• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Cindy700

#2981


ไรลี โอเปลก้า นักเทนนิสมือ 24 ของโลกชาวอเมริกัน บ่นอุบผ่านสื่อหลังโดนฝ่ายจัดการแข่งขัน แกรนด์ สแลม ยูเอส โอเพน ลงโทษปรับเงินหนัก โทษฐานที่หิ้วกระเป๋าไม่เหมาะสมเข้ามาในสนามขณะลงแข่งขัน

โอเปลก้า ซึ่งเป็นมือ 22 ของรายการ โชว์ฟอร์มผ่านเข้ามาถึงรอบสี่ประเภทชายเดี่ยว แต่หลังจากนั้นก็ได้รับข่าวร้ายว่าผู้จัดการแข่งขันสั่งปรับเงินเจ้าตัว 10,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 324,950 บาท) เพราะกระเป๋าที่หิ้วเข้าสนามตั้งแต่รอบแรก

หวดหนุ่มวัย 24 ปี หิ้วกระเป๋าสีชมพูพร้อมสลักชื่อของ Tim Van ซึ่งเป็นสินค้าที่ระลึกจากแกลอรี่แสดงงานศิลปะแห่งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ผู้จัดตีความว่าเป็นการโปรโมตสินค้าแบรนด์อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงทำการปรับเงิน โอเปลก้า ถึงขนาดที่เจ้าตัวบ่นอุบว่าเกินเหตุ

มีกฏข้อหนึ่งระบุในการแข่งขัน ยูเอส โอเพน เกี่ยวกับกระเป๋าของนักหวดว่าสามารถเอาเข้าสนามได้ 2 ใบ ใบหนึ่งเป็นกระเป๋าใส่แร็กเก็ตซึ่งมียี่ห้อของผู้ผลิตได้ ส่วนอีกใบที่ใส่ของจิปาถะ ต้องมีโลโก้กระเป๋าขนาดไม่เกิน 4 นิ้ว ถ้าใหญ่เกินไปต้องเปลี่ยน ซึ่งโอเปลก้า บอกว่าไร้สาระสิ้นดี

'สงสัยตั๋ว ยูเอส โอเพน ปีนี้น่าจะขายไม่ออกเลยต้องมาปรับเงิน 10,000 เหรียญจากกระเป๋าสีชมพูของผม ที่อย่างน้อยน่าจะเรียกเงินได้' โอเปลก้า บนผ่านทวิตเตอร์ 'โคตรตลกเลยที่ ยูเอส โอเพน ทำแบบนี้ 10,000 เหรียญสำหรับกระเป๋าสีชมพู ไม่เอาน่า'

ทั้งนี้ แม้กระเป๋าสีชมพูใบนั้นจะทำให้ โอเปลก้า ต้องเสียค่าปรับ แต่นักหวดเมืองลุงแซม ก็ยังหิ้วกระเป๋าใบเดิมมาลงสนามตามปกติ พร้อมเขียนคำว่า 'unapproved (ไม่อนุญาต)' เป็นการจิกกัดฝ่ายจัดการแข่งขันด้วย
#2982


กลุ่มสื่อจีนรายงาน ในวันที่ 2 ก.ย.ที่ผ่านมา สำนักอัยการประชาชนสูงสุแห่งจีนได้ประกาศบังคับใช้บทลงโทษของสำนักอัยการเมืองซั่งเหราซึ่งได้ตัดสินลงโทษชายแซ่จางและพวกสามคน ได้แก่ ปรับเงิน 6,000,00 หยวน หรือราว 30.2 ล้านบาท ฐานก่อความเสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติ โดยเจตนาสร้างความเสียหายให้กับยอดเขาจี้ว์เหมิ่ง(巨蟒峰) หรือ "ยอดเขางูเหลือมยักษ์" ในเขตทัศนียภาพซันชิงซัน มณฑลเจียงซี โดยการใช้อุปกรณ์ปีนหน้าผาสร้างความเสียหายร้ายแรงอย่างมิอาจซ่อมแซมให้เหมือนเดิมได้

นอกจากนี้นักปีนเขาทั้งสามยังต้องรับผิดชอบค่าประเมินของผู้เชี่ยวชาญ 150,000 หยวน หรือ 755,235 บาท อีกทั้งต้องลงประกาศในสื่อทั่วประเทศขอโทษต่อสาธารณะ

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดเมื่อวันที่ 15 เม.ย.ปี 2017 ชาวจีนแซ่จาง แซ่เหมา และแซ่จาง (อีกคน) ได้ไปปีนหน้าผางูเหลือมยักษ์ โดยอุปกรณ์ได้แก่ สว่านไฟฟ้าเจาะรู ตะปูเจาะหิน และเชือกปีนขึ้นไปยังยอดเขา จากการตรวจสอบทั้งสามได้ใช้ตะปูเหล็กเจาะหินทั้งหมด 26 ตัว ทำให้เกิดรอยแตกที่หินซึ่งถือเป็นความเสียหายถาวร ทำลายมรดกโลกทางธรรมชาติ

นักปีนเขาตอกตะปูเจาะหิน 26 ตัว ต้องจ่ายค่าเสียหายสิ่งแวดล้อม 6 ล้านหยวน หรือราว 30.2 ล้านบาท
นักปีนเขาตอกตะปูเจาะหิน 26 ตัว ต้องจ่ายค่าเสียหายสิ่งแวดล้อม 6 ล้านหยวน หรือราว 30.2 ล้านบาท

ตำรวจได้ส่งฟ้องไปยังสำนักอัยการเมืองซั่งเหรา มีการตัดสินโทษจำคุกนายจาง และนายเหมา 1 ปี และ 6 เดือน ตามลำดับ และปรับเงิน 100,000 หยวน กับ 50,000 หยวน ตามลำดับ นายจางได้รับการยกเว้นโทษ

ต่อมาสำนักอันการเมืองซั่งเหราได้พิจารณาว่าการสร้างความเสียหายแก่ยอดเขางูเหลือมของทั้งสามเข้าข่ายทำลายสาธารณะประโยชน์ของสังคมอีกด้วย

ในปี 2019 สำนักอัยการระดับกลางได้ตัดสินให้ทั้งสามจ่ายค่าชดเชยความเสียหายทรัพยากรสิ่งแวดล้อม 6,000,000 หยวน อีกทั้งต้องรับผิดชอบค่าประเมินของผู้เชี่ยวชาญ 150,000 หยวน หรือ 755,235 บาท นอกจากนี้ยังต้องลงประกาศในสื่อทั่วประเทศขอโทษต่อสาธารณะ

ทั้งสามได้ยื่นอุทธรณ์ ในเดือนพ.ค. ปี 2020 ศาลตัดสินยืนคำตัดสินเดิม ล่าสุดเมื่อวันที่ 2 ก.ย.ที่ผ่านมา สำนักอัยการประชาชนสูงสุดประกาศบังคับใช้คำตัดสินฯ
#2983


บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) เปิดตัว "S&P Mooncake 2021" ภายใต้คอนเซ็ปต์ "ของขวัญจากพระจันทร์" เพื่อมอบสิ่งดีๆ แทนความรักและความห่วงใยผ่านขนมไหว้พระจันทร์ เอส แอนด์ พี หลากหลายรสชาติ พร้อมกันนี้ได้เปิดตัวขนมไหว้พระจันทร์ 2 รสชาติใหม่ ได้แก่ ขนมไหว้พระจันทร์ไส้หมอนทองเก๋ากี้ไข่เค็มลาวา และขนมไหว้พระจันทร์ไส้หมูฮ่องเต้ซอสเอ๊กซ์โอ ในปีนี้บริษัทฯ มุ่งเน้นการขายขนมไหว้พระจันทร์ผ่านช่องทางดิลิเวอรี่ และจับมือกับพันธมิตรเพื่อให้บริการจัดส่งขนมไหว้พระจันทร์ทั่วประเทศเป็นครั้งแรก พร้อมขนทัพขนมไหว้พระจันทร์ที่หลากหลายและมากที่สุดไว้ที่ 'ตลาดนัด เอส แอนด์ พี แบบเต็มรูปแบบ'

อรรถ ประคุณหังสิต ประธานเจ้าหน้าที่สายปฏิบัติการธุรกิจเอส แอนด์ พี บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จากัด (มหาชน) กล่าวถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์ในปีนี้ว่า "เอส แอนด์ พี เป็นผู้นำตลาดขนมไหว้พระจันทร์ เรามีขนมไหว้พระจันทร์หลากหลายรสชาติถึง 14 รสชาติ (19 ไส้) โดยบริษัทฯ ยังมีการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ทุกปี สำหรับปีนี้เปิดตัวขนมไหว้พระจันทร์ไส้ใหม่ "ขนมไหว้พระจันทร์ไส้หมอนทองเก๋ากี้ไข่เค็มลาวา" และ "ขนมไหว้พระจันทร์ไส้หมูฮ่องเต้ซอสเอ๊กซ์โอ" เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค และสร้างความแปลกใหม่ให้กับตลาดขนมไหว้พระจันทร์ อย่างไรก็ตาม เอส แอนด์ พี ยังคงพัฒนาคุณภาพขนมไหว้พระจันทร์ไส้ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ไส้หมอนทองล้วน / ไข่1 / ไข่2 ไส้หมอนทองแมคคาเดเมีย ไส้หมอนทองเจ ไส้โหงวยิ้งล้วน / ไข่1 / ไข่2 ไส้งาดำ ไส้บัวล้วน / ไข่1 ไส้บัวแมคคาเดเมียไข่ ไส้แปดเซียน ไส้อินทผาลัมธัญพืช ไส้บัวทองไข่เค็มลาวา นอกจากนี้ยังมีขนมไหว้พระจันทร์เปลือกสีที่สร้างความแปลกใหม่ ได้แก่ ไส้มัตฉะชาเขียวถั่วแดง ไส้ส้มช็อกโกแลตลาวา เหมาะสำหรับคนรุ่นใหม่ ผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน จึงมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ของเราสะอาด ปลอดภัย พร้อมส่งมอบความปรารถนาดีให้แก่คนที่คุณรักอย่างอุ่นใจ



สำหรับกลยุทธ์ทางการตลาดเทศกาลไหว้พระจันทร์ในปีนี้ บริษัทฯ มุ่งเน้นการขายขนมไหว้พระจันทร์ผ่านช่องทางดิลิเวอรี่ ภายใต้กลยุทธ์ดังนี้ 1.เปิดตัวขนมไหว้พระจันทร์ 2 รสชาติใหม่ "ขนมไหว้พระจันทร์ไส้หมอนทองเก๋ากี้ไข่เค็มลาวา" และ "ขนมไหว้พระจันทร์ไส้หมูฮ่องเต้ซอสเอ๊กซ์โอ" พร้อมเปิด PRE-SALE ลด 20% เมื่อลูกค้าสั่งจองขนมไหว้พระจันทร์ล่วงหน้า จำนวน 4 ชิ้นขึ้นไป ตั้งแต่วันนี้ - 15 กันยายน 2564 ผ่าน www.snp1344.com แอปพลิเคชั่น 1344 และ Call Center 2. โปรโมท S&P Mooncake Merketplace ขนทัพขนมไหว้พระจันทร์ที่หลากหลายและมากที่สุดในประเทศไทย รวบรวมไว้ที่ ตลาดนัด เอส แอนด์ พี แบบเต็มรูปแบบ ณ จุดขายร้าน เอส แอนด์ พี จำนวน 130 สาขาทั่วประเทศ เพื่อให้ลูกค้าได้เลือกซื้อสินค้าอย่างสะดวกและจุใจ 3. ร่วมมือกับพันธมิตรองค์กรต่างๆ อาทิ ธนาคาร SCB, KTC, BBL, Krungsri เครือข่ายโทรศัพท์มือถือ AIS, TRUE, Dtac รวมถึงการขายสินค้าช่องทาง อีคอมเมิร์ซผ่าน LAZADA, Shopee นอกจากนี้ยังวางจำหน่ายที่ Tops Supermarket และ Tesco Lotus อีกประมาณ 30 แห่ง ซึ่งเป็นการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายขนมไหว้พระจันทร์ เอส แอนด์ พี 4.ขยายพื้นที่การจัดส่งขนมไหว้พระจันทร์ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดย เอส แอนด์ พี ได้จับมือกับพันธมิตร อาทิ GrabFood, Line Man, Foodpanda, 1112Delivery และบริการจัดส่งโดยบริษัทขนส่งชั้นนำ เพื่อให้บริการจัดส่งขนมไหว้พระจันทร์ถึงบ้านลูกค้าทั่วประเทศเป็นครั้งแรก ซึ่งจะเพิ่มความสะดวกและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน สำหรับกลยุทธ์การสื่อสารและสื่อประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ผ่านสื่อโทรทัศน์ สื่อออนไลน์ สื่อ LED Screen รวมถึงสื่อประชาสัมพันธ์ ณ จุดขายร้านเอส แอนด์ พี โดยมุ่งเน้นการขยายฐานลูกค้าใหม่ให้เกิดความสนใจขนมไหว้พระจันทร์ และยังคงรักษาฐานลูกค้าเดิม ภายใต้คอนเซ็ปต์ "ของขวัญจากพระจันทร์" ซึ่งเปรียบขนมไหว้พระจันทร์ เอส แอนด์ พี เป็นตัวแทนของการให้ และเป็นของขวัญล้ำค่าแทนความรักและความห่วงใยที่มีให้แก่กันในช่วงเทศกาลสำคัญนี้"

ในส่วนของการออกแบบบรรจุภัณฑ์ขนมไหว้พระจันทร์ เอส แอนด์ พี ยังคงสัญลักษณ์ความเป็นมงคลโดยใช้ภาพหญิงสาวชาวจีนเป็นตัวแทนเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ โดยสวมเครื่องประดับจีนโบราณที่ประดับไปด้วยดอกไม้มงคล ได้แก่ ดอกโบตั๋น เป็นตัวแทนของความมั่งมีศรีสุข ลาภยศ ดอกกล้วยไม้สีส้ม สัญลักษณ์แห่งความกล้าหาญ ดอกกล้วยไม้สีขาว สัญลักษณ์แห่งความสง่างาม ความเคารพ และความนอบน้อม รวมทั้งยังมีผีเสื้อซึ่งเป็นสัตว์มงคล แทนสัญลักษณ์เรื่องของความรัก และหินสีชมพู สัญลักษณ์ของความสุขและโชคลาภ นอกจากนี้ เอส แอนด์ พี ยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ทำมาจากกระดาษรีไซเคิล ซึ่งเป็นการส่งเสริมการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
สำหรับปีนี้ เอส แอนด์ พี ยังจำหน่ายขนมไหว้พระจันทร์ชุดพิเศษ! จำนวน 5 ชุด ชุดละ 4 ชิ้น ได้แก่ "ชุดมั่งคั่ง" ประกอบไปด้วยขนมไหว้พระจันทร์ไส้หมูฮ่องเต้ซอสเอ๊กซ์โอ ไส้บัวทองไข่เค็มลาวา ไส้หมอนทองไข่ 1 และไส้โหงวยิ้งไข่ 1 ราคา 483 บาท "ชุดมั่งมี" ประกอบไปด้วยขนมไหว้พระจันทร์ไส้หมอนทองเก๋ากี้ไข่เค็มลาวา ไส้บัวไข่1 ไส้หมอนทองล้วน และไส้โหงวยิ้งล้วน ราคา 464 บาท "ชุดหมอนทองมงคล" ประกอบไปด้วยขนมไหว้พระจันทร์ไส้หมอนทองล้วน ไส้หมอนทองไข่1 จำนวน 2 ชิ้น และไส้หมอนทองไข่2 ราคา 500 บาท "ชุดโชคลาภ" ประกอบไปด้วยขนมไหว้พระจันทร์ไส้โหงวยิ้งไข่1 ไส้หมอนทองไข่1 ไส้บัวไข่1 และไส้แปดเซียน ราคา 470 บาท และ "ชุดบัวนำโชค"ประกอบไปด้วยขนมไหว้พระจันทร์ไส้บัวล้วน ไส้บัวไข่1 ไส้บัวทองผสมแมคคาเดเมียไข่1 และไส้บัวทองไข่เค็มลาวา ราคา 443 บาท พิเศษ! สำหรับสมาชิก S&P Joy Card รับส่วนลด 20% เมื่อซื้อขนมไหว้พระจันทร์ และสำหรับลูกค้าทั่วไป รับส่วนลด 20% ทุกวันพุธ ตลอดช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์นี้
#2984


