• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - dsmol19

#2981


วันนี้ (1 ก.ย.) มหาวิทยาลัยรามคำแหง โรงพยาบาลนพรัตนราชธานีและมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง(MOU)ในการจัดตั้งศูนย์พักคอยสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 "ซีพี-รามคำแหง-นพรัตน์ราชธานี" ณ อาคารโรงยิมเนเซียม 1 ภายในมหาวิทยาลัยรามคำแหง เพื่อช่วยดูแลรักษาในเบื้องต้นแก่ผู้ติดเชื้อที่รอเข้ารับการรักษาในระบบ ทั้งบุคลากรทางการศึกษา นักศึกษาและประชาชนทั่วไป และมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 ในการนี้มีศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธาน โดยมีผู้ช่วยศาสตราจารย์วุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง พร้อมด้วย นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข นายสุภกิต เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และนายแพทย์สมบูรณ์ ทศบวร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี เข้าร่วม ณ อาคารพิริยราม มหาวิทยาลัยรามคำแหง

ผู้ช่วยศาสตราจารย์วุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ยังมีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก ที่รอเข้ารับการรักษาในระบบจากโรงพยาบาล มหาวิทยาลัยรามคำแหง จึงได้ประสานความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน ได้แก่ โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี และบริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ รวมทั้งสำนักงานเขตบางกะปิ ในการจัดตั้งศูนย์พักคอยสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 (Community Isolation: CI) เพื่อช่วยดูแลรักษาในเบื้องต้นแก่ผู้ติดเชื้อที่รอเข้ารับการรักษาในระบบ โดยใช้อาคารยิมเนเซียม 1 บริเวณใกล้ประตูทางออกด้านหลัง ม.ร. เป็นสถานที่ดำเนินการ ซึ่งสามารถรองรับผู้ป่วยได้ 170 เตียง และหากมีความจำเป็นที่จะต้องขยายเพิ่มเติม ทางมหาวิทยาลัยและภาคีเครือข่ายพร้อมจะดำเนินการต่อไป

ทั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ในการปรับปรุงด้านสถานที่ และสภาพแวดล้อมต่างๆ เพื่อให้มีความพร้อมในการเป็นศูนย์พักคอยสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข และได้รับความร่วมมือจากโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี ในการจัดทีมแพทย์- พยาบาล เพื่อดูแลรักษาและเฝ้าสังเกตอาการของผู้ติดเชื้อในศูนย์พักคอย โดยสำนักงานเขตบางกะปิ และโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี จะเป็นผู้พิจารณากลั่นกรอง รายชื่อผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่จะเข้าพักรักษาตัว ณ ศูนย์พักคอย มหาวิทยาลัยรามคำแหง

อธิการบดี ม.ร.กล่าวในตอนท้ายว่า ขอขอบคุณภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนที่ให้ความร่วมมือและสนับสนุนในทุกด้านอย่างดียิ่งจนทำให้ศูนย์พักคอย มหาวิทยาลัยรามคำแหง แล้วเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว พร้อมจะเปิดบริการ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 เป็นต้นไป โดย ศ.พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม จะเป็นประธานเปิดศูนย์พักคอย สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ในวันที่ 1 กันยายน 2564 เวลา 08.30 น. พร้อมด้วย ดร.สาธิต ปิตุเดชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่จะมาร่วมงานและเยี่ยมชมการดำเนินงานของศูนย์พักคอยฯ ด้วย

นายสุภกิต เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า ท่ามกลางวิกฤติโควิด-19 ที่ยังคงระบาดรุนแรงต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน เป็นที่ทราบกันว่า โรงพยาบาลสนามมีไม่เพียงพอรองรับจำนวนผู้ติดเชื้อที่มีจำนวนมากขึ้นทุกวัน เกินศักยภาพที่โรงพยาบาลในระบบจะรับมือได้ โรงพยาบาลสนามจึงมีความสำคัญต่อการช่วยชีวิตผู้ป่วยโควิด-19 ดังนั้นเพื่อให้มีจำนวนเตียงเพียงพอที่จะรองรับผู้ป่วยโควิด-19 เครือเจริญโภคภัณฑ์จึงมีนโยบายสร้างโรงพยาบาลสนาม เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 ซึ่งวันนี้ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยรามคำแหง โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี สร้างศูนย์พักคอย สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ขึ้นที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าศูนย์พักคอยแห่งนี้จะช่วยแบ่งเบาภาระด้านสาธารณสุขของประเทศ และขอขอบพระคุณ กรมการแพทย์ สำนักสวัสดิการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย สำนักงานเขตบางกะปิ และทุกคนที่ได้ร่วมแรงร่วมใจช่วยกันเปลี่ยนโรงยิม 1 ของมหาวิทยาลัยรามคำแห่งนี้ให้เป็นศูนย์พักคอยสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ซึ่งจะได้สร้างประโยชน์ต่อสังคมและส่วนรวมในยามที่กำลังเผชิญกับความยากลำบากในครั้งนี้

ด้านศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวในพิธีเปิดว่า สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ยังคงมีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ป่วยโควิดที่ต้องการเตียง หรือสถานพยาบาลเพื่อเข้ารับการรักษาเป็นการเร่งด่วน กระทรวงการอุดมศึกษาฯ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการให้ผู้ป่วยโควิดได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที จึงได้สนับสนุนให้สถาบันอุดมศึกษา ร่วมกันบูรณาการโดยร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในการแก้ไขปัญหาด้วยการจัดตั้งศูนย์พักคอยและโรงพยาบาลสนามขึ้น เพื่อให้ผู้ป่วยโควิด-19 มีสถานที่รองรับในการเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที

"ขอบคุณหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ภายใต้ความร่วมมือของมหาวิทยาลัยรามคำแหง เครือเจริญโภคภัณฑ์ กรมการแพทย์ โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี กรุงเทพมหานคร และสำนักงานเขตบางกะปิ ที่ให้ความสำคัญและร่วมมือกันจัดตั้งศูนย์พักคอยสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ขึ้น เพื่อใช้เป็นสถานที่ให้ผู้ป่วยโควิดสึเขียว ซึ่งอยู่ระหว่างการรอส่งต่อโรงพยาบาลและใช้เป็นสถานที่สำหรับดูแลกลุ่มคนที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษระหว่างรอเตียง และขอให้ทุกฝ่ายรวมพลังรวมใจมีความสามัคคีช่วยกันปฏิบัติหน้าที่ในส่วนที่รับผิดชอบ เพื่อยหุดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ของสังคมส่วนรวมและประเทศชาติให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยความเจริญอย่างมั่นคง ยั่งยืนและสันติสุขสืบไป"
#2982
ราคา. 2,700,000. บาท
คุณปุริศร์ภัสร์ (ก๊ะ)   081.697.8075 line : popla2517
คุณอนุพงษ์ (ต้น) 092.280.9689

ขายด่วน ! บ้านเดี่ยว ม. คุณาภัทร 1 ซอยบ้านกล้วย-ไทรน้อย บางบัวทอง นนทบุรี

ราคา. 2,700,000. บาท

ต. พิมลราช อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี

พื้นที่ :  52.50 ตร.ว.  พื้นที่ใช้สอย 150 ตร.ม. 
3 ห้องนอน   3 ห้องน้ำ  

-  ต่อเติมห้องครัว
-  เข้าออกได้หลายทาง
-  ทำเลดีใกล้เซเว่น, โลตัสโกเฟรช, มินิบิ๊กซี

มีรถตู้ 2 สาย (The mall งามวงศ์วาน, บางแค)
แผนที่ หมู่บ้านคุณาภัทร1
https://maps.app.goo.gl/FTdQSByxK7RjheFR9

สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือ นัดชมบ้านได้ที่
https://www.facebook.com/DPropmtProperty
คุณปุริศร์ภัสร์ (ก๊ะ)   081-697-8075 line : popla2517
คุณอนุพงษ์ (ต้น)      0922809689
ให้คำปรึกษาด้านสินเชื่อฟรี

https://www.prakard.com/viewtopic.php?f=54&t=7849987
















#2983


สื่อชื่อดังในอังกฤษ อย่าง 'เดอะ ซัน' รายงานข่าวว่า เกมลีกเอิง ระหว่าง แรงส์ เปิดบ้านรับการมาเยือนของ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ซึ่งเป็นเกมประเดิมสนามในสีเสื้อ 'เปแอสเช' ของลิโอเนล เมสซี่ ซูเปอร์สตาร์ชาวอาร์เจนไตน์ ทุบสถิติผู้ชมทางทีวีในประเทศสเปน สูงที่สุดในประวัติศาสตร์

ตามการรายงานระบุว่ายอดผู้ชมส่วนใหญ่นั้นมาจากแคว้นกาตาลัน ซึ่งเป็นที่ตั้งของ บาร์เซโลน่า อดีตต้นสังกัดที่ปลุกปั้นเจ้าตัวขึ้นมาในเส้นทางลูกหนัง ซึ่งแฟนๆ ของทีม 'อาซูลกราน่า' ล้วนแล้วแต่ตั้งหน้าตั้งตารอชมเกมที่อดีตนักเตะขวัญใจของพวกเขาลงสนามในลีกเอิง ฝรั่งเศส เป็นนัดแรก

ทั้งนี้ผู้ถือลิขสิทธิ์ลีกเอิง ฝรั่งเศส ในประเทศสเปน คือบริษัท คอสมอส ที่มี เกราร์ด ปิเก้ กองหลังจอมเก๋าของบาร์เซโลน่า เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นอีกด้วย และตามยอดสถิติที่ระบุมานั้นมีแฟน.ชาวสแปนิชชมเกมคู่ดังกล่าวแบบติดหน้าจอ ถึง 6.7 ล้านคน เป็นสถิติสูงสุดตลอดกาล

ทั้งนี้ ลิโอเนล เมสซี่ ไม่สามารถเซ็นสัญญาฉบับใหม่กับ บาร์เซโลน่า ได้ ทำให้เขาตัดสินใจโยกมาจรดปากกาเซ็นสัญญาค้าแข้งกับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง มหาเศรษฐีแห่งศึกลีกเอิง ฝรั่งเศส เป็นเวลา 2 ปีเต็ม
#2984


การประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ของบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด(มหาชน)(IRPC)เพื่อก้าวสู่การเป็นองค์กรที่ "สร้างสรรค์นวัตกรรมการใช้วัสดุและพลังงาน เพื่อชีวิตที่ลงตัว " (To Shape Material and Energy Solutions in Harmony with Life) รองรับกระแสการเปลี่ยนแปลงต่างๆของโลกหลากหลายมิติ (เมกะเทรนด์) อาทิ เทคโนโลยี การสื่อสาร การคมนาคม รวมถึงความต้องการของลูกค้า ที่กำลังเข้าสู่การเป็นสังคมเมือง สังคมผู้สูงอายุ และสังคมคาร์บอนต่ำ ตลอดจนสงครามการค้าที่ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการธุรกิจเท่านั้น ขณะเดียวกันยังเพิ่มโอกาสในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับองค์กรอีกด้วย

ชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC กล่าวว่า ปัจจุบันมีปัจจัยภายนอกส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจอย่างมากและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รวมไปถึงการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่เป็นตัวเร่งให้บริษัทต้องปรับตัวนับตั้งแต่วันนี้ เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจโดยใช้องค์ความรู้ในองค์กรที่สั่งสมความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมีมากว่า40ปี ควบคู่กับการนำเทคโนโลยีและดิจิทัลมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มความแม่นยำ ว่องไว ทันต่อสถานการณ์ในการต่อยอดธุรกิจปัจจุบัน ควบคู่กับการแสวงหาธุรกิจใหม่ภายใต้วิสัยทัศน์ใหม่ โดยไม่ถูกจำกัดอยู่แค่ธุรกิจการกลั่นและปิโตรเคมีอีกต่อไป

การขยายขอบเขตไปสู่นวัตกรรมการใช้วัสดุและพลังงานแห่งอนาคต ( Material and Energy Solutions )เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นการต่อยอดนวัตกรรมด้านสุขภาพและวัสดุอุปกรณ์สิ้นเปลืองทางการแพทย์ ซึ่งเป็นหนึ่งใน Life Science ธุรกิจเป้าหมายที่บริษัทแม่ คือ ปตท.ให้ความสำคัญในการลงทุน ทำให้ IRPC ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทแม่ ผนวกกับอาศัยการเชื่อมโยงเครือข่ายในกลุ่มปตท. และพันธมิตร เพื่อสร้างนวัตกรรมของผลิตภัณฑ์และรูปแบบธุรกิจใหม่ๆ ทำให้IRPCพร้อมที่จะโตอย่างยั่งยืนภายใต้ความสมดุลทั้งชีวิตผู้คน และสิ่งแวดล้อม

ขณะเดียวกัน IRPC ยืนยันไม่ทิ้งธุรกิจการกลั่นและปิโตรเคมีในปัจจุบันที่เป็นตัวสร้างรายได้และกำไร แต่มุ่งที่จะต่อยอด ต่อยาว และต่อใหม่ให้บริษัทเข้มแข็งเทียบเคียงบริษัทลูกในกลุ่มปตท.



