• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Jessicas

#2981


เมื่อวันที่ 19 ส.ค. OnlyFans ผู้ให้บริการคอนเทนท์ภาพและวิดีโอแบบสมัครสมาชิก ประกาศปรับกลยุทธ์ธุรกิจครั้งสำคัญ โดยจะไม่อนุญาตให้เหล่าครีเอเตอร์สร้าง "เนื้อหาทางเพศโจ่งแจ้ง" (sexually explicit) อีกต่อไป ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.นี้

อย่างไรก็ตาม OnlyFans ที่มีสำนักงานใหญ่ในกรุงลอนดอน เผยว่า จะยังอนุญาตให้ครีเอเตอร์โพสต์เนื้อหา "นู้ด" หรือภาพเปลือยเชิงศิลปะ ตราบใดที่ไม่ขัด "นโยบายการใช้งานที่ยอมรับได้" ของแพลตฟอร์ม

แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่า จะใช้เกณฑ์ใดพิจารณาว่าโพสต์ไหนมีเนื้อหาทางเพศโจ่งแจ้ง หรือจะมีผลในทางปฏิบัติอย่างไร ซึ่ง OnlyFans บอกเพียงว่าจะชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติมในภายหลัง

เงื่อนไขการบริการของ OnlyFans ระบุข้อห้ามไว้หลายข้อ รวมไปถึงเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับบุคคลอายุต่ำกว่า 18 ปี และเนื้อหาที่ผิดกฎหมายอื่น ๆ หรือมีความรุนแรงด้วย


"เรายังคงทุ่มเทเพื่อชุมชนของผู้ใช้งาน 130 ล้านคนและครีเอเตอร์กว่า 2 ล้านคนที่สร้างรายได้กว่า 5,000 ล้านดอลลาร์บนแพลตฟอร์มของเราต่อไป" OnlyFans แถลง

มุ่งสู่ถนนสายใหม่

OnlyFans ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสุดฮิตมานานสำหรับเหล่าดาราหนังผู้ใหญ่ (AV) ที่ต้องการสร้างรายได้จากการแสดง ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในช่วงการระบาดใหญ่ของโควิด-19 เนื่องจากบรรดาคนดังที่ขายความเซ็กซี่และผู้ค้าบริการทางเพศ (sex worker) หันมาใช้แพลตฟอร์มนี้เข้าถึงกลุ่มผู้ใช้งานในออนไลน์กันมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือน OnlyFans เตรียมช่องทางทำมาหากินใหม่เอาไว้แล้ว เพื่อขยายกลุ่มผู้ชมนอกเหนือจากกลุ่มที่นิยมคอนเทนท์ผู้ใหญ่

เมื่อเร็ว ๆ นี้ OnlyFans ได้เปิดตัวเว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นบริการสตรีมมิงแบบไม่เสียเงิน ชื่อว่า "OFTV" ซึ่งจะไม่เน้นนำเสนอคอนเทนท์ 18+ เหมือนกับแพลตฟอร์มเดิม แต่จะเสนอคอนเทนท์ที่ดูได้อย่างปลอดภัยในที่ทำงาน เช่น คลิปทำอาหาร เล่นดนตรี เล่นโยคะ หรือออกกำลังฟิตกล้าม 


แม้ผู้สร้างคอนเทนท์เหล่านี้ยังมีอยู่บ้างใน OnlyFans แต่ก็เป็นเพียงส่วนน้อย และไม่ใช่จุดขายของแพลตฟอร์มที่ให้สมาชิกจ่ายเงินเพื่อดูเนื้อหา "ลับเฉพาะ" หรือ 18+ ซึ่งเป็นหมวดที่ได้รับความนิยมที่สุด

การขยายแนวคอนเทนท์ของ OnlyFans มายัง OFTV ซึ่งมีครีเอเตอร์คุ้นตาจาก OnlyFans กว่า 100 คน นอกจากจะช่วยเพิ่มฐานผู้ชมแล้ว ยังเป็นการแข่งขันกับแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ เช่น "Facebook" ที่เปิดให้เหล่าครีเอเตอร์สร้างรายได้ออนไลน์บนแพลตฟอร์มตัวเองเช่นกัน

"พันธมิตร-ทุน" ตีตัวห่าง 18+

ถึงแม้เนื้อหาผู้ใหญ่ หรือ 18+ เป็นแม่เหล็กดึงดูดรายได้และผู้ใช้จำนวนมากมาตลอดช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่สตาร์ทอัพสัญชาติอังกฤษให้เหตุผลถึงการตัดสินใจแบนคอนเทนท์โป๊เปลือยว่า "ทำตามคำขอจากบรรดาพาร์ทเนอร์" ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านธนาคารและการชำระเงิน


"เพื่อรับประกันความยั่งยืนในระยะยาวของแพลตฟอร์ม และให้สามารถสร้างชุมชนสำหรับครีเอเตอร์และแฟน ๆ ต่อไปได้ เราจึงต้องปรับหลักเกณฑ์ด้านเนื้อหาของเราใหม่" แถลงการณ์ของ OnlyFans ระบุ

แหล่งข่าวใกล้ชิดเผยกับเว็บไซต์วอลล์สตรีทเจอร์นัลว่า ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา OnlyFans อยู่ระหว่างการระดมทุน และนักลงทุนหลายรายต่างเลี่ยงลงทุนในธุรกิจที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องเชิงลบทางเพศ รวมถึงสื่อลามกด้วย

ขณะที่เว็บไซต์แอกซิออส (Axios) ระบุว่า นักลงทุนจำนวนมากตีตัวห่างจาก OnlyFans เพราะมีความกังวลเกี่ยวกับ "เนื้อหาผู้ใหญ่" กองทุนร่วมลงทุน (เวนเจอร์ ฟันด์) บางราย ถูกห้ามลงทุนในเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาทางเพศ เนื่องจากทำข้อตกลงกับนักลงทุนสถาบันของตนไว้

นอกจากนี้ ความเคลื่อนไหวล่าสุดของ OnlyFans เกิดขึ้นหลังจากในปีที่แล้ว "มาสเตอร์การ์ด" และ "วีซ่า" 2 ผู้ให้บริการด้านการชำระเงินรายใหญ่ตัดสัมพันธ์กับเว็บไซต์หนังผู้ใหญ่ยอดนิยมอย่าง "Pornhub"

เว็บไซต์ AV ชื่อดังเผชิญข้อกล่าวหาว่าเป็นแหล่งแพร่คลิปที่มีเนื้อหาการมีเซ็กซ์กับผู้เยาว์ การข่มขืน และคลิปอนาจารแก้แค้นอดีตคนรัก

อย่างไรก็ตาม Pornhub ปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าเว็บไซต์ปล่อยให้เนื้อหาล่วงละเมิดทางเพศเด็ก และได้ปรับกฎเข้มให้งวดขึ้นโดยห้าม "ผู้ใช้ที่ไม่ยืนยันตัวตน" อัพโหลดคลิปวิดีโอ หวังช่วยลดข้อครหานี้

โกยรายได้หมื่นล้านช่วงโควิด

จุดเริ่มต้นของ OnlyFans เกิดขึ้นจากการก่อตั้งเว็บไซต์เมื่อปี 2559 โดย "ทิม สโตคลีย์" นักธุรกิจชาวอังกฤษ และนั่งเก้าอี้ซีอีโอบริษัทถึงปัจจุบัน สื่ออังกฤษบางรายอย่าง The Sunday Times ตั้งฉายาให้สโตคลีย์ว่า "ราชาแห่งสื่อลามกโฮมเมด"


- ทิม สโตคลีย์ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ OnlyFans -

เดิมนั้น เจ้าของ OnlyFans คือ บริษัทฟีนิกซ์ อินเตอร์เนชันแนล ลิมิเต็ด (Fenix International Limited) ของสโตคลีย์ ก่อนจะขายหุ้น 75% ใน OnlyFans ให้กับเลียวนิด รัดวินสกี นักธุรกิจสื่อลามกชาวยูเครน-อเมริกัน เมื่อปี 2561

OnlyFans รายงานผลประกอบการมีรายได้สุทธิ 375 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1.25 หมื่นล้านบาทในปีที่แล้ว ซึ่งเริ่มมีการระบาดของโควิด-19 ทั่วโลก

บริษัทคาดการณ์ว่า ในปี 2564 จะมีรายได้เพิ่มเป็น 1,200 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 4 หมื่นล้านบาท และภายในปี 2565 น่าจะโกยรายได้สูงขึ้นอีกเป็น 2,500 ล้านดอลลาร์ (ราว 4 หมื่นล้านบาท)


กว่า 50% ของรายได้ OnlyFans นับถึงสิ้นเดือน มี.ค. 2564 มาจากส่วนแบ่งการสมัครรับคอนเทนท์ของผู้ใช้ ขณะที่อีกกว่า 30% มาจากการแชท และส่วนที่เหลือมาจากทิป/สตรีม และโพสต์ที่เสียค่าโฆษณาสำหรับบัญชีที่เปิดให้ชมคอนเทนท์ฟรี

ขณะที่บรรดาครีเอเตอร์ใน OnlyFans ที่มีรายได้โดยตรงจากผู้ชม ก็รับทรัพย์หลักล้านบาทต่อปี มีรายงานว่า ครีเอเตอร์กว่า 300 คนโกยรายได้อย่างน้อย 1 ล้านดอลลาร์ (ราว 33.3 ล้านบาท) ต่อปีและครีเอเตอร์ราว 1.6 หมื่นคนโกยรายได้อย่างน้อย 5 หมื่นดอลลาร์ (ประมาณ 1.66 ล้านบาท) ต่อปี

ปัจจุบัน OnlyFans ยังคงอยู่ในช่วงการระดมทุน เว็บไซต์บลูมเบิร์กรายงานว่า บริษัทตั้งเป้าระดมทุนให้ได้มูลค่ากว่า 1,000 ล้านดอลลาร์

-------------

อ้างอิง: Bloomberg, CNBC, Axios, Reuters, WSJ
#2982


นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 17 ส.ค.2564 ที่ผ่านมา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เห็นชอบข้อเสนอการจัดตั้งกองทุน FTA ของคณะทำงานพิจารณาแนวทางการพัฒนากองทุนช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า ที่มีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน และได้ส่งเรื่องถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแล้ว เพื่อขอให้นำเรื่องการขอจัดตั้งกองทุน FTA ของกระทรวงพาณิชย์ เข้าสู่การพิจารณากลั่นกรองของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนของกระทรวงการคลัง เพื่อพิจารณาเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์จะดำเนินกระบวนการรับฟังความเห็นต่อร่าง พ.ร.บ.จัดตั้งกองทุน FTA ก่อนเสนอครม. ตามกระบวนการตรากฎหมายด้วย

สำหรับกองทุน FTA ที่เสนอจัดตั้ง มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก FTA ทั้งภาคการผลิตสินค้าเกษตร อุตสาหกรรม และภาคบริการ โดยจะให้ความช่วยเหลือใน 2 รูปแบบ คือ เงินจ่ายขาด เช่น การวิจัยพัฒนา การจัดหาที่ปรึกษา การฝึกอบรม กิจกรรมที่สนับสนุนการตลาด และเงินกู้ยืม เช่น เงินลงทุน ค่าใช้จ่ายหมุนเวียน โดยจะดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานทั้งรัฐ เอกชน เกษตร วิชาการ และธนาคาร เพื่อเป็นตัวกลางให้กับกลุ่มผู้ขอรับความช่วยเหลือในการช่วยเขียนโครงการและเสนอโครงการมายังกองทุน

ส่วนที่มาของเงินกองทุนส่วนใหญ่ จะขอทุนประเดิมจากรัฐบาล 5,000 ล้านบาท และจากงบประมาณประจำปี 120-150 ล้านต่อปี และกองทุนจะมีการพิจารณาจัดเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้ที่ได้ประโยชน์จาก FTA ทั้งผู้ส่งออก ผู้นำเข้า และผู้ประกอบการในภาคการผลิตและภาคบริการ ซึ่งในเบื้องต้นได้มีข้อเสนอให้จัดเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้ขอใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าที่ประสงค์จะใช้สิทธิพิเศษทางภาษีสำหรับการส่งออกภายใต้ FTA โดยคำนึงถึงความเหมาะสมและไม่เป็นภาระเกินความจำเป็นต่อภาคเอกชน

ทั้งนี้ การผลักดันจัดตั้งกองทุน FTA เป็นไปตามนโยบายของนายจุรินทร์ ที่ได้เล็งเห็นถึงปัญหาจากการทำ FTA ที่แม้จะช่วยสร้างความได้เปรียบทางการค้า แต่ก็มีความท้าทาย เนื่องจากด้านหนึ่งมีผู้ได้ประโยชน์ อีกด้านหนึ่งก็มีผู้ที่ได้รับผลกระทบ และจากการลงพื้นที่รับฟังความเห็นที่ผ่านมาของกระทรวงพาณิชย์ พบว่ามีเสียงเรียกร้องและข้อเสนอแนะจากภาคส่วนต่าง ๆ ให้รัฐมีการจัดตั้งกองทุน FTA อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก FTA ให้สามารถปรับตัวรับมือกับการแข่งขันในตลาดการค้าเสรี จึงได้มีการตั้งคณะทำงานพิจารณาแนวทางการพัฒนากองทุนช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า มีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน และมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชนร่วมเป็นคณะทำงาน เพื่อร่วมกันหาแนวทางและจัดทำข้อเสนอการจัดตั้งกองทุน FTA

ปัจจุบัน ไทยมีความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) จำนวน 13 ฉบับ กับ 18 ประเทศและเขตเศรษฐกิจ ได้แก่ อาเซียน จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี และเปรู และความตกลง RCEP ที่กำลังจะมีผลใช้บังคับในปีหน้า จะเป็นฉบับที่ 14 ของไทย

รายงานข่าวจากกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ระบุว่า การจัดตั้งกองทุน FTA อย่างเป็นรูปธรรม จะเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นต่อการจัดทำ FTA เพื่อขยายโอกาสทางการค้าและรักษาความสามารถในการแข่งขันของไทย และเตรียมความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบแก่ทุกภาคส่วน ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 178 ที่ได้กำหนดให้มีการเยียวยาที่จำเป็นอันเกิดจากผลกระทบทางด้านนี้
#2983


นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ปัญหาการส่งออกลำไยในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี โดยเป็นประธานการประชุมการแก้ไขปัญหาด้านผลผลิตทางการเกษตร (ลำไย) พร้อมด้วย นายฤหัส ไชยศักดิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี นายสมบัติ ตงเต๊า รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร นายชลธี นุ่มหนู ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6 หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ผู้ประกอบการโรงคัดบรรจุ และตัวแทนเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ เข้าร่วมประชุม และผ่านระบบ Zoom Meeting ณ ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดจันทบุรี ว่า

 