หลังเกิดความวุ่นวาย นักท่องเที่ยวแห่แหนไปดูหมีที่ผาตรอมใจ หลังไวรัลคลิปตะปบไข่เจียวฮือฮา ล่าสุด อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ห่วงใย ถกจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว 5 รอบ รถยนต์ไม่เกิน 30 คัน มอเตอร์ไซค์ไม่เกิน 50 คัน จักรยานไม่เกิน 30 คัน พร้อมขอความร่วมมือดูแลความสะอาด

วันนี้ (2 ก.ย.) จากกรณีที่เกิดไวรัลคลิปหมีควายตัวหนึ่งขึ้นไปที่ร้านข้าวไข่เจียว บริเวณร้านค้าสวัสดิการสถานีรายงานเขาเขียว จุดชมทิวทิศน์เขาเขียว ผาตรอมใจ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ตั้งอยู่ที่ ต.หินตั้ง อ.เมืองฯ จ.นครนายก ทำให้เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากต่อคิวเพื่อผ่านจุดตรวจอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ รวมทั้งจุดชมทิวทัศน์ผาตรอมใจ พบว่า มีรถจักรยานยนต์จำนวนมาก เกิดความแออัด และเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโควิด-19 ในสถานการณ์ที่โรคโควิด-19 ยังมียอดผู้ติดเชื้อสูง นอกจากนี้ยังมีหลายรายสวมหน้ากากอนามัยไม่ถูกต้อง และปล่อยให้เด็กวิ่งเล่นกัน ตามที่นำเสนอไปแล้วนั้น


นายอดิศักดิ์ ภูสิทธิ์วงศานัยุต หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ กล่าวว่า สำหรับประเด็นความแออัดของนักท่องเที่ยว ผู้บริหารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้แสดงความเป็นห่วงเป็นใย พร้อมทั้งได้สั่งการให้ตนแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วน โดยเมื่อวันพุธที่ 25 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา ตนได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่สถานีรายงานเขาเขียว กองทัพอากาศ เจ้าหน้าที่จากกองสาธารณสุข องค์การบริหารส่วนตำบลหินตั้ง จ.นครนายก เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาดังกล่าวที่เกิดขึ้น โดยได้ข้อสรุป ดังนี้

1. ดำเนินการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว ซึ่งจะขึ้นไปใช้บริการบริเวณผาตรอมใจ สถานีรายงานเขาเขียว โดยจำกัดจำนวนรถยนต์ ไม่เกิน 30 คัน รถจักรยานยนต์ ไม่เกิน 50 คัน รถจักรยาน ไม่เกิน 30 คัน ต่อรอบเวลาในแต่ละช่วงวัน

1.1 วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ กำหนดรอบการท่องเที่ยว จำนวน 5 รอบ

รอบที่ 1 ตั้งแต่เวลา 08.00 น. - 10.00 น.
รอบที่ 2 ตั้งแต่เวลา 10.01 น. - 12.00 น.
รอบที่ 3 ตั้งแต่เวลา 12.01 น. - 14.00 น.
รอบที่ 4 ตั้งแต่เวลา 14.01 น. - 16.00 น.
รอบที่ 5 ตั้งแต่เวลา 16.01 น. - 17.30 น.

1.2 ช่วงวันธรรมดา ใช้เกณฑ์จำกัดจำนวนรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และรถจักรยาน ตามข้อ 1. ในกรณีมียานพาหนะขึ้นไปเกินจากเกณฑ์ที่กำหนดไว้ จะดำเนินการจำกัดปริมาณยานพาหนะบริเวณผาตรอมใจ จนกว่าสถานการณ์ความแออัดของยานพาหนะจะคลี่คลาย

สำหรับแนวทางปฏิบัติในการจำกัดยานพาหนะ ที่จะขึ้นไปท่องเที่ยวบริเวณผาตรอมใจ เมื่อเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ได้รับแจ้งจากสถานีรายงานเขาเขียว ว่ามียานพาหนะครบตามจำนวนที่กำหนดไว้ในข้อ 1.1 และ 1.2 แล้ว เจ้าหน้าที่ป้อมตรวจเขาเขียว จะดำเนินการปิดกั้นเส้นทางยานพาหนะขาขึ้น โดยจะปล่อยให้มีการสัญจรเฉพาะยานพาหนะขาลงเท่านั้น จนกว่าจะครบรอบเวลาตามที่กำหนดไว้ในข้อ 1.1 หรือยานพาหนะไม่แออัดตามข้อ 1.2 จึงดำเนินการปล่อยยานพาหนะขาขึ้น

2. ขอความร่วมมือสถานีรายงานเขาเขียว ในการดูแลรักษาความสะอาด โดยการจัดเก็บขยะทุกช่วงเวลา และจัดทำสถานที่กักเก็บขยะให้มั่นคงแข็งแรง เพื่อป้องกันสัตว์ป่าคุ้ยเขี่ยเศษอาหารและเศษขยะ"
#2985


ตั้งแต่ต้นปี หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าหลุดจากจอเรดาร์ของตลาดหุ้น เพราะแทบไม่มีความเคลื่อนไหว ราคาหุ้นไม่ขยับไปไหน เพิ่งจะกลับมาสู่ความคึกคักไม่กี่วันที่ผ่านมา เรียกความสนใจของนักลงทุนกลับมาอีกครั้ง

หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าดาหน้าขึ้นมาทั้งกลุ่ม ตัวที่โดดเด่นที่สุดคือ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เพราะราคาพุ่งทะยานอย่างร้อนแรง และสร้างจุดสูงสุดใหม่ นับจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2560

GULF เคยสร้างจุดต่ำสุดในรอบ 12 เดือนที่ราคา 27.50 บาท และแม้จะกระเตื้องขึ้น แต่ยืนทรงตัวในระดับ 30 บาทเศษมานับจากต้นปี โดยการครอบงำกิจการบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH เป็นปัจจัยกระตุ้นให้ราคาหุ้น GULF ขยับขึ้นมาระดับหนึ่งเท่านั้น

เพิ่งจะพุ่งแรงๆ 2 วันติดในต้นสัปดาห์นี้ จนสร้างจุดสูงสุดใหม่เมื่อวันอังคารที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยปิดที่ 41.75 บาท ขยับขึ้น 1.75 บาท มูลค่าซื้อขายกระโดดขึ้นมา 6,406.65 ล้านบาท และเป็นหุ้นที่ซื้อขายสูงสุดอันดับ 2 ประจำวัน

GULF ไม่ได้ดึงเฉพาะหุ้นในกลุ่มคือ INTUCH และหุ้นบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC วิ่งตามเท่านั้น แต่ยังจุดพลุหุ้นโรงไฟฟ้าทั้งกลุ่มขยับขึ้นยกแผง

ถ้าเทียบหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าด้วยกัน GULF มีค่าพี/อี เรโช ในระดับสูงคือ ประมาณ 83 เท่า แต่การทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ INTUCH และถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วนกว่า 42.25% ของทุนจดทะเบียน ทำให้คาดว่าแนวโน้มผลประกอบการจะเติบโตขึ้น

อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นก่อนหน้าได้ซึมซับรับข่าวการถือหุ้นใน INTUCH ไปแล้ว ราคาหุ้นที่ร้อนจัดขึ้นมาจึงไม่ใช่ประเด็น INTUCH แต่เกิดจากไหลกลับของเงินทุนต่างชาติ

นักลงทุนต่างชาติยกทัพกลับมาไล่ช้อนเก็บหุ้นตั้งแต่สัปดาห์ก่อน โดยไล่ซื้อหุ้นขนาดใหญ่ เช่น กลุ่มแบงก์ กลุ่มพลังงาน กลุ่มปิโตรเคมีหรือบริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC จนราคาขยับปรับฐานขึ้นไปแล้ว

สัปดาห์นี้จึงเป็นคิวของหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า เพราะราคายังไม่ขยับขึ้นเท่าไหร่ โดยอาจมองหุ้น GULF เป็นตัวเด่นในกลุ่ม จึงลุยเคาะซื้อฝุ่นตลบ แม้ราคาจะไม่ถูกนักก็ตาม แต่ในยามที่ต่างชาติต้องการเก็บหุ้นมักจะไม่เกี่ยงราคาซื้อ

ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค เมื่อ GULF สร้างจุดสูงสุดใหม่ถือว่าทะลุแนวต้าน ราคาจึงมีโอกาสจะพุ่งต่อไป แต่รอบนี้จะวิ่งไปถึงไหน นักลงทุนต่างชาติเป็นผู้กำหนด

เพราะถ้ายังขนเงินกลับตลาดหุ้นต่อ GULF และหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าตัวอื่นๆ มีโอกาสขยับไปได้อีก เพราะยังไม่ขึ้นเท่าไหร่ จึงอยู่ในกลุ่มเป้าหมายที่ต่างชาติจะไล่เก็บ

นานแรมปีแล้วที่นักลงทุนรอคอยการฟื้นคืนสู่ความคึกคักของหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า และขณะนี้หุ้นโรงไฟฟ้าได้กลับมาเป็นหุ้นกลุ่มนำตลาดแล้ว โดยมี GULF เป็นหุ้นจ่าฝูง

หลายวันแล้วที่หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าปรับตัวขึ้นมา โดยสลับกันขึ้น ก่อนจะขึ้นมายกแผงเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา และไม่สามารถคาดหมายได้ว่า เป็นจุดเริ่มต้นในรอบขาขึ้นของหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า หรือช่วงปลายขาขึ้นในรอบนี้

ถ้าเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของขาขึ้น มีหุ้นไว้ต้องกัดฟันถือต่อ รอจังหวะทำกำไรให้คุ้มกับการรอคอยการกลับมาของหุ้นโรงไฟฟ้า
#2986
ข้าวดีปลอดสารแท้ 100% ข้าวปลอดสารเคมีสุรินทร์  ข้าวกล้องออร์แกนิคส่งทั่วไทย #ข้าวออแกนิค หรือ #ข้าวออร์แกนิค หรือ #ข้าวออร์แกนิก หรือ "#ข้าวเกษตรอินทรีย์"  (#OranicRice)
ข้าวออแกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิก (#OranicFood) หรือเรียกง่ายๆเป็นภาษาไทยว่า "ข้าวเกษตรอินทรีย์" หรือ "ข้าวอินทรีย์" / ปลูกข้าวมะลินิลอินทรีย์ คือ ข้าวที่ผ่านการผลิตทางการเกษตรโดยไม่ใช้สารเคมี ปุ๋ยเคมี หรือวัตถุสังเคราะห์ใด ๆ ทั้งสิ้น (รวมไปถึงเมล็ดพันธุ์ ข้าวที่ไม่ตัดต่อทางพันธุกรรม) กระบวนการผลิตข้าวไม่มีการใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืช ก่อนการปลูกข้าวจะต้องเตรียมหน้าดินก่อนด้วยวิธีธรรมชาติ ทุกขั้นตอนการผลิตข้าวจะไร้สารปนเปื้อนที่เกิดมนุษย์ จะไม่ผ่านการฉายรังสี ไม่เพิ่มเติมสิ่งปรุงแต่งลงไปในข้าว 




ข้าวหอมมะลิออแกนิคข้าวออแกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิก หรือ "ข้าวเกษตรอินทรีย์"  (Oranic Rice) ข้าวกล้องหอมมะลิอินทรีย์ คืออะไร?
1. ส่วนประกอบทุกอย่างล้วนมากจากธรรมชาติ โดยข้าวออแกนิคจะไม่มีการใช้สารสังเคราะห์ใด ๆ ในการเพาะปลูก  ข้าวปะกาอำปึลออแกนิคเลย ข้าวก็จะถูกปลูกและเจริญเติบโตมาด้วยอาหารจากธรรมชาติล้วน ๆ ส่วนข้าวก็จะเป็นการปลูกในนา ไม่ใส่วัตถุสังเคราะห์ใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยวิทยาศาสตร์ และสารเคมีหรือยาฆ่าแมลง ใช้แต่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกจากธรรมชาติในการเพาะปลูกข้าว ส่วนเมล็ดพันธุ์ข้าวที่นำมาเพาะปลูกจะต้องไม่มีตัดต่อพันธุกรรม และต้องมีการเตรียมหน้าดินก่อนการเพาะปลูกข้าวด้วยวิธีธรรมชาติ คือ จะต้องทำให้ปลอดสารพิษไม่น้อยกว่า 3 ปี เหล่านี้จึงเรียกได้ว่าเป็นการสร้างอาหารแบบธรรมชาติอย่างแท้จริง 100% มีกลิ่นหอมตามแบบธรรมชาติ ทุกขั้นตอนในการปลูกข้าวและการแปรรูปข้าวจะต้องอยู่ในมาตรฐานที่ผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานต่าง ๆ ส่วนประกอบทุกอย่างจึงสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีสารพิษตกค้างหรือสารก่อมะเร็ง
2. ข้าวออแกนิคจะไม่มีการใช้สารเคมีใด ๆ เลย ส่วนประกอบทุกอย่างจะต้องมาจากธรรมชาติ เพราะถ้ามีการใช้สารเคมีก็จะไม่ถือว่าเป็นข้าวออแกนิค ซึ่งการไม่ใช้สารเคมีที่ว่านั้นหมายถึง การไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี 
3. ไม่ก่อให้เกิดมลพิษในกระบวนการปลูก  ข้าวเกษตรอินทรีย์หอมมะลิแดง เพราะข้าวออแกนิคนั้น นอกจากจะมุ้งเน้นให้ผู้บริโภคมีสุขภาพที่ดีแล้ว จุดประสงค์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือการช่วยลดมลพิษให้กับธรรมชาติ เพราะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการใช้สารเคมีต่าง ๆ เช่น ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี หรือสารเร่งการเจริญเติบโตต่าง ๆ นั้นจะก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในดิน ในน้ำ และในอากาศ ซึ่งกว่าจะย่อยสลายไปได้บางทีก็อาจใช้ระยะเวลาเป็นสิบ ๆ ปี ซึ่งวิธีการปลูก  กลุ่มข้าวกล้องหอมมะลินิลอินทรีย์ แบบธรรมชาตินี้เองจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยฟื้นฟูธรรมชาติที่เสียไป เพราะนอกจากจะได้รับประทานข้าวที่ปลอดสารพิษแล้ว ยังช่วยลดมลพิษต่าง ๆ ได้ดีอีกด้วย

ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์   ข้าวกล้องหอมมะลิแดงเกษตรอินทรีย์ 
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website : https://xn--22c6bf1bev6bzbun6ssb.net/
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1. ข้าวหอมมะลิออแกนิก
2.  ข้าวกล้องหอมมะลิออร์แกนิค
3.   ข้าวปะกาอำปึลอินทรีย์
4.  ข้าวผสมหลายสายพันธุ์ปลอดสารเคมีสุรินทร์
5.  ข้าวกล้องหอมมะลิแดงอินทรีย์6.  ขายข้าวกล้องหอมมะลินิลอินทรีย์7.  ข้าวไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์


#ข้าวออร์แกนิกสุรินทร์  #ข้าวออแกนิคสุรินทร์  #ข้าวออแกนิกสุรินทร์   #ข้าวอินทรีย์สุรินทร์  #ข้าวสุขภาพสุรินทร์
 

 

 

 

 

 

 

 

 
 
#2987


" เจริญโภคภัณฑ์อาหาร" โอนกิจการทั้งหมดของ " ซี.พี. รีเทล โฮลดิ้ง" ให้ "สยามแม็คโคร" ขณะ MAKRO ออกหุ้นเพิ่มทุนเพื่อตอบแทน พร้อมแบ่งหุ้นขาย PO เพิ่มฟลีโฟลท " ศุภชัย เจียรวนนท์" แจงเพื่อความคล่องแคล่วรวดเร็วเกิดประโยชน์ด้วยเป้าหมายเพื่อนำบริษัทในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกของเครือซีพีขยายธุรกิจและแข่งขันกับผู้ประกอบธุรกิจในเวทีระดับโลก โบรกฯมองเป็นบวก

ราคาหุ้น MAKRO หรือบริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นเปิดตลาดที่ 43.75 บาทเพิ่มขึ้น 4.17 % หรือ 1.75 บาท ส่วน MAKRO หรือ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ราคาเปิดที่ 67 บาท เพิ่มขึ้น 3.07% หรือ 2 บาท และบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF เปิดที่ 27.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาทหรือ0.93% รับข่าวการโอนกิจการในเครือซีพี

CPF โอนกิจการ CPRH ทั้งหมดให้ MAKRO

กอบบุญ ศรีชัย เลขานุการ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF แจ้งว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัททำกาารโอนกิจการทั้งหมดของบริษัท ซี.พี. รีเทล โฮลดิ้ง จำกัด (CPRH) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมที่บริษัทฯ ถือหุ้นทางอ้อมใน 20.00 % ผ่านบริษัท ซี.พี.เมอร์แชนไดซิ่ง จำกัด (CPM) ให้แก่บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) (MAKRO) (Entire Business Transfer หรือ EBT) ซึ่งมีมูลค่ารวม 43,589,814,450 บาท

ทั้งนี้ ภายใต้การทำ EBT นั้น เป็นการโอนกิจการของ CPRH ให้แก่ Makro ด้วยวิธีโอนกิจการทั้งหมด รวมถึงหุ้นในบริษัท ซี.พี. รีเทล ดีเวลลอป เม้นท์ จำกัด (CPRD)ซึ่ง CPRH ถืออยู่ 99.99% ของทุนจดทะเบียนของ CPRD และทรัพย์สินอื่นของCPRH อาทิ เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด โดย Makro จะออกหุ้นเพิ่มทุนใหม่ให้แก่ CPRH ในจำนวนไม่เกิน 5,010,323,500 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ0.50 บาท ในราคาเสนอขาย 43.50 บาทต่อหุ้น เพื่อเป็นการชำระค่าตอบแทน

ทั้งนี้ เมื่อการทำ EBT เสร็จสมบูรณ์CPRH จะจดทะเบียนเลิกบริษัทและเริ่มชำระบัญชีโดย CPRH จะโอนทรัพย์สินทั้งหมดของ CPRH รวมถึงหุ้นใน MAKRO ให้แก่ผู้ถือหุ้นของ CPRH ตามสัดส่วนการถือหุ้น ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้นของCPRH ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่เกี่ยวข้อง โดยผู้ถือหุ้นของ CPRH แต่ละรายจะได้รับหุ้นใน MAKRO และมีสัดส่วนการถือหุ้นใน MAKRO

หลังจากนั้น เมื่อ EBT เสร็จสมบูรณ์และ CPRH ได้ส่งมอบหุ้นใน MAKRO ให้แก่ CPM แล้ว CPM มีหน้าที่ต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมด (Mandatory Tender Offer) ของ MAKRO ร่วมกับ CPHH ในราคาหุ้นละ 43.50 บาท โดยที่ CPM จะรับซื้อหุ้นสามัญใน MAKRO เป็นสัดส่วนหนึ่งในสามและ CPH จะรับซื้อหุ้นสามัญใน Makroสัดส่วนสองในสามของจำนวนหุ้นที่มีผู้ตอบรับคำเสนอซื้อในการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดใน MAKRO ดังกล่าวซึ่งจำนวนหุ้นสูงสุดที่ CPM ต้องรับซื้อจากการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ครั้งนี้จะมีจำนวนไม่เกิน 110,699,500 หุ้น ที่ราคาหุ้นละ 43.50 บาท คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้นไม่เกิน 4,815,428,250 บาท สุดท้ายคือให้ CPM ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ CPF ขายหุ้นสามัญMAKRO ที่ CPM จะได้รับจากการคืนเงินลงทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นของ CPRH ให้แก่ประชาชนทั่วไป (Public Offering) 181,600,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 1.85ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจ าหน่ายได้แล้วทั้งหมดของMAKRO Makro ภายหลังจากการทำ EBTและคิดเป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 1.63 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ MAKRO ภายหลัง PO ของ Makroเสร็จสิ้น พร้อมกับการดำเนินการ PO ของ Makro)

MAKRO เพิ่มทุนตอบแทนค่าหุ้น - ขาย PO

ศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร และประธานกรรมการ MAKRO  เผยว่า เครือซีพีตั้งเป้าขยายร้านค้าปลีกและร้านค้าส่งของเครือให้ได้อย่างรวดเร็วทั่วภูมิภาค ซึ่งรวมถึงสาขาของสยามแม็คโคร และศูนย์ค้าปลีกค้าส่งรูปแบบอื่นๆ ในเครือซีพี บริษัทจะต้องตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว เพื่อนำบริษัทในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกของเครือซีพีขยายธุรกิจและแข่งขันกับผู้ประกอบธุรกิจในเวทีระดับโลก หากเมื่อมีการปรับโครงสร้างธุรกิจต่างๆ หลังได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นแล้ว จะทำให้สยามแม็คโคร กลายเป็นบริษัทแม่ของ บริษัท ซี.พี.รีเทล ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด

"การปรับเปลี่ยนครั้งนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพความคล่องตัวในการตัดสินใจต่างๆ และยังมีประโยชน์อื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นด้วย ก็คือ จะช่วยทำให้แม็คโคร และโลตัส มีความคล่องแคล่ว รวดเร็ว (Agility) ในการเดินหน้าสู่ความสำเร็จบนเวทีระดับนานาชาติ"  ศุภชัย กล่าว

ทั้งนี้ คณะกรรมการ MAKRO เมื่อ 31 ส.ค.ที่ผ่านมาอนุมัติเพิ่มทุนจดทะเบียน จากปัจจุบัน 2,400 ล้านบาท เป็น 5,586 ล้านบาท โดยการออกหุ้นใหม่ 6,372,323,500 หุ้น ราคาพาร์หุ้นละ 0.50 บาท เพื่อแบ่งขายให้ประชาชนทั่วไป 1,362,000,000 หุ้น

"การเพิ่มสัดส่วนที่มากขึ้นให้ประชาชนทั่วไปได้เข้ามาร่วมเป็นเจ้าของแม็คโคร โดย MAKRO ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการเป็นเจ้าของบริษัทฯ ให้ประชาชนทั่วไปถึง 2 เท่า จากเดิมสัดส่วนที่ประชาชนทั่วไปร่วมเป็นเจ้าของ MAKRO อยู่ที่ 7% จะเพิ่มเป็นมากกว่า 15% ในขณะที่จำนวนการถือหุ้นของเครือซีพีใน MAKRO จะลดลงจาก 93% เหลือ 85% โดยที่การปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัทต่างๆ ครั้งนี้จะไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินการของ MAKRO และบริษัทอื่นๆ ที่ดำเนินการอยู่"

โดย MAKRO จะได้รับโอนกิจการทั้งหมดของดของ บริษัท ซี.พี.รีเทล โฮลดิ้งจำกัด มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 217,949,072,250 บาท ด้วยวิธีโอนกิจการทั้งหมด (Entire Business Transfer) ซึ่ง MAKRO จะออกและจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ 5,010,323,500 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ในราคาเสนอขาย 43.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 217,949,072,250 บาท ให้ CPRH เพื่อใช้ชำระเป็นค่าตอบแทนการรับโอนกิจการทั้งหมดจากCPRH แทนการชำระด้วยเงินสด (Payment in Kind) ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 104.38ของจำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ก่อนการจัดสรรหุ้นเพื่อตอบแทนการรับโอนกิจการทั้งหมด

สำหรับ CPRH ประกอบธุรกิจลงทุน (Investment Holding Company) โดยมีทรัพย์สินหลักคือหุ้นในบริษัท ซี.พี.รีเทล ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (CPRD) ในสัดส่วน 99.99% ของทุนจดทะเบียนของ CPRD อาทิ เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด และ CPRD ถือหุ้น (ก) สัดส่วน 99.99 %ในบริษัท โลตัสส์สโตร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งถือหุ้นสัดส่วน 99.99 % ในบริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกภายใต้ชื่อ Lotus's ในประเทศไทย และ (ข) สัดส่วน 100.00% ใน Lotuss Stores (Malaysia) Sdn. Bhd. ซึ่งประกอบธุรกิจค้าปลีกภายใต้ชื่อ Lotus's ในมาเลเซีย

โบรก ฯ มองป็นบวกต่อ CPALL และ CPF

บล. ทิสโก้ มองหลัง CPFโอน Lotus ให้ MAKRO - CPF ซื้อ MAKRO เพิ่ม ทั้งนี้หลังCPF แจ้งการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ ถือหุ้นของ Lotus (CPRH) และได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารแล้ว MAKRO จะได้รับธุรกิจทั้งหมด (EBT) ของ Lotus จาก CPALL/CPF/CPH ซึ่งจะได้รับหุ้น MAKRO ใหม่ หลังการทำ EBT CPF จะทำคำเสนอซื้ออหลักทรัพย์ทั้หมด (MTO) ร่วมกับ CPH หลังจากนั้น MAKRO จะออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไป ทำให้สัดส่วน Lotus อยู่ที่ 20% ส่วน MAKRO อยู่ที่ 7.34-8.33%

ทั้งนี้  ผู้บริหาร CPF เน้นย้ำประโยชน์ที่ได้รับจาก EBT : คือการขยายแพลตฟอร์มเพื่อรวม b2b และ b2c ,ปรับปรุงสภาพคล่องสำหรับการลงทุนในโลตัส ,เพิ่มผลประโยชน์ผ่าน CPALL และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในระดับภูมิภาคการถือ MAKRO – CPF จะเปลี่ยนการถือสัดส่วนโลตัสจาก 20% เป็น 10.21% ผ่าน MAKRO หลัง EBT MTO สามารถ เพิ่มสัดส่วนสูงสุด 1.13% ขณะที่ PO อาจส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้น MAKRO ลดลง 1.85% เมื่อเสร็จสิ้น CPF จะถือหุ้น MAKRO ราว 7.34-8.33%

บล.ทิสโก้ ประเมินไม่มีการระบุถึงกำไร/ขาดทุนที่ชัดเจนจากการขายหุ้น Lotus แต่ผู้บริหารคาดหวังเห็นกำไรเบื้งต้นราว 2.62 พันลบ.(ยอดขาย 4.359หมื่นล้านบาท ด้วยราคา 4.097 หมื่นล้านบาท)หาก EBT, MTO และ PO ได้รับการอนุมัติ บล.ทิสโก้ คาดจะเห็นผลบวกต่อกำไรของ CPF ในระยะสั้นเล็กน้อย กำไรของ MAKRO ดีขึ้น vs.Lotus คาดจะเพิ่มผลกำไรระยะสั้น ส่วนในระยะยาวขึ้นอยู่กับความสามารถในการ synergy แนะนำให้ "ซื้อ" โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 40.00 บาท (SOTP)

บล. เอเซียพลัส จำกัด ประเมินผลกระทบต่อหุ้นที่เกี่ยวข้อง หลังกลุ่มซีพี ประกาศปรับโครงสร้างธุรกิจค้าปลีกในเครือ นำ Lotus's มาอยู่ภายใต้ MAKRO กล่าวคือ CPALL เป็นบวก ผลกระทบการถือหุ้น MAKRO ลดลง เชื่อว่าชดเชยได้จาก MAKRO ที่มีขนาดใหญ่ จากการถือหุ้นใน Lotus's และมูลค่า (Value) เดิมที่ของ MAKRO ที่จะเพิ่มขึ้นจาก Synergy ร่วมกับ Lotus's บวกกับยังได้เงินที่จะขายหุ้น MAKRO พร้อมกับการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไป( PO) ไปลดภาระหนี้สิน ดังนั้น ประเมินสร้างอัพไซต์(Upside) ต่อประมาณการนับจากปี 2565 โดยฝ่ายวิจัยอยู่ระหว่างทบทวนประมาณการ คงแนะนำ" ซื้อ"

MAKRO เป็นบวกเล็กน้อย แม้มีผลกระทบหลัก คือ Dilution จากการเพิ่มทุน เพื่อรับโอนกิจการจากบริษัท ซี.พี. รีเทล โฮลดิ้ง จำกัด (CPRH) รวมถึง PO ในระยะถัดไปที่สูง ขณะที่กำไรส่วนชดเชยจาก Lotus's ระยะสั้นยังถูกหักล้างจากดอกเบี้ยจ่ายที่บริษัท ซี.พี. รีเทล ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (CPRD) แต่ภาพระยะยาว ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าดีขึ้นมีนัยยะจาก Synergy การขยายตัวร่วมกันทั้งในรูปแบบเดิม และการเปิดสาขาใหม่ๆ ในต่างประเทศร่วมกัน รวมถึง Omnichannel Platform B2C – B2B ขณะที่ราคาหุ้นระยะสั้นยังน่าจะรักษาระดับใกล้เคียงราคา Tender Offer ที่ 43.50 บาท โดยฝ่ายวิจัยอยู่ระหว่างทบทวนประมาณการ คงแนะนำ "ซื้อ"

ทั้งนี้ จากการขายหุ้น PO เพิ่มทั้งในส่วนของ MAKRO, CPALL, CPF คาดจะช่วยแก้ปัญหา ฟรีโฟลต(Free Float) ให้ MAKRO และมีโอกาสกลับสู่ SET50 ได้ในระยะถัดไป