ตั้งเป้าปี73 EBITDA50%มาจากธุรกิจใหม่

ทั้งนี้ IRPC ได้วางเป้าหมายในปี 2568 บริษัทจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา (EBITDA) มาจากธุรกิจใหม่ราว 25% และในปี 2573 จะเพิ่มขึ้นเป็น 50% เมื่อเทียบกับปีนี้ที่สัดส่วนEBITDAจากธุรกิจใหม่น้อยมาก เพราะบริษัทเพิ่งเริ่มร่วมลงทุนกับบริษัท อินโนบิก(เอเชีย)ที่ปตท.ถือหุ้น 100% จัดตั้งบริษัท อินโนโพลีเมด จำกัด ที่IRPCจะถือหุ้นในสัดส่วน60 %และบริษัท อินโนบิก (เอเชีย)ถือหุ้น 40 %เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ้าไม่ถักไม่ทอ (Non-woven Fabric) และวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ (Medical Consumables) ใช้เงินลงทุน 260ล้านบาท โดยIRPCนำเม็ดพลาสติก PP มาพัฒนาสูตรเองเป็นPP เกรด เมลต์โบลน ( Polypropylene Melt blown)ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตผ้าเมลต์โบลน ซึ่งเป็นผ้าชั้นกรองในหน้ากากอนามัย หน้ากาก N95 และชุดป้องกันส่วนบุคคล (PPE) โครงการดังกล่าวคาดว่าจะแล้วเสร็จในปลายปี2564 นับเป็นโครงการที่ช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ



ทบทวนงบลงทุนใหม่ให้สอดคล้องวิสัยทัศน์

สำหรับงบการลงทุน 5 ปีข้างหน้า ขณะนี้ IRPC อยู่ระหว่างการทบทวนงบลงทุนใหม่เพื่อให้สอดคล้องวิสัยทัศน์ใหม่ที่ได้ประกาศไป ยืนยันว่าเงินลงทุนจะสูงกว่าเดิมที่เคยตั้งไว้ 3.6 หมื่นล้านบาทอย่างแน่นอน แม้ว่าช่วง1-3ปีแรกส่วนใหญ่จะใช้สำหรับโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันดีเซลตามมาตรฐาน EURO (Ultra Clean Fuel Project: UCF) มูลค่า 1.33หมื่นล้านบาท ที่กำหนดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ภายในเดือนมกราคม 2567 ตามนโยบายรัฐในการบังคับใช้น้ำมันมาตรฐานEURO Vในเดือนม.ค. 2567เพื่อลดปัญหามลภาวะฝุ่นละออง PM2.5 ,การปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ,การปิดซ่อมบำรุงเครื่องจักร และการร่วมทุนหรือซื้อกิจการ(M&A)

ซึ่งเป็นการลงทุนเพื่อสร้างการเติบโตจากกลุ่มธุรกิจในปัจจุบัน(Core Uplift) เป็นหลัก หรือที่เรียกกันสั้นว่าต่อยอด ไม่ว่าจะเป็นโครงการ UCF การพัฒนาและการผลิตเม็ดพลาสติกเกรดพิเศษ (Specialty )เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มหนีจากการผลิตเม็ดพลาสติกเกรดทั่วไปที่ได้รับผลกระทบจากวัฎจักรด้านราคา เป็นต้น

แต่ในระยะกลาง บริษัทจะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มธุรกิจข้างเคียง(Adjacent Business )หรือเรียกสั้นๆว่าต่อยาว เช่นการนำเม็ดพลาสติก PP ไปพัฒนาเป็นPPเกรดเมลต์โบลน แล้วนำไปสู่การผลิตเป็นผ้าเมลต์โบลน เพื่อนำไปผลิตหน้ากากอนามัย เป็นต้น ซึ่งในอนาคตจะเห็นอีกหลายโครงการ

สำหรับธุรกิจใหม่ (Step Out Business) หรือต่อใหม่จะเป็นการขยายสู่ธุรกิจที่บริษัทไม่เคยทำมาก่อน (นิว ฟรอนเทียร์ ) กล่าวได้ว่าเป็นการก้าวสู่ "พรมแดนใหม่" มีทั้งการลงทุนผ่านกองทุนVCที่สนับสนุนการลงทุนStartup รวมทั้งหาโอกาสลงทุนในธุรกิจใหม่เองจากการM&A ซึ่งวิสัยทัศน์ใหม่เปิดช่องให้ลงทุนหลากหลายรวมภายใต้คำจำกัดความว่า Material รวมถึงพลังงานรูปแบบใหม่ มีทั้งลงทุนในไทยและต่างประเทศ เพื่อให้บริษัทบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ในปี2573

 จีบพันธมิตรร่วมผลิตถุงมือยางการแพทย์

การก้าวสู่เป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว หนึ่งในแนวทางนั้นคือการร่วมทุนหรือควบรวมกิจการ (M&A) IRPCเริ่มแรกมุ่งเน้นการลงทุนต่อยอดธุรกิจเดิมด้วยขนาดการลงทุนที่ใช้เงินไม่มาก ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาM&Aแล้ว 2-3 โครงการทั้งในไทยและต่างประเทศซึ่งเป็นโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา และโครงการใหม่ โดยหนึ่งในนั้นคือโครงการผลิตถุงมือยางสังเคราะห์ทางการแพทย์ นับเป็นการลงทุนที่ต่อยอดจากโครงการผลิตหน้ากากอนามัยที่ร่วมมือกับกลุ่ม ปตท. ไปก่อนหน้านี้ โดยจะผลิต Nitrile Butadiene Latex (NBL)ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตถุงมือยางทางการแพทย์ สร้างมูลค่าเพิ่มตอบรับเมกะเทรนด์ด้านธุรกิจสุขภาพที่ทั่วโลกกำลังเติบโต ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรธุรกิจที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยีคาดจะได้ข้อสรุปในโครงการดังกล่าวภายในปี2564 และวางเป้าหมายที่จะผลิตในปี2568

ทางปตท. กล่าวถึงความร่วมมือกับIRPCในการผลิตผ้าเมลต์โบลนและ NBL ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์และอุปกรณ์สาธารณสุข ถือเป็นอีกก้าวที่สำคัญจะช่วยยกระดับสาธารณสุข วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และอุปกรณ์ทางการแพทย์ของประเทศไทย สอดคล้องกับการพัฒนาธุรกิจ Life Science ซึ่งเป็น New S-Curve ของกลุ่ม ปตท. และยังเป็นส่งเสริมยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็น Medical Hub ของอาเซียน ตามนโยบาย Thailand 4.0 ของรัฐบาล

แม้ว่าบริษัทจะได้รับการสนับสนุนการลงทุนธุรกิจใหม่ที่เน้นด้าน Health and Wellness แต่IRPC มีจุดยืนในการลงทุนโครงการใหม่หรือM&A ต้องมีขนาดโครงการไม่ใหญ่ ใช้เงินลงทุนไม่มาก เน้นการต่อยอดธุรกิจปัจจุบันของบริษัท แต่หากเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ก็จะลงทุนเป็นทีมร่วมกับกลุ่มปตท.หรือพันธมิตร เพื่อให้ได้3สิ่งนี้คือองค์ความรู้ พันธมิตร และ ผลตอบแทนการเงิน เมื่อบริษัทมีเข้มแข็งมากขึ้น ก็จะขยับการลงทุนโครงการที่มีขนาดใหญ่ขึ้น



หากกล่าวถึงจุดเด่นIRPC ที่ทำให้นักลงทุนสนใจดึงเป็นพาร์ทเนอร์ นอกเหนือจากความเชี่ยวชาญในธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นแล้ว ขนาดโรงกลั่นน้ำมันไม่ใหญ่เฉลี่ยวันละ1.9แสนบาร์เรล/วัน แต่ผลิตภัณฑ์ที่ได้ส่วนใหญ่นำไปเป็นผลิตปิโตรเคมีที่มีความหลากหลายทั้งเม็ดพลาสติก PP PE โพลีสไตรีน อะคริโลไนไตรล บิวทาไดอีน สไตรีน ฯลฯ รวมทั้งบริษัทยังมีที่ดินในเขตประกอบการอุตสาหกรรมไออาร์พีซีที่เชิงเนิน อ.เมือง จ.ระยอง ที่มีท่าเทียบเรือน้ำลึก คลังน้ำมัน และโรงไฟฟ้า ตัดปัญหาการหาพื้นที่ตั้งโรงงานและระบบสาธารณูปโภคเลย

รุกสู่ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า

ส่วนความคืบหน้าการรุกตลาดยานยนต์ไฟฟ้า(EV)ภายหลังจากการร่วมทุนกับบริษัท เจแปน โพลิโพรพิลีน คอร์ปอเรชั่น จำกัด( JPP ) ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านสูตรการผลิตเม็ดพลาสติกชนิดพิเศษที่หลากหลาย โดยIRPCเข้าถือหุ้นในสัดส่วน50 %ของบริษัท ไมเท็กซ์ โพลิเมอร์ (ประเทศไทย) จำกัดเพื่อผลิตและจำหน่ายเม็ดพลาสติกชนิดพิเศษพีพีคอมพาวด์ให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ทั้งในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น IRPCได้ส่งเม็ดพลาสติกPPเกรดพิเศษไปทดสอบเพื่อใช้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้าไประดับหนึ่ง สุดท้ายเมื่อได้รับการยอมรับในผลิตภัณฑ์ก็พร้อมเจาะตลาดทั้งในและต่างประเทศ ทำให้บริษัทต่อเวลูเชนลงไปสู่Converter นับเป็นก้าวสำคัญในการรุกธุรกิจใหม่อีกหนึ่งธุรกิจตอบโจทย์เทรนด์โลก

IRPCยังเป็นส่วนในการผลักดันให้ไทยเป็นฮับในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งขณะนี้ทางปตท.ก็ได้จับมือกับบริษัท หงไห่ พริซิชั่น อินดัสทรี จำกัด หรือ ฟ็อกซ์คอนน์ กรุ๊ป (Foxconn Technology Group) จากไต้หวันในโครงการลงทุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย เพื่อศึกษาโอกาสในการพัฒนาฐานการผลิตยานยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย โดยจะเป็นการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเป็นโรงงานที่รับจ้างผลิตรถอีวีได้หลายยี่ห้อ และหากศึกษาแผนร่วมทุนกันสำเร็จ ปตท.จะจัดตั้งโรงงานผลิตในประเทศไทย รวมทั้งกลุ่มปตท.มีความพร้อมในธุรกิจแบตเตอรี่ป้อนอีวีและสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าด้วย



IRPC ยังได้กำหนดวิธีการเดินหน้าสู่ความสำเร็จด้วยกลยุทธ์ 3 S ได้แก่ Strengthening the core, Striving the growth, Sustaining the future ดังนี้

Strengthening the core การเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจหลัก ได้แก่ โครงการUCF ,การปรับปรุงกระบวนการทำงาน IRPC 4.0 เป็นการนำระบบดิจิทัลและเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพในการดำเนินงานขององค์กร

Striving the growth ขยายการลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพ โดยเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง กลุ่มผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษ และขยายธุรกิจสู่ปิโตรเคมีปลายน้ำเพื่อให้ใกล้ชิดกับผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น และ Sustaining the future การพัฒนาและสร้างสรรค์นวัตกรรม เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดี ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปตามแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลก ด้วยการใช้พลังงานทดแทนและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

สำหรับแนวโน้มการดำเนินงานครึ่งหลังปี2564 พบว่ายังมีปัจจัยลบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้าในภูมิภาคเอเชีย รวมทั้งมีโรงงานปิโตรเคมีแห่งใหม่จากจีนและมาเลเซียจะทยอยเข้าสู่ตลาดกดดันภาพรวมตลาดปิโตรเคมีอยู่ ขณะที่เป้าหมายกำลังการกลั่นของIRPCครึ่งปีหลังอยู่ที่ 1.90-1.95แสนบาร์เรล/วัน ใกล้เคียงหรือสูงกว่าครึ่งปีแรกเล็กน้อย ทำให้รายได้บริษัทในครึ่งปีหลังส่อแววต่ำกว่า 6เดือนแรกปี2564 ที่มีผลงานดีเกินความคาดหมาย บริษัทมีรายได้รวม 1.05 แสนล้านบาทและกำไรสุทธิ 1.01หมื่นล้านบาท

ความท้าทายในการดำเนินธุรกิจของ IRPC ที่ต้องเผชิญในอนาคตเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ IRPCจะต้องก้าวไปถึงเป้าหมายเพื่อสร้างความแข็งแกร่งอีกครั้งโดยมีบริษัทแม่อย่างปตท.คอยหนุนหลังเพื่อเทียบเคียงบริษัทลูกอื่นๆในกลุ่มปตท.ที่เริ่มสยายปีกลงทุนโครงการขนาดใหญ่ในต่างประเทศ
#2985


เสียวหมี่ โหมหนัก 'Smartphone x AIoT' สมาร์ทโฟนและดีไวซ์ต้องไม่ธรรมดา เชื่อมจักรวาลอินเทอร์เน็ตออฟธิงส์ที่ไร้รอยต่อ หนุนรายได้ไตรมาส 2 พุ่ง 64% ตลาดต่างประเทศ "แกร่ง" รั้งเบอร์ 1 ไทย และเบอร์ 2 โลก "จับตา 15 ก.ย.นี้" ทัพผลิตภัณฑ์ใหม่จ่อคิวเซอร์ไพร์ส

จับตาอย่าให้กระพริบ เมื่อ เสียวหมี่ ยังปลุกกลยุทธ์ 'Smartphone x AIoT' อย่างต่อเนื่อง สมาร์ทโฟนและดีไวซ์ที่ต้องไม่ธรรมดา เชื่อมอินเทอร์เน็ตออฟธิงส์ได้อย่างไร้รอยต่อ และความกร้าวแกร่งในกลยุทธ์แบรนด์คู่ หรือ Dual Brand Strategy ระหว่าง Xiaomi และ Redmi รวมถึงการทุ่มลงทุนในเทคโนโลยีชั้นสูง ส่งผลให้รายได้ไตรมาส 2 เติบโตพุ่ง 64% ทุกกลุ่มธุรกิจ ผลประกอบการสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ตัวเลขเติบโตในตลาดต่างประเทศ "แข็งแกร่ง" รั้งเบอร์ 1 ตลาดยุโรป ตลาดไทย และรั้งอันดับ 2 สมาร์ทโฟนโลก

เมื่อเร็วๆ นี้ เสียวหมี่ ก้าวขึ้นสู่อันดับ 338 บนฟอร์จูนโกล. 500 ขึ้นเป็นองค์กรที่เติบโตเร็วที่สุดในปี 2021 ในหมวดหมู่อินเทอร์เน็ตและการค้าปลีก การเปิดตัวผลิตภัณฑ์รุ่นพรีเมียม การขยายธุรกิจในตลาดต่างประเทศ และแผนการค้าปลีกแบบใหม่ ผลักดันการเติบโต ให้เสียวหมี่เข้าไปติดอยู่ในรายชื่อฟอร์จูน 500 เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน

ครั้งนั้น เหลย จุน ซีอีโอ Xiaomi บอกว่า "หากเปรียบเทียบกับความสำเร็จที่ผ่านๆ มา ผมมุ่งเน้นการเติบโตทางด้านศักยภาพของพวกเรามากขึ้น เสียวหมี่ยังคงเป็นบริษัทที่ใหม่มากแต่ก็เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจมากมาย ผมอยากขอบคุณแฟนๆ ของเสียวหมี่ทั่วโลกอย่างใจจริง เพราะแรงสนับสนุนที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงของพวกเขา ทำให้เสียวหมี่ของเรามีชีวิตชีวา และเต็มไปด้วยพลังเสมอมา ผมคิดว่านี่ยังไม่ถึงขีดจำกัดของเสียวหมี่และผมมั่นใจว่าผู้คนจะต้องได้เห็นเสียวหมี่ในรูปแบบที่ทั้งแข็งแรงและมีพลังมากขึ้นกว่าเดิมในอนาคต และเราจะต้องไปถึงสถิติที่โดดเด่นกว่าเดิมบนฟอร์จูน โกล.ในปีหน้าอย่างแน่นอน"