 จากปัญหาการตรวจพบศัตรูพืช (เพลี้ยแป้ง)ในลำไยผลสดจากไทยที่ส่งออกไปจีน ทำให้สำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (General Administration of China Customs: GACC) ได้ระงับการส่งออกชั่วคราวโรงคัดบรรจุ 66 แห่ง เป็นโรงคัดบรรจุในเขตภาคตะวันออก ในจังหวัดจันทบุรี 28 แห่ง และจังหวัดสระแก้ว 1 แห่ง

           ทั้งนี้ ทางการจีนขอให้กรมวิชาการเกษตรสอบสวนหาสาเหตุ และกําหนดมาตรการควบคุมให้ทางการจีนพิจารณา ซึ่งเป็นเรื่องสําคัญและเร่งด่วน เนื่องจากใกล้ฤดูกาลเก็บเก่ียวลําไยของจังหวัดจันทบุรี ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรชาวสวนลําไยเป็นจํานวนมาก กรมวิชาการเกษตร สํานักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตท่ี 6 นายกสมาคมการค้าและการท่องเท่ียวชายแดนไทย-กัมพูชา จันทบุรี และนายกสมาคมชาวสวนลําไยจันทบุรี ได้ร่วมกันหามาตรการป้องกันเสนอให้ทางการจีนพิจารณา เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการตรวจพบศัตรูพืชอีก ซึ่งขณะนี้ทางการจีนได้มีการผ่อนผันปลดล็อค ให้สามารถส่งออกได้แล้ว


รมช.มนัญญา กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลการเจรจาทำให้ทางการจีนอนุญาตให้โรงคัดบรรจุ 50 แห่ง จาก 66 แห่ง ที่มีความถี่ในการตรวจพบศัตรูพืชค่อนข้างต่ำสามารถส่งออกลำไยไปจีนได้ และอนุญาตให้โรงคัดบรรจุอีก 6 แห่ง จาก 9 แห่ง ที่ไทยได้ระงับเองเป็นการชั่วคราวเมื่อเดือน มี.ค.2564 มีการปรับปรุงแก้ไขเป็นไปตามเงื่อนไขที่จีนกำหนด สามารถส่งออกได้เช่นเดียวกัน รวมทั้งสิ้นมีโรงคัดบรรจุ 56 แห่ง ที่ได้รับอนุญาตให้ส่งออกไปจีนในครั้งนี้ มีผลตั้งแต่วันที่ 17 ส.ค. 2564 สำหรับโรงคัดบรรจุในเขตพื้นที่ภาคตะวันออก มีจำนวนทั้งสิ้น 93 แห่ง สามารถส่งออกไปจีนได้ จำนวน 88 โรง และยังคงถูกระงับการส่งออกชั่วคราว จำนวน 5 โรง เป็นโรงคัดบรรจุที่ตั้งอยู่ในจังหวัดจันทบุรีทั้งหมด (ข้อมูล ณ วันที่ 18 ส.ค. 2564) โดยจีนจะประเมินประสิทธิภาพของมาตรการเฝ้าระวังป้องกันกำจัดศัตรูพืชของไทย ในขั้นตอนกักกันการนำเข้า หากมาตรการดังกล่าวได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพ โรงคัดบรรจุที่เหลือ จำนวน 5 โรง ที่มีความถี่ในการตรวจพบศัตรูพืชค่อนข้างสูง จึงจะสามารถส่งออกลำไยไปจีนได้


         "โรงคัดบรรจุที่ถูกตรวจพบศัตรูพืชหลายครั้ง จะต้องปรับปรุงแก้ไข และเป็นไปตามขั้นตอนที่กรมวิชาการเกษตรได้หารือกับทางการจีน จึงหวังว่าหลังจากน้ี ผู้ประกอบการของไทยจะพัฒนาระบบการส่งออกให้เป็นไปตามที่จีนต้องการในฐานะประเทศคู่ค้ารายใหญ่ของไทย และขอให้เจ้าหน้าที่ของกรมวิชาการเกษตรดําเนินการตามมาตรการที่เสนอไปยังจีนอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการตรวจพบศัตรูพืชควบคุมอีก ซึ่งหากทุกฝ่ายร่วมมือกัน ให้ความสําคัญในเรื่องของคุณภาพผลผลิตลําไยที่จะส่งออกไปยังต่างประเทศ ก็จะสามารถขับเคลื่อนให้ธุรกิจการค้าลําไยเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และมีความยั่งยืนตลอดไป" รมช.มนัญญา กล่าว

         รมช.มนัญญา กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงเกษตรฯ ให้ความสำคัญในคุณภาพสินค้า ทำอย่างไรให้คงความเป็นเอกลักษณ์ลำไยของไทย และควบคุมราคาไม่ให้ตกต่ำ โดยการสนับสนุนการบริโภคในประเทศให้มากขึ้น การแปรรูปลำไย การปรับเปลี่ยนเป็นลำไยอินทรีย์เพื่อเพิ่มมูลค่า อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ พร้อมสนับสนุนเครื่องอบลดความชื้นให้กับสหกรณ์จันทบุรีเพื่อลดปริมาณความชื้นลงตามเกณฑ์มาตรฐาน เก็บรักษาผลผลิตไว้รอการจำหน่ายช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรทำให้เกษตรกรสมาชิกมีความเชื่อมั่นในระบบบริหารจัดการการผลิตและการตลาดของสหกรณ์ ช่วยเหลือเกษตรกรให้มีแหล่งจำหน่ายผลผลิตที่แน่นอน ในราคาที่เป็นธรรม ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น

         จากนั้น รมช.เกษตรฯ เดินทางไปเยี่ยมชมการจัดการโรงคัดบรรจุ พร้อมรับฟังปัญหาและการบรรยายสรุป ณ บริษัท ไชน่า จิงหว่อหยวน เอ็กพอร์ต (ไทยแลนด์) จำกัด ต.หนองตาคง อ.โป่งร้อน จ.จันทบุรี

           สำหรับสถานการณ์การส่งออกลำไยในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ในฤดูกาลผลิต ปี 2564/2565 สมาคมชาวสวนลำไยจังหวัดจันทบุรี คาดการณ์ว่าจะมีผลผลิตลำไยออกสู่ตลาดมากกว่า 300,000 ตัน สำหรับโรงคัดบรรจุ (ล้ง) ลำไย ในเขตพื้นที่ภาคตะวันออก มีจำนวนทั้งสิ้น 93 โรง อยู่ในจังหวัดจันทบุรี 89 โรง จังหวัดสระแก้ว 2 โรง และจังหวัดระยอง 2 โรงทั้งนี้ ภาคตะวันออก มีพื้นที่ปลูกลำไย 379,255 ไร่ เกษตรกรยื่นขอใบรับรอง GAP 336,294 ไร่ สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6 ได้ตรวจประเมินแปลง และให้การรับรอง GAP แล้ว 330,662 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 98 ของพื้นที่ ที่เกษตรกรยื่นขอใบรับรอง ในส่วนของจังหวัดจันทบุรี มีพื้นที่ปลูกลำไย 296,640 ไร่ เกษตรกรยื่นขอใบรับรอง GAP 278,542 ไร่ สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6 ได้ตรวจประเมินแปลง และให้การรับรอง GAP แล้ว 275,321 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 99 ของพื้นที่ ที่เกษตรกรยื่นขอใบรับรอง
#2984


นายบรรณ เกษมทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเอสซีจี ดิสทริบิวชั่น จำกัด ดูแลธุรกิจ SCG HOME Retail & Distribution Business ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี เปิดเผยว่า SCG HOME เล็งเห็นถึงความสำคัญของผู้ประกอบการขนาดเล็กมีส่วนในการเสริมสร้างเศรษฐกิจชุมชนท้องถิ่นให้เข้มแข็ง และเป็นรากฐานที่ผลักดันเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโต จึงมุ่งมั่นสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็กมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่มีอยู่เกือบหนึ่งแสนรายทั่วประเทศ ยังต้องการการเข้าถึงโอกาสและช่องทางในการพัฒนาศักยภาพ พร้อมทั้งต้องการเครื่องมือการตลาดแนวใหม่ เพื่อยกระดับการเป็นผู้ประกอบการมืออาชีพ

โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ SCG HOME ได้จับมือร่วมกับกองส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน กรมส่งเสริมการเกษตร จัดอบรมสัมมนาออนไลน์ภายใต้หัวข้อ 'ติดอาวุธพัฒนาสินค้า บริการ ตอบโจทย์ลูกค้ายุคดิจิทัล' จุดประกายความคิดให้แก่ผู้ประกอบการรายเล็ก และนำองค์ความรู้ไปพัฒนาศักยภาพด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ด้านการพัฒนาสินค้าและบริการ รวมถึงการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบันมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการเพิ่มช่องทางตลาดออนไลน์ และแนวทางการสื่อสารรูปแบบใหม่ไปยังผู้บริโภค ตามแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคและวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) เพื่อที่ผู้ประกอบการรายย่อยจะสามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการรายใหญ่ เพิ่มทางเลือกสินค้าให้มีความหลากหลายกับผู้บริโภค

รวมทั้งเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ขยายฐานของกลุ่มลูกค้าออกไปในวงกว้างมากขึ้น และผลักดันการจัดจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อเสริมศักยภาพรูปแบบการจัดจำหน่ายผ่านทางออนไลน์ที่จะเป็นช่องทางหลักในการจำหน่ายสินค้าในอนาคต ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการยังสามารถพัฒนาศักยภาพด้านการบริหารธุรกิจ และองค์ความรู้ในการพัฒนาสินค้าและปรับเปลี่ยนการทำงานให้เป็นระบบมากขึ้น และนอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างเครือข่ายระหว่างผู้ประกอบการรายย่อยด้วยกันเอง แบ่งปันองค์ความรู้ นำไปต่อยอดเป็นธุรกิจ และพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ มากยิ่งขึ้น

สำหรับผู้ประกอบการรายเล็กไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มธุรกิจประเภทใด ก็สามารถนำองค์ความรู้ที่ได้รับไปปรับใช้ในการพัฒนาศักยภาพของตนให้เข้มแข็งได้ ดังเช่น วิสาหกิจชุมชน ดังนี้

วิสาหกิจชุมชนหัตถกรรมไทบุราณศิลป์ ผู้ผลิตและจำหน่ายชุดบูชา พานตั้งโต๊ะ และพวงมาลัยคริสตัล นำโดย นางขนิษฐา อุทิศวรรณกุล กล่าวว่า ถึงแม้ว่าทางกลุ่มฯ เพิ่งเข้าร่วมอบรมสัมมนาออนไลน์กับทาง SCG HOME เป็นครั้งแรก แต่ได้รับประโยชน์มาก สามารถนำองค์ความรู้กลับมาพัฒนาศักยภาพได้จริง เช่น การพัฒนาต่อยอดสินค้าใหม่ ๆ โดยนำเศษผ้าไหมที่เหลือทิ้งมาสร้างมูลค่าเพิ่มเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมถึงการเพิ่มช่องทางจำหน่ายผ่านออนไลน์ให้มากขึ้น เนื่องจากช่วงโควิด – 19 แพร่ระบาด ทำให้ไม่สามารถออกบูธจำหน่ายสินค้า และขายผ่านหน้าร้านตามปกติได้ เนื่องจากจำเป็นต้องปิดร้านที่สนามหลวง 2 ไปชั่วคราว และหาช่องทางการจำหน่ายช่องทางออนไลน์แทน อาทิ อี-มาร์เก็ตเพลส ช่องทางโซเชียล เน็ตเวิร์คต่าง ๆ

วิสาหกิจชุมชนภูมิปัญญาไทยบ้านโพธิ์ ผู้ผลิตและจำหน่ายไข่เค็มชาร์โคล น้ำยาล้างจาน น้ำยาล้างเครื่องประดับ และสบู่นมแพะ จากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นำโดย นางปรียาพร เทียนหล่อ เปิดเผยว่า ทางกลุ่มฯ มีความเชี่ยวชาญในการนำสมุนไพรไทยมาใช้ให้เกิดประโยชน์และพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้าน หลังจากได้เข้าร่วมอบรมกับทาง SCG HOME ช่วยให้มีกระบวนการคิดและบริหารธุรกิจอย่างเป็นระบบมากขึ้น เช่น ในสถานการณ์โควิด-19 การจะลงทุนทำอะไรเพิ่มต้องคิดและวิเคราะห์มากขึ้น ทั้งสามารถต่อยอดและพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ เช่น การนำกากของผลมะกรูดที่เหลือจากการผลิตสบู่ มาต้มต่อและผลิตเป็นน้ำยาล้างจาน แทนที่จะทิ้งให้สูญเปล่า รวมทั้ง ยังได้รับเทคนิคในการสื่อสารประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อใหม่ ๆ อาทิ การสร้างเพจ การโพสต์รูปสินค้า และยังได้กลุ่มเพื่อนใหม่จากการเข้าร่วมอบรม มีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กันและบอกต่อผลิตภัณฑ์ไปยังกลุ่มค้าใหม่ๆ

วิสาหกิจชุมชนกลิ่นเอมนาโน กลุ่มผู้ผลิตเวชสำอางค์ ผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงจากสารสกัดออร์แกนิคธรรมชาติ 100% ซึ่งล้วนเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้วัตถุดิบในประเทศไทยทั้งสิ้น ที่มีสมาชิกกลุ่มตั้งแต่เกษตรกรต้นน้ำ ไปจนถึงนักวิชาการ และโรงงานผลิต โดยนางสุวิภา เสริมบุญสร้าง มองว่า การจัดสัมมนาออนไลน์ของทาง SCG HOME เป็นสิ่งที่ให้ประโยชน์อย่างมาก ซึ่งที่ผ่านมาทางกลุ่มได้รับผลกระทบจากปัญหาโควิด-19 แพร่ระบาด ไม่สามารถไปออกบูธขายสินค้าได้เหมือนแต่ก่อน จนมามองเห็นโอกาสในการขยายตลาดผ่านช่องทางดิจิทัล ได้ความรู้และทักษะในการขายของบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ทำให้จากเดิมที่ลูกค้าห่างหายไป หลังจากเพิ่มช่องทางจำหน่ายทางออนไลน์ ลูกค้าที่เคยซื้อกลับมาซื้อซ้ำและยังได้กลุ่มลูกค้าใหม่เพิ่ม

