง 2.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 48.4.% ของรายได้รวม ส่งผลให้บริษัท ฯ สามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ไว้ได้ในระดับสูงที่ 53.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการบริหารอยู่ที่ 188 ล้านบาท คิดเป็น 21.9% ของรายได้รวม

ดร.อัญชลิน กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแนวโน้มการเติบโตในครึ่งหลังของปี 2564 คาดว่าสามารถปิดยอดขายตามเป้า 25,000 ล้านบาท ทั้งนี้มั่นใจว่าแม้ภาวะเศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบจากโควิด แต่ประกันภัยยังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้บริโภค เพราะเมื่อเกิดเหตุประกันจะมาช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคได้ ขณะเดียวกันผู้บริโภคก็เห็นความสำคัญของประกันสุขภาพมากขึ้น ซึ่งเห็นได้จากการตื่นตัวในการทำประกันโควิดซึ่งจะเป็นประสบการณ์ที่ผู้บริโภคสัมผัสได้จริงว่าประกันสามารถช่วยแบ่งเบาภาระได้

ขณะเดียวกันบริษัท ฯ ยังคงเดินหน้าบุกผลิตภัณฑ์ประกันออนไลน์เต็มรูปแบบด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายตอบโจทย์ความต้องการประกันของผู้บริโภคในทุกมิติ ซึ่งบริษัทมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันให้เหมาะสมกับ Lifestyle ของผู้บริโภค และครอบคลุมได้ทุก Segment เต็มรูปแบบ โดยบริษัทพร้อมเปิดตัว Innovative ในการเลือกซื้อประกันภัยบ้านเร็วๆ นี้ ทั้งนี้ช่องทางเทเลที่ทางหลักของบริษัทก็ได้มีการวางระบบการทำงานแบบ Work from home ไว้รองรับตั้งแต่ปีที่แล้ว ทำให้สามารถขายประกันได้ไม่หยุดชะงัก รวมทั้งงานบริการก็ยังสามารถให้บริการลูกค้าได้เต็มรูปแบบ ขณะที่ช่องทางออนไลน์บริษัทมีฐานลูกค้ากว่า 2 ล้านราย ซึ่งบริษัทสามารถต่อยอดจากฐานลูกค้าได้ โดยเฉพาะประกันสุขภาพที่เป็นผู้บริโภคให้ความสนใจกันมากยิ่งขึ้น ดร.อัญชลิน กล่าว
#3033


บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/64 ขาดทุน 685 ล้านบาท หรือ ขาดทุนลดลง 77.84% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 2,974 ล้านบาท ทำให้ผลประกอบการ 6 เดือนแรกปี 64 ขาดทุน 1,431 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 56.79% ที่ขาดทุน 3,313 ล้านบาท หรือ -1.61 บาทต่อหุ้น โดยบริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ 1,789.5 ล้านบาท ลดลง 73.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ค่าใช้จ่ายรวมลดลงจาก 10.274.3 ล้านบาท เป็น 3,970.4 ล้านบาท หรือลดลง 61.4%

สำหรับไตรมาส 2/64 บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงาน 681.1 ล้านบาท ลดลง 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ค่าใช้จ่ายรวมลดลงจาก 3,705.5 ล้านบาท เป็น 1,936.6 ล้านบาท หรือลดลง 47.7% โดยรายได้จากธุรกิจสายการบิน ซึ่งประกอบด้วยรายได้จากการให้บริการเที่ยวบินประจำในไตรมาส 2/64 อยู่ที่ 202.3 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 89.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทเริ่มกลับมาดำเนินการบินในเส้นทางบินภายในประเทศมากขึ้น จากปีก่อนที่เริ่มมีการระบาดและหยุดดำเนินการบินชั่วคราวในทุกเส้นทางภายในประเทศ

สำหรับไตรมาส 2/64 บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงาน 681.1 ล้านบาท ลดลง 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ค่าใช้จ่ายรวมลดลงจาก 3,705.5 ล้านบาท เป็น 1,936.6 ล้านบาท หรือลดลง 47.7% โดยรายได้จากธุรกิจสายการบิน ซึ่งประกอบด้วยรายได้จากการให้บริการเที่ยวบินประจำในไตรมาส 2/64 อยู่ที่ 202.3 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 89.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทเริ่มกลับมาดำเนินการบินในเส้นทางบินภายในประเทศมากขึ้น จากปีก่อนที่เริ่มมีการระบาดและหยุดดำเนินการบินชั่วคราวในทุกเส้นทางภายในประเทศ