มีรายงานว่า วันที่ 15 ก.ย.นี้ เสียวหมี่ เตรียมขนทัพผลิตภัณฑ์ใหม่เขย่าโลกดิจิทัลอีกครั้ง และมาลุ้นกันว่า เสียวหมี่ จะตัดสินใจ ทิ้งแบรนด์ Mi จริงหรือไม่ เพราะข่าวก่อนหน้านี้ระบุว่า เสียวหมี่ กำลังตัดสินใจรีแบรนด์ดิ้ง และมีความเป็นไปได้สูงที่จะตัดชื่อแบรนด์ "Mi" ออกจากทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ที่จะเปิดตัวในอนาคต อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่คาดว่า จะเปิดตัวในงานนี้ ยังคงมีชื่อ Mi  

คาดการณ์ ผลิตภัณฑ์ใหม่ เรือธงแบบฉบับ Xiaomi ที่จะได้เห็นในวันที่ 15 ก.ย.นี้ 

-Xiaomi Mi 11T

-Xiaomi smart home gadgets

-Xiaomi Mi Pad 5

-Xiaomi Mi Note 11

-Xiaomi Mi 11 Lite - again

-Xiaomi Mi 12

ไตรมาส 2 ทุกกลุ่มโชว์เหนือ

ล่าสุด เสียวหมี่ ที่วาง position ตัวเองว่า เด่นเรื่องอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค และอุตสาหกรรมการผลิตอัจฉริยะ แข็งแกร่งด้านสมาร์ทโฟน และสมาร์ทฮาร์ดแวร์ที่เชื่อมต่อบนแพลตฟอร์ม Internet of Things (IoT) เปิดเผยรายได้ช่วงไตรมาส 2 อย่างแช่มชื่น 

ไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 เสียวหมี่มีรายได้กว่า 87.8 พันล้านหยวน เติบโตขึ้น 64% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไรหลังการปรับปรุงอยู่ที่ 6.3 พันล้านหยวน เติบโตขึ้น 87.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นับว่ารายได้รวมและกำไรหลังการปรับปรุงสูงขึ้นอย่างเป็นประวัติการณ์ในไตรมาสนี้ 

ตัวเลขไฮไลต์ของช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 มีดังนี้

• รายได้รวม 87,789 ล้านหยวน เติบโต 64% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

• กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 15,148.1 ล้านหยวน เติบโต 96.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

• กำไรหลังการปรับปรุงอยู่ที่ 6,321.5 ล้านหยวน โตขึ้น 87.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ตัวเลขไฮไลต์ครึ่งปีแรกของ 2564 มีดังนี้

• รายได้รวม 164,671.2 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 59.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

• กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 29,309.4 ล้านหยวน เติบโต 92.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

• กำไรหลังการปรับปรุงอยู่ที่ 12,390.8 ล้านหยวน โตขึ้น 118.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ถ้อยแถลงของ เสียวหมี่ ระบุว่า  "ไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 กลยุทธ์ 'Smartphone x AIoT' ยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของพวกเรา ต่อจากนี้ เสียวหมี่จะเดินหน้าไปกับกลยุทธ์แบรนด์ควบคู่ หรือ Dual Brand Strategy และเพิ่มการลงทุนในเทคโนโลยีชั้นสูง อีกทั้งจ้างงานและพัฒนากลุ่มผู้มีทักษะทั้งหลาย ตลอดจนพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่าย และยกระดับการให้บริการพรีเมียมสมาร์ทโฟนรวมถึงประสบการณ์ผู้ใช้งาน


กลยุทธ์ 'Smartphone x AIoT' - สู่อันดับ 2 สมาร์ทโฟนโลก 

เราจะยังยึดถือกลยุทธ์หลักของเรา 'Smartphone x AIoT' โดยทำงานอย่างทุ่มเทเพื่อพัฒนานวัตกรรมชั้นสูงรวมถึงเทคโนโลยีล้ำสมัยในทุกกลุ่มสินค้า นอกจากนี้ เสียวหมี่จะพัฒนาระบบการเชื่อมต่อระหว่างสมาร์ทโฟนและสินค้า AIoT เพื่อส่งมอบประสบการณ์การใช้งานอย่างสมบูรณ์ในทุกกลุ่มสินค้าและยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคนบนโลกนี้ให้ดียิ่งขึ้น"

ผลการดำเนินงานประจำไตรมาสที่ 2 การส่งมอบสมาร์ทโฟนทั่วโลก ส่งผลให้เสียวหมี่ขึ้นแท่นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนอันดับที่ 2 และด้วยนวัตกรรมและคุณภาพที่ดีของสินค้า เสียวหมี่ได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มตลาดสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียมอย่างแท้จริง 

ผลจากการที่เสียวหมี่มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง มีการจ้างงานและพัฒนาทักษะพนักงาน รวมถึงพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้า ธุรกิจสมาร์ทโฟนของเสียวหมี่จึงเติบโตขึ้นอย่างมากในไตรมาสที่สองของปี 2564

เห็นได้จากรายได้และยอดการส่งมอบที่ทุบสถิติ ซึ่งรายได้รวมจากการขายสมาร์ทโฟนอยู่ที่ 59.1 พันล้านหยวน แสดงให้เห็นถึงอัตราการเติบโต 86.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เสียวหมี่ส่งมอบสมาร์ทโฟนกว่า 52.9 ล้านเครื่อง เพิ่มสูงขึ้น 86.8% เมื่อเทียบจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า

ตามรายงานของ Canalys พบว่า การส่งมอบสมาร์ทโฟนทั่วโลกของเสียวหมี่ได้ไต่ขึ้นไปอยู่อันดับสอง ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของไตรมาสนี้ โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 16.7% 

การส่งมอบสมาร์ทโฟนของเสียวหมี่ในประเทศจีนก็เติบโตอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน ทั้งพบว่าในไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 ส่วนแบ่งทางการตลาดในประเทศจีนเพิ่มขึ้นเป็นเป็น 16.8% จาก 10.3% เมื่อไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 จึงทำให้เสียวหมี่ขึ้นเป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนอันดับที่ 3 ด้วยการเติบโตขึ้น 35.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนในด้านการส่งมอบสมาร์ทโฟน นับได้ว่าเป็นการเติบโตในอัตราที่สูงที่สุดในหมู่บรรดาผู้เล่นหลักในตลาด 

กลยุทธ์ Dual Brand Strategy

กลยุทธ์ Dual Brand Strategy ภายใต้แบรนด์เสียวหมี่ ยังคงแข็งแกร่ง Xiaomi และ Redmi มีรุ่นใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่ง ขณะที่ เสียวหมี่ มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มสินค้าในกลุ่มสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียม ไตรมาสแรก เสียวหมี่ ประสบความสำเร็จอย่างงดงามจาก Xiaomi 11 Pro, Xiaomi 11 Ultra และ Xiaomi MIX FOLD ที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว 

และเมื่อ 10 สิงหาคมที่ผ่านมา เสียวหมี่เปิดตัว Xiaomi MIX 4 สมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่ใช้เทคโนโลยีกล้องใต้จอแสดงผลอย่างเต็มรูปแบบ จากข้อมูลของแหล่งอ้างอิงภายนอก ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 ส่วนแบ่งทางการตลาดของสมาร์ทโฟนของ เสียวหมี่ในประเทศจีน ซึ่งมีราคาวางจำหน่ายอยู่ในช่วง 3,000 หยวนถึง 4,000 หยวน และ 4,000 หยวนถึง 5,000 หยวน รวมถึงกลุ่ม 5,000 หยวนขึ้นไป ได้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 

ครึ่งแรกของปี 2564 การส่งมอบสมาร์ทโฟนทั่วโลกที่มีราคาจำหน่ายมากกว่า 3,000 หยวนขึ้นไปในประเทศจีน และ 300 ยูโรหรือเทียบเท่าในตลาดต่างประเทศ ได้มีการส่งมอบไปแล้วกว่า 12 ล้านเครื่อง ซึ่งเกินกว่ายอด 10 ล้านเครื่องในปี 2563 ทั้งปีที่ได้เคยส่งมอบไป 

แบรนด์ Redmi ยังคงมีผลิตภัณฑ์ที่สามารถแข่งขันได้อย่างต่อเนื่อง ยอดส่งมอบ Redmi Note Series ทั่วโลกได้ทะลุไปกว่า 200 ล้านเครื่อง แสดงให้เห็นถึงการตอบรับแบรนด์ Redmi อย่างดีจากผู้ใช้งานส่วนใหญ่ รวมถึงยังสะท้อนคุณภาพที่ดีของสินค้าอีกด้วย โดยในวันที่ 26 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา เสียวหมี่ได้เปิดตัว Redmi Note 10 Series ในประเทศจีน ซึ่งก็ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากผู้ใช้งาน 

เสี่ยวหมี่ วางกลยุทธหลัก "Smartphone x AIoT" เพื่อยกระดับการเชื่อมต่อในทุกอุปกรณ์อัจฉริยะ ไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 สินค้าไลฟ์สไตล์และ ผลิตภัณฑ์ AIoT ยังสามารถรักษาอัตราการเติบโตอย่างมั่นคง โดยรายได้รวมเพิ่มขึ้นกว่า 35.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือที่ 20.7 พันล้านหยวน

สมาร์ททีวี ของเสียวหมี่  ส่งมอบไปกว่า 2.5 ล้านเครื่องทั่วโลก ซึ่งนับได้ว่าเสียวหมี่สามารถรักษาความเป็นผู้นำในตลาดไว้ได้ จากการรายงานของ All View Cloud ("AVC") การส่งมอบทีวีของเสียวหมี่ครองอันดับหนึ่งในประเทศจีนติดกันเป็นไตรมาสที่สิบ และยังรั้งอยู่ในห้าอันดับแรกของโลกเลยทีเดียว

นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์และ AIoT ของเสียวหมี่ยังสามารถรักษาอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดต่างประเทศ โดยรายได้จากสินค้ากลุ่มนี้ในตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น 93.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในช่วงปีก่อน สินค้าที่ได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดนี้มี อาทิ สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า สมาร์ททีวี สมาร์ทแบนด์ และ สมาร์ทวอทช์ เป็นต้น

ยิ่งไปกว่านั้น ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564  เสียวหมี่ มีจำนวนผลิตภัณฑ์ IoT (ไม่รวมสมาร์ทโฟนและแล็ปท็อป) กว่า 374.5 ล้านเครื่องที่เชื่อมต่ออยู่กับแพลตฟอร์ม AIoT ซึ่งเพิ่มขึ้น 34% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวนของผู้ใช้งานที่เชื่อมต่ออุปกรณ์  5 เครื่องหรือมากกว่ากับแพลตฟอร์ม (ซึ่งไม่รวมสมาร์ทโฟนและแล็ปท็อป) ได้แตะ 7.4 ล้านคนเป็นที่เรียบร้อย สะท้อนให้เห็นอัตราที่เพิ่มขึ้นถึง 44.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 

เดือนมิถุนายนนี้เอง มีจำนวนผู้ใช้งานผู้ช่วยอัจฉริยะ  AI Assistant ("小愛同學") เกินกว่า 100 ล้านคนเป็นครั้งแรก โดยมีจำนวนผู้ใช้งานต่อเดือนถึง 102 ล้านคน และจำนวนผู้ใช้งานที่เชื่อมต่อกับ Mi Home App เพิ่มขึ้นถึง 56.5 ล้านคน นับเป็นการเติบโตกว่า 38.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน

สินค้าและบริการเป็นที่ยอมรับในตลาดหลายประเทศ - ขึ้นอันดับ 1 เป็นครั้งแรกในยุโรป

ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 เสียวหมี่ยังสามารถเติบโตได้ดีในตลาดต่างประเทศ โดยสามารถส่งมอบสินค้าได้มากที่สุดเป็นประวัติกาลในตลาดหลักทั่วโลก ในไตรมาสนี้ เสียวหมี่มีรายได้จากตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น 81.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว คิดเป็น 43.6 พันล้านหยวน ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขที่สูงมากและยังคิดเป็น 49.7% จากรายได้รวม 

Canalys พบว่า ส่วนแบ่งทางการตลาดของเสียวหมี่ในไตรมาสนี้ติดห้าอันดับสูงสุดในกว่า 65 ประเทศทั่วโลก และขึ้นเป็นอันดับหนึ่งใน 22 ประเทศ โดยใน 10 ประเทศเหล่านั้น เสียวหมี่ได้ขึ้นอันดับหนึ่งเป็นครั้งแรก

เสียวหมี่ยังคงพยายามเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดสำคัญด้วย

-เสียวหมี่ขึ้นอันดับหนึ่งในทวีปยุโรปเป็นครั้งแรก ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 28.5% ในไตรมาสที่ 2

-โซนยุโรปตะวันตก ส่วนแบ่งทางการตลาดของสมาร์ทโฟนของเสียวหมี่ขึ้นไปถึง 22.2% และยังติดอยู่ในสามอันดับแรก 

-เสียวหมี่ขึ้นอันดับหนึ่งเป็นไตรมาสที่สามติดต่อกันในโซนยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก มีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 36.4%

-ในสเปน เสียวหมี่ขึ้นอันดับหนึ่งติดกันกว่า 6 ไตรมาส มีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 41.2%

-ในอิตาลีและประเทศฝรั่งเศส เสียวหมี่ขึ้นอับดับหนึ่งเป็นครั้งแรกโดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 35% และ 29.7% ตามลำดับ

-ในเยอรมนี เสียวหมี่ยังสามารถรั้งสามอันดับแรกไว้ได้ โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 15.2%

นอกจากนี้ เสียวหมี่ยังเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นในตลาดเกิดใหม่ การเติบโตที่รวดเร็วของสินค้ากลุ่มสมาร์ทโฟน

-ตลาดลาตินอเมริกาช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 ยอดส่งมอบเพิ่มขึ้น 324.4% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งเสียวหมี่ได้ติดอยู่สามอับดับแรก 

