• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Prichas

#3061


เอลซัลวาดอร์ประกาศตั้งกองทุน Bitcoin Trust มูลค่า 150 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 4,800 ล้านบาท เพื่ออำนวยความสะดวก เสริมสภาพคล่องในการแลกเปลี่ยนเป็นดอลลาร์สหรัฐ

จากการเปิดเผยของ coindesk ระบุถึงรายงานของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น El Diario de Hoy ในแถลงการของนายิบ บูเคเล่ ประธานาธิบดีของเอลซัลวาดอร์ ซึ่งได้ตกลงที่จะประกาศจัดตั้งกองทุน Bitcoin Trust มูลค่ากว่า 150 ล้านดอลลาร์ เพื่ออำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนระหว่าง Bitcoin (BTC, 0.88%) และดอลลาร์สหรัฐในประเทศ

ขณะที่ María Luisa Hayém Brevé รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจของเอลซัลวาดอร์ กล่าวว่าการจัดสรรขั้นต้นจะใช้เงินประมาณ 150 ล้านดอลลาร์ ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากเจ้าหน้าที่คณะกรรมการการเงินของสภานิติบัญญัติเมื่อวันจันทร์

ทั้งนี้ในเดือนมิถุนายน เอลซัลวาดอร์ผ่านร่างกฎหมายที่ถือว่า bitcoin เป็นเงินที่ถูกกฎหมายควบคู่ไปกับดอลลาร์สหรัฐ ร่างกฎหมายจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 7 กันยายน และกำหนดให้ธุรกิจต้องยอมรับการชำระเงินเป็น bitcoin แม้ว่าประธานาธิบดีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของประเทศจะกล่าวว่าธุรกิจที่ไม่ได้รับการลงโทษ

นอกจากนี้ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอลซัลวาดอร์ ยังได้อนุญาตให้ผู้ค้าแปลง Bitcoin เป็นดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ทันที เพื่อชดเชยความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นของพวกเขาอีกด้วย
#3062


การแข่งขันกรีฑา "พาราลิมปิกเกมส์ 2020" ที่โอลิมปิก สเตเดี้ยม กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 1 กันยายน นักวีลแชร์เรซซิ่งไทยกรุยทางเข้ามาลุ้นเหรียญทอง 2 รายการ จากวีลแชร์เรซซิ่ง 100 เมตรชาย คลาส T 53 ได้แก่ "กร" พงศกร แปยอ และ "เชษฐ์" พิเชษฐ์ กรุงเกตุ ส่วนอีกประเภท วีลแชร์เรซซิ่ง 100 เมตรชาย คลาส T 54 จาก "ฟิว" อธิวัฒน์ แพงเหนือ

เริ่มที่วีลแชร์เรซซิ่ง 100 เมตรชาย คลาส T 53 พงศกร อยู่ในลู่ที่ 6 ส่วน พิเชษฐ์ กรุงเกตุ อยู่ในลู่ที่ 2 ปล่อยตัวออกมา พงศกร เร่งเครื่องเข้าเส้นชัยเป็นคนแรกทำสถิติ 14.20 วินาที เป็นสถิติที่ดีที่สุดของเจ้าตัว และยังทำลายสถิติพาราลิมปิกเกมส์ของตัวเองที่ทำไว้ในรอบคัดเลือกช่วงเช้า 14.30 วินาที พร้อมกับคว้าเหรียญทองที่สองให้กับตัวเอง และเหรียญที่สองของทัพนักกีฬาไทย ด้านเหรียญเงิน เป็นของ เบรนต์ ลากาตอส จากแคนาดา 14.55 วินาที เหรียญทองแดง อับดุลราห์มาน อัลคูราชี่ จากซาอุดิอาระเบีย 14.76 วินาที ส่วนพิเชษฐ์ กรุงเกตุ นักวีลแชร์เรซซิ่งไทยอีกคน จบอันดับ 6 ทำเวลา 15.43 วินาที

สำหรับ "กร" พงศกร แปยอ คว้าเหรียญทองที่ 2 ให้กับตัวเองหลังจากเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม คว้าไปแล้ว 1 ทองจากวีลแชร์เรซซิ่ง 400 เมตรชาย คลาส T 53 พร้อมทำลายสถิติโลก พงศกร เป็นเด็กหนุ่มจากจังหวัดขอนแก่นวัย 24 ปี เคยคว้า 2 เหรียญทองจากริโอ 2016 รายการ 400 เมตร คลาส T 53 และ 800 เมตร คลาส T 53 และยังเคยเป็นแชมป์โลก 400 เมตร คลาส T 53 เมื่อปี 2019 ที่นครดูไบ อีกด้วย พงศกร แปยอ เป็นโปลิโอขาทั้งสองข้างตั้งแต่กำเนิด และเริ่มเล่นกีฬาวีลแชร์เรซซิ่งตั้งแต่อายุได้ 13 ปี โดยมีอาจารย์ สากล ทัพสมบัติ ที่สนิทกันชักชวนให้ไปแข่งขันกีฬานักเรียนนักศึกษาแห่งชาติ ครั้งที่ 30 "นครสุโขทัยเกมส์" เมื่อปี 2009 และประเดิมด้วยการคว้าเหรียญทองแดงวีลแชร์เรซซิ่ง ประเภท 100 เมตร กับ 400 เมตร จุดเริ่มต้นบนเส้นทางทีมชาติของพงศกรนั้นคือ ประวัติ วะโฮรัมย์ และ เรวัฒน์ ต๋านะ 2 นักวีลแชร์ดีกรีทีมชาติไทยไปขอพ่อแม่ของพงศกร เพื่อมาดูแลสนับสนุนในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเล่นกีฬา ประวัติและเรวัฒน์ ได้มอบรถวีลแชร์ที่เคยใช้ และสภาพยังดีอยู่ให้พงศกรเพื่อเข้าแข่งขันรายการต่างๆ จนประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้

ส่วนประเภทวีลแชร์เรซซิ่ง 100 เมตรชาย คลาส T 54 นักวีลแชร์เรซซิ่งไทยทำเวลาผ่านเกณฑ์เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้รายเดียวจาก "ฟิว" อธิวัฒน์ แพงเหนือ ดาวรุ่งวัย 18 ปี ในลู่ที่ 4 ปล่อยตัวออกมา เจ้าฟิว ออกตัวไม่ดีแต่เร่งเครื่องเข้าเส้นชัยเป็นคนแรกทำเวลา 13.76 วินาที คว้าเหรียญทองไปครอง ส่วนเหรียญเงินเป็นของ ลีโอ เป็กก้า ทาห์ติ เจ้าของเหรียญทองพาราลิมปิก รายการนี้ มาแล้ว 4 สมัยติดต่อกัน จากฟินแลนด์ 13.85 วินาที เหรียญทองแดง เป็นของ ฮวน ปาโบล คาร์วานเตส การ์เซีย จากเม็กซิโก 13.87 วินาที

สำหรับ อธิวัฒน์ แพงเหนือ มีชื่อเล่นว่า "ฟิว" เกิดเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2545 เข้าร่วมแข่งขันพาราลิมปิกเกมส์เป็นครั้งแรก และเมื่อวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา อธิวัฒน์ แจ้งเกิดเต็มตัวเมื่อสามารถคว้าเหรียญเงิน วีลแชร์เรซซิ่ง 400 เมตรชาย คลาส T 54 มาครองโดยพ่ายคู่แข่งชาวสหรัฐฯ เพียงเสี้ยววินาที
#3063


ชูลส์ คุนเด โดนใบแดงช่วงต้นครึ่งหลัง 'ตราไก่' ฝรั่งเศส ฟอร์มฝืด เปิดบ้านทำได้แค่เสมอกับ บอสเนียฯ 1-1 ยังรั้งจ่าฝูงของกลุ่ม ดี

ศึกฟุต.โลก 2022 รอบคัดเลือก โซนยุโรป วันพุธที่ 1 กันยายน 2564 เกมที่น่าสนใจ กลุ่ม ดี 'ตราไก่' ฝรั่งเศส เปิดบ้านที่ สต๊าด เดอ ลา เมนัว รับการมาเยือนของ บอสเนีย แอนด์ เฮอร์เซโกวิน่า

ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ เฮดโค้ชฝรั่งเศส วาง คาริน เบนเซมา, อองตวน กรีซมันน์ และคีเลียน เอ็มบัปเป้ เป็น 3 ประสานแนวรุก โดยมี พอล ป็อกบา คุมแดนกลาง ขณะที่ บอสเนียฯ นำทัพมาโดย เอดิน เชโก, มิราเล็ม ปานิช และเซอัด โคลาซินัช

ปรากฎว่าเกมนี้ บอสเนียฯ ได้ประตูออกนำก่อน 1-0 จาก เอดิน เชโก น.36 แต่ฝรั่งเศส ตีเสมอย่างรวดเร็ว 1-1 จาก อองตวน กรีซมันน์ น.40 และจบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์นี้

ครึ่งหลังทัพ 'ตราไก่' ต้องเหลือผู้เล่น 10 นาที หลังจาก ชูลส์ คุนเด โดนใบแดงโดยตรงไล่ออกจากสนาม

สุดท้ายทั้งสองทีมไม่มีใครทำประตูกันได้ หมดเวลาการแข่งขัน 90 นาที ฝรั่งเศส เสมอ บอสเนียฯ 1-1 แบ่งกันไปทีมละ 1 คะแนน

จากผลเสมอดังกล่าวทำให้ ฝรั่งเศส มีเพิ่มเป็น 4 คะแนน ยังรั้งจ่าฝูงของกลุ่ม ดี มี 8 แต้ม จาก 4 นัด ส่วน บอสเนียฯ มี 3 แต้ม จาก 3 นัด รั้งอันดับ 4 ของกลุ่ม

รายชื่อ 11 ตัวจริงของทั้งสองทีม
ฝรั่งเศส : อูโก ญอริส (GK), จูลส์ คุนเด, ราฟาเอล วาราน, เพรสเนล คิมเพมเบ, ลูกา ดีญ, จอร์แดน เวเรตู, พอล ป็อกบา, โธมัส เลอมาร์, อองตวน กรีซมันน์, คาริม เบนเซมา, คีเลียน เอ็มบัปเป้

บอสเนียฯ : อิบราฮิม เซฮิช (GK), เดนนิส ฮัดซิกาดูนิช, อาเนล อาห์เมด์ฮอดซิช, ซินิซา ซานิคานิน, มาเตโอ ซูซิช, อาเมียร์ ฮัดซิอาห์เมโตวิช, มิราเล็ม ปานิช, โกจ์โค คิมิรอต, เซอัด โคลาซินัช, เอร์เมดิน เดมิโรวิช, เอดิน เชโก
#3064

นายจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการบริษัท เจเคเอ็น โกล. มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ JKNแจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท ได้มีมติอนุมัติให้ บริษัทย่อยคือ บริษัท เจเคเอ็น เบสท์ ไลฟ์ จำกัด (JKN Best Huay Life)เข้าลงทุนในบริษัท ไฮ ช็อปปิ้ง จำกัด (HS) ซึ่งประกอบธุรกิจให้บริการผลิตรายการโทรทัศน์ พัฒนาระบบและบริหารจัดการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจบริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ เพื่อการแนะนำและขายสินค้าผ่านสื่อกลางหลากหลายช่องทาง ได้แก่ (1)ช่องนำสัญญานผ่านระบบดาวเทียม (2) ระบบเคเบิ้ล (3) ระบบดิจิตอล (4) ระบบเครือข่ายโทรคมนาคมอื่น ๆ

โดย HS มีบริษัทย่อยที่ถือหุ้นร้อยละ 100 ของหุ้นทั้งหมด คือ บริษัท ไฮ ช็อปปิ้ง ทีวี จำกัด ("HSTV") ซึ่งประกอบธุรกิจหลักในการให้บริการกิจการโทรทัศน์ โดย HSTV เป็นผู้ถือใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ เพื่อให้บริการการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์สำหรับกิจการที่ไม่ใช้คลื่นความถี่ผ่านช่องรายการ HIGH SHOPPING ในการนี้ JKN Best Life (ในฐานะผู้ซื้อ) ได้เข้าลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นที่เกี่ยวข้อง กับ บริษัท อินทัช มีเดีย จำกัด (ในฐานะผู้ขาย) และสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นปัจจุบัน กับ บริษัท ฮุนได โฮม ช็อปปิ้ง เน็ตเวิร์ก คอร์ปอเรชั่น เป็นที่เรียบร้อยแล้ววันที่1 กันยายน 2564


ทั้งนี้ JKN Best Lifeเข้าลงทุนใน HS มีดังต่อไปนี้
1. การเข้าซื้อหุ้นสามัญของ HS จำนวน 27,183,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท ในราคาซื้อขายรวม 100 บาท จากผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท คือ บริษัท อินทัช มีเดีย จำกัด ภายหลังที่ HS ดำเนินการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทจำนวน 33,000,000 บาท จากทุนจดทะเบียนปัจจุบัน 500,000,000 บาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่533,000,000 บาท โดยภายหลังการเข้าลงทุนดังกล่าว JKN Best Life จะถือหุ้น จำนวน51 %ของหุ้นที่ออกและจeหน่ายแล้วทั้งหมดของ HS


2. ภายใน 31 ต.ค. 2564 หลังจากการเข้าทำธุรกรรมการซื้อหุ้นเดิมเสร็จสิ้น HS จะเพิ่มทุนจดทะเบียน จำนวนไม่เกิน 48,730,000 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 4,873,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท โดย JKN Best Life ในฐานะผู้ถือหุ้น จะเข้าจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ HS ตามสัดส่วนการถือหุ้นใน HS จำนวนไม่เกิน 2,490,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท คิดเป็น 51% ของหุ้นทั้งหมดภายหลังจากการเพิ่มทุน โดยมีมูลค่าการจองซื้อหุ้นในครั้งนี้ไม่เกิน 24,900,000 บาท ภายหลังการเข้าทำธุรกรรมการซื้อหุ้นเดิม และธุรกรรมการซื้อหุ้นเพิ่มทุนข้างต้น JKN Best Lifeจะถือหุ้นสามัญใน HS จำนวนทั้งสิ้นไม่เกิน 29,673,000 หุ้น หรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 51 ของหุ้นทั้งหมด รวมเป็นมูลค่าการลงทุนใน HS ทั้งสิ้นไม่เกิน 24,900,100 บาท

สำหรับข้อกำหนดและเงื่อนไขที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมการเข้าลงทุนใน HS ภายใต้สัญญาที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมการเข้าลงทุนใน HS ดังกล่าว มีดังต่อไปนี้


1. ภายใน 30 วันนับแต่วันเข้าท าสัญญาซื้อขายหุ้นที่เกี่ยวข้อง ผู้ถือหุ้นปัจจุบันของ HS ได้แก่ บริษัท อินทัชมีเดีย จำกัด และ บริษัท ฮุนได โฮม ช็อปปิ้ง เน็ตเวิร์ก คอร์ปอเรชั่น จะดำเนินการเพิ่มทุนจดทะเบียนของ HS จ านวน 33,000,000 บาท และจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนตามสัดส่วนการถือหุ้น โดยเพิ่มทุนจากทุนจดทะเบียนเดิม 500,000,000 บาท เป็นทุนจดทะเบียน ใหม่533,000,000 บาท


2. ภายใน 31 ตุลาคม 2564 หลังจากการเข้าท าธุรกรรมการซื้อหุ้นเดิมเสร็จสิ้น และ JKN Best Lifeเข้าเป็นผู้ถือหุ้นใน HS จำนวนร้อยละ 51 ของหุ้นทั้งหมดแล้ว JKN Best Lifeจะดำเนินการเข้าทำธุรกรรมการซื้อหุ้นเพิ่มทุน และให้ HS กู้ยืมเงินเป็นจำนวน 10,000,000 บาท โดยการเข้าทำสัญญากู้ยืมเงินที่เกี่ยวข้อง


นอกจากนี้JKN Best Life ตกลงว่า ในกรณีที่ HS ต้องการเงินเพิ่มเติมในการประกอบกิจการของ HS JKN Best Life ตกลงจะให้ HS กู้เงินเพิ่มเติมในวงเงินไม่เกิน 15,000,000 บาท

HS เป็นบริษัทที่ประกอบกิจการผลิต และให้บริการผลิตรายการโทรทัศน์ พัฒนาระบบและบริหารจัดการที่ เกี่ยวข้องกับธุรกิจบริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ เพื่อการแนะนำและขายสินค้าผ่านสื่อกลางหลากหลายช่องทางได้แก่ (1) ช่องนำสัญญานผ่านระบบดาวเทียม (2) ระบบเคเบิ้ล (3) ระบบดิจิตอล (4) ระบบเครือข่ายโทรคมนาคมอื่น ๆ โดยมี HSTV (บริษัทย่อยที่ HS ถือหุ้นร้อยละ 100 ของหุ้นทั้งหมด) ซึ่งประกอบธุรกิจหลักในกำรประกอบกิจการโทรทัศน์ โดย HSTV เป็นผู้ ถือใบอนุญาตประกอบกิจการกระจำยเสียงหรือโทรทัศน์เพื่อให้บริการการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์สำหรับกิจการที่ไม่ใช้คลื่นความถี่ผ่านช่องรายการ

ซึ่งการเข้าลงทุนในครั้งนี้จะเป็นช่องทางในการร่วมมือทางธุรกิจเพื่อพัฒนาศักยภาพการแข่งขันทางธุรกิจในด้านการโทรทัศน์ใน
ระดับประเทศ และภูมิภาค รวมถึงธุรกิจการขายสินค้ำอุปโภค และบริโภคของบริษัท และ JKN Best Life และสามารถส่งเสริม และเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจของบริษัท และ JKN Best Life ในอนาคต ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการลงทุนของบริษัท

นอกจากนี้KN Best Life เล็งเห็นว่า HS มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจโฮม ช็อปปิ้ง มีระบบคอลล์เซ็นเตอร์เต็มรูปแบบ มีฐานลูกค้าจำนวนมา สามารถสนับสนุนการดำเนินธุรกิจจำหน่ายสินค้าของ JKN Best Life ซึ่งมีแนวทางในการดำเนินธุรกิจจำหน่ายสินค้าในรูปแบบโฮม ช็อปปิ้ง เป็นหลัก ได้เป็นอย่างดีและสามารถดำเนินงาได้ทันทีJKN Best Life จึงให้ความช่วยเหลือทางการเงินในครั้งนี้ต่เพียงผู้เดียว เพื่อเป็นการเพิ่มสภาพคล่องและศักยภาพในการดำเนินงานของ HS ในปัจจุบันและในอนาคตภายหลังจากเข้าลงทุนในการพัฒนาและ ต่อยอดธุรกิจของ HS และ HSTV จึงเป็นการสมเหตุสมผลและไม่เป็นการเสียเปรียบในเชิงธุรกิจ
#3065


ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันจันทร์ (30 ส.ค.)ปรับตัวร่วงลงในกรอบแคบ 55 จุด ขณะที่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทพักฐาน หลังจากพุ่งขึ้นอย่างมากเมื่อวันศุกร์

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ลดลง 55.96 จุด หรือ 0.16% ปิดที่ 35,399.84 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 19.42 จุด หรือ 0.43% ปิดที่ 4,528.79 จุด และดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 136.39 จุด หรือ 0.90% ปิดที่ 15,265.89 จุด

ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 200 จุดเมื่อวันศุกร์(27สค.) ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 และแนสแด็กปิดทำนิวไฮเป็นวันที่ 4 ขานรับถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ยืนยันว่า เฟดจะไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แม้จะมีการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ก่อนสิ้นปีนี้ก็ตาม

หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลงในวันนี้ หลังจากพุ่งขึ้นเมื่อวันศกุร์ ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับภาวะน้ำมันตึงตัวจากการที่บริษัทน้ำมันหลายแห่งพากันยุติการผลิตน้ำมันในอ่าวเม็กซิโก ก่อนที่พายุเฮอริเคนไอดาจะพัดถล่มในช่วงสุดสัปดาห์

การพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในสัปดาห์ที่แล้ว ส่งผลให้ขณะนี้ดัชนีดาวโจนส์ดีดตัวขึ้น 1.5% นับตั้งแต่ต้นเดือนนี้ ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 และแนสแด็กทะยานขึ้น 2.6% และ 3.1% ตามลำดับ

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า หลังจากการประชุมประจำปีของเฟดได้ผ่านพ้นไปแล้ว ขณะนี้นักลงทุนกำลังจับตาตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในวันศุกร์นี้


นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 750,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค. ขณะที่อัตราการว่างงานจะลดลงสู่ระดับ 5.2%

กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานก่อนหน้านี้ว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 943,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 845,000 ตำแหน่ง จากระดับ 938,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย.

ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวลงสู่ระดับ 5.4% ในเดือนก.ค. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.7% หลังจากแตะระดับ 5.9% ในเดือนมิ.ย.
#3066


เมื่อวันที่ 30 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ จากห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล โดยในช่วงหนึ่ง พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ผอ.ศปก.ศบค.) รายงานมาตรการผ่อนคลายกิจการและกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 1 ก.ย. และมาตรการในส่วนร้านเสริมสวย ร้านตัดผม หรือแต่งผม เปิดได้เฉพาะตัดผมเท่านั้น ไม่เกิน 1 ชั่วโมง โดยอาจจะต้องมีการนัดหมายและจองคิวไว้ก่อน

จึงทำให้ น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวทักท้วงและเสนอแนะ ว่า ร้านเสริมสวย 1 ชั่วโมงคงทำไม่พอ สระผมก็ครึ่งชั่วโมงแล้ว จะทำอย่างอื่นได้อย่างไร อยากขอเวลาเพิ่มเป็น 2 ชั่วโมง เพราะถึงอย่างไรก็นัดเวลากับร้านล่วงหน้าอยู่แล้ว

ด้วย นายกฯ กล่าวสอบถามว่า "หมอว่าอย่างไร กระทรวงสาธารณสุขว่าอย่างไร ผมไม่ทราบว่าสุภาพสตรีใช้เวลาทำผมนานเท่าไหร่" ขณะที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข กล่าวตอบว่า ไม่ขัดข้องอะไร เพียงแต่หมอเป็นห่วงว่าจะอยู่นานเกินไป จากนั้น พล.อ.ณัฐพล กล่าวรับไปพิจารณาปรับแก้เป็น 2 ชั่วโมง
#3067
ขายถูกบ้านเดี่ยวลาดพร้าว69,  เนื้อที่ 27 ตรว. ราคา 4.9 ล้านบาท กู้ได้เต็ม ตามเครดิต  ขายถูกกู้ได้สูงบ้านเดี่ยวลาดพร้าว69

 ขายบ้านเดี่ยวลาดพร้าว69กู้ได้เต็ม ขายบ้านเดี่ยว 3 ชั้น  ขายถูกกู้ได้สูงบ้านเดี่ยวลาดพร้าว69  ขายบ้านเดี่ยวซอยนาคนิวาส20   ลาดพร้าว69 เลียบทางด่วนรามอินทรา อาจณรงค์ เนื้อที่ 27 ตรว. ขายถูกกว่าใกล้เคียงเพียง 4.9 ล้านบาท กู้ได้เต็ม ตามเครดิต
ขายถูกบ้านเดี่ยวลาดพร้าว69,  ขายถูกบ้านเดี่ยวลาดพร้าว69 กู้ได้สูง  ขายถูกกว่าใกล้เคียงบ้านเดี่ยวลาดพร้าว69 ขายบ้านเดี่ยว 3 ชั้น 4.9 ล้านบาท พื้นที่ 27 ตรว. 4นอน 2น้ำ ขายบ้านเดี่ยวซอยนาคนิวาส20  ลาดพร้าว 69 แอร์ 4  ตกแต่งใหม่ทั้งหลัง Renovate ใหม่

Sell Detached House 3 FL 4.9 MB 27 Sqwa 4Bed 2 Toliet Ladprow 69 Nakniwat 20 Air 4
ขายบ้านดี่ยวลาดพร้าว เลียบด่วนรามอินทรา

ขายบ้านสวย น่าอยู่ สภาพดี
เข้าออกได้หลายทาง หาของกินง่าย
เดินทางไปไหนมาไหนสะดวก นัดดูบ้านได้เลย
ขายถูกมากเพียง 4.9 ล้านบาท
ขายราคาคุ้มมาก ต่อรองได้

ตกแต่งใหม่ทั้งหลัง
-แอร์ 4 เครื่อง
-ห้องโถงกว้าง เล่นระดับ มีส่วนห้องนั่งเล่น
-ห้องครัวใหญ่ ห้องน้ำสวยพร้อมอ่างอาบน้ำ
-ระเบียงกว้าง ที่จอดรถ 2 คัน สำหรับอยู่อาศัย หรือ
-จดเป็นบริษัท
-เข้าซอยไม่ลึก

ทำเลที่ตั้ง บ้านเดี่ยวแขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร 10310
ขายบ้านเดี่ยวลาดพร้าว69

สนใจ บ้านดี่ยวลาดพร้าว69 สอบถามได้
ขายถูกกู้ได้สูง เพียง 4.9 ล้านบาท
**ราคานี้รวมภาษี,ค่าธรรมเนียมการโอนแล้ว **

ติดต่อชื่อ ศุภแมน จิรธนาโสภณ โทร.096-7915589


รายละเอียดเพิ่มเติมที่
https://postasungha.com/?p=4074


คำค้น
ขายบ้านเดี่ยวลาดพร้าว69, ขายถูกกู้ได้สูงบ้านเดี่ยวลาดพร้าว69, ขายบ้านเดี่ยวลาดพร้าว69กู้ได้เต็ม,
ขายถูกบ้านเดี่ยวซอยนาคนิวาส20,   ขายบ้านเดี่ย ลาดพร้าว69เลียบทางด่วนรามอินทรา,ขายถูกกว่าใกล้เคียงบ้านเดี่ยวลาดพร้าว69
#3068


นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ โบรกเกอร์สำนักต่างๆ คงเตรียมประเมินทิศทางตลาดหุ้นกันใหม่ เพราะก่อนหน้ามองว่า ดัชนีหุ้นจะไม่สามารถตีฝ่าแนวต้าน 1,600 จุดได้ แต่หุ้นทะลุ 1,600 จุดขึ้นมาแล้ว และยังเดินหน้า โดยมีแนวโน้มสร้างจุดสูงใหม่ต่อไป

เป้าหมายดัชนีหุ้นปลายปี โบรกเกอร์คาดหมายว่าจะอยู่ที่ระดับ 1,600 จุด แต่วันนี้ชนเป้าหมายปลายปีแล้ว เพราะแรงหนุนจากนักลงทุนต่างชาติ สมทบด้วยกองทุนในประเทศ ซึ่งกลับมาไล่ช้อนซื้อหุ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา

การจัดงานไทยแลนด์โฟกัสของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประจำปี 2564 ระหว่างวันที่ 25-27 สิงหาคมที่ผ่านมา เป็นจุดที่กระตุ้นให้นักลงทุนต่างชาติกลับมาลุยตลาดหุ้นไทย

สัปดาห์ที่ผ่านมา ต่างชาติซื้อหุ้นสุทธิ 4 วันทำการ โดยวันจันทร์ที่ 23 สิงหาคมซื้อสุทธิ 2,781.56 ล้านบาท ผลักดันดัชนีหุ้นพุ่งขึ้น 28.89 จุด วันอังคารที่ 24 สิงหาคม ซื้อสุทธิอีก 1,358.19 ล้านบาท ดึงดัชนีขยับขึ้นอีก 4.91 จุด วันพุธที่ 25 สิงหาคม ซื้อสุทธิอีก 3,606.64 ล้านบาท ลากดัชนีขึ้น 13.51 จุด

และแม้วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคมจะขายสุทธิ 343.54 ล้านบาท แต่ดัชนียังปรับตัวขึ้น 1.42 จุด ก่อนวันศุกร์ที่ 27 สิงหาคมจะโหมซื้อส่งท้ายงานไทยแลนด์โฟกัสอีก 6,002.23 ล้านบาท ทำให้ดัชนีทะยานขึ้น 9.29 จุด

รวม 5 วันทำการต่างชาติซื้อหุ้นสุทธิทั้งสิ้น 13,405.08 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นรวม 58.02 จุด โดยปิดเมื่อวันศุกร์ที่ระดับ 1611.20 จุด

สำหรับกองทุน ซื้อหุ้นรวม 5 วันทำการ 8,060.16 ล้านบาท

จากสถิติการจัดงานไทยแลนด์โฟกัส ในระหว่างการจัดงานหุ้นมักจะขึ้น และปรับตัวลงหลังงานไทยแลนด์โฟกัสปิดฉากลง ซึ่งต้องรอดูว่า สัปดาห์นี้หุ้นจะลงหรือไม่

แต่สำหรับนักลงทุนเริ่มมีความฮึกเหิม และมองตลาดหุ้นในแง่ดี โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ลดลงต่ำกว่าระดับ 20,000 คนติดต่อกัน นอกจากนั้น รัฐบาลยังผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้หลายธุรกิจเปิดให้บริการได้

หุ้นกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากมาตรการผ่อนคลายปรับตัวขึ้นอย่างคึกคัก ส่วนหุ้นขนาดใหญ่มีแรงซื้อจากต่างชาติและกองทุนเข้ามาหนุน ทำให้ราคาเดินหน้าต่อ และขับเคลื่อนดัชนีผ่านพ้น 1,600 จุดอย่างง่ายดาย

แนวโน้มตลาดหุ้นเปลี่ยนเป็นขาขึ้นแล้วหรือไม่ อาจเร็วเกินไปที่จะตอบ เพราะสถานการณ์โควิด-19 ยังไม่นิ่ง วัคซีนล็อตใหญ่ยังไม่มา และไม่มั่นใจว่าหลังปิดฉากงานไทยแลนด์โฟกัสแล้ว ต่างชาติยังจะซื้อต่อหรือไม่

เพราะหากต่างชาติหยุดซื้อและกลับมาขาย ดัชนี 1,600 จุดอาจยืนไม่อยู่

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนในประเทศมีความมั่นใจในแนวโน้มตลาดหุ้นมากขึ้น มีความคาดหวังว่า วิกฤตโควิด-19 จะคลี่คลาย และไตรมาสที่ 4 จะเป็นช่วงเวลาดีของตลาดหุ้น

เป้าดัชนีที่มองกันต่อไปคือ 1,650 จุด แม้อาจจะไกลสุดเอื้อม แต่ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ เช่นเดียวกับการฝ่าแนวต้าน 1,600 จุด ถ้าจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ลดลงอย่างต่อเนื่อง และต่างชาติไม่ตลบหลังเทขายหุ้น

แต่ไม่ว่าหุ้นจะเดินหน้าต่อสู่เป้าหมาย 1,650 จุด หรือพักปรับฐานหลุด 1,600 จุดลงมาอีกครั้ง นักลงทุนรายย่อยไม่มีอะไรต้องกังวล เพราะสัปดาห์ที่ผ่านมาเทขายหุ้นทำกำไรกว่า 2 หมื่นล้านบาท

ถ้าหุ้นปรับฐานลงคงทยอยช้อนซื้อคืน แต่ถ้าหุ้นทะยานขึ้นคงขายทำกำไรต่อไป

หุ้นรอบนี้ขึ้นมาเร็วจริงๆ เร็วจนไม่รู้ว่าควรจะขายทำกำไรออกไปหรือถือไว้ก่อน
#3069


รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิสภาการศึกษาแห่งชาติ และ อดีตรองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการทางวิชาการ ม.รังสิต เปิดเผยว่า การคลายล็อกดาวน์ทำให้เศรษฐกิจกระเตื้องขึ้นในช่วง 4เดือนสุดท้ายของปีนี้ แต่ไม่ได้ทำให้สถานการณ์การว่างงานของนักศึกษาจบใหม่ดีขึ้น จึงขอเสนอให้มีการลดหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ลง 10-30% สำหรับนักศึกษาจบใหม่ในปี พ.ศ. 2563-2565ทั้งนี้ จำนวนผู้ว่างงานโดยเฉพาะบรรดาแรงงานนักศึกษาจบใหม่ที่เข้าสู่ตลาดแรงงานในช่วงวิกฤตการณ์โควิดสะสมอยู่ที่ 3-3.5 แสนคนเป็นอย่างน้อย ขณะที่ผู้ว่างงานและว่างงานแฝงโดยรวมไม่ต่ำกว่า 1.2 ล้านคน ส่วนอัตราการว่างงานโดยรวมดีขึ้นเล็กน้อยในไตรมาสสองเมื่อเทียบกับไตมาสสองปีที่แล้ว

อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้ว่างงานบวกว่างงานแฝงและทำงานต่ำระดับสะสมยังเพิ่มต่อเนื่อง แต่เราต้องเข้าใจว่าคำนิยามของการว่างงาน คือ ทำงานน้อยกว่าสัปดาห์ละหนึ่งชั่วโมง และมีคนจำนวนมากทำงานไม่ถึง 10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งหากพิจารณาตามคำนิยามคือไม่ถือเป็นคนว่างงานแต่เป็นผู้ว่างงานแฝงเท่านั้น แต่สภาวะความเป็นจริงแห่งการดำรงชีพ คนเหล่านี้เป็นผู้มีรายได้ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพและดูแลครอบครัวแล้วจึงไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมหนี้ครัวเรือนขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 90.5% ต่อจีดีพี และหนี้เหล่านี้ยังไม่นับรวมหนี้นอกระบบสถาบันการเงิน

นอกจากนี้สถานการณ์การว่างงานยังทำให้กองทุนประกันสังคมมีเงินไหลออกมากกว่าปกติจากกองทุนประกันการว่างงาน มีการใช้ประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานด้วยเหตุสุดวิสัยมากกว่าสถานการณ์ปกติมาก ความมั่นคงทางการเงินของกองทุนประกันสังคมในระยะยาวจึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่รัฐบาลต้องเอาใจใส่

อดีตกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิสภาการศึกษา ยังกล่าวอีกว่า การออกจากระบบการศึกษาของนักเรียนและนักศึกษาจำนวนมากสร้างความอ่อนแอทางเศรษฐกิจ สังคมไทยในระยะยาว ความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจจะถดถอยลงอย่างชัดเจนในระยะต่อไป นอกจากนี้ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมจะเพิ่มสูงขึ้น การจัดอันดับความสามารถทางการแข่งขันโดย IMD ปี 2564 แสดงให้เห็นว่า การศึกษาไม่มีคุณภาพและการลงทุนทางด้านทรัพยากรมนุษย์ต่ำเป็นปัจจัยฉุดรั้งประเทศชาติมากที่สุดในทุกด้าน การขาดระบบคุณธรรม (Merit System) ในระบบราชการและระบบการเมืองทำให้กิจการภาครัฐ เต็มไปด้วยการเล่นพรรคเล่นพวก การฉ้อฉล การซื้อขายตำแหน่ง คนมีความรู้ความสามารถไม่สามารถเข้าไปดำรงตำแหน่งสำคัญได้ทำให้ประเทศอ่อนลงเรื่อยๆในระยะยาว

ผู้เรียนที่มีศักยภาพและความสามารถในการเรียน แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ขาดแคลนรายได้อันเป็นผลจากการล็อกดาวน์  รัฐต้องจัด "ทุนการศึกษา" ช่วยเหลือให้ได้ 100% โดยต้องไม่ให้ "เด็กคนไหน" ต้องตกออกจากปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจโควิด ช่วยเหลือผ่านกองทุนเงินให้เปล่า ไม่ต้องกู้ยืม ทุนการศึกษาเหล่านี้ต้องครอบคลุมค่าเล่าเรียน ค่าธรรมเนียมการเรียน ค่าบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกรวมทั้งค่าใช้จ่ายในการครองชีพระหว่างเรียน

การเสียชีวิตของคนจำนวนไม่น้อยจากติดเชื้อไวรัสโควิดทำให้มีเด็กกำพร้าเพิ่มขึ้นจำนวนมาก จึงอยากเสนอให้จัดสรรงบเพิ่มเติมไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าทั้งของหน่วยราชการ มูลนิธิและเอกชนทั้งหลายเพิ่มเติม เนื่องจากมีเด็กกำพร้าจำนวนไม่น้อยไม่มีญาติเลี้ยงดูหลังบิดามารดาเสียชีวิตกะทันหัน ในหลายกรณีเป็นการเสียชีวิตทั้งครอบครัว นอกจากนี้การช่วยเหลือควรครอบคลุมไปถึงแรงงานต่างชาติที่อยู่ในประเทศไทยด้วย

ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการล็อกดาวน์ การปิดสถานศึกษา การแพร่ระบาดของโควิดในหมู่บุคลากรทางการศึกษา รัฐมีหน้าที่แก้ไขปัญหาและรัฐบาลต้องจัดการให้พลเมืองทุกคนให้รับการศึกษาที่มีคุณภาพและมาตรฐาน สามารถพัฒนาขีดความสามารถที่มีอยู่ในตัวตนของแต่ละบุคคลให้เต็มศักยภาพ จากการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคม เพื่อยกฐานะและชนชั้นในสังคมให้ทุกๆครอบครัวมีโอกาสที่ดีขึ้นผ่านการศึกษา อันนำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้ซึ่งเป็นปัญหารุนแรงมากขึ้นในช่วงวิกฤตการณ์โควิด

โดยอยากเสนอให้เปลี่ยนวิธีการจัดการงบประมาณระบบการศึกษาโดยเฉพาะงบประมาณกระทรวงศึกษาธิการ จาก Supply-side Financing เป็น Demand-side Financing ด้วยการจัดสรรเงินทุนโดยตรงไปยังครอบครัวรายได้น้อยหรือครอบครัวยากจนเพื่อให้นักเรียนและนักศึกษาได้มีเงินทุนในการศึกษาต่อไปได้ (Demand-side Financing)  จากการที่ครอบครัวได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงจากวิกฤตการณ์เศรษฐกิจโควิด โดยลดการจัดสรรโดยตรงไปที่โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยให้น้อยลง (Supply-side Financing) จึงไม่จำเป็นต้องจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมในเบื้องแรก หากจำเป็นต้องจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อแก้ปัญหาการตกออกจากระบบการศึกษาจากปัญหาทางเศรษฐกิจให้จัดสรรผ่านกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาหรือจัดสรรผ่านกลไกอื่นๆที่ไม่ใช่หน่วยราชการแบบเดิมที่ไม่มีประสิทธิภาพและยังมีความไม่โปร่งใสในการใช้จ่ายเงินงบประมาณ 

รวมทั้ง ควรให้สถาบันการศึกษาในระดับอุดมศึกษาของรัฐสามารถเรียกเก็บค่าเล่าเรียนเพิ่มเติม ค่าธรรมเนียมการศึกษาเพิ่มเติม ค่าบริการหรือค่าอำนวยสะดวกเพิ่มเติมได้จากผู้เรียนในกรณีที่สามารถจัดบริการทางการศึกษาด้วยคุณภาพที่สูงกว่ามาตรฐานขั้นต่ำที่รัฐกำหนด เพื่อให้ผู้เรียนและผู้ปกครองที่มีฐานะทางเศรษฐกิจได้มีส่วนร่วมระดมทุนเพื่อการศึกษา ตามหลักประโยชน์ที่ได้รับ (Benefit Principle) และทำให้รัฐสามารถนำเงินเหลือไปอุดหนุนการศึกษาภาคบังคับ การศึกษาระดับมัธยมและหลักสูตรอาชีวศึกษาและวิชาชีพเพิ่มขึ้น 

นอกจากนี้รัฐควรจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อนำไปใช้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางด้านเทคโนโลยีทางการศึกษาและอุปกรณ์การศึกษาออนไลน์สำหรับนักเรียนและโรงเรียนต่างๆให้เพียงพอ ทั่วถึงและมีคุณภาพ Education Technology เหล่านี้จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาทักษะกำลังคนในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลและในช่วงการแพร่ระบาดของโควิดซึ่งอาจจะดำรงอยู่อีก 1-2 ปี การเข้าถึงเทคโนโลยีทางการศึกษาพร้อมกับเนื้อหาสาระที่เสริมสร้างภูมิปัญญาและความรู้จะนำมาสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิตและลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาอันเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมไทยดีขึ้น และโอกาสและความเสมอภาคทางการศึกษาที่รัฐจัดให้นั้น รัฐต้องประกันให้ได้มาตรฐานขั้นต่ำ และเป็นความเสมอภาคในแนวนอน (Horizontal Equity) สำหรับพลเมืองทุกคน
#3070


การระบาดของโรคโควิด-19 กระทบภาคธุรกิจทำให้ต้องปรับตัวแบบนาทีต่อนาที นับตั้งแต่พบติดเชื้อในไทยเมื่อเดือน ม.ค.2563 และระบาดต่อเนื่องมากกว่า 1 ปี ครึ่ง ซึ่งสถานการณ์ระบาดยังมีความไม่แน่นอนสูงทำให้ภาคธุรกิจต้องหาทางอยู่ร่วมโควิด-19

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ กล่าวว่า การระบาดของโรคโควิด-19 ที่กระจายไปทั่วโลกทำให้ซีพีเอฟวางแผนบริหารจัดการครอบคลุมตลาดใน 47 ประเทศ โดย นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) กำหนดนโยบายการบริหารในช่วงการระบาดจะต้องทำให้พนักงานในฐานการผลิตทั่วโลกรู้สึกมีความปลอดภัยในการทำงานที่โรงงานมากกว่าการทำงานที่บ้าน

สำหรับการดูแลด้านสาธารณสุขจะมีการประสานงานกับภาครัฐของแต่ละประเทศและดำเนินการตามที่ทางการกำหนดในการดูแลพนักงานของซีพีเอฟ รวมทั้งดูแลคนไทยที่อยู่ในประเทศนั้นด้วย

ในขณะที่การดูแลด้านสาธารณสุขของฐานการผลิตในประเทศไทยได้ดำเนินการฉีดวัคซีนให้กับพนักงานในขณะนี้ได้ 90% ของจำนวนพนักงานทั้งหมด และจะเร่งฉีดให้ครบ 100% โดยมีการสั่งซื้อวัคซีนจากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์มา 35,000 โดส และกำลังจะซื้อเพิ่มอีก 9,000 โดส เพื่อฉีดให้พนักงาน และหลังจากนี้จะเริ่มฉีดเข็มที่ 2 และเข็มที่ 3 ซึ่งได้ดำเนินการสั่งซื้อวัคซีนจากหลายโรงพยาบาล และคาดว่าดำเนินการได้ในเดือน พ.ย.นี้

ส่วนการจัดการภายในโรงงานได้นำมาตรการบับเบิลแอนด์ซีล มาใช้หลายแห่ง เช่น นครราชสีมา สระบุรี พร้อมกับสร้างโรงพยาบาลสนามเพื่อดูแลผู้ติดเชื้อทั้งระดับสีเขียว สีเหลืองและสีแดง และวางระบบเชื่อมต่อกับสถานพยาบาลเมื่อมีผู้ป่วยระดับสีแดง


ทั้งนี้ โรงงานของซีพีเอฟในประเทศไทยมีประมาณ 80 แห่ง จะมีระดับความเสี่ยงแตกต่างกัน โดยโรงงานที่มีพนักงานมากจะอยู่ในกลุ่มโรงงานชำแหละไก่ สุกรและกุ้ง ที่มีอยู่ 6-7 แห่ง จะมีมาตรารบับเบิลแอนด์ซีลทุกแห่ง โดยจัดแพ็คเก็จเพื่อจูงใจพนักงานเพื่ออยู่ในระบบบับเบิ้ลแอนด์ซีล คือ เพิ่มรายได้ให้เดือนละ 2,000 บาท รวมทั้งมีการสร้างแรงจูงใจให้ผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วเข้ามาทำงานกับซีพีเอฟ