ขณะที่รายได้จากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสนามบินและกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง โดย บริษัท ครัวการบินกรุงเทพ จำกัด (BAC) มีรายได้ 18.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 188.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากลูกค้าเริ่มกลับมาดำเนินการบินหลังจากหยุดดำเนินการไปเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ด้านบริการภาคพื้นการบินกรุงเทพเวิลด์ไวด์ไฟล์ทเซอร์วิส จำกัด (BFS Ground) ที่ให้บริการสายการบินอื่น มีรายได้ 248.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 102% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากจำนวนเที่ยวบินที่ให้บริการเพิ่มขึ้น 168.1% จากสายการบินลูกค้าเริ่มกลับมาดำเนินการบินหลังจากหยุดดำเนินการบินไปเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

แต่อย่างไรก็ดี บริษัทยังได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากการระบาดของไวรัสโควิด โดยสถานการณ์การแพร่ระบาดมีแนวโน้มสูงขึ้นและเข้าสู่การระบาดระลอกที่ 3 ประชาชนในไทยวางแผนชะลอการเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ในเดือนเม.ย.64 ในขณะที่รัฐบาลได้เริ่มพิจารณานโยบายเพื่อป้องกันการระบาดระลอกที่ 3 นี้ บริษัทได้ปรับลดจำนวนเที่ยวบินในเส้นทางภายในประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณความต้องการเดินทางในสถานการณ์ปัจจุบันและข้อจำกัดในการเดินทาง
#3034
 
ข้าวอินทรีย์สำหรับแม่ให้นมลูก
เกษตรกรจังหวัดสุรินทร์ปลูกข้าวอินทรีย์  สถานการณ์ข้าวอินทรีย์ไทย  กลุ่มผลิตข้าวอินทรีย์  ข้าวออร์แกนิค

9 เหตุผลที่คุณแม่ตั้งครรภ์ .....ควรรับประทานข้าวกล้องออร์แกนิค ( ข้าวหอมมะลิอินทรีย์)
        การรับประทาน "#ข้าวกล้องออร์แกนิค หรือ  กลุ่มข้าวอินทรีย์ " ส่งผลดีต่อลูกน้อยในครรภ์และสุขภาพคุณแม่มากมาย ถือเป็นหนึ่งในอาหารกลุ่มให้พลังงาน ข้าวกล้องเป็นข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี จึงยังคงไว้ด้วยคุณค่าสารอาหารมากกว่าขาวที่ถูกขัดสีแล้ว  เรามากันทำไมคุณแม่ตั้งครรภ์ควรกิน  "#ข้าวกล้องออร์แกนิค"  ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้




1.  ข้าวมะลินิลorganic, ปลูกข้าวมะลินิลออแกนิค, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีเส้นใยอาหาร ซึ่งช่วยในเรื่องของอาการท้องผูกและมะเร็งลำไส้
2.   ปลูกข้าวกล้องหอมมะลินิลอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิคเมื่อรับประทานข้าวกล้องเป็นประจำ จะช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ป้องกันการเกิดปากนกกระจอก เนื่องจากมีวิตามินบี 2
3.  ข้าวหอมมะลิเพื่อสุขภาพ, ข้าวกล้องออร์แกนิคบรรเทาอาการอ่อนเพลีย อาการปวดแสบและเสียวในขา ปวดน่อง ปวดกล้ามเนื้อ
4.  ข้าวกล้องหอมมะลิอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีฟอสฟอรัส ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน และเส้นผม
5.  ข้าวปะกาอำปึลออแกนิก, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีธาตุเหล็กมากเป็น 2 เท่า ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
6.  กลุ่มข้าวปะกาอำปึลอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีเกลือแร่ และวิตามินรวมกันกว่า 20ชนิด ซึ่งช่วยให้ระบบการทำงานของร่างกายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
7.  ข้าวผกาอำปึลออแกนิค, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีโปรตีนมากกว่า 20-30% ช่วยเสริมสร้างร่างกาย ซ่อมแซมเซลล์ส่วนที่สึกหรอ
8.  ข้าวหอมมะลิแดงออแกนิคคือ, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีแคลเซียมจำเป็นที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับ ช่วยให้กระดูกแข็งแรง และยังช่วยป้องกันการเกิดตะคริว ซึ่งคุณแม่ตั้งครรภ์กว่า 90% ต้องเผชิญ
9. กลุ่มข้าวกล้องหอมมะลิแดงอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีแป้งมีน้อยกว่าข้าวขาว ช่วยลดความอ้วน เนื่องจากได้รับสารอาหารต่างๆ ที่มีประโยชน์เพิ่มขึ้น มีผลทำให้สุขภาพจิตใจของคุณแม่ตั้งครรภ์ดีขึ้น เพราะสุขภาพร่างกายแข็งแรง สดชื่น แจ่มใส