วิสาหกิจชุมชนกาแฟรัษฎาและแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร จากจังหวัดตรัง ผู้ผลิตและจำหน่ายเมล็ดกาแฟคั่วแบบดั้งเดิม สบู่กาแฟ และชาดอกกาแฟ ซึ่ง นางกนกวรรณ คำเนตร ให้ความเห็นว่า โครงการส่งเสริมผู้ประกอบการขนาดเล็ก ของ SCG HOME เป็นโครงการที่เห็นความสำคัญของชุมชน และช่วยเหลือชุมชนโดยตรง ทั้งยังให้โอกาสกับกิจการขนาดเล็กของชุมชนได้เข้าไปมีส่วนร่วมและเป็นส่วนหนึ่งในโครงการ ซึ่งถือว่าให้ประโยชน์อย่างมากแก่ผู้ประกอบการ เช่น ด้านการขยายช่องทางออนไลน์ ทำให้ตอนนี้ทางกลุ่มฯ สามารถขยายช่องทางออนไลน์ไปในหลายแพลตฟอร์ม ตอบรับกับในขณะนี้ไม่สามารถเปิดหน้าร้านจำหน่ายสินค้าไม่ได้ก็ต้องอาศัยช่องทางออนไลน์ และในอนาคตก็หวังว่าอยากให้มีสัดส่วนขายออนไลน์เพิ่มมากขึ้น

นายบรรณ เกษมทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี ดิสทริบิวชั่น จำกัด กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า SCG HOME รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการรายเล็ก ให้สามารถนำความรู้ที่ได้รับจากการเข้าร่วมอบรมสัมมนาไปใช้ได้จริง และจะเดินหน้าโครงการที่เป็นประโยชน์แก่สังคมและชุมชนนี้ไปอย่างต่อเนื่อง เพราะไม่เพียงมีส่วนช่วยประคับประคองธุรกิจขนาดเล็กในช่วงที่ภาวะตลาดยังมีความผันผวนเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ที่เกิดขึ้นเท่านั้น แต่จะเป็นภูมิคุ้มกันและเสริมรากฐานช่วยสร้างความเข้มแข็งให้แก่ธุรกิจรายย่อยให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคตอีกด้วย.
#2985


วันที่ 20 ส.ค. เฟซบุ๊ก "วีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี" ของนายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร โพสต์ข้อความระบุว่า "ยามไร้เด็ดดอกหญ้าแซมผม พลันที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข แถลงเมื่อวานถึงประสิทธิภาพการฉีดวัคซีนแบบไขว้ ได้ผลอย่างดียิ่ง

ผมจึงขอทางโรงพยาบาลสมุทรสาครช่วยมาวัดภูมิคุ้มกันให้หน่อย จะได้บอกให้ชาวบ้านทราบได้ว่า ดีจริงอย่างที่กระทรวงแจ้งรึปล่าว เพราะผมเองก็คือคนหนึ่งที่ฉีดไขว้ เข็มแรก SV (ซิโนแวค) เข็มสอง AZ (แอสตร้าเซนเนก้า)

ขอในที่ประชุมตอนเช้า ออกจากห้องประชุมตอน 11.00 น. เจอคุณหมอรอเจาะเลือดไปตรวจเลย ผลออกตอนบ่ายแก่ๆ ว่า ภูมิคุ้มกันผมมีสูงถึง 42,888 AU/mL หมอบอกว่า ถ้ามีมากกว่า 50 AU/mL ถือว่าใช้ได้ แต่นี่สูงถึงขนาด นพ.อนุกูล ไทยถานันดร์ (ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมุทรสาคร) แจ้งว่า มีมากกว่าตนถึงสิบเท่า

ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) แจ้ง J&J (จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน) และ AZ ไม่มาตามนัด วัคซีนสูตรผสมจึงออกมา และได้ผลดี ผมเชื่อหมอ มาฉีดไขว้กันได้ครับ

#แอบบ่นนิดนึงว่า #ทั้งเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมยังได้วัคซีนไม่ถึงเดือนละแสนครับ"


รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า ก่อนหน้านี้ นายวีระศักดิ์ เข้ารับการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า เข็มที่สอง เมื่อวันที่ 16 ก.ค. ที่โรงพยาบาลสมุทรสาคร จากที่ก่อนหน้านี้ฉีดวัคซีนซิโนแวค เมื่อวันที่ 16 มี.ค. ก่อนออกจากโรงพยาบาลศิริราชในวันที่ 19 มี.ค. หลังเข้ารับการรักษาจากโควิด-19 ยาวนานถึง 82 วัน


อนึ่ง สำหรับคำว่า "ยามไร้เด็ดดอกหญ้าแซมผม" มาจากวรรณคดีเรื่อง ลิลิตพระลอ สื่อถึงยามที่ไม่มีดอกไม้หอมใช้แซมผม ให้เด็ดดอกหญ้าแล้วดม นึกจินตนาการว่าสวยและหอมไปก่อน คิดเสียว่าเป็นดอกสุกรม ดอกลำดวน และดอกแก้ว ซึ่งคนสมัยก่อนนิยมนำมาแซมผมเพราะมีกลิ่นหอมและปลูกง่าย อุปมาอุปไมยหมายถึง "หาอะไรพอใช้แทนได้ ก็ทนใช้กันไปก่อน"

สำหรับบทกลอนฉบับเต็ม ความว่า

ยามไร้เด็ดดอกหญ้า แซมผม พระเอย
หอมบ่หอมทัดดม ดั่งบ้า
สุกกรมรำดวนชม เชยกลิ่น พระเอย
หอมกลิ่นเรียมโอ้อ้า กลิ่นแก้วติดใจ
#2986


อย่างไรก็ดี ราคาทองไม่สามารถปรับตัวขึ้นได้มาก เนื่องจากยังคงถูกกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ โดยดอลลาร์พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือน หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ในปีนี้

ทั้งนี้ ดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นจะลดความน่าดึงดูดของทอง โดยทำให้สัญญาทองมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น

สัญญาทองคำตลาดโคเม็กซ์ ส่งมอบเดือนธ.ค. บวก 0.1% ปิดที่ 1,784 ดอลลาร์/ออนซ์


ทั้งนี้ เฟดเปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือนก.ค.ระบุว่า กรรมการเฟดส่วนใหญ่เห็นพ้องที่จะเริ่มปรับลดวงเงินคิวอีในปีนี้

ปัจจุบัน เฟดซื้อพันธบัตรตามมาตรการคิวอีอย่างน้อย 120,000 ล้านดอลลาร์/เดือน โดยเฟดซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐวงเงิน 80,000 ล้านดอลลาร์/เดือน และซื้อตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (เอ็มบีเอส) ในวงเงิน 40,000 ล้านดอลลาร์


นายโรเบิร์ต แคปแลน ประธานเฟด สาขาดัลลัส กล่าวก่อนหน้านี้ว่า เฟดควรทำการประกาศในเดือนหน้าเกี่ยวกับไทม์ไลน์ในการปรับลดวงเงินคิวอีและเริ่มทำการปรับลดคิวอีในเดือนต.ค.

คำกล่าวของนายแคปแลนสอดคล้องกับถ้อยแถลงของนายริชาร์ด แคลริดา รองประธานเฟด ที่ได้ส่งสัญญาณว่า เฟดจะปรับลดวงเงินคิวอี ภายในปีนี้ ก่อนที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2566 ขณะที่นายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ว่าการของเฟด กล่าวเช่นกันว่า เฟดควรจะเริ่มปรับลดวงเงินคิวอีภายในเดือนต.ค.

นักลงทุนจับตาการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 26-28 ส.ค. โดยคาดว่าเฟดจะส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งแนวโน้มการปรับลดวงเงินคิวอีในการประชุมดังกล่าว

-------------
'บิตคอยน์'บวกกว่า5%เคลื่อนไหวที่ 49,000 ดอลล์

ราคาบิตคอยน์ เทรดที่เว็บไซต์คอยน์เดสก์ เมื่อเวลา 06.10 น.ของวันนี้ (21ส.ค.)ปรับตัวขึ้น 5.67% เคลื่อนไหวที่ 49,057.80 ดอลลาร์
#2987



การมีสุขภาพผิวหน้าที่ดี--นอกจากต้องให้ความสำคัญกับการล้างหน้าให้สะอาดหมดจด การเลือกใช้ครีม มอยส์เจอไรเซอร์หรือเซรั่มให้เหมาะกับสภาพผิวแล้วนั้น การใช้ "โทนเนอร์" เพื่อมอบความชุ่มชื้นและปลอบประโลมผิวอ่อนล้าให้ได้รับการฟื้นฟู ก็ถือเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนที่ต้องให้ความสำคัญ 

ขอแนะนำ Calendula Toner โทนเนอร์จากดอกคาเลนดูล่า วัตถุดิบจากธรรมชาติที่โด่งดังเรื่องประสิทธิภาพการกักเก็บความชุ่มชื้นใต้ชั้นผิว

  • Calendula Herbal Extract Toner Alcohol Free โทนเนอร์สูตรอ่อนโยนที่ปราศจากแอลกอฮอล์ — —ไม่เพียงแต่ใช้กลีบดอกคาเลนดูล่าหรือดอกดาวเรืองพันธุ์ไม้พื้นเมืองในแถบเมดิเตอร์เรเนียนที่เก็บเกี่ยวด้วยมืออย่างพิถีพิถันจากแหล่งเพาะปลูกตามธรรมชาติเป็นส่วนผสมหลักแล้วนั้น โทนเนอร์รุ่นขายดีนี้ยังขึ้นชื่อเรื่องความอ่อนโยนต่อผิวเพราะปราศจากแอลกอฮอล์ ไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ เป็นโทนเนอร์ที่เหมาะกับผู้ใช้ทุกสภาพผิวโดยเฉพาะในผู้มีผิวหน้ามัน หรือมีแนวโน้มเป็นสิวง่ายที่ต้องการทำความสะอาดผิวหน้าอย่างลึกล้ำพร้อมการฟื้นฟูเติมความชุ่มชื้นให้ผิวพรรณ

  • มาพร้อมกับประสิทธิภาพจากสมุนไพรธรรมชาติ
    นอกเหนือจาก "กลีบดอกคาเลนดูล่า" ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระพร้อมคุณสมบัติปลอบประโลมให้ความสบายต่อผิว Kiehl's Toner ขวดนี้ยังมีการหยิบใช้ส่วนผสมที่เป็นสมุนไพรธรรมชาติจากตำราแพทย์ดั้งเดิมอีกหลายชนิด อาทิ "อัลลันโทอิน" หรือสารสกัดจากต้นคอมเฟรย์ที่พบได้ในทวีปยุโรป มีคุณสมบัติพิเศษช่วยเพิ่มจำนวนเซลล์ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญของการซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่สึกหรอให้สมบูรณ์ และยังมีการใช้ "รากโกโบ" จากต้นโกโบสมุนไพรมีชื่อเรื่องการเติมความชุ่มชื้นสำหรับผิวแห้ง

    ในทางการแพทย์มีการนำสมุนไพรเหล่านี้มาใช้เพื่อการลดอักเสบในแผล และเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวแห้งมาเป็นระยะเวลายาวนาน เมื่อ Kiehl's ได้คัดสรรสมุนไพรเหล่านี้นำมาเป็นส่วนผสมสำคัญสำหรับโทนเนอร์ Kiehl's ผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้จึงเป็นนวัตกรรมด้านเวชสำอางที่มีประสิทธิภาพดีเยี่ยมเพื่อการปลอบประโลมผิว ปกป้องจากอาการแพ้ ลดการระคายเคือง พร้อมเติมความชุ่มชื้นแก่ผิวได้ในเวลาเดียวกัน 
เพียงหยดโทนเนอร์ ลงบนแผ่นสำลี เช็ดให้ทั่วบริเวณใบหน้าเป็นประจำทุกเช้า และก่อนนอน หรือก่อนแต่งหน้า โดยหลีกเลี่ยงส่วนที่ผิวบอบบางเช่นบริเวณรอบดวงตา โทนเนอร์จะช่วยชำระสิ่งสกปรกที่อุดตันตามรูขุมขนให้ออกไป พร้อมมอบความชุ่มชื้นฟื้นฟูบำรุงผิวของคุณให้แข็งแรง ทั้งนี้ เนื้อผลิตภัณฑ์สามารถซึมซับสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว ไม่ทำให้หน้ามัน มีกลิ่นหอมซิทรัสอ่อนๆ ช่วยให้รู้สึกสดชื่นแล้วผ่อนคลาย 
 
#2988


นางสาวภัทรลดา สง่าแสง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท พีทีที โกล. เคมิคอล จำกัด (มหาชน)หรือ PTTGC Drama-Addict แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท PTTGC International Private Limited (GC Inter) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัท ถือหุ้นร้อยละ 100 เมื่อวันที่ 17 ส.ค.2564

ทั้งนี้ได้มีมติอนุมัติให้ GC Inter เข้าทำสัญญาซื้อขายหุ้นร่วมกับ Sime Darby Plantation Berhad (SDP) ในการขายหุ้นทั้งหมดของธุรกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ Emery Oleochemicals (M) Sdn. Bhd. (EOM) และ Emery Specialty
Chemicals Sdn. Bhd. (ESC) ให้แก่ Edenor Technology Sdn. Bhd. (ETSB) คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 38 ล้านริงกิตมาเลเซีย (หรือเทียบเท่า 302 ล้านบาท อ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนธนาคารแห่งประเทศไทยวันที่18 ส.ค.2564) โดยมูลค่าดังกล่าวอาจมีการปรับปรุงเพื่อให้อ้างอิงจากมูลค่าเงินทุนหมุนเวียนสุทธิและหนี้สินสุทธิของ EOM และ ESC ณ วันที่ รายการเสร็จสิ้น โดยสัญญาซื้อขายหุ้นได้ถูกลงนามแล้วเมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2564


EOM ESC และบริษัทย่อยของสองบริษัทดังกล่าว (รวมเรียกว่า กลุ่มบริษัท Emery) เป็นกลุ่มบริษัทที่ GC Interและ SDP ถือหุ้นในสัดส่วนเท่ากันที่ร้อยละ 50 โดยการขายหุ้นดังกล่าวมีเงื่อนไขให้ดำเนินการภายหลังจากที่ได้มีการปรับโครงสร้างธุรกิจในกลุ่มบริษัท Emery โดยแยกธุรกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และธุรกิจในภูมิภาคอเมริกาเหนือและยุโรป
ออกจากกัน


ทั้งนี้ภายหลังการปรับโครงสร้างดังกล่าว ธุรกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะยังคงอยู่ภายใต้ EOM และ ESC ซึ่งทั้งสองบริษัทจะถูกโอนให้แก่ผู้ถือหุ้นรายใหม่คือ ETSB ในขณะที่ธุรกิจในภูมิภาคอเมริกาเหนือและยุโรปจะถูกโอนออกจากEOM ให้อยู่ภายใต้บริษัท Emery Oleochemicals UK Limited ซึ่งจะถือหุ้นทางตรงโดย GC Inter และ SDP ในสัดส่วนเท่ากันที่ร้อยละ 50


ETSB เป็นบริษัทร่วมค้าที่มีการถือหุ้นในสัดส่วนเท่ากันที่ร้อยละ 50 ระหว่างบริษัท Mega First Corporation Berhad (MFCB) และบริษัท 9M Technologies Sdn Bhd (9M Technologies) ซึ่งตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ในการเข้าซื้อธุรกิจในครั้งนี้
#2989


"วิกฤติโควิด-19" ที่สถานการณ์การแพร่ระบาดสร้างผลกระทบเป็นวงกว้าง ทำให้สภาพคล่องทางการเงินค่อนข้างตึงตัว โจทย์สำคัญสำหรับบริษัท อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด ในฐานะผู้ให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิต ภายใต้แบรนด์ "กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์" จึงเป็นการวางยุทธศาสตร์องค์กรแห่งนี้ให้ฝ่าวิกฤติโควิด-19 พร้อมช่วยเหลือดูแลลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจในช่วงเศรษฐกิจยากลำบากเช่นนี้ไปด้วยกัน และเมื่อ 1 มี.ค. 2564 ที่ผ่านมา "พัทธ์หทัย กุลจันทร์" ถูกวางตัวให้เป็นแม่ทัพหญิงคนใหม่ในตำแหน่ง "กรรมการผู้จัดการใหญ่" นี่คือ ความท้าทายแรกของเธอ!!