-ในตลาดกลุ่มประเทศตะวันออกกลางและแอฟริกาก็เพิ่มขึ้น 20.9% และ 8.5% ตามลำดับ

-ส่งมอบสินค้าให้แก่ประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างดีเยี่ยม เป็นอันดับหนึ่งและมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 28.2%

กลุ่มธุรกิจเสียวหมี่ยังคงมีความพยายาม ที่จะยกระดับช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าทางออนไลน์ในตลาดต่างประเทศ โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 เสียวหมี่ได้จำหน่ายสมาร์ทโฟนไปแล้วกว่า 10 ล้านเครื่องผ่านช่องทางการขายออนไลน์ในตลาดต่างประเทศ ยกเว้นประเทศอินเดีย  ซึ่งนับได้ว่าเป็นการเติบโตกว่า 60% เมื่อเทียบกันกับช่วงเดียวของปีที่แล้ว 

การเติบโตอย่างแข็งแกร่งเกิดจากความพยายามอย่างไม่ลดละในการคิดค้นนวัตกรรมสินค้าเทคโนโลยีและพัฒนาผู้เชี่ยวชาญ คือ จุดแข็งของเสียวหมี่ ที่พยายาม มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีระดับสูงเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 นี้ ในรายงานระบุว่า  เสียวหมี่ได้ทุ่มงบวิจัยและพัฒนาไปกว่า 3.1 พันล้านหยวน ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 56.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ในเดือนกรกฎาคม 2564 กลุ่มธุรกิจเสียวหมี่ได้ลงทุนในโรงงานอัจฉริยะ Changping Smart Factory ในเขต Chang-ping กรุงปักกิ่ง นอกจากจะมีใช้เพื่อการผลิตสินค้าแล้ว บริเวณนี้จะยังถูกสร้างเป็นศูนย์วิจัยและพัฒนาสินค้า ควบคู่ไปกับโรงงานอัจฉริยะ Yizhuang Smart Factory

เสียวหมี่ตั้งเป้าให้ Changping Smart Factory ผลิตสมาร์ทโฟนระดับ พรีเมียมกว่า 10 ล้านเครื่องต่อปี และยังเชื่อมั่นว่าโรงงานอัจฉริยะนี้จะสามารถยกระดับเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ตลอดจนสามารถยกระดับความสามารถในการผลิต และปฏิวัติอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศจีนอย่างรวดเร็ว 

รั้งเบอร์ 1 ตลาดสมาร์ทโฟนไทย 

ส่วนตลาดในประเทศไทย แน่นอนว่า เสียวหมี่ได้รับการตอบรับที่ดีมาก ไม่เฉพาะโปรดักส์เด่นอย่าง สมาร์ทโฟน แต่อุปกรณ์ดีไวซ์ต่างๆ มากมาย ชิ้นเล็ก ชิ้นใหญ่ ก็ได้รับการยอมรับที่น่าประทับใจเช่นกัน  

รายงานของบริษัทวิจัย Canalys เผยว่า เสียวหมี่ ประเทศไทย ขึ้นแท่นเป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนที่มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับที่ 1 ของประเทศไทยในไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 เป็นครั้งแรก ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 21% พร้อมครองแชมป์อัตราการเติบโตสูงถึง 200% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า นอกจากนี้ จากรายงานของ 4 บริษัทวิจัยตลาดชั้นนำ พบว่า เสียวหมี่ก้าวขึ้นเป็นอันดับ 2 ตลาดสมาร์ทโฟนทั่วโลก

โจนาธาน คัง ผู้จัดการ เสียวหมี่ ประเทศไทย กล่าวว่า "ขอบคุณเสียวหมี่แฟน, ลูกค้า, พาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ และผู้สนับสนุนที่เกี่ยวข้องในทุกภาคส่วน ที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้ก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ของแบรนด์สมาร์ทโฟนในประเทศไทย

ความสำเร็จในครั้งนี้เป็นเครื่องยืนยันความเชื่อมั่นที่ผู้บริโภคชาวไทยมีให้แบรนด์เสียวหมี่ โดยเราจะยังคงเดินหน้าพัฒนาในทุกๆ ด้านต่อไป ซึ่งนับตั้งแต่เสียวหมี่วางจำหน่ายสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียมรุ่นแรก คือสมาร์ทโฟนตระกูล Mi 10

เสียวหมี่ลงทุนด้านที่สำคัญหลายด้าน ทั้งด้านเทคโนโลยีกล้อง หน้าจอ ระบบชาร์จ กระบวนการผลิตแบบอัจฉริยะ และอื่นๆ อีกจำนวนมาก นอกจากนี้ยังลงทุนอีกหลากหลายด้านเพื่อก้าวเข้าสู่ตลาดระดับพรีเมียมด้วยการนำเสนอเทคโนโลยีอันล้ำหน้าสู่มือของผู้บริโภค และเป็นผู้กำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟน"
#2986


นางสาวธนิดา ซุยวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายธุรกิจ บริษัท ลาซาด้า จำกัด (ประเทศไทย) กล่าวว่า เปิดตัวแคมเปญใหญ่ LazMall 9.9 Mega Brands Sale ลดอลัง ปังทุกแบรนด์ มาพร้อมไฮไลต์ดีลและโปรโมชั่น ส่วนลดสูงสุด 90% สำหรับสินค้าที่ร่วมรายการ

• Crazy Brand Mega Offers หนึ่งในดีลสุดพิเศษบน LazMall มอบส่วนลดจากแบรนด์ชั้นนำตั้งแต่เที่ยงคืนจนถึงตีสองของวันที่ 9 กันยายนนี้เท่านั้น

• Lazada Bonus มอบโบนัส 50 บาทสำหรับทุกการสั่งซื้อมูลค่า 500 บาท มูลค่ารวมสูงสุด 3,600 บาทต่อผู้ใช้งาน โดยลูกค้าสามารถเก็บโบนัสได้ระหว่างวันที่ 3-11 กันยายน 2564 และซื้อสินค้าที่ร่วมรายการได้ตั้งแต่วันที่ 9 - 11 กันยายนนี้เท่านั้น

• คูปองส่วนลดค่าน้ำค่าไฟ สำหรับชำระค่าน้ำค่าไฟผ่านแอปฯ ลาซาด้าสามารถรับคูปองส่วนลด 999 บาทสำหรับบิลค่าน้ำค่าไฟขั้นต่ำ 2,500 บาท และรับคูปองส่วนลด 99 บาทสำหรับบิลค่าน้ำค่าไฟขั้นต่ำ 699 บาท เพียงเก็บคูปองส่วนลดโดยคลิกที่ไอคอน "คูปองลดเพิ่ม" สามารถเก็บได้ในวันที่ 9 กันยายน เวลา 10.00 น. และ 18.00 น. และใช้คูปองได้ในวันที่ 9-11 กันยายนนี้เท่านั้น


ช่วงเวลาแห่งความท้าทายจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 แบรนด์บน LazMall เติบโตในทุกด้านทั้งยอดขายเติบโตเฉลี่ย 63% จำนวนออร์เดอร์ที่เพิ่มขึ้น 67% และจำนวนผู้ซื้อที่เพิ่มขึ้น 47% 

นอกจากนี้ ยังพบว่าจำนวนแบรนด์ไทยและแบรนด์ต่างประเทศบน LazMall ได้เพิ่มขึ้นถึง 350% จากปี 2563 ซึ่งเป็นจำนวนรวมกว่า 9,000 แบรนด์ในปีนี้ เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ช่วยให้แบรนด์ค้นพบช่องทางการขายและสามารถเติบโตทางออนไลน์ในช่วงเวลานี้ 


พร้อมกันนี้ ลาซาด้าผนึกกำลัง 9 แบรนด์พันธมิตรบน LazMall ได้แก่ เดทตอล ฮาร์ปิค คนอร์ เพอร์ร่า สิงห์เลมอนโซดา น้ำดื่มสิงห์ เลย์ มิรินด้า และซีโน-แปซิฟิค เพื่อส่งมอบกล่องแห่งความห่วงใย LazadaCARES จำนวน 99,999 กล่อง ให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทั่วประเทศ โดยระบบขนส่งลาซาด้า โลจิสติกส์ จะทำหน้าที่ขนส่งกล่องแห่งความห่วงใยที่บรรจุของใช้จำเป็นต่างๆ เช่น ข้าวต้มสำเร็จรูป ซีเรียล น้ำดื่มบรรจุขวด น้ำวิตามิน น้ำอัดลม เจลอาบน้ำป้องกันแบคทีเรีย และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดห้องน้ำ ให้แก่องค์กรการกุศล 9 แห่ง 

ได้แก่ กลุ่มจิตอาสา Food for Fighters มูลนิธิกระจกเงา มูลนิธิดวงประทีป มูลนิธิบ้านนกขมิ้น สมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม มูลนิธิอิสรชน เราช่วยกัน และเส้นด้าย จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการแจกจ่ายให้แก่ คนไร้บ้าน ผู้ยากไร้คนตกงาน ผู้พิการ และผู้ได้รับผลกระทบจาก  โควิด-19 อื่นๆ อีกจำนวนมาก

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการให้ที่ยิ่งใหญ่ได้ง่ายๆ ผ่านแอปพลิเคชันลาซาด้า เพียงแลก 9 LazCoins ของคุณเป็น LazadaCARES 1 กล่อง ซึ่งลาซาด้าจะส่งต่อไปยังผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ผ่าน 9 มูลนิธิ สามารถแลก LazCoins ได้ตั้งแต่วันที่ 3 -11 กันยายน 2564 โดยพิมพ์ "lazadacares" บนแถบค้นหาของแอปฯ ลาซาด้า 
#2987
ข้าวออร์แกนิกเมืองสุรินทร์ ข้าวอินทรีย์แฟร์เทรด   ขายข้าวอินทรีย์ส่งทั่วไทย #ข้าวออแกนิค หรือ #ข้าวออร์แกนิค หรือ #ข้าวออร์แกนิก หรือ "#ข้าวเกษตรอินทรีย์"  (#OranicRice)
ข้าวออแกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิก (#OranicFood) หรือเรียกง่ายๆเป็นภาษาไทยว่า "ข้าวเกษตรอินทรีย์" หรือ "ข้าวอินทรีย์" /  ข้าวกล้องมะลินิลอินทรีย์ คือ ข้าวที่ผ่านการผลิตทางการเกษตรโดยไม่ใช้สารเคมี ปุ๋ยเคมี หรือวัตถุสังเคราะห์ใด ๆ ทั้งสิ้น (รวมไปถึงเมล็ดพันธุ์ ข้าวที่ไม่ตัดต่อทางพันธุกรรม) กระบวนการผลิตข้าวไม่มีการใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืช ก่อนการปลูกข้าวจะต้องเตรียมหน้าดินก่อนด้วยวิธีธรรมชาติ ทุกขั้นตอนการผลิตข้าวจะไร้สารปนเปื้อนที่เกิดมนุษย์ จะไม่ผ่านการฉายรังสี ไม่เพิ่มเติมสิ่งปรุงแต่งลงไปในข้าว 




ข้าวหอมมะลิออแกนิคข้าวออแกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิก หรือ "ข้าวเกษตรอินทรีย์"  (Oranic Rice)   ข้าวกล้องหอมมะลิออแกนิก คืออะไร?
1. ส่วนประกอบทุกอย่างล้วนมากจากธรรมชาติ โดยข้าวออแกนิคจะไม่มีการใช้สารสังเคราะห์ใด ๆ ในการเพาะปลูก ข้าวปะกาอำปึลเพื่อสุขภาพ  เลย ข้าวก็จะถูกปลูกและเจริญเติบโตมาด้วยอาหารจากธรรมชาติล้วน ๆ ส่วนข้าวก็จะเป็นการปลูกในนา ไม่ใส่วัตถุสังเคราะห์ใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยวิทยาศาสตร์ และสารเคมีหรือยาฆ่าแมลง ใช้แต่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกจากธรรมชาติในการเพาะปลูกข้าว ส่วนเมล็ดพันธุ์ข้าวที่นำมาเพาะปลูกจะต้องไม่มีตัดต่อพันธุกรรม และต้องมีการเตรียมหน้าดินก่อนการเพาะปลูกข้าวด้วยวิธีธรรมชาติ คือ จะต้องทำให้ปลอดสารพิษไม่น้อยกว่า 3 ปี เหล่านี้จึงเรียกได้ว่าเป็นการสร้างอาหารแบบธรรมชาติอย่างแท้จริง 100% มีกลิ่นหอมตามแบบธรรมชาติ ทุกขั้นตอนในการปลูกข้าวและการแปรรูปข้าวจะต้องอยู่ในมาตรฐานที่ผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานต่าง ๆ ส่วนประกอบทุกอย่างจึงสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีสารพิษตกค้างหรือสารก่อมะเร็ง
2. ข้าวออแกนิคจะไม่มีการใช้สารเคมีใด ๆ เลย ส่วนประกอบทุกอย่างจะต้องมาจากธรรมชาติ เพราะถ้ามีการใช้สารเคมีก็จะไม่ถือว่าเป็นข้าวออแกนิค ซึ่งการไม่ใช้สารเคมีที่ว่านั้นหมายถึง การไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี 
3. ไม่ก่อให้เกิดมลพิษในกระบวนการปลูก  ข้าวอินทรีย์หอมมะลิแดง เพราะข้าวออแกนิคนั้น นอกจากจะมุ้งเน้นให้ผู้บริโภคมีสุขภาพที่ดีแล้ว จุดประสงค์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือการช่วยลดมลพิษให้กับธรรมชาติ เพราะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการใช้สารเคมีต่าง ๆ เช่น ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี หรือสารเร่งการเจริญเติบโตต่าง ๆ นั้นจะก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในดิน ในน้ำ และในอากาศ ซึ่งกว่าจะย่อยสลายไปได้บางทีก็อาจใช้ระยะเวลาเป็นสิบ ๆ ปี ซึ่งวิธีการปลูกข้าวกล้องหอมมะลินิลอินทรีย์ แบบธรรมชาตินี้เองจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยฟื้นฟูธรรมชาติที่เสียไป เพราะนอกจากจะได้รับประทานข้าวที่ปลอดสารพิษแล้ว ยังช่วยลดมลพิษต่าง ๆ ได้ดีอีกด้วย

ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์   ปลูกข้าวกล้องหอมมะลิแดงอินทรีย์
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website : https://xn--22c6bf1bev6bzbun6ssb.net/
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1.  ข้าวกล้องหอมมะลิออแกนิค
2.  ข้าวกล้องอินทรีย์หอมมะลิ
3. ข้าวปะกาอำปึลปลอดสารพิษ
4.  ข้าวผสมหลายสายพันธุ์ปลอดสาร จ.สุรินทร์
5.ข้าวกล้องหอมมะลิแดงอินทรีย์6.  กลุ่มข้าวกล้องหอมมะลินิลอินทรีย์7.  ข้าวไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์


#ข้าวออร์แกนิกสุรินทร์  #ข้าวออแกนิคสุรินทร์  #ข้าวออแกนิกสุรินทร์   #ข้าวอินทรีย์สุรินทร์  #ข้าวสุขภาพสุรินทร์
 

 

 

 

 

 

 

 
 
#2988


​​​วันนี้ (28 ส.ค.64) สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ 'พอช.' มีการบรรยายผ่านระบบซูม (Zoom Meetings) ให้ความรู้เรื่อง 'การทำศูนย์พักคอยในชุมชน' หรือ 'Community Isolation (CI) เพื่อดูแลผู้ติดเชื้อโควิดในชุมชน โดยนายอดิเรก แสงใสแก้ว อุปนายก และเลขาธิการสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย เป็นผู้บรรยายให้ความรู้เรื่องการจัดทำ CI ซึ่งมีผู้นำชุมชนต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ พอช.ประมาณ 50 คนร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนประสบการณ์

นายอดิเรก กล่าวว่า การจัดตั้ง CI จะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น การจัดตั้ง CI ที่เขตราษฎร์บูรณะ ของกรุงเทพมหานคร ซึ่งสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทยได้เข้าไปมีส่วนร่วมวางระบบ ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทเอกชน (ศรีไทยซุปเปอร์แวร์) ให้ใช้โกดังเก็บสินค้าที่ไม่ได้ใช้งาน ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เนื้อที่ประมาณ 2,000 ตารางเมตร มาปรับปรุงเป็น CI โดยติดตั้งเตียงกระดาษ ระบบประปา ไฟฟ้า ระบบระบายอากาศ ระบบน้ำทิ้ง การจัดการขยะติดเชื้อ ห้องอาบน้ำ ห้องสุขา ติดตั้งระบบวงจรปิดดูแลผู้ป่วย เพื่อลดการสัมผัสผู้ป่วย รวมทั้งมีห้องความดันลบสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง ใช้เวลาดำเนินการปรับปรุงพื้นที่ประมาณ 10 วันจึงเปิดบริการได้ โดยมีโรงพยาบาลประชาพัฒน์ดูแลผู้ป่วย รองรับผู้ป่วยได้ประมาณ 300 เตียง และตั้งเป้าว่า CI แห่งนี้จะช่วยเหลือผู้ป่วยได้ประมาณ 10,000 คน
​​
นายอดิเรก กล่าวด้วยว่า การจัดตั้ง CI ในชุมชนนั้น ผู้นำชุมชนจะต้องชี้แจงสร้างความเข้าใจกับชาวชุมชน และท้องถิ่น เพราะบางคนอาจกลัวว่า CI จะเป็นแหล่งแพร่เชื้อ ทำให้เกิดการต่อต้าน และต้องมีการจัดวางระบบเพื่อความปลอดภัย ได้มาตรฐาน และเน้นการใช้วัสดุ อุปกรณ์ที่ชุมชนมีอยู่ หรือสินค้ามือสองมาปรับปรุงเป็นอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อความประหยัด

ทั้งนี้สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ได้ร่วมกับสถาบันพัฒนาองค์กรฯ สนับสนุนการจัดตั้ง CI ในชุมชนต่างๆ โดยล่าสุด มีการจัดตั้งไปแล้วใน 4 ชุมชน เช่น ชุมชนคลองลัดภาชี เขตภาษีเจริญ ชุมชนคลองลำนุ่น เขตคันนายาว ชุมชนรุ่งมณี เขตวังทองหลาง ฯลฯ ทั้งหมดเป็น CI ขนาดเล็กตามสภาพของชุมชน และยังมีการจัดเตรียม CI อีก 4 แห่งในกรุงเทพฯ คือ 1.ชุมชนตึกแดง เขตบางซื่อ ใช้ศูนย์เด็กเล็กในชุมชนเป็น CI ขณะนี้อยู่ในระหว่างปรับปรุง รองรับผู้ติดเชื้อได้ประมาณ 50 คน 2.ชุมชนบ้านมั่นคงสวนพลู เขตสาธร 3.บริเวณลานกีฬาใต้ทางด่วนชุมชนภักดี เขตจตุจักร รองรับ 7 ชุมชนโดยรอบ และ 4. ชุมชนนันทิศา เขตคลองสามวา

ทั้งนี้สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทยจะเป็นที่ปรึกษาในการวางระบบและให้ความรู้ กระบวนการ ขั้นตอน การออกแบบ และจัดทำ CI ส่วนสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ จะสนับสนุนงบประมาณในการปรับปรุงสถานที่ ระบบสาธารณูปโภค การจัดทำครัวกลาง ฯลฯ ขณะที่ชุมชนจะจัดเตรียมสถานที่ อาสาสมัครดูแลผู้ป่วย ประสานกับ สปสช.และศูนย์สาธารณสุข กทม.เพื่อจ่ายยา อุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องวัดอ๊อกซิเจนในเลือด ปรอทวัดไข้ และดูแลผู้ป่วยผ่านระบบ telemedicine หรือให้คำแนะนำผ่านโทรศัพท์ หรือสื่อออนไลน์
#2989


หลักทรัพย์บัวหลวง วิเคราะห์ภาพรวมการลงทุนต่างประเทศครึ่งหลังปี 64 มอง "ตลาดหุ้นสหรัฐ"น่าลงทุน หนุนด้วยตัวเลขจีดีพีที่ขยายตัวแข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น แนะลงทุนระยะยาว ด้วย "ธีม DEAL" พร้อมชวนหาจังหวะสะสม "หุ้นฮ่องกง" หลังปรับฐานลงมาอยู่ในจุดน่าสนใจ และเกาะกระแสการเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนาม ผ่านการลงทุน DR "E1VFVN3001"

นายรัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ ผู้อำนวยการ ฝ่ายหลักทรัพย์ต่างประเทศและฟิวเจอร์ส บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาพรวมการลงทุนต่างประเทศในช่วงครึ่งหลังปี 2564 ว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯที่มีขนาดใหญ่สุดในโลก ด้วยมูลค่าตลาด 50.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตัวเลข ณ วันที่ 20 ส.ค.64) ถือเป็นตลาดที่น่าสนใจ โดยให้น้ำหนักการลงทุน 40% แม้ว่าปัจจุบันค่า P/E Ratio จะอยู่ระดับ 22 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมา ที่อยู่ระดับ 19.5 เท่า เนื่องจากตัวเลขทางเศรษฐกิจมีทิศทางเติบโตแข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ เห็นได้จากตัวเลขไตรมาส 2 ปี 2564 ที่เติบโต 6.5% กลับมาอยู่ในระดับก่อนเกิดโควิด-19 สอดคล้องกับ Bloomberg Consensus ที่คาดการณ์ว่า ในปี 2564 จีดีพีสหรัฐฯ อาจขยายตัวประมาณ 6.5%

ทั้งนี้เป็นผลมาจากการดำเนินมาตรการทางการเงินและการคลังอย่างต่อเนื่องของภาครัฐ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการอนุมัติแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน มูลค่ากว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อนำไปก่อสร้างถนน,ท่าเรือ,ท่าอากาศยาน และการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น รวมถึงการมอบเงินเยียวยาโควิด-19 ให้กับคนอเมริกัน ล่าสุด "โจ ไบเดน" ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกมาเรียกร้องให้ทางการแต่ละรัฐมอบเงินให้กับประชาชนที่เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 คนละ 100 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 3,300 บาท หวังกระตุ้นให้คนออกมาฉีดวัคซีนมากขึ้น หลังโควิด-19 สายพันธุ์เดลตากำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว

"ช่วงนี้อาจเห็นตลาดหุ้นสหรัฐฯ แกว่งตัวในลักษณะ Sideways โดยระหว่างทางอาจมีพักฐานได้ราว 5-10% ก่อนปรับตัวขึ้นต่อ หลังผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (Bond Yield) อายุ 10 ปี อยู่ระดับต่ำ 1.2-1.3% บวกกับกำไรบริษัทจดทะเบียนในดัชนี S&P 500 ที่เติบโต 40% และประชากรในสหรัฐฯ ได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 โดส มากกว่า 50% อย่างไรก็ดีช่วงนี้ต้องจับตาการประชุมที่ Jackson Hole ในวันที่ 26-28 ส.ค.2564 และการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในวันที่ 21-22 ก.ย.นี้ว่า Fed จะยังส่งสัญญาณลด QE ในปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า รวมถึงทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยหลังเศรษฐกิจสหรัฐฯฟื้นตัวได้ดี แม้อาจมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นในบางรัฐ"

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯแนะนำลงทุนระยะยาวด้วย "ธีม DEAL" ซึ่งเป็นธีมใหญ่ของโลกประกอบด้วย 1.Digitalization เน้นลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้ข้อมูล (Data),เทคโนโลยี และการชำระเงินผ่านออนไลน์ โดยหุ้นที่อาจได้ประโยชน์ เช่น หุ้น Visa Inc. (V) บริษัทผู้ให้บริการชำระเงินระดับโลก และหุ้น S&P Global Inc. (SPGI) ผู้ให้บริการข้อมูลทางด้านการเงิน รวมถึงการจัดอันดับเครดิต เป็นต้น

2.Environmental Protection เน้นลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการรักษาสิ่งแวดล้อม หรือแนวคิดเศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งเป็นนโยบายหลักของ "โจ ไบเดน" เช่น กลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า (EV) 3.Aging Society ปัจจุบันสังคมผู้สูงวัยเพิ่มขึ้นมาก ฉะนั้นเราจะเริ่มเห็นหลายประเทศมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น เพื่อรองรับคนกลุ่มดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในระบบสมาร์ทโฮม หรือระบบสมาร์ทซิตี้ เป็นต้น และ 4.Low interest ในยุคดอกเบี้ยต่ำ ตลาดหุ้นยังคงเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุนในระยะยาว เมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่นๆเช่น ตราสารหนี้

นายรัฐศรัณย์ กล่าวถึงมุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกงว่า ถือเป็นอีกตลาดที่ควรหาจังหวะเข้าสะสมหุ้นจีนและฮ่องกง เพื่อลงทุนระยะยาว โดยให้น้ำหนักการลงทุน 20% แม้ช่วงนี้อาจเห็นตลาดผันผวนสูงและอาจมี Downside อีกราว 5-10% หลังรัฐบาลจีนเข้ามากำกับดูแลธุรกิจของภาคเอกชนมากขึ้น ทำให้ในช่วงที่ผ่านมามาร์เก็ตแคปหุ้นเทคฯ จีนลดลง 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยผู้ลงทุนโยกเงินไปซื้อหุ้นเทคฯสหรัฐฯ ดันมาร์เก็ตแคปเพิ่มขึ้น 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงเวลาเดียวกัน แต่เรามองว่า ประเด็นนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนมากนัก เพราะสิ่งที่รัฐบาลจีนทำคล้ายนโยบายประชานิยม ซึ่งจะส่งผลดีต่อประชาชนส่วนใหญ่ในระยะยาว โดย Bloomberg Consensus คาดการณ์ตัวเลขจีดีพีจีนปี 2564 ว่า จะยังเติบโตได้ประมาณ 7-8%

สำหรับหุ้น และ ETF เด่น ในตลาดหุ้นฮ่องกง แนะนำลงทุน 2 ตัวหลักคือ 1.หุ้นตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงหรือ HKEX (388) ที่อาจได้รับประโยชน์จากการที่บริษัทฯ จีน กลับมาจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงมากขึ้นแทนที่การจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และ 2.Premia China STAR50 ETF (3151 HK) ซึ่งเป็น ETF ที่ลงทุนอ้างอิงดัชนี STAR 50 หุ้น A-share 50 ตัวบนกระดาน STAR ของตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ ส่วนใหญ่ประกอบด้วยหุ้นนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน เช่น SMIC ผู้ผลิตชิปชั้นนำของจีน หรือ Kingsoft Office ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ และระบบคลาวด์ ฉายา Microsoft แห่งเมืองจีน คาดว่าการคุมเข้มของทางการจีนจะมีผลกระทบจำกัดต่อดัชนี STAR 50 โดยดัชนีสร้างผลตอบแทนได้ราว 10% นับจากต้นปีที่ผ่านมา (ข้อมูล ณ วันที่ 20 ส.ค.64) ขณะที่ดัชนี Hang Seng TECH มีผลตอบแทนติดลบในช่วงเวลาเดียวกัน จากแรงกดดันในการจัดระเบียบหุ้นกลุ่มนี้จากรัฐบาลจีน

"เวียดนามถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเพิ่มผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว โดยให้น้ำหนักการลงทุน 20% หนุนด้วยเศรษฐกิจที่โตต่อเนื่อง,ดอกเบี้ยนโยบายที่มีโอกาสปรับลดลง และการมีนโยบายคุ้มครองเงินฝากเหมือนไทย ประเด็นเหล่านี้ทำให้คนหันมาลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามมากขึ้น เราแนะนำลงทุน DR "E1VFVN3001" ที่มีหลักทรัพย์รับฝากเป็นกองทุนรวม ETF ที่อ้างอิงดัชนี VN30 สะท้อนหุ้นชั้นนำ 30 บริษัทแรกในเวียดนาม โดยผู้ลงทุนไทยสามารถซื้อขายได้เหมือนหุ้นไทย ผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) อย่างไรก็ดีสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย แนะนำให้น้ำหนักการลงทุนประมาณ 20%"

สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนหุ้นต่างประเทศ เพื่อกระจายการลงทุนลดความเสี่ยงของพอร์ตสามารถเปิดบัญชีหุ้นต่างประเทศออนไลน์กับหลักทรัพย์บัวหลวงได้ที่ www.bualuang.co.th/globalinvesting โดยเรามีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนมากประสบการณ์คอยอัปเดตสถานการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฮ่องกง และเวียดนาม ผ่านรายงานข้อมูลการลงทุนต่างประเทศในรูปแบบต่างๆเป็นประจำทุกวัน ล่าสุดได้เปิด "บริการยื่นข้อมูลภาษีหัก ณ ที่จ่ายจากการลงทุนในหลักทรัพย์สหรัฐฯ" ตัวช่วยรายงานภาษีเงินได้จากการลงทุนในหลักทรัพย์สหรัฐฯ และช่วยลดหย่อนอัตราภาษี จากเงินปันผลที่ได้รับจากการถือหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ในสหรัฐฯ โดยลดลงจาก 30% เป็น 15%
#2990