หลังจากรู้คุณค่าของ "ข้าวกล้องออร์แกนิค"  กันแล้ว อย่าลืมซื้อ "ข้าวกล้องออร์แกนิก"  มาทานกันนะคะ

ข้าว Hor.Boutique ข้าวไรซ์เบอรี่ หรือ ข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่   ข้าวอินทรีย์
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website :  ข้าวหอมมะลิออแกนิก
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1.  ข้าวหอมมะลิสุขภาพ
2.  ข้าวกล้องหอมมะลิออแกนิคสำหรับทารก
3.  ข้าวปะกาอำปึลออร์แกนิค  ข้าวกล้องผกาอำปึลอินทรีย์(ข้าวพื้นถิ่นออแกนิกสุรินทร์) 4.  ข้าวอินทรีย์ผสมหลายสายพันธุ์จังหวัดสุรินทร์
5.  ข้าวกล้องหอมมะลิแดงorganic 6. ข้าวกล้องหอมมะลินิลเพื่อสุขภาพ
7. ข้าวไรซ์เบอรี่ปลอดสารพิษ  ข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่ออแกนิค

#ข้าวคนท้อง  #ข้าวสำหรับคนท้อง   #ข้าวคนตั้งครรภ์   #ข้าวสำหรับคนตั้งครรภ์  #คนท้องกินข้าวกล้อง  #คุณแม่ตั้งครรภ์
 
 
#3035


นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลอดช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่บ้านปูยังคงบริหารธุรกิจให้เดินหน้าเพื่อประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสีย ภารกิจเคียงข้างคนไทยในยามวิกฤตินี้ก็เดินหน้าควบคู่ไปอย่างต่อเนื่อง ตามเจตนารมณ์ของคุณชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการของบ้านปู ซึ่งร่วมก่อตั้งกองทุนมิตรผล-บ้านปู รวมใจช่วยไทยสู้ภัย COVID-19 หวยออนไลน์ขึ้น เพื่อส่งมอบความช่วยเหลือและขวัญกำลังใจให้กับทุกภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะบุคลากรด่านหน้า นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นวิกฤติที่หนักหน่วงที่สุดและมีการแพร่ระบาดอย่างรุนแรง บ้านปูได้จัดสรรเงินช่วยเหลือไปกว่า 120 ล้านบาท เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มโรงพยาบาล

โดย 2 ส่วนหลักมาจากที่เราสนับสนุนงบประมาณ 30 ล้านบาท เพื่อสร้างหอผู้ป่วยวิกฤติระบบการหายใจบ้านปู 2 แก่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ซึ่งเป็นการช่วยเหลือครั้งที่ 2 ต่อเนื่องจากครั้งแรกเมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่ผ่านมา และงบประมาณกว่า 20 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้แก่โรงพยาบาลในกรุงเทพและพื้นที่ใกล้เคียง 5 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โรงพยาบาลตากสิน โรงพยาบาลสมุทรปราการ โรงพยาบาลสมุทรสาคร และสาธารณสุขจังหวัดฉะเชิงเทรา


นอกจากนี้ยังสนับสนุนโครงการนำร่อง Telemedicine ให้แก่โรงพยาบาลบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร และจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์กลุ่มเครื่องพยุงอาการและช่วยชีวิต ได้แก่ เครื่องช่วยหายใจ เครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจ เครื่องเฝ้าระวังและติดตามสัญญาณชีพ เครื่องให้อากาศผสมออกซิเจนอัตราการไหลสูง เครื่องควบคุมการให้สารละลายทางหลอดเลือดดำ และอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล ให้กับโรงพยาบาลต่างๆ เช่น โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ โรงพยาบาลสระบุรี และสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี เพื่อช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์รักษาผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็ว และมีความพร้อมในการรับมือกับวิกฤติสาธารณสุขที่เกิดขึ้น