"พัทธ์หทัย" เล่าแนวคิดในการรับมือวิกฤติโควิด-19 ว่า ในทุกวิกฤติคือโอกาสในการเรียนรู้และทำให้เกิดโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ เกิดขึ้นเสมอ แต่สิ่งสำคัญในวิกฤติแต่ละครั้งคือการช่วยเหลือดูแลทั้งลูกค้า, พันธมิตรทางธุรกิจ และพนักงาน เพื่อสร้างการเติบโตแบบยั่งยืนต่อไปในระยะยาว

"เราเคยผ่านวิกฤติมาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติในรูปแบบไหนองค์กรแห่งนี้ก็จะยึดถือแนวทาง การมีธรรมาภิบาล โปร่งใส ชัดเจน และมีความสม่ำเสมอในการเติบโต รวมทั้งไม่ยอมแพ้แม้เกิดวิกฤติ นี่คือหลักกลยุทธ์ทำให้ฝ่าฟันไปได้ และยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง"

สะท้อนจากผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกนี้ "กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์" ยังมี "ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตและยอดผ่อนชำระ" เติบโตดีกว่าตลาด

โดยครึ่งปีแรกนี้ "กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์" มียอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่ 13,100 ล้านบาท เติบโต 5% ขณะที่ตลาดหดตัว 5% หมวดที่มียอดใช้จ่ายสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. ประกันภัย 2. ออนไลน์ชอปปิง 3. ตกแต่งบ้าน และเครื่องใช้ในครัวเรือน 4.น้ำมัน 5. ซูเปอร์มาร์เก็ต โดยหมวดการใช้จ่ายที่ยังเติบโตสูงสุดและดีกว่าคู่แข่ง คือ หมวดออนไลน์ชอปปิง เติบโต 23% รองลงมาได้แก่ น้ำมัน ทานอาหาร ค่ารักษาพยาบาล และประกัน


ส่วนสินเชื่อผ่อนชำระ "กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์" มียอดสินเชื่อผ่อนชำระในช่วงครึ่งปีแรก 8,000 ล้านบาท เติบโต 12% โดยหมวดสินค้าที่ลูกค้านิยมผ่อนชำระซึ่งเติบโตสูงสุด ได้แก่ หมวดผ่อนสินค้าผ่านออนไลน์ชอปปิงแพลตฟอร์ม เติบโต 80% รองลงมาได้แก่ ผ่อนทองคำรูปพรรณ, ผ่อนมือถือ อุปกรณ์ไอที, ผ่อนประกัน และ ผ่อนสินค้าตกแต่งบ้าน

สำหรับภาพรวมตลาดสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน มียอดสินเชื่อคงค้างลดลงราว 3% จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย สาเหตุมาจากผู้บริโภครับรู้ว่าเศรษฐกิจไม่ดี ตั้งแต่เกิดโควิดระลอก 3 จึงใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยงในการใช้จ่ายที่ในอนาคตจะไม่สามารถชำระหนี้

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

ขณะที่ทิศทางการดำเนินธุรกิจของ "กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์" ในช่วงครึ่งปีหลัง "พัทธ์หทัย" กล่าวว่า บริษัทปรับกลยุทธ์มุ่งตอบโจทย์ยุคนิว  นอร์มอลหลังโควิด-19 เน้นสร้างการเติบโตบน "ดิจิทัลแพลตฟอร์ม" โดยเฉพาะบนแอปพลิเคชัน UChoose ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่ช่องทางกดเงินสดผ่าน U Cash และช่องทางสมัครบัตรผ่าน "U Card" พร้อมนำเสนอโปรโมชันที่สอดคล้องกับดิจิทัลไลฟ์สไตล์ สอดรับกับฐานลูกค้าที่เกือบ 70% เป็นกลุ่มอายุต่ำกว่า 40 ปี เป็นคนรุ่นใหม่ที่ชอบใช้ดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย ขณะที่ อีก 30% เป็นกลุ่มอายุเกิน 40 ปี

พร้อมกับใช้จุดแข็งของกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ที่มีแผนผ่อนชำระหลากหลายทั้ง "ผ่อน 0%" และ "ผ่อนด้วยอัตราดอกเบี้ยพิเศษ" และสิทธิพิเศษที่คุ้มค่า เช่น เครดิตเงินคืนสูงสุดถึง 3% เป็นปัจจัยดึงดูดลูกค้า ทั้งยังมุ่งสร้างความเติบโตผ่านการผนึกกำลังกับพันธมิตร ทั้งพันธมิตรที่ร่วมออกบัตรโคแบรนด์ เช่น กลุ่มเซ็นทรัล,โฮมโปร และเครือข่ายร้านค้าพันธมิตรที่ร่วมมือกับกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ออกโปรโมชั่นผ่อนชำระและดีลพิเศษต่าง ๆ พร้อมเดินหน้าผลักดันการเติบโตต่อเนื่องในหมวดการใช้จ่าย "ออนไลน์ชอปปิงและประกัน" ที่คิดเป็นสัดส่วนถึง 30% ของยอดใช้จ่ายทั้งหมด และยังสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในยุคนิว นอร์มัลด้วย

"ในช่วงโควิดที่ผ่านมา การทำธุรกรรมบนดิจิทัลของเราเพิ่มขึ้นมาก พบว่าเกือบ 90% ของบัญชีลูกค้ากรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ ที่ Active มีการโหลดและใช้แอป UChoose และหลังจากออกฟีเจอร์ U Cash เพียงเดือนเดียว มียอดถอนเงินสดผ่าน U Cash เติบโตถึง 25% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า และฟีเจอร์ U Card มีการสมัครบัตรผ่านช่องทางนี้เพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ล็อกดาวน์ในเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา สะท้อนว่าเป็นเทรนด์การเติบโตในอนาคตยุคนิว นอร์มอล"

นอกจากนี้ "กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์" ยังวางเป้าหมายขยายธุรกิจไปในกลุ่มอาเซียนมากขึ้น ปัจจุบันเข้าไปทำธุรกิจใน 3 ประเทศ ได้แก่ ลาว กัมพูชา และล่าสุด ฟิลิปปินส์ ซึ่งในจังหวะนี้ ถือว่าตอบโจทย์ เพราะตลาดต่างประเทศยังโตได้ในหลายส่วน

ทางด้านการดูแลคุณภาพหนี้ "กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์" ได้เข้าไปช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิดมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งมาตรการพักหนี้ และมาตรการช่วยเหลือเพิ่่มเติม โดยเฉพาะการเข้าไปปรับโครงสร้างหนี้เชิงรุก โดยขยายระยะเวลาผ่อนชำระให้ยาวขึ้น ตามยอดคงค้างของลูกค้า พร้อมดอกเบี้ยอัตราพิเศษ โดยนับตั้งแต่การระบาดระลอกแรก จนปัจจุบัน กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ให้ความช่วยเหลือลูกค้าไปแล้วกว่า 900,000 บัญชี คิดเป็นยอดหนี้คงค้างประมาณ 35,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ "กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์" ยังผ่อนเกณฑ์รายได้ขั้นต่ำในการพิจารณาอนุมัติบัตรใหม่ ลงมาเท่าเดิมที่รายได้ต่อเดือนขั้นต่ำ 10,000 บาท จากช่วงต้นปีที่ค่อนข้างเข้มงวดอยู่ที่ 20,000 บาท เพื่อต้องการช่วยเหลือกลุ่มที่รายได้ไม่ถึง 15,000บาท ให้เข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น โดยปัจจุบันฐานลูกค้า "กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์" เป็นมนุษย์เงินเดือนเฉลี่ย 80% และอีก 20% เป็นเจ้าของธุรกิจ

โดยมั่นใจว่าสิ้นปีนี้จะคุมหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ทรงตัวที่ระดับปัจจุบัน มี NPL ต่อเงินให้สินเชื่อลูกหนี้รวมอยู่ที่ 2.6% หรือลดลงจากปีก่อนที่ 3.5% และต่ำกว่าตลาด ซึ่ง NPL ธุรกิจบัตรเครดิตอยู่ที่ 1.2% ขณะที่ตลาดอยู่ที่ 2.3% ส่วน NPL ธุรกิจสินเชื่อบุคคล อยู่ที่ 2.7% ขณะที่ตลาดอยู่ที่ 3.1%

ทั้งนี้ "พัทธ์หทัย" มั่นใจว่าจะผลักดันธุรกิจปีนี้ให้เติบโตได้ตามเป้าหมาย โดยมียอดการใช้จ่ายโดยรวมแตะ 75,000 ล้านบาท เติบโตกว่าปีที่ผ่านมา 4% แบ่งเป็นยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต 45,000 ล้านบาท และยอดสินเชื่อปล่อยใหม่ 30,000 ล้านบาท ปัจจุบันยังมียอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อบัตรต่อคนที่ 20,000-30,000 บาท และยอดอนุมัติบัตรเครดิตใหม่ที่ระดับ 30% ยังอยู่ระดับทรงตัวต่อเนื่อง

ปีนี้ตั้งเป้ายอดบัตรใหม่ ลดลงมาอยู่ที่ 170,000-180,000 บัตร จากเดิมตั้งไว้ที่ 200,000 บัตร แต่คาดว่า เมื่อบริการสมัครบัตรผ่านช่องทางดิจิทัลบนฟีเจอร์ U Card ได้รับความนิยมมากขึ้น น่าจะทำให้จำนวนบัตรใหม่เพิ่มขึ้นได้

"เราหวังว่าในช่วงไตรมาส 4 นี้ สถานการณ์โควิดจะคลี่คลายและผลักดันตลาดธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลในภาพรวมให้มียอดการใช้จ่ายและยอดผ่อนชำระกลับมาทรงตัว แน่นอนว่าโค้งท้ายปีจะเห็นผู้เล่นทุกรายจัดแคมเปญมาตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละฐานบัตรที่มีอยู่ ซึ่งอาจเป็นกลุ่มลูกค้าไม่ได้เหมือนกัน ส่วนภาพตลาดธุรกิจสินเชื่อบุคคล ยอดสินเชื่อคงค้างในปีนี้ไม่น่าโตมาก หรือในกรอบ -1 ถึง +1% แน่นอนว่าครึ่งปีหลังนี้ทุกรายพยายามปรับกลยุทธ์คล้าย ๆ กัน เแต่จะเน้นเซ็กเมนต์ที่ยังตอบโจทย์การเติบโตของแต่ละคน"

"กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์" เชื่อมั่นว่า ด้วยกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการเติบโตผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์ม และร่วมมือกับพันธมิตรสร้างความเติบโต จะสามารถต่อสู้สถานการณ์โควิด ขณะเดียวกันสามารถช่วยเหลือลูกค้าไปพร้อมกันได้
#2990


วันนี้ (19 สิงหาคม 2564) นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในพิธีลงนามสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุ เพื่อประกอบการระบบบริการน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน สนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ผ่านระบบการประชุมทางไกล ระหว่าง กระทรวงการคลังโดย สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) และบริษัท โกลเบิลแอโร่แอสโซซิเอทส์ จํากัด (GAA) กิจการร่วมค้าของบริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BAFS) และ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR)

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานในพิธีฯกล่าวแสดงความยินดีต่อคู่สัญญาที่มาร่วมลงนามสัญญาในวันนี้ และกล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยเผชิญกับวิกฤตการณ์ครั้งสำคัญของมนุษยชาติจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจและวิถีการดำรงชีวิตและการทำงาน รัฐบาลจำเป็นต้องรักษาสมดุลของการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับระบบบริหารจัดการทางด้านสาธารณสุข และการผลักดันให้ภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรม ยังคงดำเนินการต่อไปได้อย่างราบรื่น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC สำหรับโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกนั้น เป็นโครงการร่วมลงทุนที่สำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของ EEC เพื่อรองรับการขนส่งทางอากาศทั้งการขนส่งผู้โดยสารและการขนส่งสินค้า และระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานภายในสนามบินก็เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินงานของสนามบิน จำเป็นต้องมีการคัดเลือกเอกชนให้เข้ามาเป็นผู้ประกอบการ ซึ่งรวมถึงระบบบริการน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน และในวันนี้ สกพอ. ได้ดำเนินการคัดเลือกผู้ประกอบการระบบบริการน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานจนประสบความสำเร็จ จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง และถือเป็นอีกก้าวหนึ่งในการพัฒนา EEC เพื่อสร้างความเชื่อมั่นทางด้านการค้าและการลงทุนให้แก่นักลงทุน และกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในพื้นที่ EEC มากขึ้น อันจะนำไปสู่การฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาประเทศอย่างต่อเนื่อง

นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กล่าวว่า โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก เป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดย สกพอ. ร่วมกับกองทัพเรือ ได้คัดเลือกเอกชนเพื่อเข้าร่วมพัฒนาระบบสาธารณูปโภค ซึ่งในส่วนของงานบริการน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานได้ดำเนินการคัดเลือกผู้ประกอบการด้วยความเป็นธรรม โปร่งใส และตรวจสอบได้ จนประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง

โดยได้คัดเลือก "กิจการร่วมค้าบาฟส์และโออาร์" เป็นผู้เช่าที่ดินราชพัสดุเพื่อประกอบการระบบบริการน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานสนามบินอู่ตะเภา ซึ่งเป็นผู้ที่มีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน มีความเชี่ยวชาญ และมีมาตรฐานการดำเนินงานในระดับสากล นับเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ และก่อให้เกิดประโยชน์ ทั้งในด้านการได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่จากภาคเอกชน อีกทั้ง เป็นการลดภาระในด้านงบประมาณและบุคลากรในส่วนของภาครัฐ และเป็นการเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนมีโอกาสในการดำเนินธุรกิจได้มากขึ้น ทำให้ภาคประชาชนได้รับประโยชน์และความสะดวกสบายจากการบริการสาธารณะที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น