รายงานล่าสุดของฟอร์เรสเทอร์ ประเมินขีดความสามารถของผู้ให้บริการด้าน AI แสดงให้เห็นว่าเอคเซนเชอร์ได้รับคะแนนสูงกว่าผู้ให้บริการรายอื่น ทั้งในประเภทขอบข่ายการบริการ กลยุทธ์ และฐานะความมั่นคงในตลาด เมื่อเทียบกับผู้ให้บริการทั้งหมด 12 ราย

ผลการสำรวจระบุว่า 'ความสามารถในการส่งมอบของเอคเซนเชอร์นั้น อยู่ในอันดับหนึ่งทุกด้าน รวมถึงความเชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์ AI วัฒนธรรม AI และการประเมินผลกระทบทางธุรกิจ ซึ่งความคิดเห็นที่ได้รับจากลูกค้าก็สอดคล้องไปในแนวทางเดียวกัน โดยมีข้อมูลอ้างอิงจากลูกค้าชี้ว่า เอคเซนเชอร์มีความเชี่ยวชาญเชิงลึกในแต่ละอุตสาหกรรม การส่งมอบบริการที่ราบรื่นตั้งแต่ขั้นจัดทำกลยุทธ์ไปจนถึงขั้นดำเนินการ และสามารถช่วยให้ลูกค้าสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลได้อย่างดีเยี่ยม'


นอกจากนี้ รายงานยังระบุว่า 'เอคเซนเชอร์เป็นผู้ให้บริการเพียงรายเดียวในการสำรวจที่ยังคงร่วมลงทุนกับลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลดี ทำให้มีข้อมูลอ้างอิงในเรื่องปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ซับซ้อน เอคเซนเชอร์จึงเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ หากต้องการผลักดันการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ทั่วทั้งองค์กรด้วย เอไอโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับลูกค้าที่มองหาพันธมิตรร่วมลงทุน ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน' อีกทั้งยังระบุด้วยว่า 'การดูแลของเอคเซนเชอร์นั้น ครอบคลุมทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยมีญี่ปุ่นเป็นตลาดที่แข็งแกร่งที่สุด ตามมาด้วย ออสเตรเลีย/นิวซีแลนด์ (ANZ) และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้/อาเซียน'

เอคเซนเชอร์ได้รับคะแนนสูงสุดตามเกณฑ์ด้านต่าง ๆ ดังต่อไปนี้: ด้านบริการ โดดเด่นเรื่องการติดตั้งปรับใช้ การส่งมอบ และการดำเนินงาน ด้านกลยุทธ์ โดดเด่นเรื่องแผนงานระดับภูมิภาค กลยุทธ์การบริการ โมเดลธุรกิจ การใช้AIในการส่งมอบบริการและเสริมสร้างระบบนิเวศของพันธมิตร และด้านตลาด โดดเด่นเรื่องลูกค้าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รายได้ด้าน AI ในภูมิภาค รวมทั้งการถ่ายทอดและนำเอไอไปใช้ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

นายนนทวัฒน์ พุ่มชูศรี กรรมการผู้จัดการ เอคเซนเชอร์ ประเทศไทย กล่าวว่า 'เรารู้สึกยินดีที่ได้ขึ้นแท่นเป็นผู้นำในรายงานของฟอร์เรสเทอร์ ลูกค้าของเราในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้ให้ความสนใจนำ AI ไปใช้ขับเคลื่อนธุรกิจและช่วยตัดสินใจโดยอิงจากข้อมูล ตลอดจนช่วยแก้ปัญหาที่ซับซ้อนในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งเราจะมุ่งมั่นก้าวต่อไปให้เหนือขีดจำกัด จะพัฒนา AI ให้ก้าวหน้าและพลิกโฉมธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล"
#2991


นางสมฤดี  ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU รายงานมติอนุมัติให้บริษัท บ้านปู เน็กซ์ จํากัด ("Banpu NEXT") ซึ่งเป็นบริษัทย่อยและบริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จํากัด (มหาชน) หรือ BPP  ถือหุ้นในสัดส่วนที่เท่ากันคือร้อยละ 50 เข้าลงทุนในบริษัท บียอนด์ กรีน จํากัด ("BYG") คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 30 ซึ่งเป็นการซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่ออกใหม่ มีมูลค่ารวม 300 ล้านบาท

โดยบริษัท บียอนด์ กรีน จํากัด เป็นผู้แทน จําหน่าย Club Car (รถไฟฟ้าอเนกประสงค์) อย่างเป็นทางการ ซึ่งให้บริการทั้งการขาย เช่า สัมปทานรถไฟฟ้า ในประเทศไทย ลาว และ กัมพูชา ที่สามารถปรับแต่งให้สามารถใช้งานได้ในหลากหลายธุรกิจ นอกเหนือไปจาก สนามกอล์ฟ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมรีสอร์ท โรงพยาบาล โรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น โดยการลงทุนดังกล่าวคาด ว่าจะดําเนินการแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2564

สำหรับผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท บียอนด์ กรีน จํากัด คือ นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ และครอบครัว ซึ่งนายชนินท์ ว่องกุศลกิจ เป็นประธานกรรมการของบริษัทฯ ดังนั้นการเข้าลงทุนใน BYG จึงเป็นรายการที่เกี่ยวโยงกัน

การลงทุนในครั้งนี้เป็นการต่อยอดธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน ตามกลยุทธ์ "Greener & Smarter" ของกลุ่ม บ้านปูในการขยายธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าหรือ E-mobility ให้มีความหลากหลายครอบคลุมกลุ่มลูกค้าในตลาดที่ มีศักยภาพในการเติบโต ถือเป็นอีกหนึ่งฟันเฟื องสําคัญในการเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจซึ่งกันและกัน ผ่าน ความร่วมมือในด้านต่างๆ ในอนาคต ทั้งการวิจัยและพัฒนา (R&D) ริเริ่มนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อให้สามารถพัฒนา สินค้าและบริการ

 รวมถึงการสร้าง platform ในการให้บริการเพื่อการเดินทางที่สะดวกสบาย รองรับเทรนด์การใช้ พลังงานสะอาดแห่งอนาคต สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการผลักดันการดําเนินธุรกิจให้เติบโตอย่าง ยั่งยืน
#2992
111-Lotto 111  ตัวแทนจำหน่าย ล็อตเตอรี่ออนไลน์ รายใหญ่ของ มังกรฟ้าล็อตเตอรี่ออนไลน์  ปรับเปลี่ยนรูปแบบการซื้อล็อตเตอรี่แบบใหม่  ยุค new normal




ไม่ต้องไปหน้าแผง ไม่ต้องเสียเวลาก้มหาเลข ไม่ต้องไปลุ้นว่าจะมีเลขที่อยากได้มั้ย แค่แอดไลน์ หาเรา บอกเลขที่ต้องการ เลขเด็ด เลขดัง แจ้งโอนเงิน จะได้รับ SMS ยืนยัน




ถ้าถูกรางวัลสามารถขึ้นเงินได้จริง ได้รับเงินจริงไม่เกิน 24 ชม โดยปกติใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมงหลังผลสลากกินแบ่งรัฐบาลออกเท่านั้น 

ขั้นตอนการซื้อ ล็อตเตอรี่ออนไลน์ กับเรานั้น ง่ายๆ มาก มี 2 แบบให้เลือกแล้วแต่สะดวก

1. แอดไลน์ @111-lotto หรือคลิกทีนี่ เพื่อ คุยกับแอดมินโดยตรงและทำการสั่งซื้อและโอนเงินผ่านไลน์ มีเจ้าหน้าที่แนะนำทุกขั้นตอน 

111-lotto รีบแอดไลน์เพื่อเลือกเลขรางวัลก่อนใคร

Add Line : @111-lotto





2. สั่งซื้อผ่านระบบ 111-lotto ล็อตเตอรี่ของของมังกรฟ้าล็อตเตอรี่ออนไลน์ ด้วยตัวเอง จะทำที่ไหน เมื่อไหร่ เวลาไหนก็ได้ Add Line : @111-lotto


 


 
#2993


หลังจาก "แวว" สายสุนีย์ จ๊ะนะ นักกีฬาวีลแชร์ฟันดาบสาวไทย คว้าเหรียญทองแดงจากการแข่งขันกีฬา "พาราลิมปิกเกมส์ 2020" ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม โดยนักดาบสาวไทย เอาชนะ โจว จิ้งจิ้ง นักดาบสาวจีน ในรอบชิงอันดับ 3 ไป 15-8 คะแนน พร้อมกับคว้าเหรียญทองแดง

สายสุนีย์ เปิดเผยว่า ขอบคุณแฟนกีฬาชาวไทยทุกคนที่เป็นกำลังใจให้สายสุนีย์ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ สายสุนีย์ทำเต็มที่แล้ว พยายามสุดๆ พยายามเท่าที่ตัวเองซ้อมมา แต่ต้องขอโทษด้วยที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะได้เหรียญทองแต่ทำไม่ได้ แต่ในส่วนของสายสุนีย์ถือว่า เต็มร้อยจริงๆ แล้ว ทำจนสุดกำลัง ทำจนสุดความสามารถที่ตัวเองซ้อมมา ดีใจที่ได้เหรียญกลับเมืองไทย

ในอีก 3 ปีข้างหน้า พาราลิมปิกเกมส์ 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส สายสุนีย์ เคยบอกไว้แล้วว่าจะไปแข่งขันอีก จะนำเอาประสบการณ์ที่กรุงโตเกียว นำไปแก้ไขจุดอ่อนของตัวเอง เราว่าเราพยายามสุดๆ แล้ว แต่มันยังไม่ถึง ตอนนี้บอกตัวเองแล้วว่าจะไปปารีส และจะพยายามมากกว่านี้สองเท่า ฝากแฟนกีฬาชาวไทยช่วยส่งกำลังใจให้เพื่อนๆ นักกีฬาพาราลิมปิกไทยที่ยังไม่แข่งด้วย
#2994


นายแพทย์ กุลธนิต วนรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้พืชสมุนไพรหลายชนิดได้รับความสนใจจากประชาชนมากขึ้นในช่วงนี้ โดยเฉพาะ ฟ้าทะลายโจร ที่งานวิจัยพบว่าสารสำคัญ แอนโดรกราโฟไลด์ ((ANDROGRAPHOLIDE) สามารถต้านการอักเสบของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้

"หลักฐานงานวิจัย ระบุว่า ฤทธิ์หลักๆ ของฟ้าทะลายโจร คือการต้านการอักเสบ สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และสามารถต้านไวรัสขนาดกว้างได้ และการจากการศึกษาในเนื้อเยื้อ พบว่าสามารถยับยั้งเชื้อโควิด-19 ไม่ให้แบ่งตัวมากขึ้น และไม่ให้ไวรัสออกจากเซลล์ไปติดเซลล์อื่นมากขึ้น" นายแพทย์ กุลธนิต วนรัตน์ กล่าว



แต่การกินสมุนไพรฟ้าทะลายโจร หากผู้บริโภคกินไม่ถูกหลัก อาจส่งให้กระทบต่อร่างกายได้ โดยข้อห้ามสำคัญ นายแพทย์ กุลธนิต ระบุว่า ผู้ที่เคยกินฟ้าทะลายโตรแล้วแพ้ หญิงตั้งครรภ์ และ หญิงที่ให้นมบุตร ต้องห้ามใช้เด็ดขาด ส่วนกลุ่มที่ต้องระวังการใช้สมุนชนิดนี้คือ คนไข้ที่มีโรคประจำตัวและได้รับยาในกลุ่ม 7 โรค ได้แก่ โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง, โรคหัวใจและหลอดเลือด, โรคไตวายเรื้อรัง, โรคหลอดเลือดสมอง, โรคอ้วน, โรคมะเร็งและ โรคเบาหวาน ต้องระมัดระวังในการใช้เพราะยาอาจจะไปต้านฤทธิกันได้ ดังนั้น การใช้ฟ้าทะลายโจร ต้องปรึกษาแพทย์ผู้รักษาอย่างเคร่งครัด

ด้าน นางชม้อย ทองลือ ผู้อำนวยการสำนักงานสาขากรุงเทพ บริษัทห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ เซ็นทรัลแล็บไทย ให้ข้อมูลตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องข้อกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสารสกัดฟ้าทะลายโจรผง กำหนดให้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวต้องมีสารสำคัญแอนโดรกราโฟไลด์ (ANDROGRAPHOLIDE) อยู่ในผลิตภัณฑ์ไม่น้อยกว่า 6 % โดยมวลของสารสกัด จึงจะถือว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด ที่สำคัญต้องไม่มีสารพิษ 14-ดีออกซี-11,12ไดดีโฮโดรแอนโดรกราโฟไลด์ (14-DEOXY-11 , 12-DIDEHYDROANDROGRAPHOLIDE) ไม่มากกว่า 15% เพราะอาจทำให้เกิดโทษกับร่างกายได้ ซึ่งการจะรู้ว่าสารดังกล่าวมีปริมาณต่ำหรือสูงกว่าที่มาตรฐานกำหนดหรือไม่นั้น จำเป็นต้องส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคจะนำไปใช้ไม่เกิดโทษ และได้ประโยชน์สูงสุด



"ปัจจุบันพบว่ามีการผลิตภัณฑ์สมุนไพรฟ้าทะลายโจรที่วางขายในตลาดบางผลิตภัณฑ์ไม่ได้มาตรฐานตามที่กำหนด และยังพบว่ามีการปลอมแปลงเลขสารระบบ อย. ซึ่งการตรวจสอบความถูกต้องอาจทำได้ยาก ทั้งนี้ หากผู้ประกอบรวมถึงคนที่ไม่มั่นใจสามารถนำผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมาตรวจหาค่าสารสำคัญ แอนโดรกราโฟไลด์ (ANDROGRAPHOLIDE)ตามที่ระบุไว้ในฉลากกับทางเซ็นทรัลแล็บไทยได้" นางชม้อย ทองลือ กล่าว