CPF เป็นบวก จาก Unlock value จากการลงทุนใน Lotus's มาเป็น MAKRO แทน ซึ่งมีสภาพคล่องมากขึ้น และหลังจากนั้นจะได้ผลบวกจากการขายหุ้น MAKRO แบบ PO จำนวนไม่เกิน 181.6 ล้านหุ้น หรือ 1.85% ของจำนวนหุ้นของ MAKRO ทั้งหมดภายหลังการโอนกิจการ Lotus's เพื่อไปลดภาระหนี้สินในอนาคต และ Synergy ในอนาคต จากการขายอาหารสดเข้า MAKRO และ Lotus's ในไทยเพิ่มขึ้นในระยะยาว และหาก MAKRO และ Lotus's ขยายธุรกิจในต่างประเทศ เพราะ CPF มีการลงทุนใน 17 ประเทศทั่วโลก จึงสามารถขายอาหารสดระหว่างกันได้ อีกทั้งผลบวกทางอ้อมจากการถือหุ้น CPALL 34.12% ของทุนชำระแล้ว ที่จะได้ผลบวกในระยะยาวเช่นกัน จึงยังแนะนำซื้อ CPF กำหนดราคาเป้าหมาย ปี 2565 เท่ากับ 31 บาท

ทั้งนี้ กระบวนการโอนธุรกิจทั้งหมดจะเสร็จ ต.ค.64 โดยหลังแล้วเสร็จ CPG + CPF จะต้องทำการ Tender offer ผู้ถือหุ้นส่วนน้อย MAKRO เดิม 332 ล้านหุ้น หุ้นละ 43.5 บาท เท่ากับราคาหุ้น MAKRO ที่ได้มาผ่าน ซึ่งการแลกหุ้นหลังจากนั้น ในส่วนของ MAKRO จะมีการเสนอขายหุ้น PO โดยเป็นหุ้นใหม่ 1.36 พันล้านหุ้น (เพิ่มจากหุ้นที่รวม PP ที่ 9.81 พันล้านหุ้น) โดยปัจจุบันยังไม่มีการกำหนดราคา PO อีกทั้งจะขายหุ้นของผู้ถือหุ้น MAKRO คือ CPALL และ CPF ออกมาด้วยในช่วง PO ถือเป็นการ Unlock Value MAKRO และ Lotus's พร้อมกัน รวมถึงเป็นการแก้ไขปัญหา Free Float ของ MAKRO และช่วยให้ได้เงินกลับเข้ามาที่ทั้ง MAKRO, CPALL และ CPF คาดจะไปขยายธุรกิจและลดภาระหนี้
#2988


นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เมื่อปีที่ผ่านมา บุคลากรการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าได้อุทิศตนทำงานอย่างไม่ย่อท้อเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยและหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรคนี้ เพื่อส่งพลังสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้กับการปฏิบัติงานของบุคลากรด่านหน้าในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด และบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC จึงได้เชิญชวนพนักงานบริจาคเงินเพื่อมอบให้กับมูลนิธิและโรงพยาบาลต่างๆ พร้อมสมทบทุนเพิ่มจากยอดบริจาคของพนักงาน รวมมูลค่าการบริจาคเกือบ 1.7 ล้านบาท ผ่านโครงการ "Chevron Humankind: เชฟรอนรวมพลัง ทำดีคูณสอง" และ "SPRC สุขคูณ 2...สุขแห่งการให้ ยิ่งใหญ่กว่าเดิม"

โดยเมื่อเร็วๆ นี้ เชฟรอนประเทศไทย ได้มอบเงินบริจาคภายใต้โครงการ จำนวนรวมทั้งสิ้น 433,050 บาท ให้กับมูลนิธิต่างๆ อาทิ มูลนิธิรามาธิบดีฯ ศิริราชมูลนิธิ สภากาชาดไทย และมูลนิธิโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ขณะที่ บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) ได้มอบเงินบริจาคภายใต้โครงการ "SPRC สุขคูณ 2...สุขแห่งการให้ ยิ่งใหญ่กว่าเดิม" จำนวนทั้งสิ้น 1,170,000 บาท ให้แก่โรงพยาบาล 9 แห่ง ในจังหวัดระยอง เพื่อสมทบทุนในการจัดซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์ของโรงพยาบาล เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากรด่านหน้าและช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19

นายชาทิตย์ ห้วยหงษ์ทอง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด กล่าวว่า "การดำเนินโครงการเพื่อสังคมของเชฟรอนให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของพนักงาน เพื่อให้พนักงานเกิดความภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนในการพัฒนาสังคมให้ดีขึ้น โดยเชฟรอนประเทศไทยได้ดำเนินโครงการ Chevron Humankind: เชฟรอนรวมพลัง ทำดีคูณสอง มาตั้งแต่ปี 2558 ให้พนักงานร่วมบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของมูลนิธิหรือองค์กรการกุศลต่างๆ ที่เข้าร่วมโครงการฯ และบริษัทฯ จะบริจาคเงินสมทบเป็นจำนวนเท่าตัวของเงินบริจาคพนักงาน ซึ่งได้รับการตอบรับจากพนักงานเป็นอย่างดี โดยในครั้งนี้มียอดเงินบริจาคถึง 433,050 บาท เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของมูลนิธิต่างๆ เพื่อรับมือวิกฤตโควิด-19 ทั้งนี้ นับตั้งแต่ปีที่ผ่านมา เชฟรอนได้ให้การสนับสนุนหน่วยงานสาธารณสุขและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการรับมือวิกฤต โควิด-19 ภายใต้งบประมาณกว่า 20 ล้านบาท และยังอยู่ในระหว่างจัดหาการสนับสนุนและแสวงหาโอกาสในการให้ความช่วยเหลือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในด้านองค์ความรู้และงบประมาณอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมเป็นพลังสนับสนุนให้ประเทศไทยและคนไทยก้าวผ่านวิกฤตในครั้งนี้ไปด้วยกัน"

นายทิโมธี อลัน พอตเตอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "โครงการ SPRC สุขคูณ 2 สุขแห่งการให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิม นับเป็นโครงการที่ดี ที่ครอบครัว SPRC ได้ส่งต่อความห่วงใยผ่านการมอบเงินบริจาคให้กับศูนย์บริการด้านการแพทย์และโรงพยาบาลต่างๆ นับเป็นอีกเรื่องที่ทำให้เรามั่นใจว่า SPRC สามารถให้การสนับสนุนและช่วยเหลือคนในครอบครัวใหญ่ของเรา ซึ่งไม่ใช่แค่พนักงานและผู้รับเหมาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชุมชนและผู้คนที่ได้รับผลกระทบในช่วงวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อีกด้วย โดยตั้งแต่เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยนั้น SPRC ได้ให้การช่วยเหลือและสนับสนุนโรงพยาบาลและสถานพยาบาลหลากหลายแห่งในเขตภาคตะวันออก รวมถึงการดูแลพี่น้องชุมชนรอบรั้วของเรา ซึ่งมียอดรวมบริจาคแล้วกว่า 8 ล้านบาท SPRC ดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการดูแล ห่วงใย ใส่ใจ คนในครอบครัวของเรา เพื่อให้มั่นใจว่าเราทุกคนจะปลอดภัยและมีสุขภาพที่ดี ผมยินดีและภูมิใจที่ครอบครัว SPRC ได้จัดกิจกรรมดี ๆ ที่สร้างความสุขคูณสองนี้"
#2989


นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ ขอแจ้งเตือนผู้ประกอบการเดินเรือระหว่างประเทศที่ขนส่งมันสำปะหลังจากไทยไปจีน ควรมีมาตรการรองรับ เพื่อให้ประเทศปลายทางมั่นใจได้ว่าพนักงานบนเรือของตนปราศจากเชื้อโควิด-19 เพื่อให้การขนส่งสินค้าระหว่างกันเป็นไปอย่างราบรื่นและต่อเนื่อง หลังจากที่ได้รับแจ้งข้อกังวลของภาคเอกชนเกี่ยวกับการเพิ่มความเข้มงวดการปนเปื้อนเชื้อโควิด-19 ณ ท่าเรือปลายทางของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรือใหญ่เดินทะเลที่ขนส่งสินค้ามันสำปะหลังจากไทยไปจีน ที่ไม่มีใบรับรองการตรวจโควิด-19 อาจถูกปฏิเสธให้เรือเทียบท่าเพื่อขนถ่ายสินค้า ณ ท่าเรือปลายทางของจีนได้

สำหรับแนวทางการป้องกันปัญหา กรมฯ ได้ประสานภาคเอกชน หากพบการติดเชื้อของพนักงานที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่การผลิต ให้เร่งคัดแยกผู้ติดเชื้อออก และดำเนินการภายใต้มาตรการบับเบิลแอนด์ซีล (Bubble and Seal) โดยเคร่งครัด รวมทั้งให้พนักงานมีการตรวจสอบการติดเชื้อโดยวิธี ATK (Antigen Test Kit) เป็นระยะอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเจ้าหน้าทีที่เกี่ยวข้องในกระบวนการส่งออกจะปลอดจากเชื้อโควิด-19 เพราะในภาวะวิกฤตเช่นนี้ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกสินค้าเกษตรต้องเพิ่มความเข้มงวดการป้องกันการปนเปื้อนเชื้อโควิด-19 ในทุกขั้นตอนของกระบวนการส่งออก

ทั้งนี้ ในส่วนของเรือใหญ่เดินทะเลที่ลูกค้าปลายทางเป็นผู้จัดหามาเองนั้น กรมฯ แนะนำให้ผู้ประกอบการเดินเรือระหว่างประเทศมีมาตรการรองรับ เพื่อให้ประเทศปลายทางมั่นใจได้ว่าพนักงานบนเรือปราศจากการติดเชื้อโควิด-19 ในการส่งออกสินค้าเกษตรไปยังทุกตลาดทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดจีน เพื่อป้องกันการถูกปฏิเสธการเทียบท่า ณ เมืองปลายทาง

ในช่วง 7 เดือนของปี 2564 (ม.ค.-ก.ค.) ไทยส่งออกสินค้ามันสำปะหลังรวม 6.361 ล้านตัน มูลค่า 2,330.66 ล้านเหรียญสหรัฐ ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้น 43% และ 48% ตามลำดับ เพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีปริมาณส่งออกรวม 4.441 ล้านตัน มูลค่า 1,573.38 ล้านเหรียญสหรัฐ
#2990


'ไต' อวัยวะที่มีหน้าที่สำคัญในกำจัดของเสีย ควบคุมความเป็นกรด-ด่างในกระแสเลือด รักษาความสมดุลของเกลือแร่ รวมไปถึงดูแลปริมาณน้ำในร่างกาย ซึ่งหากไตทำงานผิดปกติหรือขาดประสิทธิภาพ ก็จะส่งผลเสียต่อสุขภาพและร่างกายได้ เช่น การเกิดภาวะเลือดจาง การขาดวิตามิน รวมถึงโรคต่างๆ ที่อาจตามมาอีกมากมาย โดยสาเหตุของการเกิดโรคไตส่วนใหญ่มาจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ไม่ถูกต้อง การบริโภคโซเดียมมากเกินไป การไม่ออกกำลังกาย รวมถึงการทานยาหรือสมุนไพรที่มีพิษต่อไต จนนำไปสู่การเจ็บป่วยและมีภาวะโรคไตเรื้อรังในที่สุด ซึ่งปัจจุบันคนไทยป่วยเป็นโรคไตเรื้อรังประมาณ 8 ล้านคน โดยเป็นผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย (End Stage Renal Disease; ESRD) ที่ต้องรับการฟอกเลือดหรือล้างไตทางช่องท้องมากกว่าหนึ่งแสนคน และมีแนวโน้มว่าคนไทยป่วยเป็นโรคไตเพิ่มขึ้น 15-20% ต่อปี ทำให้การให้ความรู้และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับโรคไต อย่างถูกต้องถือเป็นสิ่งสำคัญเป็นอย่างมาก

ทางสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย จึงได้เปิดตัว โครงการ "คุยเรื่องไต ไขความจริง" เพื่ออัพเดทข่าวสาร สาระและความรู้เกี่ยวกับโรคไต โดยทีมแพทย์ เภสัชกร และนักกำหนดอาหาร ผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขา ที่ผลัดเปลี่ยนกันมามอบสาระความรู้และแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องในการป้องกัน ดูแล และรักษาโรคไต

ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารได้ผ่านทางทางเพจ Facebook สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย - The Nephrology Society of Thailand #คุยเรื่องไตไขความจริง #สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย
#2991


"เซ็นทรัลพัฒนา" ย้ำผู้นำศูนย์การค้า สะอาด ปลอดภัย COVID-FREE เปิดตัวมาตรการ "เซ็นทรัล สะอาด มั่นใจ Safe Plus+" มั่นใจขั้นสูงสุด พนักงานฉีดวัคซีนแล้ว และตรวจคัดกรอง ATK ต่อเนื่อง พร้อมเปิดศูนย์การค้า 1 ก.ย.นี้ พนักงานพร้อม: พนักงานฉีดวัคซีนแล้ว, ตรวจ ATK 100% วันแรก และสุ่มตรวจต่อเนื่องทุกสัปดาห์, สวมหน้ากากอนามัยป้องกัน 2 ชั้น ศูนย์การค้าพร้อม: ฆ่าเชื้อระบบปรับอากาศด้วยแสง UV-C, เช็ดถูจุดสัมผัสทุก 30 นาที, และทำ Big Cleaning ฆ่าเชื้อทุกวัน

วันนี้ (31 ส.ค. 64) ดร. วัลลภ สุวรรณดี ประธานที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร, นางวัลยา วัฒนรัตน์ รองปลัดกรุงเทพมหานคร พร้อมคณะผู้บริหารลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมความพร้อมของมาตรการที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ก่อนเปิดให้บริการตามปกติพร้อมกัน 21 สาขาในพื้นที่เข้มงวดสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพและปริมณฑล, ชลบุรี, ระยอง, นครราชสีมา และหาดใหญ่
ดร. ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการตลาด บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า "เซ็นทรัลพัฒนา เราได้ริเริ่มแผนแม่บทมาตรการความสะอาดมาตั้งแต่เริ่มต้นการระบาด สร้างมาตรฐานใหม่ New Normal และเราไม่เคยหยุดยั้งในการยกระดับมาตรการ ปรับปรุงตามสถานการณ์ เพื่อให้ศูนย์การค้าเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับประชาชน เป็นต้นแบบมาตรการยกระดับเข้มข้นสูงสุดของวงการศูนย์การค้าไทย อีกทั้งยังช่วยเหลือผู้ประกอบการทั้งคู่ค้าผู้เช่า และอาชีพต่างๆ ไปพร้อมกันด้วย ซึ่งการเปิดศูนย์การค้าภายใต้นโยบายที่ภาครัฐควบคุมดูแลจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและประเทศให้เดินหน้า ซึ่งเราหวังว่าสถานการณ์ในประเทศจะค่อยๆ คลี่คลาย พร้อมฟื้นตัวช่วงปลายปี"



"ทั้งนี้จากการประกาศของศบค.เมื่อวันที่ 27 ส.ค. ที่ผ่านมา ที่อนุญาตให้ธุรกิจในศูนย์การค้าเปิดให้บริการได้เพิ่มเติมได้นั้น เรามีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการเปิดให้บริการ และพร้อมปฏิบัติตามมาตรการของภาครัฐอย่างเคร่งครัด ในฐานะผู้นำแผนแม่บทเซ็นทรัล สะอาด มั่นใจ ใน 5 แกนหลัก 75 มาตรการ เรามุ่งมั่นและต้องการรณรงค์ให้ทุกคนร่วมกันสร้างสังคมที่สะอาด ปลอดภัยด้วยกัน จึงเป็นที่มาของการพัฒนามาตรการ เซ็นทรัล สะอาด มั่นใจ Safe Plus+ ที่เข้มข้นขึ้น โดยเน้นที่การดูแลสถานที่และพนักงานให้บริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้พื้นที่ของศูนย์การค้าเป็นพื้นที่ปลอดภัย COVID-FREE เป็นต้นแบบของการบริหารจัดการมาตรการของศูนย์การค้าไทยต่อไป" ดร. ณัฐกิตติ์ กล่าว