นายประกอบเกียรติ นินนาท กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) หรือบาฟส์ (BAFS) เปิดเผยว่า BAFS เป็นผู้นำในด้านการให้บริการระบบเติมน้ำมันอากาศยานแบบครบวงจรของประเทศ ที่ได้รับความไว้วางใจจากบริษัทน้ำมันและสายการบินจากทั่วโลก โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานและส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจในภาคอุตสาหกรรมการบินของประเทศ การจัดตั้งบริษัท โกลเบิลแอโร่แอสโซซิเอทส์ จำกัด หรือ GAA ร่วมกับ OR ในครั้งนี้ จะเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก และเป็นก้าวสำคัญในการรองรับการเติบโตของโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ ECC และประเทศไทยต่อไปในอนาคต


นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ (OR) เปิดเผยว่า OR ในฐานะที่เป็นหนึ่งใน Flagship ของกลุ่ม ปตท. และเป็นผู้นำด้านพลังงาน OR ให้บริการเชื้อเพลิงอากาศยานที่มีคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐานสากลด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย สามารถตอบสนองได้ทุกความต้องการของลูกค้าในอุตสาหกรรมการบิน การร่วมมือกับ BAFS ในการจัดตั้งกิจการร่วมค้า คือ บริษัท โกลเบิลแอโร่แอสโซซิเอทส์ จำกัด หรือ GAA ถือเป็นการเสริมศักยภาพในการแข่งขัน และเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการเติมน้ำมันอากาศยานภายในสนามบินอู่ตะเภา สอดคล้องกับเป้าหมายในการยกระดับสนามบินอู่ตะเภาเป็นสนามบินนานานชาติเชิงพาณิชย์หลักแห่งที่ 3 เพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

หม่อมหลวงณัฐสิทธิ์ ดิศกุล ประธานกรรมการ บริษัท โกลเบิลแอโร่แอสโซซิเอทส์ จํากัด (GAA) กล่าวว่า GAA พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง และการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับสังคม ด้วยความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจด้านการบริหารจัดการและการให้บริการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานและธุรกิจด้านพลังงาน มามากกว่า 30 ปี โดย BAFS และ OR จะสนับสนุนให้ GAA มีศักยภาพ ด้วยความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อให้การบริหารจัดการและการให้บริการณสนามบินอู่ตะเภามีประสิทธิภาพ ส่งเสริมการค้าน้ำมันเสรีแบบ Open Access ดูแลระบบท่อส่งน้ำมันใต้ลานจอด และในทุกกระบวนการตามขั้นตอนและมาตรฐานสากลที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก

GAA จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2564 ด้วยมีทุนจดทะเบียน 600 ล้านบาท โดย BAFS ถือหุ้น 55% และ OR ถือหุ้น 45% สำหรับโครงการเช่าที่ดินราชพัสดุดังกล่าวมีมูลค่าการลงทุนเริ่มแรกประมาณ 2,300 ล้านบาท ซึ่ง GAA จะจัดเตรียมความพร้อมในด้านระบบบริการน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน ส่งเสริมศักยภาพสนามบินอู่ตะเภาที่สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 60 ล้านคนต่อปี เพื่อสร้างความมั่นคงด้านการให้บริการเติมน้ำมันอากาศยานรองรับการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ของสนามบินอู่ตะเภา ในปี 2568 และการเติบโตของ EEC ตามนโยบายการพัฒนาประเทศของรัฐบาล
#2991


นายสาธิต วิทยากร กรรมการผู้จัดการ บริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า วิกฤติการแพร่ระบาดโควิด-19ที่เกิดขึ้นเปรียบได้กับสงครามโลก เพราะทุกคนต่างได้รับผลกระทบอย่างหนัก การจะผ่านไปได้ต้องผนึกองค์กรความรู้ของสหวิชาชีพด้านการแพทย์ร่วมกัน ทั้งการแบ่งปันข้อมูล แชร์ริ่ง องค์ความรู้ เพราะการรักษาคนไข้หนึ่งคนจำเป็นต้องผสานความรู้ ความสามารถทั้งจากอายุรกรรม แพทย์ที่เชี่ยวด้านโรคปอด โรคไต หรือการติดเชื้อ และแพทย์ด้านระบาดวิทยา ซึ่งโรงพยาบาลปริ้นซ์เองมีการหารือร่วมกับโรงพยาบาลอื่น เพื่อทำการรักษาให้ได้ผลอย่างดีสุด

จุดพลุดิจิทัลแพลตฟอร์ม

นอกจากนี้ ในอนาคตจะได้เห็นก้าวกระโดดหรือ Jump Start ของการนำเอาเทคโนโลยีมาพัฒนาในอุตสาหกรรมทางการแพทย์หรืออุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ในหลายๆมิติ ซึ่งจะได้เห็นเวอร์ชั่ล ฮอทปิทอล และ ดิจิทัล เฮลท์แคร์ ซึ่งจะเกิดการใช้งานอย่างแพร่หลาย เพราะโควิด-19 เข้ามาเป็นตัวเร่ง ซึ่งจะเป็นโอกาสให้อุตสาหกรรมด้านสุขภาพจำเป็นต้องเร่งพัฒนาและปรับตัวอยู่เสมอ

"การทำ Home Isolation คือการดิสรัปชั่นการรักษาตัวในโรงพยาบาล 100% เพราะคนไข้ไม่ต้องมาพบหมอ แต่ใช้เทคโนโลยีในการปรึกษา ตรวจรักษาตลอด 14 วันที่ต้องกักตัว ใช้ระบบไอทีในการส่งยา ตรวจเชื้อผ่านแลป ตรงนี้เองคือโอกาสที่เราต้องมองว่าเมื่อจบโควิดหรือสถานการณ์คลี่คลายแล้วนั้น การประยุกต์ใช้ดิจิทัล แพลตฟอร์ม ด้านเฮลท์แคร์จะมีความสำคัญอย่างที่สุด"

ผนึกพาร์ทเนอร์เสริมแกร่ง

เขา กล่าวเสริมอีกว่า ในฐานะของโรงพยาบาลปริ้นซ์ที่มองเรื่องสุขภาพต้องผนึกกับเทคโนโลยีมาโดยตลอด โรงพยาบาลเองมีการวิจัยอาร์แอน์ดีในเรื่องดังกล่าว เพื่อจะพัฒนาตัวเองไปถึงการทำเฮลท์แคร์แพลตฟอร์ม 4.0 เกิดการประยุกต์ของเทคโนโลยีผ่านการบูรณาการในทุกๆด้านที่เกี่ยวข้อง เพราะเทรนด์ของดิจิทัล เฮลท์แคร์ของโลกเติบโตอย่างมาก มีการใช้เอไอในการอ่านฟิลม์ เอ็กซ์เรย์ มีการนำเอาเครื่องมือมาช่วยสนับสนุน

ดังนั้น กุญแจแห่งความสำเร็จ (Key Succes) ส่วนตัวมองว่า การพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญมาร่วมจะเป็นทางที่สร้างโอกาสให้เกิดความสำเร็จมากที่สุด ทั้งการทำพันธมิตรกับเด็กรุ่นใหม่ สตาร์ทอัพ เราอาจมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจ แต่ในด้านความรู้เท่าทันเอไอ บลอกเชน แมชชีน เลิร์นนิ่ง อาจจะไม่ได้ชำนาญเท่าเด็กรุ่นใหม่ ตรงนี้คือสิ่งที่เรามองว่าจะเป็นกุญแจแห่งความสำเร็จ

"การทำธุรกิจในยุคใหม่การมองหาพาร์ทเนอร์ ชิพ ที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะทางมาเสริมให้กับองค์กรของเรา เป็นสิ่งที่ต้องรับเอามาปรับใช้ การโตได้หรืออยู่รอดในธุรกิจหากเราไม่เก่งเรื่องใดก็หาคนเก่งๆมาช่วยทำ"

นายสาธิต กล่าวอีกว่า นอกจากเรื่องการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้กับอุตสาหกรรมทางด้านสาธารณสุขแล้ว การปกป้องข้อมูลหรือเรื่องความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัวของคนไข้ก็เป็นสิ่งที่ละเลยไม่ได้ เพราะข้อมูลการรักษาพยาบาลก็มีความสำคัญอย่างมากไม่แพงข้อมูลส่วนบุคคลด้านๆอื่น

ปัจจุบัน โรงพยาบาลเองได้นำเอาคลาวด์ เทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลคนไข้ที่ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิดต้องมีการรักษาผ่านสมาร์ทโฟน หรือคอมพิวเตอร์ เพื่อไม่ให้เกิดภัยด้านไซเบอร์ ซิเคียวริตี้
#2992


ราคาทองถูกกดดันจากการที่นักลงทุนวิตกว่า เฟดอาจทำการประกาศในเดือนหน้าเกี่ยวกับไทม์ไลน์ในการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) และจะเริ่มทำการปรับลดคิวอีในเดือนต.ค.

นายโรเบิร์ต แคปแลน ประธานเฟด สาขาดัลลัส กล่าวก่อนหน้านี้ว่า เฟดควรทำการประกาศในเดือนหน้าเกี่ยวกับไทม์ไลน์ในการปรับลดวงเงินคิวอีและเริ่มทำการปรับลดคิวอีในเดือนต.ค.

ปัจจุบัน เฟดซื้อพันธบัตรตามมาตรการคิวอีอย่างน้อย 120,000 ล้านดอลลาร์/เดือน โดยเฟดซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐวงเงิน 80,000 ล้านดอลลาร์/เดือน และซื้อตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (เอ็มบีเอส) ในวงเงิน 40,000 ล้านดอลลาร์

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

นอกจากนี้ นายแคปแลนระบุว่า เขาต้องการให้การปรับลดคิวอีดำเนินไปโดยใช้เวลาราว 8 เดือน ซึ่งหากเฟดยิ่งเริ่มปรับลดคิวอีได้เร็วเท่าใด ก็จะยิ่งช่วยให้เฟดมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการใช้ความอดทนต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

คำกล่าวของนายแคปแลนสอดคล้องกับถ้อยแถลงของนายริชาร์ด แคลริดา รองประธานเฟด ที่ได้ส่งสัญญาณว่า เฟดจะปรับลดวงเงินคิวอี ภายในปีนี้ ก่อนที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2566

ทั้งนี้ นายแคลริดากล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มที่จะบรรลุเป้าหมายด้านการจ้างงานและเงินเฟ้อของเฟดภายในปลายปีหน้า ซึ่งจะทำให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2566

"ผมเชื่อว่าเศรษฐกิจจะบรรลุเงื่อนไขที่จำเป็นต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดภายในปลายปีหน้า และการกลับมาใช้นโยบายการเงินแบบปกติในปี 2566 จะสอดคล้องกับกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อเฉลี่ยแบบยืดหยุ่นของเฟด" นายแคลริดากล่าว

"หากการคาดการณ์ของผมเป็นจริง ก็คาดว่าเฟดจะเริ่มประกาศปรับลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรภายในปีนี้" เขากล่าว

ทางด้านนายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ว่าการของเฟด กล่าวเช่นกันว่า เฟดควรจะเริ่มปรับลดวงเงินคิวอีภายในเดือนต.ค.

--------------------------------
'บิตคอยน์'บวกเคลื่อนไหวที่ 44,000 ดอลล์

ราคาบิตคอยน์ เทรดที่เว็บไซต์คอยน์เดสก์ เมื่อเวลา 06.10 น.ของวันนี้ (19ส.ค.)ปรับตัวขึ้น 0.65% เคลื่อนไหวที่ 44,836.94 ดอลลาร์
#2993


สินค้าอุปโภคบริโภค ทั้งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง น้ำดื่ม น้ำอัดลม ขนมบางหมวดฯ หายไปจากชั้นวางสินค้าหรือเชลฟ์ โดยเฉพาะเฉพาะนาทีทองช่วงเย็น ทำให้ผู้ผลิตออกมายอมรับ โรคโควิดระบาด กระทบสุขภาพพนักงาน ส่งผลต่อโรงงานและการผลิตสินค้า รวมถึงการขนส่งสะดุดบ้าง ฟาก "ปลากระป๋อง" แจงเหตุสินค้าขาดตลาด เกิดจากวัตถุดิบ "ปลาซาร์ดีน" ป้อนโรงงานไม่เพียงพอ เกิดทุกปีช่วงไตรมาส 3 คาดกลางไตรมาส 4 สถานการณ์ดีขึ้น 

แหล่งข่าวจากวงการสินค้าอุปโภคบริโภค เปิดเผยว่า จากภาวะสินค้าจำเป็นหลายอย่างโดยเฉพาะ "ปลากระป๋อง" ขาดแคลนบนชั้นวางในห้างร้านต่างๆ  รวมถึงร้านสะดวกซื้อ เกิดจาก 2-3 ปัจจัยที่กระทบการผลิตสินค้า ประการแรก ตลาดปลากระป๋องในประเทศไทยเปลี่ยนแปลง เดิมปลาแมคเคอเรล เป็นสัดส่วนใหญ่สุด แต่ 4-5 ปีที่ผ่านมา ปลาซาร์ดีน เข้ามากินสัดส่วนมากขึ้นเป็น 70-80% 

ทั้งนี้ วัตถุดิบปลาซาร์ดีนต้องนำเข้าจากต่างประเทศเกือบ 100% และไตรมาส 3 ของทุกปี ผู้ผลิตปลากระป๋องต้องเผชิญกับภาวะขาดแคลนวัตถุดิบอย่างหนัก จึงส่งผลต่อกำลังการผลิตและปริมาณสินค้าออกสู่ตลาด และ 2 ปีที่ผ่านมา การนำเข้า-ส่งออกต้องเจอวิกฤติขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ควบคุมอุณหภูมิความเย็น ทำให้การส่งวัตถุดิบสะดุดหนักขึ้น 

นอกจากนี้ โรคโควิดที่ระบาดในไทย มีผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้น ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องยากที่จะไม่มีโรงงานผลิตสินค้าใดมีพนักงานรอดพ้นการติดเชื้อไวรัส เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ต้องมีการปิดโรงงานเป็นเวลาหลายวัน และส่งผลให้กำลังการผลิตสินค้ารวมถึงปลากระป๋องลดลงเหลือ 60-70% บ้าง จากนั้นจึงฟื้นตัวกลับมา  เช่นเดียวกับการขนส่งและกระจายสินค้า เมื่อศูนย์กระจายสินค้าของร้านค้าพันธมิตรมีผู้ติดเชื้อไวรัส ทำให้การป้อนสินค้าเข้าร้านกระทบตามไปด้วย  