นอกจากนี้อันตรายที่จะเกิดจากการใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจเสี่ยงต่อการได้รับการปนเปื้อนเข้าสู่ร่างกาย เช่น ยาฆ่าแมลง สารพิษตกค้าง สารปรอท โลหะหนัก เป็นต้น เนื่องจากสารพิษเหล่านี้จะปลอมปนได้ทุกขั้นตอนการผลิตตั้งแต่ เตรียมแปลงปลูก การผลิตสินค้า จนถึงกระบวนการบรรจุเป็นผลิตภัณฑ์ ทั้งนี้ เซ็นทรัลแล็บไทย ยังสามารถตรวจวิเคราะห์หาสารสำคัญในพืชสมุนไพรอีกหลายชนิด อาทิ กระชายขาว และขมิ้นชัน ดังนั้น ขอให้ผู้บริโภคใส่ใจกับการเลือกผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานผ่านการตรวจสอบจากห้องแล็บ



ผู้อำนวยการสำนักวิจัยการแพทย์แผนไทย ยังแนะนำหลักการกินฟ้าทะลายโจร เพื่อต่อต้านเชื้อโควิด-19 ว่ามีหลัก 3 ถูก 1 คือ ถูกต้อง ถูกขนาด และ ถูกเวลา โดย 1. ถูกต้อง คือต้องกินสมุนไพรหลังจากได้รับการยืนยันว่ามีเชื้อแล้ว ไม่ว่าจะมีอาการ หรือไม่มีอาการรุนแรง 2. ถูกขนาด จากงานวิจัยพบว่า สารสำคัญแอนโดรกราโฟไลด์ (ANDROGRAPHOLIDE) ที่จะสามารถยับยั้งเชื้อโควิด-19 ได้ ต้องได้รับเข้าสู่ร่างกายเป็นจำนวน 180 มิลลิกรัม ต่อวัน เป็นระยะเวลานาน 5 วัน โดยแบ่งออกเป็น 3 เวลา ห่างกัน 8 ชั่วโมง และ 3 ถูกเวลา โดยวิธีการกินฟ้าทะลายโจรที่ได้ผลดีคือกินให้เร็วที่สุดเมื่อเริ่มมีอาการภายใน 24 ชั่วโมง เพราะสารสำคัญจะเข้าไปช่วยลดการแบ่งตัวของเชื้อไวรัส หากได้รับสมุนไพรเร็วเท่าใดยิ่งช่วยยับยั้งเชื้อไวรัสได้มากขึ้น
#2995
นมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet  ชอบหวานน้อย นมเน้นๆ มีแคลเซียม ต้องลอง นมอัดเม็ด milk tablet หลายเจ้าในตลาดมากมาย แต่ทำไมนมอัดเม็ดไทยชอง milk tabletแจ้งเกิดเป็นนมอัดเม็ดดาวรุ่งพุ่งแรง เพราะ ความนัวนม ย้ำว่านัวนมๆจริง และรสชาติหวานน้อย ที่เอาใจคนที่หันมาดูแลตัวเองมากขึ้น รสชาติไม่หวานเลี่ยน การันตีไม่หวานแหลมแสบคอ  นมก็นมแท้ๆแน่นๆ จากนิวซีแลนด์ มี 2 ขนาดให้เลือก 





1.นมอัดเม็ดไทยชอง  milk tablet ขนาด 20 กรัมเป็นรูปซองขวด 1 ซองมี 15 เม็ด ขายปลีกซอง 12 บาท ฮัลโล ไม่แพงน้า รสชาติต้องได้ลอง เลือกคุณภาพ ประโยชน์ และ อร่อยด้วย คุ้มค่า

 

2.นมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet ขนาด 27 กรัม ซองสี่เหลี่ยม ตกซองละ 18 บาท 
จะซื้อแบบกล่อง หรือ ซื้อแบบซองก็ได้ แบบกล่องซื้อไปเป็นของขวัญของใกเก๋ไก๋ ดูดีมีราคา เพราะแพคเกจเค้าน่ารักเว่อร์ 
 


นมอัดเม็ด milk tabletเป็นขนมทีมีประโยชน์นะคะ ทานได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เพราะนมอัดเม็ดไทยชอง milk tabletใช้นมแท้ๆ คุณภาพดีมาเป็นส่วนผสมหลักที่เข้มข้น ทำให้คนทานได้ แคลเซียมและวิตามินบี 2  ใครที่เน้นดูแลเรื่องกระดูกและฟัน และ ลดหวานเพื่อสุขภาพ แนะนำมากๆ กับนมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet

สั่งซื้อ คลิกเลย >>> https://lin.ee/sSGXFCK 
 
#2996


นายพงษ์เทพ วิชัยกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นซีแอล อินเตอร์เนชั่นแนล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (NCL) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ลงนามบันทึกความร่วมมือทางธุรกิจ (MOU) กับบริษัท ไดเมท (สยาม) จำกัด (มหาชน) หรือ DIMET เพื่อใช้บริการขนส่งทางเรือจาก NCL โดยเป็นตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 40 ฟุต จำนวน 200 ตู้ต่อเดือนโดยประมาณ เป็นเวลา 12 เดือน (อ้างอิงค่าขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 40 ฟุต ตามราคาตลาด ณ ปัจจุบัน ซึ่งมีมูลค่าประมาณประมาณ 680,000 บาทต่อตู้ เพื่อจัดส่งสินค้าระหว่างประเทศของบริษัท DIMET โดยราคาตู้คอนเทนเนอร์จะแปรผันตามราคาตลาดโลก

นอกจากนี้ DIMET ยังได้ตกลงจะเช่ารถบรรทุกขนาดเล็กจาก NCL เพื่อใช้ในการขนส่งภายในราชอาณาจักรไทยอีกด้วย

ทั้งนี้ ในส่วนของ NCL มีความประสงค์จะพิจารณาใช้บริการขนส่งทางอากาศจากบริษัทพันธมิตรของ DIMET หรือบริษัทที่ DIMET แนะนำมา ซึ่งเป็นการขนส่งจากราชอาณาจักรไทยไปสู่ไต้หวัน และจากไต้หวันไปสู่ประเทศอื่นทั่วโลก

"การร่วมมือทางธุรกิจกันในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของกลุ่มบริษัทฯ อีกทั้งเป็นการนำจุดแข็งทางธุรกิจของพันธมิตรแต่ละฝ่ายมาร่วมกำลังครั้งสำคัญ เพื่อสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้แก่อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ และจะเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่า NCL ตอบโจทย์ได้อย่างครอบคลุมตั้งแต่การให้คำปรึกษาในการวางแผน และจัดหาวิธีขนส่งที่เหมาะสมที่สุด ที่สำคัญทำให้ลูกค้าสามารถขนส่งได้ตรงตามกำหนดเวลาภายใต้ต้นทุนที่ต่ำที่สุด ผมต้องขอขอบคุณ DIMET ที่ให้ความไว้วางใจเลือก NCL ซึ่งบริษัทฯ ให้คำมั่นจะดูแลและเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันตลอดไป" นายพงษ์เทพ กล่าว
#2997


เป็นอีกหนึ่งนักร้องที่มากความสามารถ สำหรับ "เบิ้ล ปทุมราช" เพราะถึงแม้ วิกฤติโควิด-19 จะทำงานในสายอาชีพนักร้องต้องหยุดชะงักลง แต่หนุ่มเบิ้ลโชคดี กลับมีโอกาส ทำงานในวงการบันเทิงมากขึ้น ทั้งงานละคร กระสือลำซิ่ง ทางช่อง 8 งานพิธีกร และคอมเมนเตเตอร์ ซึ่งเป็นงานที่หนุ่มเบิ้ลบอกว่าไม่ถนัด แต่กระแสตอบรับดีจากแฟน ๆ ไม่แพ้งานนักร้องเลยก็ว่าได้ พร้อมตอบประเด็นดราม่าร้อนฉ่า หลังจากโพสต์ภาพคู่รถป้ายแดง เลยโดนชาวเน็ตแซะว่า รวยแต่ไม่เห็นบริจาคสิ่งของ พร้อมอัพเดทสถานะหัวใจกับน้อง "แครี่ แคโรไลน์" แบบหมดเปลือก ว่าช่วงนี้ยังหวานกันเหมือนเดิมหรือเปล่า มีบทสัมภาษณ์จากหนุ่มคนนี้ มาให้อ่านกัน

มีคนมาแซะเราหลังจากที่เราโพสต์รูปคู่รถป้ายแดง?

จริงๆแล้วมีเยอะนะครับ ส่วนใหญ่คนที่ไปคอนเมนต์ว่า ทำไมคุณรวย คุณมีชื่อเสียง คุณถึงไม่บริจาคของ ผมว่าจริง ๆ แล้ว กลุ่มคนพวกนี้เราต้องดูที่มาที่ไปของเขาด้วย บางคนเขาอาจจะสร้างเฟสบุ๊คเป็นอวตาร เพื่อมาปั่นให้เรารู้สึกว่าอยากโมโหกับเขา แต่บางคนเขาก็อาจจะไม่รู้ว่าเราทำหรือไม่ทำ เพราะฉะนั้นเบิ้ลเชื่อว่า การที่เราทำหรือไม่ทำ เรารู้ตัวเรา เราไม่จำเป็นที่จะไปบอกเขาหรือไปคาดหวังอะไรในตัวผู้อื่น เราทำด้วยตัวของเราเองดีกว่า

สถานการณ์โควิด 19 ตอนนี้ เรื่องของงานเป็นอย่างไรบ้าง ?

ถ้าเป็นเรื่องของคอนเสิร์ต หรือว่าการเล่นดนตรีกลางแจ้ง คอนเสิร์ตในผับหรือว่างานต่างจังหวัดต่างๆ ต้องบอกว่ามีผลกระทบมากครับ เพราะด้วยสถานการณ์ตอนนี้มันไปแสดงไม่ได้ ทีมงานนักดนตรี ทีมงานแดนซ์เซอร์ต่างๆก็จะต้องพัก เหมือนผมก็ต้องพักด้วย

แต่งานในวงการบันเทิงกลับเห็นเบิ้ลมากขึ้น?

ใช้ครับ ถ้าพูดถึงเรื่องงานบันเทิง งานพรีเซนเตอร์ งานซิทคอมละคร งานรายการทีวี คอมเมนเตเตอร์ ก็ถือว่ายังมีเยอะครับ ในปีนี้เป็นปีที่มีโควิด แต่งานบันเทิงมีเยอะกว่าตอนที่ยังไม่มีโควิดเข้ามา เพียงแต่เป็นงานที่เราไม่ได้ถนัด ถ้าเป็นสมัยก่อน คนจะเรียกเบิ้ลว่าเป็นนักร้องในวงการใช่ไหมครับ แต่ตอนนี้เราทำงานจนเรากลายเป็นคนในวงการบันเทิง มันก็เลยทำให้เราได้มีโอกาสได้ทำอะไรหลายอย่างมากขึ้น แล้วคนเขาก็ชอบ อย่างตอนที่ช่วงโควิด 19 ยังไม่หนักขนาดนี้ ผมก็ได้ไปเล่นละครของพี่เชียร์ เรื่องกระสือลำซิ่งทางช่อง 8 กับพี่เค้าด้วย ซึ่งผมกับพี่เชียร์ก็สนิทกันอยู่แล้ว แต่พอเราไปเล่นจริง ๆ ก็ต้องยอมรับว่ายากเหมือนกันแอบเกร็งมาก ๆ ก็ต้องรอติดตามได้รับชมเร็ว ๆ นี้แน่นอน ก็เรียกว่าโอกาสหลากหลายขึ้น และเป็นความสามารถที่ถึงแม้ไม่ถนัด แต่ก็เป็นอีกมุมหนึ่งที่เราก็สามารถทำได้ ก็เลยได้มีเงินเลี้ยงดูครอบครัว ช่วยเหลือนักดนตรี ทีมงาน รวมไปถึงได้ช่วยผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิดที่ลำบากกว่าเรา

เรื่องความรัก เป็นอย่างไรบ้าง ?

แฮปปี้ครับ น้องเขาอยู่ที่นู่นเขาก็สบายดี ยังคุยกันทุกวันครับ แล้วมีโอกาสก็ได้เจอกันที่เมืองไทย แต่ว่า กว่าจะได้เจอก็กักตัว 14 วัน เขาก็มาอยู่ประมาณเดือน สองเดือน เขาก็กลับ แล้วก็ไปกักตัวต่อ

มีแพลนกะแต่งงานเลยมั้ย ?

"แพลนแต่งงาน ยังไม่คิดหรอกครับ เลี้ยงดูตัวเองยังไม่รอดเลย(หัวเราะ) จริงๆการที่จะมีแพลนแต่งงานมันต้องมองถึงอนาคต ทั้งลูก หรืออะไรต่างๆ ทั้งบ้าน ที่อยู่อาศัย การงาน ซึ่งตอนนี้มันยังไม่ลงตัวขนาดนั้น เรายังสนุกกับวงการบันเทิง ยังสนุกกับการทำงาน น้องเขาก็ยังสนุกกับการค้นคว้าชีวิต แล้วก็เป็นคนชอบผจญภัยคล้ายๆกัน ก็เลยคิดว่าถ้าเราแต่งงาน หรือว่าวางแผนอนาคตไว มันอาจจะทำให้เราร่นเวลาความสุขที่จะได้ผจญภัยลงมา ก็เลยยังอยากทำตัวเป็นเด็กก่อนครับ เพราะว่าเราเพิ่ง 25 เองครับ น้องเขาเพิ่ง 21 ครับ"

ฝากความเป็นห่วงถึงทุกคน

"ก็ขอเป็นกำลังใจนะครับ ให้พี่น้องที่ประสบภัยของโควิด 19 ผมเชื่อว่า ณ ตอนนี้ ให้ได้ดีที่สุดคือกำลังใจ ส่วนคนที่มีมากกว่า มีโอกาสหาเงิน มีช่องทางในการกักตุนสิ่งของ หรือการบริจาคต่างๆ ก็อยากให้ช่วยๆกัน อย่างผมเองก็ มีโอกาสทำหลายพื้นที่นะครับ อาจจะมีโพสต์ภาพบ้าง ไม่โพสต์บ้าง บางทีเราทำแต่ไม่กล้าที่จะโพสต์ ผมไม่อยากให้คนมองว่า เราเอาความลำบากเป็นบันไดแห่งการสร้างคอนเทนต์ประมาณนี้ครับ มันอยู่ที่จิตใจของเรา ผมเชื่อว่า ถ้าเราทำภาพที่ดีแล้วช่วยเหลือประชาชน ผมว่าทำไปเถอะครับ มันไม่มีใครว่าเราได้ ก็เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะครับ"
#2998