"โดยมาตรการ "เซ็นทรัล สะอาด มั่นใจ Safe Plus+" สอดคล้องตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข เน้นย้ำเป็นพิเศษในการเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล รวมไปถึงให้พนักงานให้บริการมีการฉีดวัคซีน – ตรวจคัดกรองวันแรก 100% และต่อเนื่องทุกสัปดาห์ – กักตัวอย่างเป็นระบบ – เว้นระยะห่าง – สะอาดปลอดภัยตลอดเวลาทุกวัน ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากทั้งผู้เช่าร้านค้า และพนักงานภายในศูนย์การค้า ที่พร้อมให้ความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการอย่างเต็มที่ รวมถึงการประเมินร้านค้าผ่าน Thai Stop Covid Plus, พนักงานประเมินตนเองผ่าน Thai Safe Thai ทุกวัน ตามขั้นตอนของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เพื่อตอกย้ำความมั่นใจให้แก่ผู้มาใช้บริการ" ดร.ณัฐกิตติ์ กล่าว



ไฮไลท์ มาตรการ "เซ็นทรัล สะอาด มั่นใจ Safe Plus+" ยกระดับเข้มข้นสูงสุด อาทิ
• Extra Screening+ เรื่องการฉีดวัคซีน และตรวจคัดกรองด้วย ATK
สำหรับลูกค้า
◦ ลูกค้าที่มาใช้บริการในศูนย์การค้าทุกคนต้องสแกน "ไทยชนะ" ก่อนเข้าพื้นที่ศูนย์การค้า และร้านค้าทุกครั้ง
◦ ส่งเสริมให้ทุกคนร่วมกันสร้างสังคมสะอาด ปลอดภัย ด้วยการแสดงหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่ 1) ฉีดวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 เข็ม 2) ผลตรวจ ATK ไม่เกิน 7 วัน 3) ผู้ป่วยที่หายจากโควิด ไม่เกิน 3 เดือน แสดงใบรับรองแพทย์ 4) ผลตรวจ RT-PCR ไม่เกิน 7 วัน 5) ประเมินความเสี่ยงผ่าน ไทยเซฟไทย ทุกวัน
◦ เน้นย้ำการสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา วัดอุณหภูมิ ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล



สำหรับพนักงาน

◦ พนักงานที่จะเข้าปฏิบัติงานในศูนย์การค้าเซ็นทรัล มี 3 ทางเลือก ได้แก่
1. พนักงานร้านค้า และศูนย์การค้าต้องฉีดวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็ม พร้อมแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีน
2. พนักงานที่เคยติดโควิดและรักษาหายแล้ว ต้องมีใบรับรองแพทย์ไม่เกิน 3 เดือน
3. พนักงานที่ยังรอรับวัคซีนป้องกันโควิด-19 จะต้องตรวจ ATK ในครั้งแรกทุกคน และตรวจเป็นระยะต่อเนื่อง ทุกสัปดาห์
◦ วันแรกที่เปิดให้บริการ พนักงานต้องตรวจ Antigen Test Kit (ATK) ทุกคน 100% และสุ่มตรวจคัดกรองด้วย ATK หมุนเวียนทุกสัปดาห์
• หากมีอาการ พนักงานต้องหยุดทำงาน และไปตรวจ ATK ทันที
• ผลการตรวจ ATK ของพนักงาน ต้องได้รับการรับรองจากบริษัทต้นสังกัด โดยใบรับรองจะมีผลใช้ได้ 3 วัน นับจากวันที่ตรวจ
• อุปกรณ์การตรวจ ATK ต้องเป็นแบรนด์ที่ได้รับเครื่องหมาย อย. เท่านั้น
• 100% Social Distancing+
• จำกัดจำนวนคนในพื้นที่ 1 ต่อ 5 ตร.ม.
• ร้านอาหาร นั่งได้ 50% ของพื้นที่เพื่อลดความแออัดและ 75% หากไม่มีแอร์
• สำหรับศูนย์อาหาร จัดให้มีระบบ Customer counting ในการควบคุมจำนวนลูกค้า 50% ของพื้นที่
• ส่งเสริมการจองคิวล่วงหน้า และการทำธุรกรรมผ่านออนไลน์
• พนักงานต้องทานข้าวคนเดียวเท่านั้น



• กำหนดระยะห่างระหว่างบุคคลเมื่อใช้บันไดเลื่อน ไม่ต่ำกว่า 2 เมตร หรือ 4 ขั้นบันไดเลื่อน
• Extra Deep Cleaning+
• ฆ่าเชื้อระบบปรับอากาศในศูนย์การค้าตลอดเวลาด้วยแสง UV-C, ควบคุมระบบอากาศหมุนเวียนภายใน 5-6 ACH และล้างไส้กรองแอร์ทุก 2 เดือน
• ทำความสะอาดทุกจุดสัมผัสทุก 30 นาที
• ทำความสะอาด Big Cleaning หลังศูนย์ฯ ปิดทุกวัน
• ศูนย์การค้า / ร้านค้า ต้องลงทะเบียนเพื่อทำการประเมินผ่าน Thai Stop Covid Plus
• พนักงานศูนย์ฯ และร้านค้าทุกคน ต้องประเมินตนเองผ่าน Thai Save Thai ทุกวัน
• ป้องกัน 2 ชั้น พนักงานทุกคนต้องใส่หน้ากากอนามัย 2 ชั้น หรือ ใส่หน้ากากอนามัย 1 ชั้น และ Face Shield
• ห้ามเดินทานอาหารหรือเครื่องดื่ม ระหว่างอยู่ในศูนย์การค้า
• ตรวจสอบคุณภาพน้ำตลอดเวลา โดยควบคุมระดับคลอรีนฆ่าเชื้อในน้ำไม่ต่ำกว่า 0.5 ppm
โดยศูนย์การค้าเซ็นทรัล 21 สาขาในพื้นที่เข้มงวดสูงสุด จะเปิดให้บริการธุรกิจตามปกติ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 2564 เป็นต้นไป ตั้งแต่เวลา 11:00 – 20:00 น.* ยกเว้นบางธุรกิจที่เปิดแบบมีเงื่อนไข ได้แก่
• ร้านอาหาร-เครื่องดื่ม/ Food Court ที่มีเครื่องปรับอากาศให้นั่งรับประทานได้ 50% สำหรับร้านที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศ นั่งรับประทานได้ 75% และงดจำหน่ายและดื่มสุราในร้านอาหาร
• ร้านเสริมสวย ร้านตัดผมหรือแต่งผม เปิดได้เฉพาะตัด สระ ซอย แต่งผม โดยผ่านการนัดหมาย ให้บริการไม่เกิน 1 ชั่วโมง และต้องไม่มีผู้นั่งรอในร้าน
• ร้านนวด เปิดได้เฉพาะฝ่าเท้า โดยผ่านการนัดหมาย
• คลินิกเวชกรรม คลินิกเสริมความงาม (ต้องนัดหมายล่วงหน้าเท่านั้น)



โดยศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั้ง 21 สาขา ในพื้นที่เข้มงวดสูงสุด ได้แก่ เซ็นทรัลเวิลด์, เฟสติวัล อิสต์วิลล์, เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว, ปิ่นเกล้า, พระราม 2, พระราม 3, แกรนด์ พระราม 9, รามอินทรา, บางนา, แจ้งวัฒนะ, เวสต์เกต, รัตนาธิเบศร์, ศาลายา, มหาชัย, เซ็นทรัลวิลเลจ, เซ็นทรัลพลาซา ชลบุรี, เซ็นทรัล มารีนา, เฟสติวัล พัทยา บีช, เซ็นทรัลพลาซา ระยอง, นครราชสีมา และเฟสติวัล หาดใหญ่ เปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 เป็นต้นไป ตั้งแต่เวลา 11:00 – 20:00 น.* ซูเปอร์มาร์เก็ต เปิดให้บริการ 8:00 – 20:00 น. ทุกวัน*
เซ็นทรัลพัฒนา พร้อมให้ความร่วมมือกับภาครัฐอย่างเต็มที่ ในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 และพร้อมดูแลทุกฝ่ายอย่างเต็มที่ เพื่อให้เราทุกคนฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกันได้อย่างดีที่สุดและช่วยกันขับเคลื่อนประเทศชาติให้ยังคงเดินหน้าต่อไป
#2992


นางพรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์ อาร์เอสกรุ๊ป กล่าวว่า จากไลฟ์สไตล์พฤติกรรมการชอปปิ้งของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว บวกกับสถานการณ์ที่ทุกคนต้องรักษาระยะห่างเพื่อความปลอดภัยจากโควิด-19 ทำให้ช่องทางชอปปิ้งออนไลน์มีอัตราเพิ่มสูงขึ้น RS Mall ธุรกิจในเครืออาร์เอส กรุ๊ป ซึ่งเป็นมัลติแพลตฟอร์มชอปปิ้งสินค้าเพื่อการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม พร้อมมุ่งมั่นเป็น "Wellbeing Partner" ของทุกคน จึงมองเห็นโอกาสในการสร้างปรากฏการณ์การชอปปิ้งออนไลน์ครั้งใหม่ผ่านช่องทาง V-AVENUE by AIS 5G พร้อมเปิดตัวแอปพลิเคชัน RS Mall เพื่อขยายช่องทางการสั่งซื้อสินค้าให้มีความสะดวกสบาย พร้อมรับส่วนลดมากมาย ให้สอดรับกับพฤติกรรมการชอปปิ้งในยุคนิวนอร์มัล โดยตั้งเป้ายอดขายออนไลน์เติบโต 80% ภายในสิ้นปี 2564 นี้

"ธุรกิจคอมเมิร์ซภายใต้การดำเนินงานของ RS Mall เติบโตและสร้างรายได้อย่างก้าวกระโดด ด้วยโมเดลธุรกิจ 'Entertainmerce'  ที่สำคัญ RS mall ยังเป็น Multi-platform commerce ที่มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงช่องทางการขายเพื่อเข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่ม ด้วยการนำระบบเทคโนโลยีมาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลของลูกค้าเพื่อเข้าใจลูกค้ามากขึ้น สร้างประสิทธิภาพการขายของทีมพนักงานเทเลเซล และสร้างการซื้อซ้ำเพื่อเพิ่มยอดขาย นอกจากนี้ ยังได้มีการพัฒนาทั้งในด้านผลิตภัณฑ์ ในแง่สูตรสินค้า ขนาด และแพกเกจ ทั้งการขยายไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ ด้วยการขยายช่องทางการขายเข้าสู่ตลาดใหม่อย่างต่อเนื่อง"



ในช่วง 8 เดือนแรกของปี พ.ศ. 2564 RS Mall มีรายได้จากช่องทางออนไลน์เติบโตถึง 60% โดยจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์เฉลี่ยต่อเดือนเพิ่มขึ้นเป็น 350,000 ครั้ง หรือเติบโต 95% จากการที่มีจำนวนสินค้าเพิ่มมากขึ้น และมีการสร้างคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพเพิ่มเติม ส่งผลให้ยอดคำสั่งซื้อเติบโตถึง 70%

นอกจากนี้ RS Mall ยังเน้นการทำ CRM เพื่อมุ่งสู่การเป็น "Wellbeing Partner" เชื่อมต่อประสบการณ์การชอปปิ้งให้ดียิ่งขึ้นในทุก Customer Touch points และจัดทำ Loyalty Program ในชื่อ RS Mall Plus สำหรับสมาชิกเพื่อรับสิทธิประโยชน์ต่างๆ โดยปัจจุบันมีสมาชิกแล้ว 640,000 ราย หรือเติบโตถึง 92% จากปีที่ผ่านมา และคาดว่าภายในสิ้นปีจะมีสมาชิกเพิ่มเป็น 800,000 ราย

การรุกออนไลน์ในครั้งนี้เป็นการขยายช่องทางการสั่งซื้อสินค้า เพิ่มการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ให้มากขึ้น และเชื่อว่าสัดส่วนยอดขายออนไลน์จะเพิ่มขึ้นจาก 5% ในช่วง 8 เดือนแรก เป็น 7% ณ สิ้นปีนี้



ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มความสะดวกให้ลูกค้ามากยิ่งขึ้น จึงได้เพิ่มช่องทางแอปพลิเคชันให้กับลูกค้ากลุ่มที่ใช้สมาร์ทโฟน และยังขยายช่องทางด้วยการเป็นพาร์ตเนอร์ร่วมกับผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ซึ่งมีลูกค้ากลุ่มใหญ่มากกว่า 42 ล้านคน ด้วยการเปิด virtual mall กับ AIS 5G ด้วยการสร้างประสบการณ์ใหม่ในการชอปปิ้งให้กับลูกค้าในรูปแบบห้างเสมือนจริง จัดเต็มด้วยสินค้าทั้ง ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพและความงาม รวมถึงสินค้าวัตถุมงคล สินค้าแฟชั่น เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน และสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยง รวมไม่น้อยกว่า 600 รายการ ผ่านทาง v-avenue.co/TH/RS_MALL/ พร้อมรับโปรโมชันสุดพิเศษเพื่อเป็นการฉลองเปิดตัวสำหรับลูกค้า AIS เมื่อซื้อสินค้าผ่าน V-AVENUE by AIS 5G ครบ 2,000 รับส่วนลดทันที 250-300 บาท" นางพรพรรณกล่าว
#2993


วันนี้ (31 ส.ค. 64) นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ขณะนี้องค์การเภสัชกรรม (อภ.) ได้ลงนามจัดซื้อชุดตรวจแอนติเจน เทสต์ คิท (Antigen test kit) หรือ ATK จำนวน 8.5 ล้านชุดแล้ว โดยก่อนหน้านี้ สปสช. ได้มีการหารือเตรียมความพร้อมในการกระจายชุดตรวจ ATK นี้แล้ว

เบื้องต้นกำหนดให้กระจายในพื้นที่สีแดงก่อน กระจายให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงในชุมชนแออัด และประชาชนกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่อื่นทั่วไปผ่านหน่วยบริการและร้านยา ซึ่งจะได้รับชุดตรวจ ATK คนละ 2 ชุด เว้นระยะตรวจห่างกัน 5 วัน


กระจาย 2,000 ชุมชน กทม. 