"วันนี้เป็น New Normal โรงงานมีพนักงานติดโควิด เพราะอุตสาหกรรมต้องใช้แรงงานผลิตสินค้า แต่บริษัทต้องบริหารจัดการให้กำลังผลิตกลับมา ขณะเดียวกันห้วงวิกฤติองค์กรต้องไม่ทอดทิ้ง ควรโฟกัสการดูแลพนักงานให้มากขึ้นเพื่อรอดและก้าวสู่วันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า เพราะอนาคตไม่รู้จะเจอบททดสอบอะไรที่หนักขึ้น"  

ส่วนด้านความต้องการของผู้บริโภคมีการปรับตัวสูงขึ้น ทั้งจากการซื้อปริมาณมากในแต่ละครั้งเพื่อเก็บไว้บริโภคช่วงอยู่บ้านมากขึ้น ยังมีหน่วยงานต่างๆซื้อไปบริจาคแก่ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ผู้ป่วยกักตัวอยู่บ้านเช่นกัน 

"สินค้าที่ขาดบนเชลฟ์ เกิดจากทั้งซัพพลายเชนได้รับผลกระทบ แต่ปลากระป๋อง แตกต่างจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรงที่เผชิญกับการขาดแคลนวัตถุดิบปลาซาร์ดีนด้วย แม้ผู้ผลิตจะรู้สถานการณ์ทุกปีและวางแผนรับมือการผลิต แต่สภาพอากาศที่แปรปรวน มีผลต่อการจับปลา ปริมาณวัตถุดิบป้อนสู่ตลาดอยู่แล้ว จึงยืนยันว่าผู้ผลิตไม่มีการกัดตุนสินค้าแน่นอน เพราะการทำเช่นนั้นถือเป็นการฆ่าตัวเอง"  

ปัจจุบันปลากระป๋อง ยังเป็นสินค้าที่หายากในบางช่องทางจำหน่าย แต่แนวโน้มซัพพลายสินค้าจะเข้าสู่ภาวะปกติ คาดว่าจะเป็นช่วงกลางไตรมาส 4 ภายใต้เงื่อนไม่มีเหตุการณ์โรคระบาดแทรกซ้อนอีกครัง   

"ภาพรวมปลากระป๋องไม่ขาดตลาด แต่อาจหาซื้อค่อนข้างยากทุกยี่ห้อ เพราะสินค้าเป็นที่ต้องการมากขึ้น แต่การผู้ผลิตไม่ได้ขายดีกว่าเดิม เนื่องจากวัตถุดิบหายาก"
#2994


หลังจากวันที่ 16 ส.ค. 64 ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.)  ประชุมโดยสรุปมีการมาตรการให้เปิดกิจการธนาคาร และสถาบันการเงิน ในห้างสรรพสินค้า ของพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัดได้ 

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์สรุป เวลาเปิด-ปิด และข้อปฏิบัติของธนาคารในห้างสรรพสินค้า ของพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัด ดังนี้ 


เวลาเปิด-ปิด ธนาคารในห้าง 
ศบค. พิจารณาให้สามารถเปิดได้ ไม่เกิน 20.00 น. โดยสำหรับวันที่เปิดให้บริการเป็นวันแรกหลังจากที่ถูกสั่งปิดบริการไปนั้น สามารถโทรติดต่อสอบถาม ณ ธนาคารสาขานั้นๆ 

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

ข้อปฏิบัติการใช้บริการในห้าง 
สมาคมศูนย์การค้าไทย กำหนดข้อปฏิบัติ 26 ข้อสำหรับการเข้าใช้ และเปิดบริการธนาคารในห้างคือ 

1.พนักงานทุกคนได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว (Sinovac 2 เข็ม, Astrazeneca หรือวัคซีนอื่นๆ อย่างน้อย 1 เข็ม) 

2.ก่อนเข้าทำงาน พนักงานทุกคนต้องตรวจหาเชื้อโดย Antigen Test Kit และมีผลเป็นลบ โดยผลตรวจต้องไม่เกิน 3 วัน หลังจากนั้นจะต้องตรวจหาเชื้อโดยวิธี Antigen Test Kit เป็นประจำทุก 2 สัปดาห์ 

3.บันทึก และประเมินประวัติของพนักงานทุกคน ทุกวัน 

4.เข้มงวด ห้ามพนักงานจับกลุ่ม หรือนั่งทานอาหารร่วมกัน 

5.พนักงานทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัย 2 ชั้น หรือ หน้ากากอนามัยและ Face shield ตลอดการให้บริการ 

6.ส่งเสริมให้ลูกค้าลงทะเบียนจองคิวล่วงหน้าผ่านช่องทางออนไลน์ 

7.จำกัดจำนวนคน 1 คนต่อ 5 ตร.ม. และลดความแออัด 100% Social Distancing 

8.จัดให้มีเจ้าหน้าที่นับและควบคุมจำนวนลูกค้าหรืออุปกรณ์ในการนับจำนวนลูกค้าให้เป็นไปตามกำหนด 

9.ส่งเสริมการทำธุรกรรมผ่านช่องทางออนไลน์ หรือ e-Banking 

10.บริการถุงมือพลาสติกสำหรับลูกค้าที่มาใช้บริการ 

11.ธนาคารงดให้บริการแลกเหรียญ และธนบัตรย่อย เพื่อลดการสัมผัส 

12.มีพนักงานจัดระบบคิวหน้าร้าน 

13.กำหนดจุดรอคิวในบริเวณที่กำหนด หากบริเวณหน้าร้านไม่มีพื้นที่ ให้ทางร้านแจกบัตรคิวพร้อมขอเบอร์โทรลูกค้า แล้วให้ลูกค้าไปนั่งรอที่ Rest Area ที่ทางศูนย์ฯ จัดไว้ 

14.กำหนดการจัดคิว และมีสัญลักษณ์เว้นระยะอยู่ข้างหน้าตู้ ATM หรือ e-Booth ห่าง 1-2 เมตร

15.ตรวจวัดอุณหภูมิลูกค้าทุกคนอย่างเคร่งครัดทุกครั้งก่อนเข้าพื้นที่ 

16.ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอลล์ทั้งก่อน-หลังเข้ารับบริการ 

17.ธนาคารจัดเจลแอลกอฮอลล์บริเวณเคาน์เตอร์ให้บริการ 2 ช่อง ต่อ 1 ขวด 

18.กำหนดเส้นทางเดินของลูกค้าในร้านค้า

19.ร้านค้า จำกัดการรับลูกค้าและผู้ติดตามรวมแล้วไม่เกิน 2 คนต่อกลุ่ม 

20.จัดระเบียบการเข้าคิวแคชเชียร์และจุดบริการต่างๆ กำหนด ระยะห่าง 1-2 เมตร 

21.ส่งเสริมการชำระเงินแบบ Cashless Payment 

22.อุปกรณ์ Demo ต้องเช็ดน้ำยาฆ่าเชื้อหลังจากลูกค้าสัมผัสทันที 

23.ทำความสะอาดบริเวณจุดที่มีการสัมผัสร่วมสูง ทุกๆ 30 นาที 

24.ทำความสะอาดและพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อพื้นที่ร้านค้าอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องทุกวันหลังปิดให้บริการ 

25.ทำความสะอาดบิ๊กคลินนิ่ง อบโอโซนฆ่าเชื้อ ทันทีหากพบว่ามีผู้ติดเชื้อมาใช้บริการ และพนักงานที่มีความเสี่ยงสูง ต้องกักตัว 14 วันเพื่อดูอาการ และเปลี่ยนพนักงานชุดใหม่ทั้งหมด 

26.มี Counter Shield ในจุดให้บริการลูกค้า
#2995


การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 17 ส.ค.2564 มีการพิจารณาจัดซื้อวัคซีนเพิ่มเติมเพื่อฉีดให้กับประชาชนหลังจากที่กรมควบคุมโรคได้ลงนามกับไฟเซอร์และไบออนเทค เมื่อวันที่ 20 ก.ค.2564 เพื่อซื้อวัคซีนไฟเซอร์ให้ประชากรกลุ่มเป้าหมาย 20 ล้านโดส ในขณะที่ ครม.ล่าสุดให้กระทรวงสาธารณสุขซื้อวัคซีนไฟเซอร์เพิ่มอีก 10 ล้านโดส รวมเป็น 30 ล้านโดส

แหล่งจากทำเนียบรัฐบาล กล่าวกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า กระทรวงสาธารณสุขรายงานว่ามีแผนที่จะฉีดวัคซีนให้ประชากรที่อยู่ในประเทศไทย 70% ภายในปี 2564 ซึ่งมีการเสนอแผนการจัดหาวัคซีน 168 ล้านโดส โดยมีระยะเวลาการส่งมอบตั้งแต่เดือน ก.พ.2564-มี.ค.2565 แบ่งการจัดหาเป็น 5 กลุ่ม คือ

1.วัคซีนซิโนแวค 19.5 ล้านโดส มีระเวลาการส่งมอบตั้งแต่ ก.พ.-ส.ค.2564 ใช้งบกลางจัดหา 7.6 ล้านโดส ใช้งบจาก พ.ร.ก.กู้เงินจัดหา 10.9 ล้านโดส และรับบริจาคจากจีน 1 ล้านโดส

2.วัคซีนแอสตร้า เซเนก้า 62.46 ล้านโดส มีระยะเวลาการส่งมอบตั้งแต่ ก.พ.-ธ.ค.2564 เป็นการใช้งบกลางจัดหา 26 ล้านโดส ใช้งบจาก พ.ร.ก.กู้เงินจัดหา 35 ล้านโดส รับบริจาคจากญี่ปุ่น 1.05 ล้านโดส รับบริจาคจากสหราชอาณาจักร 415,000 โดส

3.วัคซีนไฟเซอร์ 31.5 ล้านโดส มีระยะเวลาการส่งมอบตั้งแต่ ส.ค.-ธ.ค.2564 เป็นการใช้งบจาก พ.ร.ก.กู้เงินจัดหา 30 ล้านโดส และรับบริจาคจากสหรัฐ 1.5 ล้านโดส


4.วัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน 5 ล้านโดส ระยะเวลาการส่งมอบ ธ.ค.2564 โดยทั้งหมดเป็นการใช้งบจาก พ.ร.ก.กู้เงินจัดหา

5.วัคซีนซิโนแวค วัคซีนแอสตร้า เซเนก้า และวัคซีนอื่นๆ 50 ล้านโดส ระยะเวลาการส่งมอบ ม.ค.-มี.ค.2565 โดยทั้งหมดเป็นการใช้งบจาก พ.ร.ก.กู้เงินจัดหา



อนุมัติซื้อไฟเซอร์30ล้านโดส

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.วันที่ 17 ส.ค.2564 มีมติเห็นชอบโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับบริการประชากรในไทยโดยให้มีการอนุมัติงบประมาณจากเงินกู้ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน วงเงิน 9.37 พันล้านบาทเพื่อซื้อวัคซีนไฟเซอร์ 20 ล้านโดส 

โดยกรอบวงเงินดังกล่าวแบ่งเป็นค่าวัคซีน 8.44 พันล้านบาท และการบริหารจัดการ 933.6 ล้านบาท มีช่วงระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ ส.ค.-ธ.ค. โดยกลุ่มเป้าหมายสามารถปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสถานการณ์การระบาดของโรค โดยโครงการนี้อยู่ภายใต้โครงการจัดหาวัคซีนโควิด-19 เพิ่มเติม ของกรมควบคุมโรค ตามนโยบายรัฐบาลที่จะจัดหาวัคซีนให้แก่ประชาชน 100 ล้านโดส ภายในสิ้นปี 2564 สำหรับสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค

"ขณะนี้มีผู้ผลิตวัคซีนโควิด-19 ที่ใช้เทคโนโลยีในการผลิตที่หลากหลาย รัฐบาลจึงเห็นควรให้มีจัดหาวัคซีนที่มีเทคโนโลยีการผลิตที่แตกต่างกันให้สามารถครอบคลุมการกลายพันธุ์ของไวรัส โควิด-19 ที่มีอยู่ทั่วโลกทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ซึ่งจะช่วยให้สามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่แก่คนไทยได้อย่างแท้จริง ลดอัตราการป่วย การเสียชีวิต และลดค่าใช้จ่ายภาครัฐในการดูแลรักษาผู้ป่วยช่วยให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวได้โดยเร็ว"นายอนุชา กล่าว 

นอกจากนี้ที่ประชุม ครม.ยังเห็นชอบให้มีการจัดหาวัคซีนไฟเซอร์เพิ่มเติมอีก 10 ล้านโดส  พร้อมมอบให้กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขได้ลงนามกับผู้แทนบริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัดและไบออนเทค ทำให้การจัดซื้อวัคซีนไฟเซอร์ซึ่งเป็นวัคซีนชนิด mRNA เพิ่มอีก 10 ล้านโดสจำนวนเป็น 30 ล้านโดส ซึ่งจะเริ่มทยอยจัดส่งในไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 นี้ 

เร่งไฟเซอร์ส่งมอบเร็วขึ้น

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล ระบุว่า สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้รายงานผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้เงินกู้ให้ ครม.รับทราบว่า การพิจารณาเมื่อวันที่ 10 ก.ค.2564 ได้ให้กรมควบคุมโรคเร่งปรับแผนการจัดหาวัคซีนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันทั้งประเภทและปริมาณของวัคซีน และระยะเวลาที่คาดว่าจะได้รับมอบวัคซีนในช่วงที่เหลือของปี 2564 และในช่วงปี 2565 เพื่อให้การบริหารจัดการวัคซีนได้ประสิทธิภาพสูงสุด และไม่มีปัญหาการเข้าถึงวัคซีนเหมือนที่ผ่านมา รวมถึงการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ประชาชนได้อย่างน้อย 70% ภายในปี 2564 ตามเป้าหมาย

นอกจากนี้ กรมควบคุมโรครายงานว่าจะได้รับวัคซีนไฟเซอร์ได้ในเดือน ต.ค.2564 ตามสัญญาที่ลงนามไว้กับบริษัทไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด แต่กรมควบคุมโรคได้ประสานเพื่อเร่งรัดการส่งมอบวัคซีนให้เร็วกว่าแผนที่กำหนดไว้ รวมทั้งคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ต้องการให้กรมควบคุมโรคจัดหาวัคซีนที่มีเทคโนโลยีหลากหลาย เพื่อให้ครอบคลุมการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสที่มีอยู่ทั่วโลกทั้งในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งจะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้กับประชาชนได้อย่างแท้จริง

รวมทั้งต้องการให้กรมควบคุมโรควางแผนความต้องการใช้จ่ายเป็นรายเดือน เพื่อให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) จัดหาเงินกู้เพื่อใช้จ่ายตามแผนที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายทางการเงินของภาครัฐ
#2996