นอกจากนี้ ในการบริหารธุรกิจในแต่ละประเทศเพื่อลดผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 จะใช้จุดแข็งของซีพีเอฟที่มีธุรกิจครอบคลุมใน 47 ประเทศ ทำให้สามารถกระจายความเสี่ยงได้ โดยธุรกิจในประเทศที่มีการระบาดมาจะถูกชดเชยด้วยการเร่งธุรกิจในประเทศที่มีการระบาดน้องลง ซึ่งจะเห็นว่าสถานการณ์การระบาดในแต่ละประเทศแตกต่างกัน ดังนี้


สถานการณ์เริ่มคลี่คลายแล้วแต่อาจมีความเสี่ยงการระบาดในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้

ประเทศจีน ที่มีธุรกิจอาหารสัตว์ สุกร สัตว์ปีก สัตว์น้ำและธุรกิจอาหาร มีสถานการณ์ที่ดีขึ้น

ประเทศรัสเซีย ที่มีธุรกิจธุรกิจอาหารสัตว์ สุกร สัตว์ปีก และธุรกิจอาหารก็มีสถานการณ์ที่ดีขึ้นเช่นกัน

สถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้นทำให้ซีพีเอฟต้องปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจโดยมีการบริหารธุรกิจในช่วงที่มีการระบาดต้องมีการกระจายความเสี่ยงในแต่ละประเทศ ในขณะที่การขนส่งและกระจายสินค้าภายในประเทศมีการปรับเปลี่ยนจากเดิมที่ส่งสินค้าจากโรงงานเข้าศูนย์กระจายสินค้าเพื่อส่งต่อไปปลายทาง เช่น เซเว่นอีเลฟเว่น ห้าง แต่ในปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนจากการขนส่งสินค้าจากโรงงานไปที่ปลายเลย เพราะศูนย์กระจายสินค้ามีปัญหาขาดบุคลากรหรือมีการติดเชื้อ ซึ่งอาจทำให้มีปัญหาสินค้าขาดแคลนในระยะสั้น แต่หลังจากนี้สถานการณ์จะกลับเข้าสู่ปกติ
#3071


นายเชษฐวัฒก์ ทรงประเสริฐ นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ความรุนแรงของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ส่งผลให้ตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบที่เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 กลับมาชะลอตัวลง โดยเฉพาะ "ทาวน์เฮาส์" ซึ่งเป็นกลุ่มตลาดระดับกลางถึงล่างที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจสูง ผู้ประกอบการต้องทำโปรโมชั่นต่อเนื่อง เพื่อดึงดูดเรียลดีมานด์ แม้มีปัจจัยเสริมจากมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง แต่ยังถูก "จำกัด" เฉพาะที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท

"ตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบยังมีทิศทางชะลอตัวจากครึ่งแรกของปีที่มีเริ่มสัญญาณการฟื้นตัว คาดว่าหน่วยขายได้ที่อยู่อาศัยแนวราบในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ปี 2564 จะอยู่ที่ 35,000 หน่วย ติดลบ 1-3% จากปีก่อน"

ด้านอุปทานผู้ประกอบการยังคงระมัดระวังหรือชะลอการเปิดโครงการใหม่ในช่วงที่เหลือของปี 2564 โดยเฉพาะทาวน์เฮาส์ ซึ่งหน่วยเหลือขายสะสมมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่การเปิดโครงการบ้านเดี่ยวมีแนวโน้มเติบโตช้าลงจากข้อจำกัดด้านที่ดิน

ภาพรวมหน่วยเปิดตัวใหม่ที่อยู่อาศัยแนวราบปีนี้ ปรับตัวลดลง หรือ ติดลบ 36-39% อยู่ที่ 29,000-30,000 หน่วย ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของหน่วยเปิดตัวใหม่ที่อยู่อาศัยแนวราบในช่วงปี 2560-2562 ก่อนเกิดโควิด ซึ่งอยู่ที่ 50,000 หน่วยต่อปี ดังนั้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดเริ่มคลี่คลายลง คาดว่าตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบยังมีโอกาสค่อยฟื้นตัวดีขึ้น

ทั้งนี้ รูปแบบการดำเนินชีวิตวิถีใหม่เป็นปัจจัยบวกที่ส่งผลต่อที่อยู่อาศัยแนวราบตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะบ้านแฝดได้รับความนิยมมากขึ้น จากกลุ่มกำลังซื้อระดับปานกลาง-บน เพราะคุ้มค่าทั้งด้านราคา ฟังก์ชัน พื้นที่ใช้สอย และการขยายเส้นทางรถไฟฟ้าจะส่งผลให้โครงการที่อยู่อาศัยแนวราบบริเวณแนวเส้นทางและปลายสายรถไฟฟ้ามีความน่าสนใจ

อย่างไรก็ดี ที่อยู่อาศัยแนวราบยังเผชิญความท้าทายสำคัญหลายด้านจากปัจจัยลบที่เกิดจากอุปทานส่วนเกินโดยเฉพาะทาวน์เฮาส์ แม้มีการเปิดโครงการใหม่ลดลง แต่กำลังซื้อที่ชะลอตัว ทำให้การดูดซับทาวน์เฮาส์ออกจากตลาดใช้เวลานาน รวมถึงการเปิดโครงการบริเวณแนวเส้นทางและปลายสายรถไฟฟ้าสายใหม่ ส่งผลให้การแข่งขันรุนแรงยิ่งขึ้นขณะที่การปรับขึ้นของราคายังเป็นไปอย่างจำกัด ต้นทุนพัฒนาโครงการปรับตัวสูงขึ้น จากราคาที่ดิน วัสดุก่อสร้าง โดยเฉพาะราคาเหล็กที่เพิ่มสูงขึ้นมาก

โดยผู้ประกอบการควรปรับกลยุทธ์ด้วยการพัฒนาโครงการที่มีขนาดเล็กลง มีมูลค่าไม่สูงมาก ลดจำนวนหน่วยขายต่อโครงการ ทยอยเปิดโครงการทีละเฟส เน้นความคุ้มค่า และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป มีการทำงานที่บ้านมากขึ้น และให้ความสำคัญเรื่องสุขอนามัย นอกจากนี้มุ่งขยายสู่ธุรกิจอื่นที่สร้างรายได้ประจำ (recurring income) มากขึ้น เช่น ให้เช่าโรงแรม นิคมอุตสาหกรรม โรงพยาบาล บริการด้านวิศวกรรม ผลิตกระแสไฟฟ้า ขนส่งและคลังสินค้า
#3072


ไนกี้ หนึ่งในผู้สนับสนุนหลักด้านอุปกรณ์กีฬา ของสโมสรฟุต.ชลบุรี (Chonburi Football Club หรือ CFC) เปิดตัวชุดแข่งเหย้า ประจำฤดูกาล 2021 อย่างเป็นทางการ โดยในครั้งนี้ได้จัดกิจกรรมในรูปแบบออนไลน์ ซึ่งแฟนๆ ฉลามชล สามารถรับชมงานเปิดตัวชุดแข่งของสโมสรฯ แบบสดๆ และย้อนหลังได้ที่ เฟซบุ๊กแฟนเพจ Chonburi Football Club

สำหรับชุดแข่งขันเหย้าของสโมสร "ฉลามชล" ประจำฤดูกาล ใหม่ล่าสุดนี้มาในคอนเซ็ปต์ "คลื่นเขี้ยวฉลาม" ที่สื่อถึงเกลียวคลื่นแห่งศรัทธา ของขุนพลฟ้า-น้ำเงิน ที่พร้อมคว้าชัยในทุกแมทช์แข่งขัน กลับไปให้แฟนๆ สโมสรฟุต.ชลบุรีได้เฮกันถ้วนหน้า ทั้งนี้ ในฤดูกาลล่าสุดสโมสรฟุต.ชลบุรียังคงผลักดันและสนับสนุนนักเตะเยาวชนหลายๆ รายที่ทำผลงานดีอย่างต่อเนื่อง โดยได้โอกาสในการลงสนามสู้ศึกไทยลีก ซึ่งสโมสรฯ ให้ความสำคัญและมุ่งมั่นเป็นอย่างมากในการปรับแต่งทีมให้คงความสด เต็มไปด้วยพละกำลัง ที่พร้อมห้ำหั่นของนักเตะเยาวชน โดยชุดแข่งขันในบ้าน (เหย้า) ได้รับการออกแบบให้เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณของเหล่าฉลามนักเตะในสีน้ำเงินอันเป็นเอกลักษณ์ จากรอยเขี้ยวฉลามที่กัดไม่ยั้งในฤดูกาล 2020 สร้างแรงกระเพื่อมในเกลียวคลื่น จนกลายเป็นลวดลายคลื่นน้ำจากเขี้ยวฉลามในฤดูกาล 2021 นี้ โดยลวดลายของคลื่นน้ำนี้ได้วางในตำแหน่งบริเวณแถบคาดหน้าอกที่มีลักษณะเป็นตัว V ที่ล้อไปกับรูปทรงของคอเสื้อ และเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะ (Victory) สำหรับลายเฉียงบนเสื้อนั้นได้มีการเลือกใช้วัสดุพิเศษ Hologram UV ให้เล่นกับแสง เปรียบเสมือนแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์บนผืนนน้ำที่เปล่งประกายระยิบระยับ สื่อถึงความหวังในวันข้างหน้าที่สโมสรฯ เชื่อมั่นในแนวทางการสร้างอคาเดมี่ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา



ในส่วนของเทคโนโลยีและนวัตกรรมล้ำหน้าในชุดแข่งขันใหม่ประจำฤดูกาลนี้ของทีมฉลามชล อัดแน่นไปด้วยสุดยอดนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ล้ำหน้า และเปี่ยมด้วยคุณภาพ เพื่อผลักดันสมรรถนะของผู้เล่นทีมชลบุรีได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ได้แก่ เนื้อผ้าโพลีเอสเตอร์ 100% ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Dri-Fit ช่วยระบายเหงื่อให้ผู้เล่นรู้สึกแห้ง และสบายตัวตลอด 90 นาทีในสนาม และทรงเสื้อเข้ารูปแบบ Performance Fit ที่ให้ความรู้สึกกระฉับกระเฉง รวดเร็ว และว่องไว โดยมีแขนเสื้อไร้รอยตะเข็บบริเวณหัวไหล่เพื่อช่วยให้เคลื่อนไหว ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งนี้ยังมีรายละเอียดของบริเวณตะเข็บด้านนอกคอเสื้อ ที่ได้รับการออกแบบมาให้ถูกปิดทับไว้ เพื่อลดการเสียดสีระหว่างผิวหนังกับรอยตะเข็บอีกด้วย รวมถึงดีไซน์ของรอยผ่าแบบไร้กระดุมที่คอเสื้อ ให้ความรู้สึกสไตล์วินเทจได้อย่างมีเอกลักษณ์



ในขณะที่ชุดแข่งเยือน (away) ที่กำลังจะเปิดตัวเร็วๆ นี้ทางสโมสรเปิดเผยว่าจะมีความเท่ และดุดันไม่แพ้กับชุดเหย้าอย่างแน่นอน ให้แฟนๆ ฉลามชลรอติดตามกันได้เลย