การกระจาย ATK ในชุมชน กทม. มีจำนวน 2,000 ชุมชน กำหนดแจก ATK ชุมชนละ 1,008 ชุด รวมเป็นจำนวน 2 ล้านชุด โดยส่งผ่านศูนย์บริการสาธารณสุข (ศบส.) โดยการดูแลของสำนักอนามัย กทม. ทีมแพทย์อาสาวินิจฉัย และให้อาสาสมัครสาธารณสุข (อสส.) ผู้นำชุมชน หรือผู้ที่ได้รับคัดเลือกเป็นผู้นำไปแจกในชุมชน ครอบคลุมดูแลประชาชนทุกสิทธิ เน้นกลุ่มเสี่ยง อาทิ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้ป่วยติดเตียง ผู้พิการ และผู้ป่วย 7 โรค ผู้ที่สงสัยว่ามีอาการติดเชื้อ ผู้ที่อยู่ร่วมบ้านกับผู้ป่วยโควิด และผู้ทำงานประสานงานในชุมชน


แจก-เจอ-จ่าย-จบ
ทั้งนี้ หากผลตรวจพบเชื้อจะมีการจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์ให้กับผู้ติดเชื้อและลงทะเบียนเข้าสู่ระบบการดูแลผู้ป่วยโควิดที่บ้านและในชุมชน (HI/CI) โดยเป็นการดำเนินการในรูป One stop service ตามหลักการ "แจก-เจอ-จ่าย-จบ"



นพ.จเด็จ กล่าวว่า ส่วนการแจก ATK ให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่อื่นทั่วไป จะเป็นการกระจายผ่านหน่วยบริการในพื้นที่ รวมถึงร้านยา คลินิกเวชกรรม และคลินิกพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการ ด้วยระบบ VMI ขององค์การเภสัชกรรม

ขั้นตอน ขอรับชุดตรวจ ATK 
เริ่มต้นประชาชนกลุ่มเสี่ยงที่จะรับ ATK นี้ ต้องทำตามขั้นตอน ดังนี้

1. ต้องทำแบบคัดกรองความเสี่ยงในแอปเป๋าตัง ที่ดำเนินการโดยธนาคารกรุงไทย

2. คลิกที่ "รับชุดตรวจโควิด-19"

3. หากผลประเมินพบว่าอยู่ในเกณฑ์กลุ่มเสี่ยง ให้เข้ารับชุดตรวจ ATK ตามหน่วยบริการข้างต้นในพื้นที่ได้

4. ทำการยืนยันตัวตนก่อนรับชุดตรวจ ATK ฟรี ด้วยการสแกน QR Code ในระบบแอปเป๋าตัง

5. หน่วยบริการจะจ่ายชุดตรวจ ATK ให้จำนวน 2 ชุด สำหรับการตรวจ 2 ครั้ง ห่างครั้งละ 5 วัน

6. พร้อมให้คำแนะนำการดูแลตนเองและเข้าสู่ระบบการดูแลผู้ป่วยโควิดที่บ้าน ที่สามารถลงทะเบียนผ่านแอปเป๋าตังได้เช่นกัน

ไม่มีสมาร์ทโฟน ทำอย่างไร 
สำหรับกรณีที่ไม่มีมือถือสมาร์ทโฟน จะมีการกระจายชุดตรวจ ATK เชิงรุกในชุมชนพื้นที่สีแดงใน กทม. ซึ่งทางกรุงเทพมหานครกำหนดไว้มีจำนวน 2,000 ชุมชน โดยกระจายผ่านทางผู้นำชุมชน และอาสาสมัครสาธารณสุข ให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยงในชุมชน เพื่อให้สามารถครอบคลุมการแจกจ่ายได้อย่างทั่วถึง รวมถึงเป็นการอำนวยความสะดวก และลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อด้วยเช่นกัน

หน่วยงานร่วมแจก ATK กว่า 1,559 แห่ง
จากข้อมูลขณะนี้ มีหน่วยบริการเอกชนที่สมัครเข้าร่วมแจกชุดตรวจ ATK จำนวน 1,559 แห่ง แยกเป็น ร้านยาแผนปัจจุบันประเภท 1 จำนวน 1,436 แห่ง (ร้อยละ 92.11) คลินิกเวชกรรมจำนวน 114 แห่ง (ร้อยละ 7.3) และคลินิกพยาบาลจำนวน 9 แห่ง (ร้อยละ 0.58) อย่างไรก็ตามหากเกิดการแพร่ระบาดมากขึ้น จะมีการเปิดระบบจัดส่งชุดตรวจ ATK ทางไปรษณีย์ต่อไป เพื่อลดการเดินทางและแพร่กระจายเชื้อ

"ขณะนี้ สปสช. จัดทำแผนกระจายชุดตรวจ ATK รองรับไว้แล้ว ทันทีที่มีการส่งมอบชุดตรวจ ATK สปสช. พร้อมเดินหน้าโดยร่วมกับภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงเข้าถึงบริการโดยเร็ว " เลขาธิการ สปสช. กล่าว
#2994
รถกอล์ฟ คุณภาพ นำเข้าและประกอบโดยโรงงานมาตรฐานในประเทศไทย 

ภายใต้การดูแลของ วิศวะกร ชำนาญด้าน รถกอล์ฟไฟฟ้า  จำหน่ายในราคาขายส่ง 

ไม่ว่าจะซื้อกี่ตันก็คาม ไม่มีขั้นต่ำ ด้วยประสพการณ์กว่า 20 ปี ท่านจึงสามารถมั่นใจในสินค้าและบริการได้ 

มีประกันสินค้า 1-2 ปี พร้อมอะไหล่ที่มีครบและหาง่าย

Tags :: รถกอล์ฟ, รถกอล์ฟไฟฟ้า,รถกอล์ฟมือสอง
















#2995


วันนี้ (30 สิงหาคม 2564) ที่ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เปิด "ศูนย์สนับสนุนออกซิเจนทางการแพทย์" และให้สัมภาษณ์ว่า จากสถานการณ์โรคโควิด 19 ในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล มีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) จึงได้จัดตั้งศูนย์สนับสนุนออกซิเจนทางการแพทย์ (Medical Oxygen Support Center) ขึ้น โดยบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ และประชาสังคม ภายใต้ชื่อภารกิจ "ลมใต้ปีก" จัดส่งออกซิเจนทางการแพทย์แก่ผู้ป่วยโรคโควิด 19 ที่เข้าแยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) และชุมชน/ศูนย์พักคอย (Community Isolation) ซึ่งบางรายจำเป็นต้องได้รับออกซิเจนทางการแพทย์เพื่อประคับประคองอาการ ระหว่างรอเข้าระบบการรักษาในโรงพยาบาล มีทีมบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการติดตั้งที่ได้มาตรฐาน พร้อมแนะนำการใช้งานที่ถูกต้อง นอกจากนี้มีการบริหารจัดการคลังอุปกรณ์ การขนส่ง เบิกจ่าย ที่เป็นระบบตลอด 24 ชั่วโมง สำหรับภาพรวมขณะนี้ในพื้นที่ กทม.มีผู้ป่วยเข้าระบบกักตัวที่บ้าน จำนวน 57,118 ราย และที่ศูนย์พักคอย กทม. 56 แห่ง จำนวน 2,271 ราย

"ภารกิจลมใต้ปีก เป็นความร่วมมือที่เชื่อมโยงการทำงานของทุกภาคส่วนที่มีประสบการณ์ในการช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ต้องการออกซิเจนจะได้รับการดูแลอย่างทันท่วงที ลดอาการรุนแรงและลดเสียชีวิต ผู้ป่วยที่ต้องการความช่วยเหลือสามารถติดต่อได้ 3 ช่องทาง คือ สายด่วน 1426 / เว็บไซต์ http://oxygen.hss.moph.go.th/ และเครือข่ายจิตอาสา โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย" ดร.สาธิตกล่าว

ด้านนายแพทย์ธเรศกล่าวว่า สำหรับการดำเนินงานของศูนย์สนับสนุนออกซิเจนทางการแพทย์ ซึ่งตั้งอยู่ณ อาคารกรม สบส. จะดำเนินงานในรูปแบบ One Stop Service โดยมีคอลเซ็นเตอร์ สายด่วน กรม สบส. 1426 บริการตลอด 24 ชั่วโมง รับเรื่องขอสนับสนุนออกซิเจนทางการแพทย์ พร้อมให้การประเมินผู้ป่วยและแจ้งข้อมูลความต้องการไปยังหน่วยจัดเก็บออกซิเจนทางการแพทย์ เพื่อจะมีเจ้าหน้าที่ส่งต่อถังออกซิเจน/เครื่องผลิตออกซิเจนให้ผู้ป่วยถึงที่พัก พร้อมแนะนำการใช้งาน เปลี่ยนถังใหม่ หรือเติมก๊าซออกซิเจนให้ตามที่ร้องขอ และมีระบบติดตามเก็บคืนอุปกรณ์จากที่พักผู้ป่วย โดยผู้ป่วยหรือญาติไม่จำเป็นต้องเดินทางมาคืนเอง นอกจากนี้ กรม สบส.จะเข้าไปตรวจสอบความต้องการออกซิเจนทางการแพทย์ ผ่านแพลตฟอร์ม "จิตอาสา.แคร์" หรือ https://jitasa.care อีกทางหนึ่งด้วย

ทั้งนี้ ศูนย์สนับสนุนออกซิเจนทางการแพทย์ ได้เตรียมพร้อมอุปกรณ์ ได้แก่ ท่อออกซิเจน 50 ท่อ เครื่องผลิตออกซิเจน 25 เครื่อง เกจออกซิเจน เรกูเลเตอร์ 100 ชุด ที่วัดอัตราการไหล 100 ชุด กระบอกเพิ่มความชื้น 100 ชุด สายออกซิเจนช่วยหายใจ 300 เส้น เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว 100 เครื่อง เป็นต้น
#2996


สสว. หนุน "สุดยอดเอสเอ็มอีจังหวัด" ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ เปิดร้านบน Lazada จัดแคมเปญพิเศษ "ช้อปของดี SME ไทย ไฟต์โควิด" สร้างรายได้ฝ่าวิกฤต

นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า ปีนี้ สสว. ได้ดำเนินโครงการเพิ่มศักยภาพในการประกอบธุรกิจ ให้กับผู้ประกอบการรายย่อย กิจกรรมพัฒนาสู่สุดยอดเอสเอ็มอีจังหวัด (SME Provincial Champions) ปี 2021 ซึ่งมีมหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยศิลปากรเป็นหน่วยร่วมดำเนินการในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ เพื่อสร้างต้นแบบธุรกิจที่มีศักยภาพให้เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระดับจังหวัด และเพื่อสนับสนุนธุรกิจต้นแบบให้สามารถถ่ายทอดการจัดการองค์ความรู้ธุรกิจสู่ SME ในภูมิภาคต่อไป โดยหลายกิจกรรมในปีได้ปรับรูปแบบเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยมีเป้าหมายให้สามารถส่งเสริมรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการในช่วงวิกฤตนี้ได้ด้วย

"สสว. และหน่วยร่วมดำเนินการได้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะให้กิจกรรมในโครงการสามารถสร้างประโยชน์แก่ผู้ประกอบการได้สูงสุดภายใต้ข้อจำกัดจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจกรรมด้านการตลาดซึ่งจะเป็นการสร้างรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการ จึงได้ปรับรูปแบบกิจกรรมและเชิญชวนให้ผู้ประกอบการ SME Provincial Champions ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เป็นช่องทางในการจำหน่ายสินค้า โดยได้รับความร่วมมือจากแพลตฟอร์มที่มีศักยภาพอย่าง Lazada เปิดพื้นที่ให้ผู้ประกอบการได้มีร้านค้าออนไลน์ สร้างรายได้ในช่วงวิกฤตนี้ และยังได้จัดทำแคมเปญพิเศษ "ช้อปของดี SME ไทย ไฟต์โควิด" เพื่อส่งเสริมการขาย ซึ่งกำหนดจัดระหว่าง 21 สิงหาคม ไปจนถึง 20 กันยายน 2564 จึงขอเชิญชวนช่วยมากันอุดหนุนผู้ประกอบการ SME ได้ที่ lazada.co.th/sme2021 หรือผ่าน application SME Connext" ผอ.สสว. กล่าวเชิญชวน

ด้าน ดร.ธีวินท์ นฤนาท มหาวิทยาลัยศิลปากร หัวหน้าโครงการเพิ่มศักยภาพในการประกอบธุรกิจให้กับผู้ประกอบการรายย่อย กิจกรรมพัฒนาสู่สุดยอดเอสเอ็มอีจังหวัด (SME Provincial Champions) พื้นที่กรุงเทพมหานคร ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ทั้งหมด 40 จังหวัด ปี 2564 กล่าวว่า มหาวิทยาลัยศิลปากร ในฐานะหน่วยร่วมดำเนินการกล่าวว่า ถึงแม้ว่าสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 จะทำให้ต้องยกเลิกการจัดกิจกรรมหลายอย่างในโครงการ แต่กิจกรรมด้านการตลาดซึ่งจะเป็นการสร้างรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการเป็นสิ่งที่ สสว. และ มหาวิทยาลัยศิลปากร พยายามผลักดันปรับเปลี่ยนเพื่อให้สามารถช่วยเหลือและสร้างรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการในสถานการณ์นี้ จึงได้ร่วมมือกับ Lazada ในการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเปิดร้านค้าออนไลน์ ซึ่งนอกจากจะช่วยสร้างรายได้แล้ว ยังเป็นการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการให้สอดคล้องกับรูปแบบการขายที่ทันสมัย ทั้งยังส่งเสริมการขายด้วยแคมเปญพิเศษ "ช้อปของดี SME ไทย ไฟต์โควิด" ที่กำหนดจัดไปจนถึง 20 กันยายน 2564 นี้อีกด้วย

ขณะที่ นายวีระพงศ์ โก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ลาซาด้า จำกัด (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นบริษัทอีคอมเมิร์ซระดับโลกที่ขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานด้วยเทคโนโลยีระดับโลกของกลุ่มอาลีบาบา กล่าวว่า การร่วมมือกับ สสว. จัดทำแคมเปญพิเศษ "ช้อปของดี SME ไทย ไฟต์โควิด" ในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการช่วยยกระดับเอสเอ็มอีทีไทยสู่การเป็นผู้ประกอบการดิจิทัล แต่ยังเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคไทยได้เข้าถึงสินค้าคุณภาพหลากรายการในราคาพิเศษถึงแม้ว่าจะต้องเก็บตัวอยู่บ้านในช่วงนี้ก็ตาม Lazada พร้อมเป็นอย่างยิ่งที่จะนำศักยภาพแพลตฟอร์มและเครือข่ายโลจิสติกส์มาใช้ในการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยและผู้บริโภคในการก้าวผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายนี้ไปด้วยกัน

ทั้งนี้ แคมเปญ "ช้อปของดี SME ไทย ไฟต์โควิด" บนแพลตฟอร์ม Lazada จัดขึ้นระหว่าง 21 สิงหาคม - 20 กันยายน 2564 พบกับสินค้าคุณภาพดีที่ได้คัดสรรจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั่วประเทศ ให้ได้เลือกช้อปกันอย่างจุใจในราคาพิเศษ พร้อมโปรโมชั่นและโค้ดส่วนลดมากมาย โดยผู้สนใจสามารถเลือกซื้อสินค้าผ่าน lazada.co.th/sme2021 หรือผ่าน application SME Connext
#2997


นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ สำนักคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า ตามที่มีประชาชนจำนวนหนึ่งร้องเรียนกรณีบริษัทประกันภัยบางแห่งจ่ายเคลมประกันภัยโควิด-19 "แบบเจอจ่ายจบ" ล่าช้า โดยได้ยื่นเรื่องร้องเรียนทั้งที่สำนักงาน คปภ. และบริษัทประกันภัยโดยตรง รวมทั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค ซึ่งกรณีเรื่องร้องเรียนที่เกิดขึ้น สำนักงาน คปภ. ไม่ได้นิ่งนอนใจและมีความห่วงใยต่อประชาชนผู้เอาประกันภัย ได้กำชับให้บริษัทประกันภัยดำเนินการในเรื่องดังกล่าวโดยเร่งด่วน เพื่อให้ประชาชนผู้เอาประกันภัยได้รับความคุ้มครองตามสิทธิประโยชน์อันพึงจะได้รับตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัย และไม่เป็นการซ้ำเติมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปัจจุบัน

ล่าสุด  คปภ. ได้หารือร่วมกับภาคธุรกิจประกันภัย เพื่อกำหนดมาตรการและแนวทางต่าง ๆ พร้อมทั้งได้ติดตามและประสานกับบริษัทประกันภัยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรับทราบว่าปริมาณเรื่องเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนของผู้เอาประกันภัยที่ยื่นต่อบริษัทต่อวันมีจำนวนมาก ทำให้บริษัทประกันภัยไม่สามารถบริหารจัดการการจ่ายค่าสินไหมทดแทนได้อย่างทันท่วงที

ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ไขเรื่องร้องเรียนกรณีดังกล่าว  คปภ. ได้ออก 3 มาตรการเร่งด่วนเป็นการเฉพาะกิจ ดังนี้ 

1. มาตรการเข้าตรวจสอบบริษัท เพื่อประเมินความเสี่ยงของบริษัทและการดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย โดยเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2564  คปภ. ได้เร่งจัดทีมเฉพาะกิจซึ่งประกอบไปด้วยผู้แทนจากสายตรวจสอบ สายวิเคราะห์ธุรกิจประกันภัยและสายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ เข้าตรวจสอบ ณ ที่ทำการของบริษัทที่รับประกันภัยโควิด-19 จำนวน 4 บริษัท เพื่อประเมินความเสี่ยงของบริษัทและกำกับการดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย จากกรณีที่มีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับความล่าช้าในการจ่ายผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันภัย รวมถึงกระบวนการจัดการสินไหมทดแทน ของกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 ของบริษัททั้งระบบ จำนวนเรื่องที่คงค้างพิจารณาของบริษัท พร้อมทั้งเชิญผู้บริหารของบริษัทเข้าชี้แจงต่อ คปภ. ผ่านการประชุมทางจอภาพ ในประเด็นเกี่ยวกับฐานะการเงินและความมั่นคงของบริษัท ตลอดจน ติดตามการปฏิบัติตามกฎหมายในกระบวนการจ่ายผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 แต่ละบริษัทด้วย 

ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. กำชับให้ปรับปรุงวิธีการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ตลอดจนชี้แจงให้บริษัทเข้าใจถึงมาตรการทางกฎหมายในการกำกับการดำเนินการของบริษัทให้เหมาะสมกับสภาพการณ์และปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อให้ประชาชนผู้เอาประกันภัยได้รับผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น

 2.  มาตรการทางกฎหมาย คปภ. ได้ออกคำสั่งคปภ. เรื่อง ให้แก้ไขเพิ่มเติมคู่มือ ระบบงาน และกระบวนการดำเนินการพิจารณาและจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 ของบริษัทประกันวินาศภัย พ.ศ. 2564 ซึ่งคำสั่งฯ ดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 ให้บริษัทประกันวินาศภัยที่มีปัญหาการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวกับกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 ตั้งแต่ 100 เรื่องขึ้นไป ให้มีระบบงาน กระบวนการการดำเนินการพิจารณา และจ่ายค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวกับประกันภัยโควิด-19 ดังนี้ 

• ให้บริษัทจัดให้มีหน่วยงานรับเรื่องการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนและเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับประกันภัยโควิด-19 เป็นการเฉพาะขึ้นภายในบริษัท 

• ให้บริษัทดำเนินการพิจารณาและจ่ายค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวกับประกันภัยโควิด-19 ตามหลักเกณฑ์ดังนี้ 1) ตรวจสอบความครบถ้วนของเอกสารหลักฐานประกอบการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนให้แล้วเสร็จ ภายใน 3 วันนับแต่วันที่ได้รับเอกสารหลักฐาน 2) กรณีผู้เอาประกันภัยยื่นเอกสารหลักฐานประกอบการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนครบถ้วน ให้บริษัทดำเนินการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ภายใน 15 วัน และ 3) กรณีผู้เอาประกันภัยยื่นเอกสารหลักฐานประกอบการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนไม่ครบถ้วน ให้แจ้งผู้เอาประกันภัยในวันเดียวกับที่ตรวจพบ และให้จ่ายค่าสินไหมทดแทน ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้ยื่นเอกสารหลักฐานครบถ้วนแล้ว 

• ในกรณีที่มีปัญหาการตีความหรือโต้แย้งเกี่ยวกับกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 และยังหาข้อยุติไม่ได้ ให้บริษัทเสนอ ความเห็นต่อสำนักงาน คปภ. ภายใน 7 วันนับแต่วันที่ได้รับเอกสารหลักฐานประกอบการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน เพื่อดำเนินการต่อไป

• ให้บริษัทรายงานข้อมูลเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับประกันภัยโควิด-19 และผลการดำเนินการต่อสำนักงาน คปภ. ทุก 15 วันการออกมาตรการทางกฎหมายเพิ่มเติมดังกล่าว เพื่อให้การดำเนินการพิจารณาและจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 มีประสิทธิภาพ คุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนให้ได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยอย่างสะดวก รวดเร็ว และเป็นธรรม รวมถึงเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการด้านสินไหมทดแทนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ประกอบกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องออกคำสั่ง เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประชาชนในวงกว้าง และส่งกระทบต่อความเชื่อมั่นของระบบประกันภัย

สำหรับมาตรการบังคับใช้กฎหมาย คปภ. อยู่ระหว่างตรวจสอบเอกสารหลักฐานประกอบการพิจารณาการประวิงจ่ายค่าสินไหมทดแทนของบริษัทประกันภัย หากปรากฏเอกสารหลักฐานว่ามีเจตนาประวิงการจ่ายสินไหมทดแทน จะบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อไป 

3. มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเรื่องร้องเรียน โดยใช้กลไกของคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ประชาชนด้านประกันภัยในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยมีการบูรณาการร่วมกันระหว่างสายงานที่เกี่ยวข้องในสำนักงาน คปภ. จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยอดเคลมประกันภัยโควิด-19 แบบเจอจ่ายจบ มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ส่งผลให้การจ่ายค่าสินไหมทดแทนของบริษัทประกันภัยเป็นไปด้วยความล่าช้า

คณะทำงานฯ จึงได้จัดทำแผนบริหารจัดการเรื่องร้องเรียนทั้งระบบ ซึ่งครอบคลุมทั้งในส่วนเรื่องร้องเรียนที่ได้ยื่นมายังสำนักงาน คปภ. และเรื่องร้องเรียนที่ยื่นกับบริษัทประกันภัยโดยตรง โดยในแผนดังกล่าวได้กำหนดให้บริษัทต้องรายงานยอดการเรียกร้องและการจ่ายค่าสินไหมทดแทนต่อคณะทำงานฯ อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งรายงานสภาพปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นเพื่อคณะทำงานฯ จะได้กำหนดมาตรการในการแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที

ในส่วนเรื่องร้องเรียนที่ยื่นมายังสำนักงาน คปภ. จะได้ดำเนินการแยกเรื่องร้องเรียนออกเป็นกลุ่ม ๆ เพื่อให้เกิดความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพในการพิจารณาเร่งแก้ไขเรื่องร้องเรียน โดยเรื่องร้องเรียนที่ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับเอกสารหลักฐานการในการเคลม ก็จะแจ้งให้บริษัทดำเนินการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยโดยเร็ว ภายใน 3 วัน พร้อมทั้งรายงานผลต่อคณะทำงานฯ ทราบ กรณีเรื่องร้องเรียนที่ยังมีประเด็นปัญหาที่ต้องพิจารณา

 คปภ. ได้เสริมเขี้ยวเล็บให้แก่คณะทำงานฯ ชุดดังกล่าว โดยมีการตั้งทีมย่อยอีก 4 ชุด ประกอบด้วยผู้แทนจากสายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ สายกฎหมายและคดี และสายกำกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย ทำหน้าที่ช่วยในการกลั่นกรองเสนอความเห็น รวมทั้งตีความเงื่อนไขกรมธรรม์ที่มีปัญหาก่อนเสนอความเห็นต่อคณะทำงานฯ เพื่อพิจารณาต่อไป นอกจากนี้ จะมีการเพิ่มเจ้าหน้าที่เพื่อรองรับในการให้บริการข้อมูลด้านประกันภัยผ่านสายด่วน คปภ. 1186 และติดตั้งระบบการจัดลำดับสายที่โทรเข้ามา รวมทั้งระบบเสียงแจ้งสถานะการรอสาย เป็นต้น


"หวังว่า 3 มาตรการเร่งด่วนเฉพาะกิจดังกล่าว จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนและเพิ่มประสิทธิภาพการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของพี่น้องประชาชน กรณีการจ่ายสินไหมทดแทนเกี่ยวกับประกันภัยโควิด-19 ให้กับประชาชนผู้เอาประกันภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น"
#2998


นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวว่า สสว. ได้นำแนวคิดการให้บริการสนับสนุนการพัฒนาธุรกิจ (Business Development Service : BDS) ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในต่างประเทศ มาปรับใช้กับประเทศไทยเป็นครั้งแรก โดยได้ดำเนินโครงการนำร่องร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ภายใต้โครงการพัฒนาระบบให้เอกชนสามารถเป็นหน่วยงานส่งเสริม MSME เพื่อแก้ปัญหาการพัฒนาที่ผ่านมาที่ไม่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการ ดังนั้น BDS จึงเป็นกลไกการสนับสนุนให้ผู้ให้บริการทางธุรกิจภาคเอกชน สามารถมีบทบาทในการยกระดับศักยภาพการดำเนินธุรกิจของ MSME ให้ตรงความต้องการของผู้ประกอบการมากขึ้น และสร้างความมั่นใจแก่ผู้ประกอบการที่จะใช้บริการเนื่องจากได้รับการการันตีจากหน่วยงานกลางแล้ว โดยโครงการดังกล่าวยังสามารถตอบโจทย์ในการลดภาระค่าใช้จ่ายช่วยเหลือผู้ประกอบการในภาวะวิกฤติเช่นนี้ด้วย

"สำหรับโครงการนำร่องที่ดำเนินการร่วมกับ ส.อ.ท. ในครั้งนี้ เป็นการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการรับบริการต่อผู้ประกอบการ MSME รายละ 100,000 บาท จ่ายจริงตามสัดส่วนการสนับสนุนที่ผู้ประกอบการเลือกรับบริการ วิสาหกิจรายย่อย (Micro) สนับสนุน 90% วิสาหกิจขนาดย่อม (Small) สนับสนุน 70% และวิสาหกิจขนาดกลาง (Medium) สนับสนุน 50%" นายวีระพงศ์ กล่าว

ทั้งนี้ได้คัดเลือกผู้ให้บริการที่เหมาะสมกว่า 114 บริการ ให้ผู้ประกอบการเลือกใช้ ครอบคลุมด้านการเพิ่ม Productivity มาตรฐาน การบริหารจัดการ บัญชีภาษี และการตลาด ทั้งในรูปแบบของแพลตฟอร์มการตลาดออนไลน์ สื่อประชาสัมพันธ์ การวิจัยตลาด และการสร้างกลยุทธ์ทางการตลาด โดยได้ผู้ให้บริการที่มีคุณภาพรวบรวมไว้ในที่เดียวกัน อาทิ สถาบันอาหาร, สมาคมบัญชีคุณภาพ, บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย, บริษัท นิภาเทคโนโลยี จำกัด, บริษัท วีอาร์ทวินส์ จำกัด, บริษัท ทีค รีเสิร์ช จำกัด, บริษัท พี ยู ยู เอ็น อินเทลลิเจนท์ จํากัด, บริษัท สปริง บีนส์ จำกัด, บริษัท ที.เค.เอส.เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) เป็นต้น

โดยสามารถสนับสนุนผู้ประกอบการได้แล้วกว่า 137 ราย สนับสนุนงบประมาณดำเนินงานไปแล้วกว่า 10 ล้านบาท เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 65 ล้านบาท โดยบริการที่ผู้ประกอบการนิยมและต้องการในลำดับต้นๆ ได้แก่ ช่องทางการขาย เครื่องมือในการประชาสัมพันธ์ และการตรวจมาตรฐานต่างๆ"

"ความร่วมมือของ สสว.กับ ส.อ.ท. ในครั้งนี้ ถือว่า มีผลการตอบรับจากผู้ประกอบการรวมถึงผลลัพธ์ที่ออกมาค่อนข้างน่าพอใจ และในปี 2565 สสว. ยังจะเดินหน้าใช้แนวคิด BDS ในการสนับสนุนผู้ประกอบการต่อไป แต่อาจจะต้องปรับแก้ไขบางส่วนเพื่อให้สอดคล้องกับบริบทสภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา ซึ่งสามารถติดตามข่าวสารการช่วยเหลือผู้ประกอบการต่างๆ ของ สสว.ได้ที่ www.sme.go.th  หรือแอปลิเคชัน SMECONNEXT หรือ สสว. คอลเซ็นเตอร์ โทร. 1301" ผอ.สสว. กล่าว
#2999
ทำไมข้าวออร์แกนิกมีราคาสูง
ทำไม  ข้าวไรซ์เบอรี่อินทรีย์    (SURIN Organic Rice)  ถึงดีกว่าข้าวทั่วๆไปที่ใช้สารเคมีอย่างไร ?  ข้าวเกษตรอินทรีย์ หรือ ข้าวออร์แกนิค (Organic Rice)  คือ ข้าวอินทรีย์สุรินทร์ทีได้จากการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นระบบการจัดการด้านการเกษตรแบบองค์รวมที่เกื้อหนุนต่อระบบนิเวศน์ วงจรชีวภาพ และความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเน้นการใช้วัสดุธรรมชาติในนา ข้าวกล้องอินทรีย์หอมมะลินิล ไม่ใช้วัตถุดิบที่ได้จากการสังเคราะห์  สารเคที สารพิษ ยาฆ่าหญ้า ว่า ปุ๋ยเคมี สารควบคุมการเจริญเติบโตของ ข้าวหอมมะลิอินทรีย์ สารควบคุมและกำจัดวัชพืช สารป้องกันกำจัดโรค แมลงและสัตว์ศัตรูข้าว ตลอดจนสารเคมีที่ใช้รมเพื่อป้องกันกำจัดแมลงศัตรูข้าวในโรงเก็บ และไม่ใช้พืช สัตว์ หรือจุลินทรีย์ที่ได้มาจากการดัดแปลงพันธุกรรม หรือพันธุวิศวกรรม  เราเน้นปรับปรุงความอุดมสมบูรณ์ของดินโดยการปลูกพืชหมุนเวียน การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในไร่นาหรือจากแหล่งอื่น ควบคุมโรค แมลงและสัตว์ศัตรูข้าวโดยวิธีผสมผสานที่ไม่ใช้สารเคมี การเลือกใช้พันธุ์ข้าวที่เหมาะสมมีความต้านทานโดยธรรมชาติ รักษาสมดุลของศัตรูธรรมชาติ การจัดการพืช ดิน และน้ำ ให้ถูกต้องเหมาะสมกับความต้องการของต้นข้าว เพื่อทำให้ต้นข้าวเจริญเติบโตได้ดี มีความสมบูรณ์แข็งแรงตามธรรมชาติ การจัดการสภาพแวดล้อมไม่ให้เหมาะสมต่อการระบาดของโรค แมลงและสัตว์ศัตรูข้าว เป็นต้น มีการจัดการกับผลผลิตและผลิตภัณฑ์ด้วยความระมัดระวัง เพื่อรักษาสภาพการเป็นเกษตรอินทรีย์ และคุณภาพที่สำคัญในทุกขั้นตอนการผลิตและการแปรรูปข้าวสุขภาพสุรินทร์