บมจ.แพลน บี มีเดีย หรือ PLANB หนึ่งในบริษัทผู้ในห้บริการสื่อโฆษณานอกที่อยู่อาศัยควบคู่กับธุรกิจการตลาดแบบมีส่วนร่วม และ บมจ.มาสเตอร์ แอด หรือ maco ผู้ประกอบการธุรกิจป้ายโฆษณากลางแจ้งนอกบ้านที่เป็นสื่อออฟไลน์ ทุ่มงบลงทุนกว่า 300 ล้านบาท เข้าลงทุนร่วมใน Zipmex บริษัทผู้ประกอบการแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล

Zipmex แพลตฟอร์มด้านการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล เปิดเผยว่า การลงทุนครั้งนี้จะเป็นความร่วมมือสำหรับการนำโทเค็นยูทิลิตี้สูงสุดในประเทศไทยอย่าง ZMT มาผนึกกำลังรวมเข้ากับระบบนิเวศการโฆษณาในหลายแพลตฟอร์ม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการระดมทุนครั้งใหญ่ของนักลงทุนที่มีชื่อเสียงระดับโลกมากขึ้น ซึ่งจะประกาศรายชื่อในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดยการลงทุนและการเป็นหุ้นส่วนในครั้งนี้จะช่วยให้ Zipmex เข้าถึงลูกค้าหลายล้านรายทั่วประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ขณะที่ Plan B และ MACO ได้ตัดสินใจร่วมมือกันลงทุนในแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลที่สอดคล้องกับกฎระเบียบมากที่สุดในภูมิภาค แพลน บี เป็นผู้ให้บริการโฆษณาสื่อโฆษณานอกบ้านด้วยแพลตฟอร์มนวัตกรรมที่หลากหลาย ประกอบกับธุรกิจการตลาดแบบมีส่วนร่วมที่แข็งแกร่ง ซึ่งประกอบด้วยธุรกิจสปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง ธุรกิจด้านอาร์ทติส เมเนจเม้นท์ และธุรกิจเกมในประเทศไทย และ บริษัท มาสเตอร์แอด จำกัด (มหาชน) ("MACO") มีพื้นที่สำหรับการโฆษณากว่า 2,000 แห่งที่ครอบคลุมมากที่สุด การลงทุนจากบริษัทสื่อโฆษณาชั้นนำทั้งสองแสดงถึงความเชื่อมั่น ความไว้วางใจในสินทรัพย์ดิจิทัล และแนวโน้มการเติบโตของสินทรัพย์ดิจิทัลที่จะมีต่อสังคมในอนาคต

นายเอกลาภ ยิ้มวิไล ซีอีโอ และผู้ร่วมก่อตั้ง Zipmex ประเทศไทย กล่าวว่ามีความเชื่อมั่นว่าปี 2564 เป็นปีแห่งสินทรัพย์ดิจิทัล โดยในปีที่แล้ว Zipmex ประสบความสำเร็จในการระดมทุนมากกว่า 6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นำโดย Jump Capital บริษัทการลงทุนสัญชาติอเมริกันที่มีบริษัทพอร์ตโฟลิโอ ซึ่งรวมถึง TradingView ซอฟต์แวร์สร้างแผนภูมิบนคลาวด์ และซอฟต์แวร์โซเชียลเน็ตเวิร์กสำหรับนักลงทุนมือใหม่ และนักลงทุนระดับสูง

ขณะที่ปริมาณการซื้อขาย Zipmex ครึ่งปีแรกมีมูลค่ากว่า 62 พันล้านบาท โดยสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งมาจากธุรกิจของไทย และคาดว่าจะมีการเติบโตต่อไปในอนาคต ซึ่งสัดส่วนนี้แสดงให้เห็นถึงการเติบโตกว่า 2,540% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และได้มีการวางแผนขยายการเติบโตอีก 310% สำหรับการซื้อขายในช่วงที่เหลือของปี 2564

"Zipmex ช่วยอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมผ่านคริปโทฯ เช่นเดียวกับการใช้คริปโทฯ ในชีวิตประจำวันของเรา นอกจากนี้เรายังคงมีการขยายไปสู่ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเชื่อมช่องว่างระหว่างการเงิน และไลฟ์สไตล์ เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ Plan B และ MACO ได้มอบความไว้วางใจที่สำคัญเช่นนี้ให้กับเรา"

ด้านนายพินิจสรณ์ ลือชัยขจรพันธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) ("Plan B") กล่าวว่า "เราเชื่อมั่นว่า Zipmex เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีทีมงานที่มีความสามารถในอุตสาหกรรมนี้ พร้อมกับมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล และมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง ในช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่เริ่มเปิดตัว เราพร้อมที่จะสนับสนุนการเติบโตของ Zipmex ผ่านช่องทางสื่อโฆษณาของเรา การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลครั้งนี้ถือเป็นการต่อยอดและสร้างโอกาสทางธุรกิจ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศของเราในธุรกิจการตลาดแบบมีส่วนร่วม ซึ่งรวมถึงธุรกิจสปอร์ต มาร์เก็ตติ้ง ธุรกิจด้านอาร์ทติส เมเนจเม้นท์ และธุรกิจเกม เรามั่นใจว่าการลงทุนและการเป็นหุ้นส่วนครั้งนี้จะสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ Plan B "

เกี่ยวกับ Zipmex (ซิปเม็กซ์)

"ซิปเม็กซ์" เป็นแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานในประเทศไทย รวมถึงประเทศสิงคโปร์ อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย โดยมุ่งเน้นมุ่งเน้นการให้บริการนักลงทุนรายย่อยและสถาบัน
#2997


วันที่ 15 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ให้สัมภาษณ์ในรายการสุทธิชัยไลฟ์ ในหัวข้อ "มุมมอง ธนินท์ เจียรวนนท์ โควิดกับทางออกของประเทศไทย" โดยพิธีกร คือ นายสุทธิชัย หยุ่น เปิดประเด็นว่า ได้สัมภาษณ์บุคคลจากหลายภาคส่วน และ วันนี้จะเป็นการพูดคุยกับนายธนินท์ในบทบาทภาคธุรกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 และ แนวโน้มทางเศรษฐกิจของไทย


นายธนินท์ กล่าวว่า เป็นหัวเลี้ยว หัวต่อของประเทศไทย ซึ่งวิกฤตโควิดเป็นเหมือนสงครามโลก (โรค) ครั้งที่ 3 ก็ว่าได้ เพราะทุกประเทศในโลกได้รับผลกระทบทั้งหมด แต่หากประเทศใดปรับตัวได้ ก็จะก้าวกระโดด แต่หากประเทศไทยขาดนโยบายที่มีความพร้อม และมีการเปลี่ยนแปลงไม่เร็วพอ ก็จะตกขบวน ตามหลังประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้ในสถานการณ์ที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อยังไม่ลดลง และยังไม่แน่ใจว่า ฟ้าจะกลับมาสว่างอีกครั้งเมื่อใด ทั้งนี้ นายธนินท์ ได้กล่าวถึง 4 ประเด็น ที่ต้องให้ความสำคัญ ได้แก่ 1) ปากท้อง 2) ป้องกัน 3) รักษา 4) อนาคต

ประเด็นแรก คือเรื่อง "ปากท้อง" โดยนายธนินท์กล่าวว่า ในสถานการณ์ปัจจุบัน คนได้รับความลำบากมาก คนลำบากในต่างจังหวัด ยังพอมีญาติ มีอาหารมาแบ่งปัน ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ ยังพอประทังชีพได้ แต่คนมีรายได้น้อยในเมือง และคนที่มีภาระ เมื่อเจอเข้ากับวิกฤตที่ต้องกักตัว ไปทำงานไม่ได้ จะทำให้ลำบากมาก แม้กระทั่งอาหาร บางครั้งยังไม่เพียงพอ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ที่ภาครัฐต้องมีมาตรการมาดูแล แต่ในส่วนของภาคเอกชน เราทำได้เพียงช่วยแบ่งเบาภาระ

โดยเครือซีพี มีโครงการครัวปันอิ่ม แจกอาหาร 2 ล้านกล่อง ในเวลา 2 เดือน ร่วมกับ 100 พันธมิตรอาสาสมัคร ไปแจกให้กับชุมชน โดยอาหารจำนวน 1 ล้านกล่องจากจำนวนทั้งหมด จะสั่งซื้อจากร้านอาหาร ขนาดกลาง ขนาดเล็ก และ ขนาดจิ๋ว เป็นเป็นการช่วยเหลือจากปัญหาร้านถูกปิด เพื่อให้ร้านต่าง ๆ พออยู่ได้ และ ยังช่วยให้ชุมชนต่าง ๆ ที่ลำบาก เข้าถึงอาหาร และ หน้ากากอนามัย ที่แจกในคราวเดียวกัน นอกจากนี้ จะทำการคัดเลือกร้านที่สะอาด ปลอดภัย และช่วยโปร โมทร้านอาหาร พร้อมใส่เบอร์โทร หากใครสนใจก็สั่งซื้อจากร้านได้โดยตรงอีกด้วย


ประเด็นที่สอง คือ "ป้องกัน" โดยนายธนินท์ เน้นความสำคัญของวัคซีน ยิ่งฉีดได้ครอบคลุมรวดเร็วมากเท่าไหร่ ก็จะลดผลกระทบได้มากเท่านั้น ตัวอย่างมีให้ดูหลายประเทศ เช่น อังกฤษ พอฉีดได้จำนวนมาก ก็กลับมาเปิดประเทศ ถึงแม้ว่าจะติดเชื้อเพิ่ม แต่ก็ไม่ตาย ไม่เจ็บหนัก ก็จะทำให้ประเทศสามารถเดินต่อไปได้ ซึ่งต้องตั้งเป้าหมายฉีดให้ครบ 100% ไปเลย โดยนำเข้าวัคซีนทุกยี่ห้อ

ในตอนหนี่งของการสัมภาษณ์ นายสุทธิชัย หยุ่น ได้ถามว่า นายธนินท์ หรือซีพี มีส่วนในการนำเข้าวัคซีนซิโนแวคของรัฐบาลหรือไม่  ซึ่งนายธนินท์ ได้ตอบอย่างเคลียร์ชัดว่า ไม่เกี่ยวข้องแน่นอน เพราะการผลิตวัคซีนทั้งหมดของซิโนแวคต้องส่งให้กับรัฐบาลจีน และต่อให้เอกชนอยากซื้อก็ซื้อไม่ได้ พนักงานเครือซีพีในประเทศจีน ยังไม่สามารถซื้อซิโนแวคมาฉีดให้พนักงานได้เลย ขึ้นอยู่กับรัฐบาลจีนทั้งหมด นายธนินท์กล่าวเสริมที่มาของประเด็นซิโนแวคว่า

ตอนที่บริษัทซิโนแวคตั้งต้นจะทำวิจัยวัคซีนป้องกันโควิด อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ มีเงินไม่พอ ต้องการระดมทุนเพิ่ม หลานชายซึ่งรู้จักกับหมอและนักวิจัยด้านยา ก็ได้รับเชิญชวนให้เข้าไปช่วยลงทุนในยามที่บริษัทนี้เงินไม่พอ ซึ่งต่อมาบริษัทนี้ซึ่งอยู่ในเครือฯของซิโนแวคก็ให้เป็นหุ้นบริษัทคืนแก่หลานชายในประเทศจีนมา 15% ในอัตราเท่ากับนักวิจัยที่มีหุ้นกันละ 15% ซึ่งในช่วงนั้น จริง ๆ เป็นการช่วยเหลือนักวิจัยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ  แต่ไปสั่งการอะไรไม่ได้ จะขอซื้อวัคซีนก็ทำไม่ได้แน่นอน ซึ่งในประเทศไทย ซีพียังต้องสั่งซื้อวัคซีนซิโนฟาร์มมา 1 แสนโด้ส มาดูแลพนักงานของบริษัทเอง โดยซื้อจากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ จะซื้อตรงก็ยังทำไม่ได้ เพราะวัคซีน ถูกควบคุมทั้งหมด

นอกจากนี้ วัคซีนทุกยี่ห้อ หากผู้ผลิต กล้าฉีดให้คนประเทศของเขา ก็มั่นใจได้ว่า มีความปลอดภัยระดับสูง โดยนายธนินท์เอง ก็ฉีดวัคซีน แอสตร้าซินิก้า เพราะคนอังกฤษฉีดกัน ยอดผู้ป่วยหนัก และ ผู้เสียชีวิตก็ยังน้อย ดังนั้น ต้องนำเข้าวัคซีนหลาย ๆ ยี่ห้อ เข้ามาฉีด ของทางอเมริกา ยุโรป ก็มีเทคโนโลยีที่ดี และประเทศเหล่านั้นได้ฉีดให้คนของเขาจำนวนมาก เราจะกลัวอะไร ยิ่งมีทางเลือกมาก ประชาชนก็มั่นใจ และ ฉีดวัคซีนได้เร็วขึ้น

ประเด็นที่สาม คือ "รักษา" โดยกล่าวถึง การรักษาที่ต้องเร็ว ถึงแม้ว่าผู้ป่วย 90% หายได้ด้วยการดูแลตัวเอง แต่การที่ผู้ป่วยต้องอยู่บ้านเป็น Home Isolation มากขึ้น ยังจำเป็นต้องดำเนินการคู่กับหมอทางไกล Telehealth และต้องเข้าถึงยาโดยเร็ว หากคนไข้ได้ปรึกษาอาการกับหมอ มีหมอออนไลน์ จะมีกำลังใจ นอกจากนี้นายธนินท์ได้ย้ำว่าเรื่องการเข้าถึงยามีความสำคัญอย่างมาก อย่ารอให้คนไข้มีอาการหนัก และควรกระจายยาอย่างรวดเร็ว ลดขั้นตอน ยุคนี้ต้องเร็วและมีคุณภาพ

สำหรับเครือซีพี คงช่วยได้บ้างในเรื่องการปลูกฟ้าทะลายโจรในโครงการ ปันปลูก ฟ้าทะลายโจร แจกฟรี 30 ล้านเม็ด ในพื้นที่ 100 ไร่ ใน 100 วัน เราจะปลูกเพื่อแจกจ่ายฟรี เพราะตอนนี้ฟ้าทะลายโจรขนาดตลาดมาก เป็นเพียงเข้าไปเสริมในตลาด ทำให้ผู้ประกอบการเดิมไม่กระทบ ดังนั้น เราเป็นการเติมซัพพลาย เข้าไปลดความขาดแคลนเท่านั้น โดยเป็นการแจกฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายแน่นอน โดยจะปลูกโดยควบคุมเป็นแบบปลอดสารพิษทั้งหมด และจะถ่ายทอดองค์ความรู้ให้เกษตรกร ชาวบ้าน โดยมีอิสระในการปลูก การขาย และขยายผล โดยไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ทั้งนี้ การบริโภคฟ้าทะลายโจร ต้องรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมตามคำแนะนำของสาธารสุข

ประเด็นที่ 4 คือ "อนาคต" ซึ่งนายนินท์ ชี้ประเด็นประเทศไทยเสี่ยงถดถอย หากภาครัฐไม่มีมาตรการรองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ปัจจุบัน ธุรกิจขนาดจิ๋ว เล็ก กลาง ใหญ่ ล้วนได้รับผลกระทบ และหากต้องล้มหาย ตายจากไป หลังพ้นวิกฤต บริษัทที่จะจ่ายภาษีให้ประเทศได้จะมีจำนวนลดน้อยลง และเครื่องจักรเศรษฐกิจ เช่น ท่องเที่ยว ส่งออก จะใช้เวลาฟื้นตัวช้า หากมีการปิดกิจการไปแล้ว ดังนั้น ต้องดูแลให้ธุรกิจทุกระดับอยู่รอด และ ปรับตัวสู่ธุรกิจอนาคต โดยเฉพาะ ธุรกิจ 4.0 และที่สำคัญต้องเตรียมพร้อมเรื่องคน วันนี้ประเทศไทยแข่งเรื่องแรงงานราคาถูก กับประเทศเพื่อนบ้านไม่ได้แล้ว เพราะเรายังต้องใช้แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน

ดังนั้น ไทย ต้องขยับไปสู่ธุรกิจไฮเทค แต่ก็ตามมาเรื่องคน คนเราพร้อมหรือไม่ รัฐบาลพูดไป แต่ยังขับเคลื่อนได้ช้า เราต้องออกไปเชิญชวนการลงทุน มาเพื่อสร้างงานในประเทศไทย ดึงดูดนักลงทุน ให้มาลงทุนอุตสาหกรรมใหม่ในประเทศไทย ไม่ใช่ไปประเทศเพื่อนบ้าน ทุกบริษัทระดับโลกด้านไฮเทค ล้วนเนื้อหอม ทุกประเทศอยากดึงบริษัทเหล่านี้ไปลงทุนในประเทศกันทั้งนั้น 

แล้วประเทศไทย จะมีมาตรการเชิงรุกอะไร ในการไปดึงบริษัทเหล่านี้เข้ามา ดึงคนเก่งทั่วโลก มาอยู่เมืองไทย มาใช้จ่ายที่ประเทศไทย มาจ่ายภาษีให้ประเทศไทย เหมือนเช่นอเมริกา ดึงคนยุโรป จีน อินเดีย ญี่ปุ่น ไปอยู่อเมริกา หรือ คนสิงค์โปร์มีประชากรครึ่งหนึ่ง เป็นคนจากต่างประเทศที่เข้าไปลงทุน เศรษฐกิจใหม่ ก็จะเกิดขึ้น แต่ที่พูดมาทั้งหมด ต้องทำควบคู่กันทั้งหมด ยามมืดสุด ต้องคิดว่า เมื่อสว่างแล้ว ประเทศจะเป็นอย่างไร

 

ดังนั้น ทั้ง 4 ประเด็น ตั้งแต่ปากท้องที่ต้องดูแล ป้องกันโดยการหาวัคซีนให้มากและเร็วที่สุด หากเอกชนจะช่วยนำเข้า รัฐควรรีบสนับสนุน วัคซีนยี่ห้อไหนดี ต้องพยายามนำเข้ามาทั้งหมด การรักษาที่ต้องรวดเร็ว ต้องเข้าถึงยา อย่าปล่อยให้หนัก และสุดท้ายคือ ต้องมองเรื่องอนาคตควบคู่ ทั้ง 4 เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ต้องทำพร้อมกัน ในยามวิกฤต จะใช้ขั้นตอนแบบเดิมไม่ได้ ต้องรวดเร็วและมีคุณภาพ

นายธนินท์ ทิ้งท้ายว่า สิ่งที่ได้เรียนรู้จากวิกฤตครั้งนี้คือ ความสำคัญของการเปลี่ยนแปลง การปรับตัว หากใครไม่สามารถปรับตัวได้ก็จะไม่สามารถอยู่รอดได้ ไม่ว่าบริษัทจะใหญ่หรือเล็ก ประเทศใดปรับตัวได้จะเป็นผู้นำใหม่ ประเทศที่เคยเป็นผู้นำ หากปรับตัวไม่ได้ ก็จะกลายเป็นผู้ตาม และนี่แหละ คือ สงครามโลก(โรค) ครั้งที่ 3 ที่ทุกหย่อมหญ้า ได้รับผลกระทบอย่างเท่าเทียม
#2998
เติมคอยส์ COINS เติมเงิน Kitty Live, Mico เติมเพชร Kitty Live, Mico

"ได้เยอะกว่าเติมผ่านแอป"
พร้อมรับสมัครวีเจ มีเงินเดือน+ค่าของขวัญ 





111Topup เปิดบริการ เติมคอยส์ เติม COINS เติมเพชร เติมรูบี้ วิธีการเติมเงิน เติมคอยส์ MICO, KittyLive เติม COINS เติมเพชรง่ายนิดเดียว เพียงแค่โอนเงินผ่านเลชบัญชีธนาคารของเรา แจ้งโอน พร้อมบอกเลขไอดี รอรับคอยส์ไม่เกิน 30 วินาที การันตีได้คอยส์ชัวร์ แถมเยอะกว่าเติมผ่านในแอป ไม่โกง ไม่หลอก แน่นอน โดยมีการเติมเงินแบบ 2 ช่องทางหลักคือ

1. เติมคอยส์ MICO, KittyLive  เติมผ่านระบบธนาคาร ATM,ฝากเงินผ่านตู้, Mobile Banking ,ผ่านเว็บไซด์ธนาคาร


2. เติมคอยส์ MICO, KittyLive  เติมเงินผ่านบัตรเติมเงิน ทรูมันนี่ 


111Topup รีบแอดไลน์เพื่อรับโปรโมชั่น แถมคอยส์เพิ่มขึ้น
เติมคอยส์ MICO, KittyLive




Add Line : @111Topup


วิธีการเติมเงิน Kitty Live, Mico คอยส์ COINS เพชร


1.     แอดไลน์ @111Topup (มี @ ด้วยนะคะ) เติมคอยส์ MICO, KittyLive 


2.     โอนเงินผ่านบัญชีธนาคาร ตามที่ระบุไว้ หรือ ถ้าเติมผ่านบัตรทรูมันนี่ ให้ส่งหลักฐานบัตรมาที่ไลน์แอด @111Topup


3.     แจ้งเลขไอดี แอฟ Kitty Live, Mico ในไลน์


4.     เมื่อทีมงานรับเรื่องแล้วไม่เกิน 30 วินาทีคุณจะได้รับคอยส์ (COINS) ใน แอฟ Kitty Live, Mico


5.     เติมคอยส์ MICO, KittyLive  เปิดบริการเติมเงินทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 - 02.00 น. (8โมงเช้า-ตี2 ทุกวัน)


 


 


รับสมัครวีเจ ไลฟ์ มีเงินเดือน + ค่าของขวัญ เงินเดือนขั้นต่ำ 6000 บาท 


 


สมัครวีเจ เข้า สังกัด 111 ทำงาน ขั้นต่ำ 20 วัน 30 ชั่วโมงต่อเดือน ทำงานที่บ้านไลฟ์ ออนไลน์ผ่านมือถือ 


มีการันตีเงินเดือน 6000-10000 บาท สำหรับวีเจใหม่ มีเทรนด์งานก่อนขึ้น ไลฟ์ดี ตั้งใจไลฟ์ สังกัดพร้อมซัพพอร์ต ในการหายูสให้แน่นอน รายได้หลักหมื่น - ถึงแสน บาทต่อเดือน


** วีเจที่เคยไลฟ์ BIGO VIBIE YAYA MCAT MLIVE มีการันตีพิเศษ คลิ๊กเลย


สนใจสมัครวีเจ คลิ๊กเลย  https://lin.ee/0apXPWf


 
#2999
นมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet  ชอบหวานน้อย นมเน้นๆ มีแคลเซียม ต้องลอง นมอัดเม็ด milk tablet หลายเจ้าในตลาดมากมาย แต่ทำไมนมอัดเม็ดไทยชอง milk tabletแจ้งเกิดเป็นนมอัดเม็ดดาวรุ่งพุ่งแรง เพราะ ความนัวนม ย้ำว่านัวนมๆจริง และรสชาติหวานน้อย ที่เอาใจคนที่หันมาดูแลตัวเองมากขึ้น รสชาติไม่หวานเลี่ยน การันตีไม่หวานแหลมแสบคอ  นมก็นมแท้ๆแน่นๆ จากนิวซีแลนด์ มี 2 ขนาดให้เลือก 





1.นมอัดเม็ดไทยชอง  milk tablet ขนาด 20 กรัมเป็นรูปซองขวด 1 ซองมี 15 เม็ด ขายปลีกซอง 12 บาท ฮัลโล ไม่แพงน้า รสชาติต้องได้ลอง เลือกคุณภาพ ประโยชน์ และ อร่อยด้วย คุ้มค่า

 

2.นมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet ขนาด 27 กรัม ซองสี่เหลี่ยม ตกซองละ 18 บาท 
จะซื้อแบบกล่อง หรือ ซื้อแบบซองก็ได้ แบบกล่องซื้อไปเป็นของขวัญของใกเก๋ไก๋ ดูดีมีราคา เพราะแพคเกจเค้าน่ารักเว่อร์ 
 


นมอัดเม็ด milk tabletเป็นขนมทีมีประโยชน์นะคะ ทานได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เพราะนมอัดเม็ดไทยชอง milk tabletใช้นมแท้ๆ คุณภาพดีมาเป็นส่วนผสมหลักที่เข้มข้น ทำให้คนทานได้ แคลเซียมและวิตามินบี 2  ใครที่เน้นดูแลเรื่องกระดูกและฟัน และ ลดหวานเพื่อสุขภาพ แนะนำมากๆ กับนมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet

สั่งซื้อ คลิกเลย >>> https://lin.ee/sSGXFCK 
 
#3000


การพัฒนาในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ได้ส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตและเกิดความเจริญในหลายด้าน แต่การพัฒนาที่ผ่านมานั้นก็ได้สร้างผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง ทั่วโลกจึงตื่นตัวในเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืน

ในปี ค.ศ. 2000 ประเทศสมาชิกขององค์การสหประชาชาติหรือยูเอ็น ได้ร่วมรับรองเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ ตั้งเป้าบรรลุการสร้างมาตรฐานชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ในปี ค.ศ. 2015 อย่างไรก็ตาม ผลการพัฒนายังมิได้บรรลุเป้าหมาย ยูเอ็นจึงได้ริเริ่มกระบวนการหารือใหม่ โดยวางกรอบการพัฒนาอย่างยั่งยืน ในปี ค.ศ. 2030

เป้าหมายของการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) เช่น การขจัดความยากจน การขจัดความหิวโหย  การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี การได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ ความเท่าเทียมทางเพศ  การมีน้ำสะอาดและสุขอนามัยที่ดี พลังงานสะอาด การส่งเสริมงานที่มีคุณค่าและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การรับมือกับสภาพภูมิอากาศ

หลายองค์กรยึดหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน อาทิ สภาพัฒน์ฯได้ยึดเป้าหมาย SDGs ในแผนพัฒนาฯฉบับที่ 12 (พ.ศ.2560-2564) ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี, ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้กำหนดความยั่งยืนเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ 3 ปี (พ.ศ.2563-2565) และส่งเสริมให้สถาบันการเงินตระหนักถึงความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ให้บริษัทจดทะเบียนจัดทำรายงานความยั่งยืน ขณะที่สมาคมธนาคารไทย ได้มีการจัดตั้งคณะทำงานโครงการ Sustainable Banking และต่อมาได้มีการจัดตั้งฝ่ายงานด้านนี้ขึ้นในธนาคารพาณิชย์

โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซี ก็มีบทบาท "ฐานผลิตอุตสาหกรรมใหม่" ผ่านกระบวนการดำเนินธุรกิจใหม่ที่คำนึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาลหรือ ESG ให้มากขึ้น ซึ่ง "บนเส้นทางวิถีใหม่แห่งความยั่งยืน" จะประสบความสำเร็จได้ ต้องอาศัยวัฒนธรรมองค์กรที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว มีการผลักดันจากระดับบนสู่ล่าง (Tone from the top) เพื่อปลูกฝังวัฒนธรรมให้กับพนักงานทุกระดับ เกิดพลังร่วมในการขับเคลื่อน

หลายองค์กรที่เข้ามาลงทุนในอีอีซีต่างก็ดำเนินการอยู่แล้ว เช่น ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า ส่งเสริมจริยธรรมการทำงานที่ดี พัฒนานวัตกรรมหรือกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่วินาทีนี้ต้องตระหนักถึงการมีส่วนร่วมอย่างมีความหมายมากขึ้น (Meaningful Engagement) อาทิ มลพิษทางอากาศไม่เกินค่ามาตรฐาน การรักษาคุณภาพน้ำ การไม่มีสิ่งปนเปื้อนของสารโลหะหนักชายทะเล เป็นต้น

หลังโควิด-19 คลี่คลาย ภาคอุตสาหกรรมของไทยจะก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ และระบบอัตโนมัติมาใช้มากขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวก และทำงานแทนคน ลดการติดต่อหรือการสัมผัสกัน ธุรกิจจะเข้าสู่ระบบอีคอมเมิร์ซมากขึ้น รวมถึงระบบห่วงโซ่อุปทานที่จะถูกตัดทอนให้สั้นลง

กระแสการย้ายฐานการผลิตของบริษัทจากต่างชาติที่มีมาก่อนโควิด-19 ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กำหนดทิศทางการลงทุนอันเนื่องมาจากสงครามการค้าสหรัฐ-จีน หลายบริษัทจึงอยู่ระหว่างตัดสินใจหา "ฐานที่มั่น" การลงทุนใหม่ หนีภัยเทรดวอร์มายังประเทศหนึ่งในอาเซียน ระหว่างเวียดนาม อินโดนีเซีย และไทย

"อีอีซี บนเส้นทางวิถีใหม่แห่งความยั่งยืน" ยังต้องเผชิญความท้าทายอีกมาก ทั้งปัจจัยระยะสั้นที่เป็นอุปสรรคสำคัญ คือ การระบาดโควิด-19 ที่รุนแรง กระทบต่อกำลังการผลิต ตู้สินค้าไม่เพียงพอ ค่าระวางเรือขาขึ้น การขาดแคลนแรงงาน รวมไปถึงการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ (ชิพ) ที่เกิดขึ้นในบางอุตสาหกรรม ปัจจัยระยะกลางที่กำลังมุ่งสู่ทิศทางอุตสาหกรรมใหม่ รวมถึงปัจจัยเชิงโครงสร้างระยะยาว อาทิ สังคมสูงอายุ การดำเนินธุรกิจตามเป้าหมายของการพัฒนาอย่างยั่งยืน