ปกป้อง ตวงทอง ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ไนกี้ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "ไนกี้ รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เรายังคงได้รับความไว้วางใจอย่างต่อเนื่อง ก้าวเข้าสู่ปีที่ 11 จากสโมสรชลบุรี การได้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนอุปกรณ์กีฬาเพื่อร่วมขับเคลื่อนสุดยอดศักยภาพของนักเตะทุกคนในทุกสนามที่กำลังจะมาถึงให้สามารถต่อสู้กับคู่แข่งได้อย่างเต็มศักยภาพเป็นสิ่งที่ไนกี้ภาคภูมิใจ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ในปีนี้บรรดานักเตะรุ่นใหม่ๆ จะสามารถนำพาสโมสรฯ และแฟนๆ ไปถึงฝั่งฝัน และคว้าชัยเพื่อร่วมเฉลิมฉลองไปด้วยกันอย่างยิ่งใหญ่ในเร็วๆ นี้"

เสื้อแข่งขันเหย้าของสโมสรฟุต.ชลบุรี ประจำฤดูกาล 2021 วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในราคา 1,200 บาท ตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป ที่ร้านชลบุรี เอฟซี สโตร์ และในช่องทางออนไลน์ สโมสรชลบุรี เอฟซีที่ เฟซบุ๊กแฟนเพจ Chonburi FC Online Store, ร้านค้าในแอปฯ Shopee Chonburi Football Club และเฟซบุ๊กแฟนเพจ VIP by Marut
#3073


ช่วงบ่ายของวันที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมา ที่ห้องประชุมชั้น 5 ห้องว่าการแขวงผ้งสาลี ได้มีพิธีเซ็นบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างแผนกแผนการและการลงทุน ในฐานะตัวแทนแขวงผ้งสาลี กับบริษัทยู่เจิง ลงทุน จากจีน ผู้ลงนามในสัญญา ได้แก่ ทองสุก เปาสุลี หัวหน้าแผนกแผนการและการลงทุนแขวง สมหวัง สุมวิไล เจ้าเมืองยอดอู และเซินปิ่ง ประธานบริษัทยู่เจิง ลงทุน โดยมีคำผอย วันนะสาน เจ้าแขวงผ้งสาลี เป็นสักขีพยาน

เนื้อหาของ MOU อนุญาตให้บริษัทยู่เจิง ลงทุน สำรวจพื้นที่ 250 ตารางกิโลเมตร ในเมืองยอดอู เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยม ลาว จีน เวียดนาม รวมถึงจัดทำแผนโดยละเอียดของโครงการ และทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคม มานำเสนอต่อแขวง

ยังไม่มีรายละเอียดของเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยม ลาว จีน เวียดนาม ถูกเปิดเผยออกมา แต่ในเบื้องต้น เนื้อที่สำหรับสร้างเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษฯ แบ่งเป็นเขตอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรม 150 ตารางกิโลเมตร เขตบริการและท่องเที่ยวอีก 100 ตารางกิโลเมตร รวมถึงสร้างถนนจากบ้านใหญ่อูเหนือ ในเมืองยอดอู ไปถึงสามเหลี่ยมจุดบรรจบชายแดน 3 ประเทศ ลาว จีน เวียดนาม

เจ้าหน้าที่ในแขวงผ้งสาลีผู้หนึ่ง บอกกับสถานีวิทยุเอเซียเสรี ภาคภาษาลาว ว่า แขวงผ้งสาลีได้วางแผนสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งนี้ไว้นานแล้ว แต่เพิ่งได้เซ็น MOU ให้บริษัทยู่เจิง ลงทุน เข้ามาสำรวจศึกษาความเป็นไปได้

ข้อมูลที่ถูกเปิดเผยในพิธีเซ็น MOU ไม่ได้ให้รายละเอียดของบริษัทยู่เจิง ลงทุน เพียงระบุว่า MOU ฉบับนี้มีอายุ 18 เดือน กำหนดให้บริษัทต้องเริ่มลงสำรวจพื้นที่ภายใน 30 วัน นับจากวันลงนาม และบริษัทยู่เจิง ลงทุน ได้วางเงินค้ำประกันไว้ที่แขวง 80 ล้านกีบ หรือประมาณ 2.4 แสนบาท ตลอดอายุ MOU

"ยอดอู"เป็นเมืองที่อยู่เหนือสุดของลาว มีพื้นที่ติดกับเขตปกครองตนเองชนชาติฮาหนี และอี๋ เจียงเฉิง จังหวัดผูเอ่อร์ มณฑลยูนนาน ของจีน และอำเภอเหมืองแญ้ จังหวัดเดี่ยนเบียน เวียดนาม เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำอู ความยาว 448 กิโลเมตร ที่ไหลไปลงแม่น้ำโขงที่แขวงหลวงพระบาง โดยตลอดลำน้ำสายนี้ มีเขื่อนผลิตไฟฟ้าน้ำอู ที่เป็นการลงทุนของบริษัท Sinohydro Corporation จากจีน ตั้งอยู่ถึง 7 แห่ง ลดหลั่นลงไปตามลำดับความสูงของพื้นที่


ปัจจุบัน ลาวมีเขตเศรษฐกิจพิเศษซึ่งตั้งอยู่ตรงจุดรอยต่อชายแดน 3 ประเทศแล้ว 1 แห่ง คือเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งเป็นการลงทุนของจีน ที่เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว อยู่ริมแม่น้ำโขง ตรงข้ามกับอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย และเมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน เมียนมา

นอกจากนี้ ยังมีเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ตั้งอยู่ชายแดน ได้แก่ เขตเศรษฐกิจเฉพาะบ่อเต็นแดนงาม ซึ่งเป็นการลงทุนจากจีนอีกเช่นกัน ตั้งอยู่ที่เมืองบ่อเต็น แขวงหลวงน้ำทา ตรงข้ามกับเมืองบ่อหาน เขตปกครองตนเองสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน , เขตเศรษฐกิจพิเศษสะหวัน-เซโน อยู่ที่เมืองเซโน แขวงสะหวันนะเขต ตรงข้ามกับจังหวัดมุกดาหาร ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนระหว่างรัฐบาลลาวและนักลงทุนมาเลเซีย และเขตเศรษฐกิจพิเศษวังเต่า-โพนทอง ของนักลงทุนลาว ตั้งอยู่ในบริเวณด่านสากลวังเต่า ตรงข้ามกับด่านช่องเม็ก อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี
#3074


พงศกร แปยอ นักกีฬา วีลแชร์ เรซซิง ทุบสถิติ พาราลิมปิก เกมส์ ประเภท 400 เมตรชาย คลาส T53 กอดคอ พิเชษฐ์ กรุงเกตุ เช้ารอบชิงชนะเลิศ ต่อไป

การแข่งขัน วีลแชร์ เรซซิง ประเภท 400 เมตรชาย คลาส T53 ณ สนาม โอลิมปิก สเตเดียม วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม เป็นการแข่งขันรอบคัดเลือก แบ่งเป็น 2 ฮีต คัด 3 คน ซึ่งทำเวลาดีสุดของแต่ละฮีต กับ 2 คน ที่ทำเวลาดีสุด แต่ไม่ติดท็อป 3 ของทั้ง 2 ฮีต

ปรากฏว่า ฮีตที่ 1 พงศกร แปยอ แชมป์เก่า เข้าเส้นชัยคนแรก เวลา 47.31 วินาที เร็วกว่า ฮอง ซุก มัน เจ้าของสถิติเดิมจาก เกาหลีใต้ ซึ่งทำไว้ 47.67 วินาที ที่กรุงปักกิ่ง เมื่อปี 2008 ตามด้วยอันดับ 2 ยู บึง ฮุน จาก เกาหลีใต้ 49.29 วินาที และอันดับ 3 เฟร์นานเดส ดา ซิลวา อริออสวัลโด จาก บราซิล 51.65 วินาที

ส่วน ฮีตที่ 2 พิเชษฐ์ กรุงเกตุ เข้าเส้นชัยอันดับ 2 ด้วยเวลา 48.698 วินาที ช้ากว่าอันดับ 1 เบรนท์ ลากาตอส จาก แคนาดา 0.7 วินาที และอันดับ 3 ปิแอร์ แฟร์บังค์ จาก ฝรั่งเศส 48.70 วินาที

สำหรับการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ประเภท 400 เมตรชาย คลาส T53 จะเริ่มช่วงเย็นวันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม เวลา 18.01 น. (ไทย)
#3075
 
 ข้าวกล้องอินทรีย์สำหรับคุณแม่ตั้งท้อง 

 ข้าวอินทรีย์สำหรับแม่ตั้งครรภ์
โครงการข้าวอินทรีย์  การทำนาข้าวอินทรีย์   การผลิตข้าวอินทรีย์ต้นทุนต่ำ  ข้าวออร์แกนิค

9 เหตุผลที่คุณแม่ตั้งครรภ์ .....ควรรับประทานข้าวกล้องออร์แกนิค ( ข้าวไรซ์เบอรี่อินทรีย์ )
        การรับประทาน "#ข้าวกล้องออร์แกนิค หรือ ข้าวอินทรีย์สุรินทร์ " ส่งผลดีต่อลูกน้อยในครรภ์และสุขภาพคุณแม่มากมาย ถือเป็นหนึ่งในอาหารกลุ่มให้พลังงาน ข้าวกล้องเป็นข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี จึงยังคงไว้ด้วยคุณค่าสารอาหารมากกว่าขาวที่ถูกขัดสีแล้ว  เรามากันทำไมคุณแม่ตั้งครรภ์ควรกิน  "#ข้าวกล้องออร์แกนิค"  ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้




1. ข้าวมะลินิลออแกนิก, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีเส้นใยอาหาร ซึ่งช่วยในเรื่องของอาการท้องผูกและมะเร็งลำไส้
2.   ข้าวกล้องหอมมะลินิลเกษตรอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิคเมื่อรับประทานข้าวกล้องเป็นประจำ จะช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ป้องกันการเกิดปากนกกระจอก เนื่องจากมีวิตามินบี 2
3.  ข้าวกล้องหอมมะลิอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิคบรรเทาอาการอ่อนเพลีย อาการปวดแสบและเสียวในขา ปวดน่อง ปวดกล้ามเนื้อ
4.  ข้าวกล้องอินทรีย์หอมมะลิ, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีฟอสฟอรัส ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน และเส้นผม
5.  ข้าวปะกาอำปึลอินทรีย์กรมการข้าว, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีธาตุเหล็กมากเป็น 2 เท่า ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
6. ข้าวปะกาอำปึลปลอดสารพิษ, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีเกลือแร่ และวิตามินรวมกันกว่า 20ชนิด ซึ่งช่วยให้ระบบการทำงานของร่างกายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
7. กลุ่มข้าวผกาอำปึลอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีโปรตีนมากกว่า 20-30% ช่วยเสริมสร้างร่างกาย ซ่อมแซมเซลล์ส่วนที่สึกหรอ
8.  ข้าวหอมมะลิแดงอินทรีย์ , ข้าวกล้องออร์แกนิกมีแคลเซียมจำเป็นที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับ ช่วยให้กระดูกแข็งแรง และยังช่วยป้องกันการเกิดตะคริว ซึ่งคุณแม่ตั้งครรภ์กว่า 90% ต้องเผชิญ
9.  ข้าวกล้องหอมมะลิแดงออร์แกนิค, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีแป้งมีน้อยกว่าข้าวขาว ช่วยลดความอ้วน เนื่องจากได้รับสารอาหารต่างๆ ที่มีประโยชน์เพิ่มขึ้น มีผลทำให้สุขภาพจิตใจของคุณแม่ตั้งครรภ์ดีขึ้น เพราะสุขภาพร่างกายแข็งแรง สดชื่น แจ่มใส