 
ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์  ข้าวออร์แกนิคส่งทั่วไทย
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
Facebook : https://www.facebook.com/Hor.Product
Twitter : https://twitter.com/hor_boutique
IG : https://www.instagram.com/hor.boutique/
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ ข้าวไรซ์เบอรี่อินทรีย์ส่งทั่วไทย
1.  ข้าวกล้องหอมมะลิออแกนิค
2.  ข้าวกล้องหอมมะลิอินทรีย์
3.  ปลูกข้าวปะกาอำปึลออแกนิค
4. ข้าวผสมหลายสายพันธุ์ปลอดสารพิษสุรินทร์
5.  ข้าวกล้องหอมมะลิแดงออร์แกนิค
6.  ข้าวกล้องหอมมะลินิลออแกนิค
7.  ข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่ออแกนิค


#ข้าวออร์แกนิก #ข้าวออแกนิค #ข้าวออแกนิก  #ข้าวอินทรีย์ #ข้าวสุขภาพ
 

 

 

 

 

 

 

 
 
#3000


ช่วงนี้จะเห็นว่ามีหลายอุทยานแห่งชาติทยอยเปิดรับนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเที่ยวชมในเขตอุทยานฯ กันบ้างแล้ว ซึ่ง "อุทยานแห่งชาติภูเวียง" จ.ขอนแก่น ก็เป็นอีกแห่งหนึ่ง ที่เปิดรับนักท่องเที่ยวแบบ New Normal แล้วเช่นกัน

ผาชมตะวัน อช.ภูเวียง (ภาพจาก อช. ภูเวียง)
ผาชมตะวัน อช.ภูเวียง (ภาพจาก อช. ภูเวียง)

โดย "อุทยานแห่งชาติภูเวียง" มีพื้นที่ครอบคลุมอำเภอภูเวียง อำเภอสีชมพู อำเภอชุมแพ อำเภอเวียงเก่า และอำเภอหนองนาคำ จังหวัดขอนแก่น ซึ่งคำว่า "ภูเวียง" เป็นท้องที่อำเภอที่เก่าแก่ของจังหวัดขอนแก่นอำเภอหนึ่ง และยังเป็นชื่อเรียกของเทือกเขาที่สำคัญอีกด้วย

ภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ (ภาพจากสำนักอุทยานแห่งชาติ)
ภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ (ภาพจากสำนักอุทยานแห่งชาติ)

ในอดีตมีหลักฐานว่าป่าภูเวียงเคยเป็นแหล่งชุมชนโบราณที่มีอารยธรรมเมื่อหลายพันปีล่วงมาแล้ว มีการขุดพบกระดูกมนุษย์โบราณ เครื่องมือ เครื่องใช้ โลหะสำริด พระนอนสมัยทวาราวดี รวมทั้งภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ถ้ำ (หลืบเงิน) บนเทือกเขาภูเวียง นอกจากนั้นเมื่อปี พ.ศ. 2519 มีการค้นพบรอยเท้าและซากกระดูกไดโนเสาร์ และสัตว์โลกดึกดำบรรพ์อายุเกือบ 200 ล้านปี จนทำให้หลายคนรู้จักชื่อของภูเวียงว่ามีความโดดเด่นเรื่องซากกระดูกไดโนเสาร์นั่นเอง

ที่นี่เป็นแหล่งค้นพบซากไดโนเสาร์ครั้งแรกของไทย และเป็นแหล่งขุดค้นไดโนเสาร์สำคัญอีกด้วย ซึ่งแหล่งท่องเที่ยวภายในอุทยานฯ มีมากมาย สามารถแบ่งออกเป็น 3 โซน เริ่มที่โซนแรกคือ "เส้นทางศึกษาธรรมชาติเฉลิมพระเกียรติหลุมขุดค้นไดโนเสาร์" ที่หากใครชื่นชอบเรื่องราวเกี่ยวไดโนเสาร์ต้องไม่ควรพลาด

ภายในอาคารหลุมขุดค้นที่ 3 
ภายในอาคารหลุมขุดค้นที่ 3

โดย "หลุมขุดค้นฟอสซิลไดโนเสาร์" ภายในเส้นทางนี้มีทั้งหมด 9 หลุม แต่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม 4 หลุม ทุกหลุมจะสร้างอาคารกระจกครอบหลุมขุดค้นไว้ เพื่อเป็นการดูแลรักษาและป้องกันไม่ให้กระดูกเกิดความเสียหาย

เริ่มที่ "หลุมขุดค้นที่ 1" (ประตูตีหมา) เป็นหลุมขุดที่มีความสำคัญมาก โดยพบตั้งแต่ปี 2525 ที่นี่พบกระดูก "ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน" เพื่อเทิดพระเกียรติแด่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นไดโนเสาร์กินพืชขนาดใหญ่มากกว่า 20 ชิ้น และพบกระดูกหลายชิ้นของ "คอมพ์ซอกนาธัส" ไดโนเสาร์ตัวเล็กเท่าแม่ไก่

กระดูกของไดโนเสาร์ซอโรพอด
กระดูกของไดโนเสาร์ซอโรพอด

ส่วน "หลุมขุดค้นที่ 2" (ถ้ำเจีย) พบเมื่อเดือนกันยายน 2530 ที่นี่พบฟอสซิลกระดูกคอของไดโนเสาร์ซอโรพอด (Sauropod) หรือไดโนเสาร์กินพืช จำนวน 6 ชิ้นวางเรียงต่อกัน ต่อมาคือ "หลุมขุดค้นที่ 3" (ห้วยประตูตีหมา) มีลักษณะเป็นอาคารห้องกระจกหลังย่อมๆ สร้างครอบซากฟอสซิลเอาไว้ (เพื่อเป็นการดูแลรักษา ป้องกันไม่ให้กระดูกเกิดความเสียหาย ) ค้นพบเมื่อเดือนพฤษภาคม 2536 ที่นี่พบกระดูกไดโนเสาร์ส่วนกระดูกสันหลัง กระดูกซี่โครงขนาดใหญ่หลายชิ้น ฝังตัวอยู่ในชั้นหินทราย อายุประมาณ 130 ล้านปีมาแล้ว เป็นไดโนเสาร์ชนิดกินพืช (Sauropod) ภูเวียง โกซอรัส สิรินธรเน เช่นกัน

หลุมสุดท้ายคือ "หลุมขุดค้นที่ 9" (หินลาดยาว) ค้นพบเมื่อเดือนสิงหาคม 2536 ที่นี่พบกระดูกตรงส่วนสันหลังหลายชิ้นโผล่มาจากชั้นหินทรายสีแดง และก็มีกระดูกสะโพกด้านซ้าย กระดูกโคนหางกว่า 10 ชิ้น ของไดโนเสาร์กินเนื้อ (carnosaur) ซึ่งเป็นกระดูกสกุลและชนิดใหม่ของโลกที่ขุดค้นพบ มีชื่อว่า "สยามโมไทรันนัส อิสานเอนซิส" หรือ "ไทรันสยาม" มีความยาวประมาณ 7 เมตร ลักษณะกระดูกบ่งว่าเป็นบรรพบุรุษของทีเร็กซ์

ผากาลเวลา (ภาพจาก อช. ภูเวียง)
ผากาลเวลา (ภาพจาก อช. ภูเวียง)

และในเส้นทางนี้ยังมี "ผากาลเวลา" เป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยงามมากเช่นกัน ซึ่งที่มาของชื่อผากาลเวลาแห่งนี้ก็คือ เป็นหน้าผาที่สามารถมาชมวิวธรรมชาติที่มีเรื่องราวย้อนอดีตไปกว่า 130 ล้านปี ซึ่งอดีตเคยเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำขนาดใหญ่ จึงเป็นแหล่งอาศัยที่สำคัญของไดโนเสาร์นานาชนิด เมื่อเวลาผ่านไปไดโนเสาร์ที่ตายลงจะถูกตะกอนแม่น้ำฝังกลบไว้จนกลายเป็นซากดึกดำบรรพ์หลงเหลือไว้ให้คนรุ่นหลังอย่างเราได้ตามรอย

ผาชมตะวัน (ภาพจาก อช. ภูเวียง)
ผาชมตะวัน (ภาพจาก อช. ภูเวียง)

โซนที่สองคือ "เส้นทางตาดฟ้า" เส้นทางนี้จะเป็นเส้นทางที่เน้นชมธรรมชาติภายในเขตอุทยานฯ ซึ่งในเส้นทางนี้จะมีไฮไลต์เด่นอยู่ที่ "ผาชมตะวัน" ที่เป็นจุดชมวิวมีลักษณะเป็นลานหินที่เกิดจากการยกตัวของแผ่นเปลือกโลกและรอยเลื่อนทำให้เกิดเป็นหน้าผาซึ่งสามารถมองเห็นทัศนียภาพสวยงามด้านล่าง และสามารถมองเห็นอ่างเก็บน้ำเขื่อนอุบลรัตน์ได้ด้วย นับว่าเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้าที่สวยงามอีกจุดหนึ่งของจังหวัดขอนแก่น

บริเวณผาชมตะวัน (ภาพจาก อช. ภูเวียง)
บริเวณผาชมตะวัน (ภาพจาก อช. ภูเวียง)

ผาชมตะวันนั้นอยู่ในเขตอำเภอเวียงเก่า อยู่ห่างจากน้ำตกตาดฟ้าประมาณ 2.5 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากลานกางเต็นท์ตาดฟ้าประมาณ 3 กิโลเมตร สามารถขับรถเก๋งขึ้นไปชมได้ โดยขณะนี้ (ข้อมูล ณ วันที่ 26 ส.ค. 64) ผาชมตะวันเปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 05.30 น. เป็นต้นไป

น้ำตกตาดฟ้า (ภาพจาก อช. ภูเวียง)
น้ำตกตาดฟ้า (ภาพจาก อช. ภูเวียง)

ในเส้นทางนี้ยังสามารถชม 2 น้ำตกสวยประจำอุทยานฯ ได้แก่ "น้ำตกวังสักสิ่ว" ที่เป็นน้ำตกขนาดเล็ก ที่สายน้ำทิ้งตัวไปตามลานหินกว้างและยาว เป็นระยะทางประมาณ 100 เมตร ด้านล่างลานหินมีอ่างธารน้ำใหญ่และลึก หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "วังน้ำ" ซึ่งวังน้ำนี้มีน้ำตลอดปี น้ำตกวังสักสิ่วถือเป็นน้ำตกที่ยังคงความสวยงามเป็นธรรมชาติ ร่มรื่น เหมาะสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ และ "น้ำตกตาดฟ้า" เป็นน้ำตกขนาดกลางอยู่ทางทิศเหนือของเทือกเขาภูเวียง น้ำตกมีความสูงประมาณ 15 เมตร มีความสวยงามไม่แพ้กัน

ต้นยางใหญ่ (ภาพจาก อช. ภูเวียง)
ต้นยางใหญ่ (ภาพจาก อช. ภูเวียง)

รวมถึงมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติต้นยางใหญ่ให้ได้เดินชม "ต้นยางใหญ่" ที่ได้ชื่อว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วัดรอบลำต้นได้ 9.59 เมตร (ขนาดประมาณ 8 คนโอบ) ความสูง 25 เมตร อยู่ห่างจากลานกางเต็นท์ตาดฟ้าประมาณ 2.5 กิโลเมตร

อุทยานไดโนเสาร์ศรีเวียงเฉลิมพระเกียรติฯ (ภาพจาก อช. ภูเวียง)
อุทยานไดโนเสาร์ศรีเวียงเฉลิมพระเกียรติฯ (ภาพจาก อช. ภูเวียง)

และโซนสุดท้ายคือ "เส้นทางอุทยานไดโนเสาร์ศรีเวียงเฉลิมพระเกียรติฯ" ซึ่งเป็นโซนที่ถูกใจเด็กๆ อย่างแน่นอน เพราะเป็นสวนไดโนเสาร์กลางแจ้งนานาชนิด ที่สามารถเคลื่อนไหวและส่งเสียงร้องได้ และมีจุดนั่งเล่นพักผ่อนชมธรรมชาติน้ำตกจำลองได้ด้วย

ภายในพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง
ภายในพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง

นอกจากนั้นในเขตอุทยานฯ ยังมี "พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง" ให้ได้เรียนรู้เกี่ยวกับโลกดึกดำบรรพ์อีกด้วย โดยภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะแบ่งส่วนของโซนนิทรรศการออกเป็นทั้งหมด 5 โซนด้วยกัน

ส่วนแรกเป็นการบอกเล่าถึงเรื่องราวความเป็นมาเกี่ยวกับจักรวาลและโลกต่อด้วยส่วนของการเล่าถึงวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์จนถึงปัจจุบันนี้ ถัดจากนั้นมาจะเป็นส่วนของการแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับหินและแร่ธาตุต่างๆ

สวนไดโนเสาร์
สวนไดโนเสาร์

บริเวณใจกลางห้องพิพิธภัณฑ์จะเจอกับหุ่นจำลองไดโนเสาร์ตัวใหญ่ยักษ์ (ทำจากแท่งเหล็ก) หลายตัว รวมไปถึงมีฟอสซิลไดโนเสาร์จำลอง (จากเรซิ่น) จัดแสดงอยู่ในบริเวณเดียวกัน ซึ่งทั้งหมดเป็นสายพันธุ์ไดโนเสาร์ที่ขุดค้นพบที่ อ.ภูเวียง จ.ขอนแก่น และจังหวัดอื่นๆ ที่มีการขุดค้นพบ

ส่วนต่อไปคือ "สวนไดโนเสาร์" จะเป็นการจำลองบรรยากาศของป่าดึกดำบรรพ์โลกล้านปี โดยทำเป็นทางเดินไม้ให้เดินลัดเลาะไปตามจุดต่างๆ ระหว่างทางเดินสองข้างทางก็จะมีไดโนเสาร์ที่สำรวจพบที่ภูเวียงแห่งนี้ จำลองเป็นรูปร่างเหมือนจริงให้ได้ชมกัน อย่างเช่น ไดโนเสาร์กินเนื้อไทรันสยาม, ไดโนเสาร์กินพืชภูเวียง โกซอรัส ที่ยืนคอยาวอยู่ โดยจะมีข้อมูลอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับไดโนเสาร์แต่ละตัวไว้อย่างครบครัน

น้ำตกจำลองที่อุทยานไดโนเสาร์ศรีเวียงเฉลิมพระเกียรติฯ (ภาพจาก อช. ภูเวียง)
น้ำตกจำลองที่อุทยานไดโนเสาร์ศรีเวียงเฉลิมพระเกียรติฯ (ภาพจาก อช. ภูเวียง)

ใครอยากมาตะลุยโลกล้านปี ชมธรรมสวยงามภายในอุทยานแห่งชาติภูเวียงแห่งนี้ สามารถมาท่องเที่ยวได้แล้วแบบ New Normal ภายใต้มาตรการป้องกันโควิด-19 เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 08.30 - 16.30 น. โดยยังไม่เปิดให้เข้ามาพักแรมกางเต็นท์ 

สามารถสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติภูเวียงได้ที่โทร. 0-43438333 หรือที่ อุทยานแห่งชาติภูเวียง - Phu Wiang National Park