สำหรับการช่วยเหลือภาคประชาชน บ้านปูได้ขยายความช่วยเหลือสู่ชุมชนผ่านองค์กรที่เป็นสื่อกลาง เพื่อให้เข้าถึงผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนได้อย่างทั่วถึง อาทิ การสนับสนุนเงินจำนวน 1.5 ล้านบาท แก่โครงการ "ต้องรอด" ของกลุ่ม Up for Thai เพื่อจัดซื้อวัตถุดิบทำอาหารสำหรับโรงครัวชุมชนต่างๆ ในการผลิตอาหารและแจกจ่ายไปยังชุมชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยง

และล่าสุด บ้านปูได้สนับสนุนกล่องเราดูแลกัน หรือ Covid Care Box ซึ่งบรรจุเวชภัณฑ์และสิ่งของจำเป็นสำหรับผู้ป่วยที่ต้องรักษาตัวอยู่ที่บ้าน พร้อมชุดตรวจโควิดด้วยตนเอง (Rapid Antigen Test) ผ่านเครือข่าย 'เราดูแลกัน' (We Care Network) มูลค่า 5 ล้านบาทอีกทั้งยังสนับสนุนงบประมาณรวม 7 ล้านบาทเพื่อร่วมสร้างเมรุเผาศพรวมถึงสนับสนุนกิจกรรมการฌาปนกิจให้แก่วัดอีก 20 แห่งในพื้นที่สีแดงเข้มอีกด้วย

การช่วยเหลือของบ้านปูในครั้งนี้เป็นหนึ่งในภารกิจภายใต้ "กองทุนมิตรผล-บ้านปู รวมใจช่วยไทย สู้ภัย COVID-19" มูลค่า 500 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนของบ้านปู 250 ล้านบาท ที่ดำเนินการช่วยเหลือเพื่อสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์และสาธารณสุขที่จำเป็นในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แก่โรงพยาบาลและหน่วยงานสาธารณสุขต่างๆ ทั่วประเทศ

รวมถึงช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบเชิงเศรษฐกิจจากโควิด-19 โดยตั้งแต่จัดตั้งกองทุนฯ เมื่อเดือนมีนาคม 2563 จนถึงปัจจุบัน กองทุนมิตรผล-บ้านปูฯ ได้มอบความช่วยเหลือให้กับ 336 หน่วยงาน ใน 38 จังหวัด รวมมูลค่ากว่า 430 ล้านบาท 
#3036


"บจ." เตรียมนำบริษัทลูกขายไอพีโอต่อเนื่อง ล่าสุด 7 บริษัทจ่อระดมทุนเบื้องต้นปี 64-65 "บล.เมย์แบงก์ฯ" ชี้ ช่วยลดภาระบริษัทแม่ เผย อยู่ระหว่างทำดีลสปินออฟธุรกิจสินเชื่อ คาดชัดเจนเร็วๆ นี้ "บล.บัวหลวง" ซุ่มทำดีล หลังส่ง OR เข้าเทรดต้นปีที่ผ่านมา

ในช่วงปี 2564-2565 มีบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ประกาศนำบริษัทลูกเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ (สปินออฟ) โดยยื่นแบบแสดงข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้ว 2 ราย ได้แก่ บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) ได้ส่งบมจ.ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ (TFM) ยื่นไฟลิ่งขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 109.3 ล้านหุ้น และ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) ยื่นไฟลิ่งเสนอขาย IPO ของบริษัท บริทาเนีย จำกัด (BRI) ไม่เกิน 252.65 ล้านหุ้น นอกจากนี้ ยังมีอีก บจ.อีก 5 แห่งที่เตรียมยื่นไฟลิ่งบริษัทลูก

นายประเสริฐ ตันตยาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์​แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า บล.เมย์แบงก์ฯ มีลูกค้า บจ.ที่อยู่ระหว่างเตรียมตัวสปินออฟบริษัทลูกจำนวน 1 ราย ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อ โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในเร็วๆ นี้ เพราะระยะเวลาการทำดีลสั้นกว่าการเตรียมความพร้อมระดมทุน IPO เนื่องจากที่บริษัทลูกของ บจ.มีความพร้อมของข้อมูลอยู่แล้ว เช่น การจัดทำบัญชีที่ได้มาตรการเหมือนกับบริษัทแม่ เป็นต้น


โดยการนำบริษัทลูกไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยลดภาระทางการเงินของบริษัทแม่ โดยกระแสการสปินออฟไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงโควิด-19 เพราะมองว่าที่ผ่านมา บจ.ที่แยกลูกออกมาระดมทุนไม่ได้มีปัญหาเรื่องสภาพคล่องในช่วงวิกฤติ ขณะที่ บจ.ที่มีการประกาศเตรียมสปินออฟในช่วงที่ผ่านมา เช่น ORI ที่เตรียมนำ BRI ออกมาระดมทุน เป็นหนึ่งในแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อเป็นโฮลดิ้งส์อยู่แล้ว

ขณะที่ช่องทางการระดมทุน แม้บริษัทลูกของ บจ.ส่วนใหญ่จะสามารถกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน รวมถึงใช้เครื่องมือการออกหุ้นกู้เหมือนบริษัทแม่ได้ก็ตาม แต่ในส่วนของตลาดหุ้นกู้ที่มีต้นทุนต่ำกว่าเงินกู้ธนาคาร พบว่านักลงทุนสถาบันส่วนใหญ่ยังมีข้อจำกัดที่ต้องลงทุนหุ้นกู้ของ บจ.เท่านั้น นอกจากนี้ การแยกตัวออกมาระดมทุนด้วยตนเองช่วยลดความเสี่ยงที่บริษัทแม่จะต้องเพิ่มทุนเพื่อควบคุมอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ในกรณีที่ต้องการเงินทุนไปใช้ในการขยายธุรกิจของบริษัทลูกอีกด้วย

นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บล.บัวหลวง กล่าวว่า การสปินออฟบริษัทลูกของ บจ.เพื่อให้นักลงทุนสามารถมองภาพธุรกิจได้ง่ายขึ้น และประเมินมูลค่าได้ง่ายขึ้น เช่น อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) ในตลาดหุ้นซึ่งไม่เท่ากันในแต่ละอุตสาหกรรม ทั้งนี้ เทรนด์การสปินออฟเกิดขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว เพราะบริษัทลูกของ บจ.เริ่มเติบโตและมีศักยภาพที่จะลงทุนได้ด้วยตนเองมากขึ้น

ปัจจุบัน บล.บัวหลวง อยู่ระหว่างจัดทำดีลในลักษณะดังกล่าวเช่นกัน แต่คาดว่าจะใช้เวลาอีกระยะหนึ่งกว่าที่จะเห็นผล ภายหลังในช่วงต้นปี 2564 ที่ผ่านมาได้นำ บมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ บมจ.ปตท. (PTT) เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไปแล้ว และหากย้อนไปปี 2563 ได้นำ บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) เข้ามาระดมทุนด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC)
#3037


ออร่าความเท่ ไม่มีแผ่ว ทำสาวๆหรือใครๆเห็นแล้วอยากจะขยับเข้าใกล้ ล่าสุดพระเอกดาวรุ่งพุ่งแรงสามีแห่ง "ก๊อต จิรายุ ตันตระกูล" ขึ้นแท่นรับตำแหน่งเป็นพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ให้กับผลิตภัณฑ์ "สเปรย์ฉีดผ้าลดรอยยับ Mrs. WoW" คนใหม่ล่าสุด ด้วยคาแร็คเตอร์ที่ชัดเจนครบทุกด้าน สื่อถึงผู้บริโภครุ่นใหม่เข้าถึงทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ตัวช่วยให้การทำงานบ้านในการรีดผ้าโดยเฉพาะผู้ชายเป็นเรื่องที่ง่าย ประหยัดแรง ประหยัดเวลา ด้วยนวัตกรรมที่เหมาะสำหรับคนรักผ้าเรียบแค่ฉีดแล้วลูบก็ทำให้ผ้าเรียบโดยไม่ต้องใช้เตารีด พร้อมมีสารแอนตี้แบคทีเรีย ช่วยป้องกันไม่ให้แบคทีเรียเข้าไปถึงโครงสร้างของเนื้อผ้า และคุณสมบัติพิเศษให้ผ้าหอมยาวนานตลอดทั้งวัน

"ผมว่ามันเวิร์คมากและเหมาะมากๆสำหรับคนที่ไม่มีเวลารีดผ้า โดยเฉพาะเหล่าคุณผู้ชายที่จะต้องมีตัวช่วยแบบนี้ไว้ติดบ้าน เพราะวิธีใช้งานง่าย สะดวกสบาย แค่ฉีดแล้วลูบ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ผ้าเรียบและมีกลิ่นหอมแล้ว ยังช่วยเรื่องการระงับกลิ่น ฆ่าเชื้อโรค และยังช่วยป้องกันไฟฟ้าสถิตจากเนื้อผ้ากับผิวได้ดีอีกด้วย ทำให้เราฟีลกู๊ดไปได้ทั้งวัน"