หลังจากรู้คุณค่าของ "ข้าวกล้องออร์แกนิค"  กันแล้ว อย่าลืมซื้อ "ข้าวกล้องออร์แกนิก"  มาทานกันนะคะ

ข้าว Hor.Boutique ข้าวไรซ์เบอรี่ หรือ ข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่   ข้าวอินทรีย์
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website :  ข้าวหอมมะลิออแกนิคคือ
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1.  ข้าวหอมมะลิออร์แกนิค
2.  ข้าวกล้องหอมมะลิออแกนิค
3.  ข้าวปะกาอำปึลออแกนิค  ปลูกข้าวผกาอำปึลอินทรีย์(ข้าวพื้นถิ่นออแกนิกสุรินทร์) 4.  ขายข้าวสารหอมมะลิผสมหลายสายพันธุ์ จ.สุรินทร์
5. ข้าวกล้องหอมมะลิแดงออแกนิคคือ 6.  ข้าวกล้องหอมมะลินิลปลอดสารพิษ
7. ข้าวกล้องไรซ์เบอรี่อินทรีย์  ข้าวไรซ์เบอร์รี่ออแกนิคสำหรับทารก

#ข้าวคนท้อง  #ข้าวสำหรับคนท้อง   #ข้าวคนตั้งครรภ์   #ข้าวสำหรับคนตั้งครรภ์  #คนท้องกินข้าวกล้อง  #คุณแม่ตั้งครรภ์
 

 

 

 

 

 

 
 
#3076


เปิดประเด็นข้อเท็จจริง จริงหรือไม่? ที่อเมริกาและประเทศพันธมิตร ไม่อนุญาตให้ "นักศึกษาจีน" ไปเรียนอีกต่อไป

การเรียนต่อต่างประเทศของนักเรียน "นักศึกษาจีน" เป็นหนึ่งในประเด็นที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงเคียงคู่ไปกับกระแสที่ทางการจีนปฏิวัติ "ธุรกิจการศึกษา" และแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในจีน เพราะจำนวนนักศึกษาจีนไปเรียนต่อยังต่างประเทศในแต่ละปีถือว่าสูง เอาแค่ย้อนไปเมื่อราว 20 ปีที่ผ่านมา ช่วงปี 2002–2007 จำนวนนักศึกษาจีนที่ไปเรียนต่อต่างประเทศ อยู่ที่ประมาณ 100,000 คนต่อปี และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 10 ปีมานี้ โดยเฉพาะการไปเรียนต่อในประเทศสหรัฐอเมริกา

แต่มีการชะลอตัวไปบ้างในช่วงสามปีมานี้ เนื่องจากจีนมีปัญหาสงครามการค้ากับอเมริกา และต่อเนื่องด้วยความขัดแย้งทางการเมือง อย่างประเด็นการแพร่ระบาดโควิด และการเมืองไต้หวัน-ฮ่องจง ซึ่งจีนมองว่าอเมริกาเข้าไปแทรกแซง ทำให้มีประเด็นการแบนและตั้งข้อจำกัดที่ทำให้คนจีนขอวีซ่าไปเรียนในอเมริกายากขึ้นออกมาในพื้นที่สื่อทั่วโลก จนถึงขั้นเกิดข่าวลือในช่วงนี้ว่า "อเมริกาตัดสินใจห้ามนักศึกษาจีนเข้าไปเรียนที่อเมริกา รวมถึงประเทศที่เป็นพันธมิตรอเมริกาด้วย อย่าง แคนาดา ญี่ปุ่น"

จริงหรือไม่? นักเรียนนักศึกษาจีนทั้งหมดถูกอเมริกาและอีกบางประเทศ ห้ามไปเรียน!

อ้ายจง ขอบอกอย่างนี้ครับว่า อเมริกาไม่ได้ "ห้าม" หรือ "ไม่อนุญาต" ให้ "นักศึกษาจีน" เข้าไปเรียนที่อเมริกาอีกต่อไปเหมือนดังได้รับข่าวลือที่ออกมานะครับ ยังคงมีนักศึกษาจีนได้รับการตอบรับเพื่อเข้าเรียนในอเมริกา และเริ่มเดินทางไปยังอเมริกาแล้วโดยเฉพาะเดือนสิงหาคมนี้ หลังจากอเมริกาผ่อนคลายมาตรการเข้มงวดในการขอวีซ่าและเดินทางเข้าอเมริกา โดยอนุญาตให้นักเรียนจีนเดินทางเข้าอเมริกาได้ สำหรับโปรแกรมการศึกษาที่จะเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2021 เป็นต้นไป มีเงื่อนไขว่า "เดินทางเข้าอเมริกาล่วงหน้า ไม่เกิน 30 วัน ของเวลาเปิดเทอมหรือเริ่มต้นคอร์สเรียน" 

และ ตามข้อมูลจาก China Daily สื่อจีนรายใหญ่ ระบุว่า จำนวนนักศึกษาจีนทั้งหมดที่เรียนในอเมริกาช่วงปีการศึกษา 2019-2020 ยังคงครองสัดส่วนใหญ่ในอเมริกา มีทั้งหมด 372,000 คน คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของนักศึกษาต่างชาติหลักล้านคนในอเมริกา

ต้องยอมรับว่า ณ ขณะนี้ คนจีนเจอข้อจำกัดในการไปเรียนต่อเมริกาและต่างประเทศมากขึ้นจากหลายปัจจัย เช่น จากวิกฤติโควิด ค่าตั๋วค่าเดินทางแพงขึ้น

ข้อมูลจาก SCMP (South Morning China Post) สื่อเอกชนสายจีน กล่าวถึง ค่าตั๋วเครื่องบินจากจีนเข้าอเมริกา ราคาสูงมาก เป็นหนึ่งในข้อจำกัดสำคัญ ตัวอย่างเช่น ตั๋วเที่ยวเดียวจากปักกิ่งหรือเซี่ยงไฮ้ ไปยังปลายทางมหานครนิวยอร์ก บอสตัน หรือเมืองใหญ่อีกหลายเมืองในอเมริกา ต้องจ่ายเงินสูงถึงราว 20,000 หยวน (ประมาณ 1 แสนบาท) เลยทีเดียว

ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างจีนและอเมริกา มีผลกระทบต่อการเรียนต่อในอเมริกาของพลเมืองจีน อเมริกาแบนและจำกัดการขอวีซ่าจริงๆ ถึงขั้นแบนมหาวิทยาลัยจีนบางแห่งเลยก็มีนะครับ แต่แบนและจำกัดเฉพาะบางราย ไม่ใช่ 100% โดยมุ่งเน้นไปที่การศึกษาต่อในสายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และ คณิตศาสตร์ หรือเรียกรวมว่า STEM จากประเด็นความปลอดภัยและความมั่นคงของประเทศ สหรัฐอเมริกาเกรงกลัวว่า ข้อมูลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับ STEM รวมถึงข้อมูลสำคัญอื่นๆ จะหลุดรั่วไหลไปยังรัฐบาลจีนและกองทัพจีน ผ่านทางนักเรียนนักศึกษาและนักวิจัยจีน

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

ปี 2020 อเมริกาประกาศ "แบนและยกเลิกวีซ่านักศึกษาแก่นักศึกษาจีน" อย่างน้อย 2 รอบ สืบเนื่องมาตั้งแต่ความขัดแย้งทางการค้าในสงครามการค้าของทั้งสองประเทศ โดยเหตุผลที่ยกเลิกวีซ่า อเมริกายกเหตุผลว่า "นักศึกษาจีนเหล่านี้ มีความเกี่ยวข้องกับทางการทหารจีน และขโมยข้อมูลสำคัญของทางอเมริกาไปให้แก่ทางจีน" คาดว่ามีนักศึกษาจีนได้รับผลกระทบอย่างน้อย 3,000–5,000 คน เมื่อเทียบกับสัดส่วนตัวเลขจำนวนนักศึกษาจีนในอเมริกา 372,000 คน คิดเป็น 0.8–1.3% เท่านั้น

เมื่อพฤษภาคมปีนี้ Global Times สื่อกระบอกเสียงทางการจีน เผยแพร่รายงานข้อมูลจาก Gewai Education บริษัทแนะแนวศึกษาต่ออเมริกา ซึ่งเผยข้อมูลการขอวีซ่าอเมริกาของนักเรียนจีนจำนวนหนึ่งโดนปฏิเสธ เพราะพ่อแม่ผู้ปกครองทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงอยู่ในหน่วยงานเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและความมั่นคงของประเทศจีน รวมถึงหน่วยงานปราบปรามคอรัปชั่นและตรวจคนเข้าเมือง ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่ชี้ว่า เหตุผลการแบนในข้างต้นเป็นความจริง โดยเพิ่มเติมโพรไฟล์และภูมิหลังของครอบครัวด้วย ถ้าหากเกี่ยวข้องกับรัฐบาลจีน อาจมีแนวโน้มโดนแบน ไม่ได้วีซ่าอเมริกา

นักศึกษาจีน บางคนที่โดนแบนให้สัมภาษณ์กับสื่อ อย่างเช่น นักศึกษาหนุ่มจีนนาม "Dennis Hu" ให้สัมภาษณ์ต่อ CNN ว่า เดินทางกลับจากอเมริกาไปยังบ้านในประเทศจีน เพื่อฉลองตรุษจีน (ช่วงจีนเกิดระบาดโควิด) และจะกลับไปต่อวีซ่าอเมริกา เพื่อกลับไปทำปริญญาเอกทางด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ให้จบ แต่ปรากฏว่าเขาเป็น 1 ในนักศึกษาจีนนับพันคนที่ "โดนแบนวีซ่า" ไม่ให้กลับไปศึกษาต่อในอเมริกา และแน่นอนว่าเขาก็เหมือนกับทุกคนที่โดนแบน ยืนยัน ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ หรือเป็นสายลับให้กับรัฐบาลจีน

อย่างที่กล่าวไปแล้ว นอกเหนือจากแบนและจำกัดการขอวีซ่าแก่พลเมืองจีน รัฐบาลอเมริกายังแบนตัวมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษา-สถาบันวิจัยในจีนอีกด้วย กล่าวคือ ตั้งแต่ช่วงสงครามการค้าจีนอเมริกาอย่างหนักในปี 2019 อเมริกาประกาศแบนหลายสินค้าและบริษัทของจีน ไม่เว้นแม้แต่สถาบันการศึกษาและสถาบันวิจัยในจีนที่โดนแบนไปทั้งหมด 6 แห่ง ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับสายเทคโนโลยีและวิศวกรรมของจีน และถือเป็นหน่วยงานที่ทำโปรเจกต์สำคัญๆ แก่รัฐบาลจีน