นายชนะพันธุ์ พิริยะพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที คิว อาร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TQR ผู้ให้บริการนายหน้าประกันภัยต่อ (Reinsurance Broker) แบบครบวงจร เปิดเผยถึงการจัดตั้งบริษัท อาร์สแควร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับบริษัท คอร์สสแควร์ จำกัด โดย TQR ถือหุ้นในสัดส่วน 55% เพื่อประกอบธุรกิจให้บริการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อการศึกษา และการเรียนรู้ออนไลน์ (Online Learning Solutions) โดยมีการนำเทคโนโลยีที่สามารถระบุตัวตนผู้ใช้งานหรือ Face Detection and Face Recognition มาใช้งาน ซึ่งจะเป็นเทคโนโลยีที่สามารถช่วยในการตรวจสอบ และระบุตัวตนผู้เข้าอบรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ เทคโนโลยีดังกล่าวได้มีการนำมาพัฒนาใหม่ให้มีความเหมาะสมกับรูปแบบการใช้งานของบริษัทฯ ซึ่งอยู่ในขั้นตอนของการดำเนินการจดแจ้งลิขสิทธิ์เทคโนโลยีต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา และคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในไตรมาส 3/2564

"ธุรกิจใหม่ถือเป็นการต่อยอดธุรกิจนายหน้าประกันภัยต่อ โดยจะเป็นธุรกิจที่ให้บริการ และพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาสำหรับการอบรมผ่าน web application ที่จะทำให้การเข้ารับการอบรมสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา โดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องสถานที่ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนได้มาก ขณะเดียวกัน ยังมีเทคโนโลยีที่ใช้ในการช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เข้าอบรม (Learner behavior) เข้ามาเสริมอีกด้วย ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ของผู้เข้าอบรมให้มากยิ่งขึ้น ขณะที่เทคโนโลยีที่นำมาใช้มีความซับซ้อน ดังนั้น ผู้ที่จะสามารถพัฒนาเทคโนโลยีได้ต้องเป็นผู้มีความรู้ความเข้าใจ และความเชี่ยวชาญเท่านั้น"

นายชนะพันธุ์ กล่าวอีกว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายลูกค้ากลุ่มแรกจะเป็นกลุ่มบริษัทประกันภัยและหน่วยงานฝึกอบรมต่างๆ ที่ให้บริการจัดการอบรมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจประกันภัย ซึ่งปัจจุบันเริ่มมีลูกค้าได้แสดงความสนใจแล้ว โดยคาดว่าจะมีจำนวนผู้เข้ามาใช้งานในเทคโนโลยีใหม่ไม่ต่ำกว่า 20,000 คน ดังนั้น จึงน่าจะช่วยสร้างรายได้เพิ่มให้บริษัทฯ และคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 4/2564 ซึ่งมั่นใจว่าธุรกิจใหม่จะช่วยสนับสนุนทั้งรายได้และกำไรให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งในระยะยาว

นางยุพเรศ พิริยะพันธุ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที คิว อาร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TQR กล่าวว่า แนวโน้มธุรกิจให้บริการและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษายังมีโอกาสเติบโตได้ดี เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังไม่คลี่คลาย ประกอบกับองค์กร หน่วยงานต่างๆ รวมถึงผู้บริโภคมีการปรับตัวในการใช้ระบบออนไลน์ในการทำงานมากขึ้น รวมถึงการขยายตัวของอาชีพตัวแทน นายหน้าประกันภัยในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนผู้ถือใบอนุญาตตัวแทน นายหน้าประกันภัยประมาณ 500,000 คน โดยการได้รับใบอนุญาตนั้นต้องได้รับการอบรมและการสอบใบอนุญาต รวมถึงการอบรมเพื่อต่อใบอนุญาตจากสมาคมนายหน้าประกันภัยไทย หรือบริษัทประกันภัยอีกด้วย

"เรามองเห็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจใหม่ จึงได้นำเทคโนโลยี Face Detection and Face Recognition เข้ามาใช้ในอุตสาหกรรมประกันภัย เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และในอนาคต คาดว่าจะพิจารณาขยายการให้บริการไปสู่ภาคธุรกิจอื่นๆ ที่มีความต้องการจัดการอบรมและการเรียนการสอน เช่น การอบรมการทำใบขับขี่ การเรียนการสอนในมหาวิทยาลัย และการพัฒนาบุคลากรในองค์กรต่างๆ เป็นต้น ซึ่งเชื่อมั่นว่าการลงทุนในครั้งนี้จะช่วยผลักดันผลงานให้เติบโตอย่างมั่นคง"

อนึ่ง การจัดตั้งบริษัทร่วมทุนภายใต้ชื่อ บริษัท อาร์สแควร์ จำกัด โดยร่วมทุนกับบริษัท คอร์สสแควร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำที่มีความเชี่ยวชาญด้าน Online Learning Platform ที่มีความต้องการเติบโตต่อเนื่อง เพื่อประกอบธุรกิจให้บริการและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาและการเรียนรู้ออนไลน์ (Online Learning Solutions) และระบบระบุตัวตนผู้ใช้งาน (Face Detection and Face Recognition)
#2999


บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (โออาร์) รับรางวัล เวิลด์ แบรนดิ้ง อวอร์ด (World Branding Awards) ในฐานะแบรนด์แห่งปี (Brand of the Year : National Tier 2020-2021) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 สำหรับ แบรนด์ พีทีที สเตชั่น (PTT Station) และแบรนด์ คาเฟ่ อเมซอน (Café Amazon) โดยทั้ง 2 แบรนด์ถือเป็นแบรนด์ไทยเพียงแบรนด์เดียวที่ได้รับรางวัลในหมวดธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน (Petrol/Gas Category) และหมวดธุรกิจกาแฟ (Retailer-Coffee Category) ตามลำดับ ถือเป็นอีกหนึ่งความภูมิใจของ โออาร์ ในการมุ่งมั่นพัฒนาต่อยอดความสำเร็จของโมเดลธุรกิจในประเทศเพื่อก้าวสู่สากลจนเป็นที่ยอมรับในเวทีชั้นนำระดับโลก และแสดงถึงศักยภาพและความพร้อมของ โออาร์ ในการนำพาแบรนด์ไทยไปเติบโตในต่างประเทศ สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ และความภาคภูมิใจให้กับคนไทย และเป็นไปตามกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจของ โออาร์ ที่มุ่งเน้นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจพลังงานแบบผสมผสาน ตอบโจทย์คนเดินทางในทุกรูปแบบ รวมถึงการสร้างทางเลือกสำหรับการดำเนินชีวิตที่ครบวงจรเพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์

ทั้งนี้ รางวัล เวิลด์ แบรนดิ้ง อวอร์ด (World Branding Awards) เป็นรางวัลที่มอบให้กับแบรนด์ชั้นนำจากทั่วโลก โดยมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของ เวิลด์ แบรนดิ้ง ฟอรั่ม (World Branding Forum) เป็นผู้ตัดสิน ด้วยหลักเกณฑ์ 3 ด้าน ได้แก่ การประเมินคุณค่าของแบรนด์ (Brand Valuation) การได้รับการยอมรับจากสาธารณชนผ่านระบบออนไลน์ และผลการวิจัยผู้บริโภคในตลาดนั้น ๆ

ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจน้ำมันของ โออาร์ ครองส่วนแบ่งตลาดรวมน้ำมันเป็นอันดับ 1 ในประเทศมายาวนานกว่า 27 ปี โดยมีธุรกิจที่โดดเด่น ได้แก่ สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ซึ่งมีจำนวนสถานีบริการน้ำมันครอบคลุมทั่วประเทศรวมกว่า 2,024 แห่ง และในประเทศลาว กัมพูชา ฟิลิปปินส์ และเมียนมา รวมกว่า 343 แห่ง อีกทั้งยังมีธุรกิจร้านกาแฟ คาเฟ่ อเมซอน ที่ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็นอย่างดี โดยมีจำนวนสาขาในประเทศรวมกว่า 3,432 สาขา และในประเทศลาว กัมพูชา ฟิลิปปินส์ เมียนมา สิงคโปร์ มาเลเซีย จีน ญี่ปุ่น โอมาน และเวียดนาม รวมกว่า 297 สาขา
#3000


วันนี้ (24 ส.ค.) จากการที่สำนักงาน คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ได้ผุดโครงการสนับสนุนการเรียนออนไลน์ให้แก่นักเรียน นักศึกษาทุกระดับในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่อนุบาล ประถมศึกษา มัธยมศึกษา ไปจนถึงการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) โดยจัดโปรเน็ต 79 บาทเป็นระยะเวลา 2 รอบบิลตั้งแต่ 15 ส.ค.-15 ต.ค.2564 เพื่อส่งเสริมการศึกษาออนไลน์และลดภาระค่าใช้จ่ายให้ครัวเรือนในช่วงสถานการณ์โควิด โดยกระทรวงศึกษาจะเป็นผู้รวบรวมข้อมูลเลขหมายโทรศัพท์ หรือ อินเทอร์เนตบรอดแบนด์จากโรงเรียนต่างๆ ในสังกัดนำส่ง กสทช. ซึ่งคาดว่าจะมีเด็กนักเรียนเข้าร่วมโครงการกว่า 6 ล้านคน ใช้งบกว่า 1,200 ล้านบาทนั้น

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวในวงการโทรคมนาคม เปิดเผยว่า ล่าสุด สำนักงานกสทช.ได้สั่งชะลอการดำเนินโครงการดังกล่าวออกไป เนื่องจากตรวจสอบพบว่า รายชื่อนักเรียน นักศึกษาทุกระดับชั้นที่ส่งมายัง กสทช.มีหลายแห่งที่พบความผิดปกติ โดยพบว่า ทั้งโรงเรียนมีการลงทะเบียนใช้ซิมบรอดแบนด์จากค่ายมือถือรายหนึ่งเพียงรายเดียวทั้งโรงเรียน ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้

เพราะตามปกตินักเรียน หรือผู้ปกครองที่ต้องซื้อให้ลูกหลานจะซื้อซิมกระจายไปยังค่ายมือถือต่างๆ ตามโปรโมชั่นที่แต่ละค่ายให้ไป จึงเป็นไปไม่ได้ที่โรงเรียนใดจะเหมาซิมมาแจกจ่ายให้กับนักเรียนในสังกัดแบบ 100% จึงเชื่อว่า น่าจะมีการตุกติกหรือทุจริตเกิดขึ้น กสทช.ขอให้ทางกระทรวงศึกษาตรวจสอบรายชื่อผู้ได้รับสิทธิ์ อีกครั้ง เนื่องจากเกรงว่าจะถูกครหาว่าเอื้อประโยชน์ให้แก่เอกชนบางราย เพราะแพ็คเกจสนับสนุนและช่วยเหลือนักเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการครั้งนี้ เป็นโครงการ ที่กระจายไปยังผู้ประกอบการโทรคมนาคมทุกรายตามสัดส่วน market Share ในตลาด โดยไม่ได้เจาะจงหรือจำกัด ให้ใช้ซิมของค่ายใดค่ายหนึ่ง จึงทำให้ยอดนักเรียนนักศึกษาที่ได้รับสิทธิ์ ในโครงการนี้ เฟสแรก ณ วันที่ 18 สิงหาคม มีเพียง 3 % เท่านั้นจากจำนวนรายชื่อที่กระทรวงศึกษาส่งมากว่า 3 ล้านรายชื่อ ส่งผลทำให้นักเรียนไม่ได้รับผลประโยชน์ตามไทม์ไลน์ที่วางไว้

แหล่งข่าวกล่าวด้วยว่า จากการตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกของ กสทช.พบว่า มีบริษัทสื่อสารโทรคมนาคมรายหนึ่งที่อยู่ในเครือกลุ่มทุนยักษ์ที่รับรู้กันดีว่ากำลังรุกกินรวบทุกธุรกิจในไทยได้อาศัยช่วงที่กสทช.กำลังเตรียมการส่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดลงพื้นที่ เพื่อทำการแจกซิมอินเทอร์เน็ตฟรีให้แก่โรงเรียนต่างๆ โดยอ้างว่า เป็นโครงการความร่วมกับ กสทช.และต้องใช้ซิมดังกล่าวเท่านั้น จึงจะลงทะเบียน access โดยได้รับการอุดหนุนค่าใช้จ่ายเน็ตจากโครงการดังกล่าวได้ ทำให้ผู้บริหารโรงเรียนหลายแห่งหลวเชื่อส่งรายชื่อนักเรียนไปให้มือถือค่ายนี้แก้ไขศิมที่ใช้ เพื่อปรับเปลี่ยนมาใช้ซิมมอถือหรือซิมเน็ตบรอดแบนด์ของตนแทน เพื่อหวังจะกินรวบโครงการนี้ที่ครดว่าจะมีนักเรียนนักศึกษาได้รับอานิสงทั้งหมดร่วม 6 ล้านราย

"เป็นไปได้อย่างไร ที่ทั้งโรงเรียนจะใช้ซิมอินเทอร์เน็ตจาก Operator ค่ายใด ค่ายหนึ่งกันทั้งโรงเรียน ทำให้เห็นว่าแม้แต่ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจที่ผู้คนตลอดจนนักเรียนนักศึกษากำลัง เดือดร้อนขายมือถือค่ายนี้ก็ยังสบช่องหากินบนความทุกข์ร้อนของประชาชนได้ ล่าสุดกสทช.มีการเรียกประชุม Operator ทุกราย พร้อมแจ้งปัญหาที่เกิดขึ้นให้รับทราบ และแจ้งเตือนให้ Operator บางรายที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม หยุดการกระทำที่จะส่งกระทบกับแผนการดำเนินงานของมาตรการสนับสนุนอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์สำหรับการเรียนออนไลน์แล้ว"

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวเผยว่า แม้กสทช.จะสั่งชะลอการดำเนินโครงการออกไป จนทำให้เกิดช่องว่างขึ้น Operator รายนี้ก็ยังฉกฉวยประโนชน์โดยงัดเอาโปรโมชั่นที่ตัวเองทำร่วมกับ กสทช. ออกมาขายเพิ่มเติม จนสร้างความสับสนในตลาด เพราะผู้บริหารของโรงเรียนหล่ยแห่งกลัวจะโดนหางเลขหากมีการตรวจสอบย้อนหลังโครงการนี้ และพบว่ามัการสอดมส้นำเอาซิมบรอดแบนด์ของค่ายมือถือบางรายเข้ามาสวมสิทธิ์ให้กับเด็กนักเรียนในโครงการ