เตรียมพบกับโปรเจ็กต์พิเศษพร้อมกิจกรรมให้ร่วมสนุก ให้แฟนๆ ได้ฟิน และมีส่วนร่วมกับแบรนด์และพรีเซ็นเตอร์ ก๊อต จิรายุ ตลอดทั้งปี รอติดตามได้ในเร็วๆนี้ สำหรับผู้สนใจสามารถสมัครเป็นตัวแทนจำหน่าย ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http:// www.mrswow-thailand.com/
#3038


องค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ) เตือนว่า จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกอาจทะลุระดับ 300 ล้านรายภายในต้นปีหน้า หากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังคงดำเนินต่อไปในทิศทางปัจจุบัน และได้เรียกร้องให้บรรดาผู้นำทั่วโลกชะลอการแพร่ระบาดด้วยการให้ความช่วยเหลือด้านอุปกรณ์ตรวจเชื้อ, การรักษา และวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แก่บรรดาประเทศยากจน

นายแพทย์ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่ของดับเบิลยูเอชโอ เปิดเผยในการแถลงข่าวเมื่อวันพุธ (11 ส.ค.) ว่า การคาดการณ์ดังกล่าวมีขึ้นเพียง 1 สัปดาห์หลังจากดับเบิลยูเอชโอ รายงานว่าพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกจำนวน 200 ล้านรายแล้ว

นายแพทย์ทีโดรสกล่าวว่า จำนวนผู้ติดเชื้อที่ไม่มีการรายงานนั้น อาจทำให้ยอดติดเชื้อจริงๆ สูงกว่าที่มีการรายงานอย่างมาก

"ยอดติดเชื้อจะถึง 300 ล้านรายหรือไม่ และจะไปถึงระดับดังกล่าวรวดเร็วเพียงใดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับพวกเราทุกคน" นายแพทย์ทีโดรสระบุ

บรรดาเจ้าหน้าที่ของดับเบิลยูเอชโอ เปิดเผยถึงความต้องการเงินทุน 7.7 พันล้านดอลลาร์อย่างเร่งด่วนเพื่อช่วยในการแจกจ่ายวัคซีน, ออกซิเจน และการรักษาพยาบาลในประเทศที่มีรายได้ต่ำ ขณะที่นายแพทย์ทีโดรสผลักดันให้มีการจัดหาอุปกรณ์ต่างๆ รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับการฝึกอบรมมาอย่างเหมาะสม เพื่อเพิ่มทางเลือกในการรักษาผู้ติดเชื้อตั้งแต่อาการน้อยจนถึงอาการรุนแรง

ด้าน Worldometer ซึ่งเป็นเว็บไซต์รายงานข้อมูลล่าสุดที่มีการรวบรวมจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขทั่วโลกรายงานเมื่อวานนี้ว่า ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกสะสมนั้นมีจำนวน 205,103,455 รายแล้ว และยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 4,332,308 ราย โดยสหรัฐมียอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สูงสุดในโลก (36,897,983) รองลงมาคืออินเดีย (32,052,127) และบราซิล (20,213,388)
#3039


เมื่อวันที่ 11 ส.ค.64 ติดตามความคืบหน้า ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ประกาศผ่าน เฟซบุ๊ก ศูนย์ข้อมูลราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ แจ้งว่า เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และวันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2564

ขอเชิญคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 12 สัปดาห์ขึ้นไป ลงทะเบียนเข้ารับวัคซีนซิโนฟาร์ม โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ตั้งแต่วันที่ 12-16 สิงหาคม 2564 ผ่านทาง LINE Official รพ.จุฬาภรณ์ >> https://bit.ly/MomForm

ทั้งนี้ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์จะส่งข้อความ SMS ถึงคุณแม่ที่ลงทะเบียนเข้ามาทุกท่านให้เข้ามาดำเนินการทำแบบคัดกรองและใบยินยอม และนัดหมายการเข้ารับวัคซีนต่อไป

คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องมีอายุครรภ์ตั้งแต่ 12 สัปดาห์ขึ้นไป
เข้ารับบริการที่ศูนย์ฉีดวัคซีนตัวเลือกซิโนฟาร์ม บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) อาคาร 9 (ทีโอทีเดิม) ถนนแจ้งวัฒนะ เท่านั้น
ในวันฉีดวัคซีนกรุณานำเอกสารการฝากครรภ์ และบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อแสดงเป็นหลักฐานในการเข้ารับบริการฉีดวัคซีน
#3040



ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 220.30 จุด หรือ 0.62% ปิดที่ 35,484.97 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 10.95 จุด หรือ 0.25% ปิดที่ 4,447.70 จุด และดัชนีแนสแด็ก ลดลง 22.95 จุด หรือ 0.16% ปิดที่ 14,765.14 จุด


ตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐที่ส่งสัญญาณชะลอตัวในวันนี้ ช่วยคลายความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี)

นอกจากนี้ การที่ราคาน้ำมันดิ่งลงกว่า 1% ในวันนี้ หลังสหรัฐเรียกร้องให้กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นเพื่อสกัดราคาที่กำลังพุ่งขึ้น ก็ช่วยคลายกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อในสหรัฐ

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (ซีพีไอ) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค โดยระบุว่า ดัชนีซีพีไอ ปรับตัวขึ้น 0.5% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากดีดตัวขึ้น 0.9% ในเดือนมิ.ย.

เมื่อเทียบรายปี ดัชนีซีพีไอพุ่งขึ้น 5.4% ในเดือนก.ค. ใกล้เคียงกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.3% หลังจากทะยานขึ้น 5.4% เช่นกันในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2551

'12 สิงหาคม' เฉลิมพระเกียรติพระอัจฉริยภาพ 'สมเด็จพระพันปีหลวง' ทรงเป็นผู้นำการแต่งกายด้วยผ้าไทย
ไอเดีย'ของขวัญวันแม่'ในยุคโควิด-19 ระบุ 'นมแม่' วัคซีนที่ดีที่สุด
'ลุมพินีวิสดอม'ลุ้นรัฐคุมโควิดปลุกเศรษฐกิจ-ธุรกิจฟื้นปีหน้า
นอกจากนี้ หากไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ดัชนีซีพีไอพื้นฐานปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.4% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.9% ในเดือนมิ.ย.

เมื่อเทียบรายปี ดัชนีซีพีไอพื้นฐานดีดตัวขึ้น 4.3% ในเดือนก.ค. หลังจากพุ่งขึ้น 4.5% ในเดือนมิ.ย.

นักลงทุนจับตาการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 26-28 ส.ค. โดยคาดว่าเฟดจะส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งแนวโน้มการปรับลดวงเงินคิวอีในการประชุมดังกล่าว
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 220.30 จุด หรือ 0.62% ปิดที่ 35,484.97 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 10.95 จุด หรือ 0.25% ปิดที่ 4,447.70 จุด และดัชนีแนสแด็ก ลดลง 22.95 จุด หรือ 0.16% ปิดที่ 14,765.14 จุด


ตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐที่ส่งสัญญาณชะลอตัวในวันนี้ ช่วยคลายความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี)

นอกจากนี้ การที่ราคาน้ำมันดิ่งลงกว่า 1% ในวันนี้ หลังสหรัฐเรียกร้องให้กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นเพื่อสกัดราคาที่กำลังพุ่งขึ้น ก็ช่วยคลายกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อในสหรัฐ

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (ซีพีไอ) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค โดยระบุว่า ดัชนีซีพีไอ ปรับตัวขึ้น 0.5% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากดีดตัวขึ้น 0.9% ในเดือนมิ.ย.

เมื่อเทียบรายปี ดัชนีซีพีไอพุ่งขึ้น 5.4% ในเดือนก.ค. ใกล้เคียงกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.3% หลังจากทะยานขึ้น 5.4% เช่นกันในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2551

นอกจากนี้ หากไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ดัชนีซีพีไอพื้นฐานปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.4% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.9% ในเดือนมิ.ย.

เมื่อเทียบรายปี ดัชนีซีพีไอพื้นฐานดีดตัวขึ้น 4.3% ในเดือนก.ค. หลังจากพุ่งขึ้น 4.5% ในเดือนมิ.ย.

นักลงทุนจับตาการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 26-28 ส.ค. โดยคาดว่าเฟดจะส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งแนวโน้มการปรับลดวงเงินคิวอีในการประชุมดังกล่าว