ในฐานะที่ อ้ายจง เป็นศิษย์เก่าสถาบันที่มีอยู่ในรายชื่อแบนของอเมริกา (Beihang University หรือรู้จักในนาม มหาวิทยาลัยการบินและอวกาศปักกิ่ง) ผมสอบถามไปยังเพื่อนคนจีนที่ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ในมหาวิทยาลัยแห่งนั้น โดยได้รับคำตอบว่า เคยมีเหมือนกันที่อาจารย์ เจ้าหน้าที่ นักศึกษาปัจจุบัน และศิษย์เก่า รู้สึกว่า "ขอวีซ่าเข้าอเมริกายากขึ้นจริง" แต่ยังเข้าไปได้อยู่ อาจยากขึ้นกว่าสมัยก่อน แต่ยังไม่ถูกขึ้นบัญชีดำ

จากมาตรการของประเทศสหรัฐอเมริกา เข้มงวดเรื่องวีซ่าแก่นักเรียนนักศึกษาจีน รวมถึงนักวิจัยจีน ด้วยเหตุผลเรื่องความปลอดภัยและความมั่นคง เคยมีการนำเสนอข่าวออกมาโดยสื่อต่างประเทศเหมือนกันว่า ประเทศพันธมิตรของอเมริกาบางประเทศ มีการดำเนินนโยบายคล้ายๆ กันนี้ อย่างเช่น ญี่ปุ่น ตามการรายงานข่าวของ The Straits Times

แคนาดา ก็เคยมีการเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยแคนาดา ระมัดระวังการทำวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยจีน เพราะข้อมูลอาจรั่วไหลไปถึงรัฐบาลจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางการทหารจีน เป็นความวิตกกังวลและกลัวในประเด็นเดียวกันกับที่อเมริกาให้เหตุผลแบนวีซ่านักเรียนนักศึกษาและนักวิจัยจีน

แน่นอนว่า "จีน" ไม่ได้ปล่อยให้ประชาชนของตนโดนแบนและถูกตราหน้าว่า "ลักลอบขโมยข้อมูลสำคัญในประเทศอเมริการวมถึงประเทศอื่นๆ" จีนพยายามตอบโต้นโยบายเข้มงวดแก่นักศึกษาจีนของอเมริกามาโดยตลอด ตั้งแต่ปี 2019 สงครามการค้าจีนอเมริกา รัฐบาลจีนออกประกาศเตือนประชาชนถึงการไปเรียนต่อและเที่ยวที่ประเทศสหรัฐอเมริกาให้ระมัดระวังในเรื่องของการขอวีซ่าที่มีข้อจำกัดมากขึ้น ให้ระยะเวลาอยู่ในอเมริกาลดน้อยลงกว่าที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะส่งผลโดยตรงต่อนักศึกษาจีนที่ต้องการไปเรียนต่อที่อเมริกา

ประเทศจีนเองเพิ่มความเข้มงวดและข้อจำกัดในการขอวีซ่าแก่ชาวอเมริกาเช่นกัน ในเดือนมิถุนายน 2020 ทางการจีนออกมาตรการ "เพิ่มข้อจำกัดในการออกวีซ่าแก่ชาวอเมริกัน ที่มีพฤติกรรมเชิงลบต่อเรื่องราวของจีนและฮ่องกง" ปีเดียวกันกับอเมริกาเริ่มแบนและยกเลิกวีซ่าแก่นักศึกษาจีนแบบจริงจัง สอดคล้องกับการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญและสื่อต่างประเทศ "อเมริกาแบนและตั้งข้อจำกัดวีซ่าแก่จีน ไม่ใช่แค่มาจากเรื่องความมั่นคง แต่เบื้องลึกคือ แสดงออกถึงการต่อต้านการออกกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติที่จีนนำไปใช้กับฮ่องกง"

อย่างไรก็ตาม เราอาจได้เห็นนักศึกษาจีนไปเรียนยังอเมริกาหรือต่างประเทศลดน้อยลง ไม่ใช่เพียงจากเหตุผลทางการเมือง หรือการแพร่ระบาดโควิด ยังมีเหตุผลเรื่อง "ชาตินิยม" ที่เพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง และการแก้ไขปัญหาเรื่อง "สมองไหล หัวกะทิ คนจีนผู้มากความสามารถ ไปเรียนและทำงานต่างประเทศของรัฐบาลจีนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย" จีนดำเนินนโยบายดึงดูดคนจีนเก่งๆ ให้กลับมาประเทศจีน ตั้งแต่ก่อนเกิดสงครามการค้าจีนอเมริกาและการขัดแย้งทางการเมืองอย่างหนัก

จากประสบการณ์จริงของอ้ายจง สมัยไปทำวิจัยที่เมืองซีอานปี 2014 ตอนนั้นที่แลปดีลกับมหาวิทยาลัยในอเมริกาและยุโรปเยอะมากในด้านทำการวิจัย ภายใต้การร่วมมือแต่ละครั้ง ทางแลปและมหาวิทยาลัยจะดีลโดยตรงส่วนตัวกับอาจารย์และศาสตราจารย์จีนที่ทำงานในอเมริกา ให้มาเป็นอาจารย์และนักวิจัยในมหาวิทยาลัยจีน ดึงดูดด้วยผลตอบแทนและโอกาสก้าวหน้าทางอาชีพ เพื่อให้คนเก่งหัวกะทิเหล่านี้มั่นใจว่า "คุ้มค่าในการกลับไปยังประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของตน"  

 อ่านบทความทั้งหมดของ อ้ายจง ได้ที่ https:// www.bangkokbiznews.com/blog/blogger/504
#3077


ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ของประชาชนในช่วงก่อนหน้านี้ มีการกระจายไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ส่งผลให้รัฐบาลจำเป็นที่ต้องประกาศล็อกดาวน์พื้นที่ ป้องกันการแพร่ระบาด ส่งผลให้ประชาชนลำบากในการใช้ชีวิต บริษัท ห้างร้าน โรงงาน ต้องปิดกิจการ คนงานตกงานขาดรายได้

แต่ ณ เวลานี้ ตัวเลขของผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ดูจะมีแนวโน้มลดลง ซึ่งมาจากการที่ประชาชนมีโอกาสได้รับการฉีดวัคซีนมากขึ้น เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความมั่นใจให้กับภาคการลงทุนมากขึ้น

โดยในมุมมองตัวแทนภาคอุตสาหกรรม "นายสุพันธุ์ มงคลสุธี" ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การะบาดของโรคเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศ กำลังเข้าสู่ขั้นวิกฤติและส่งผลกระทบไปทุกภาคส่วนของประเทศ ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมเกิดการติดเชื้อในโรงงานเป็นจำนวนมากเช่นกัน สภาอุตสาหกรรมฯ ในฐานะองค์กรหลักภาคเอกชนที่เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศ ได้จัดทำ "มาตรการควบคุมโควิดในภาคอุตสาหกรรม" เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตและอาการรุนแรง พร้อมรักษากำลังการผลิตให้มากที่สุด ซึ่งโรงงานที่ดำเนินการอย่างถูกต้อง จะไม่ถูกปิด หากยังสามารถดำเนินการต่อได้โดยไม่แพร่กระจายเชื้อสู่ภายนอก ภายใต้คอนเซ็ปต์ "ติดโควิดไม่ต้องปิดโรงงาน" แบ่งออกเป็น 4 ข้อดังนี้

1.มาตรการ Bubble and Seal สำหรับภาคอุตสาหกรรมต้องมีความชัดเจน สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงและเป็นไปในแนวทางเดียวกันทุกพื้นที่ โดยให้สุ่มตรวจหาผู้ติดเชื้อด้วยชุดตรวจ ATK สม่ำเสมอ 10% ของจำนวนพนักงานทุก 14 วัน โดยรัฐบาลสนับสนุนค่าใช้จ่าย และให้พนักงานผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำสามารถกลับเข้ามาทำงานใน Bubble ในโรงงานตามปกติ

2.สถานประกอบการที่มีพนักงาน 300 คนขึ้นไป เสนอให้กระทรวงสาธารณสุขสนับสนุนงบประมาณในการจัดตั้ง Factory Quarantine และ Factory Accommodation Isolation โดยให้มีจำนวนเตียงๆไม่น้อยกว่า 5% ของจำนวนพนักงาน และเสนอให้กระทรวงแรงงานจัดตั้งโรงพยาบาลแม่ข่ายในแต่ละพื้นที่ประกันสังคม เพื่อให้บริการโรงงานในพื้นที่ ณ จุดเดียว ตั้งแต่การตรวจหาเชื้อไปจนถึงส่งต่อผู้ป่วยเข้าไปในระบบการรักษา เพื่อลดขั้นตอนในการหาโรงพยาบาล

3.สำหรับสถานประกอบการที่มีพนักงานต่ำกว่า 300 คน ขอให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมจัดตั้ง Community Quarantine (CQ), Community Isolation (CI) (ศูนย์พักคอยและแยกกักตัว) ให้เพียงพอกับแรงงาน โดยให้มีจำนวนเตียงไม่น้อยกว่า 5% ของจำนวนพนักงานในพื้นที่

4.จัดสรรวัคซีนตามเพื่อลดอัตราการเสียชีวิต โดยจัดสรรตามลำดับความสำคัญทางสาธารณสุข การป้องกันโรค และเศรษฐกิจใน 3 กลุ่มคือ กลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูงที่อายุ 40-59 ปี กลุ่มพนักงานในสถานประกอบการที่มีติดเชื้อมากกว่า 50% จนต้องปิดกิจการ และกลุ่มพนักงานในอุตสาหกรรมสำคัญยิ่งยวด

ขณะที่มุมมองของ "รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ" อดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง นำเสนอแง่คิดที่น่าสนใจว่า รัฐบาลควรเดินหน้าคลายล็อกดาวน์ในทุกพื้นที่ในบางกิจกรรม หากตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่ำกว่าผู้ได้รับการรักษาหายป่วยมากพอ และสามารถทำให้ผู้ป่วยที่ต้องรักษาในระบบสาธารณสุขลดลงมาเหลือต่ำกว่า 100,000 ราย จากปัจจุบันอยู่ที่ 200,339 ราย

ระบบสาธารณสุข ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า ควรต้องจัดการความเสี่ยงด้านอุปทานเพิ่มขึ้นโดยจัดสรรงบประมาณให้โรงพยาบาลของรัฐตามความเสี่ยงของประชากรที่ขึ้นทะเบียนกับโรงพยาบาลต่างๆ นั่นคือ ผู้ให้บริการในพื้นที่เสี่ยงสูง และต้องดูแลประชากรที่มีความเสี่ยงสูงควรจะเหมาจ่ายต่อหัวสูงกว่าผู้ให้บริการ หรือโรงพยาบาลที่ดูแลประชากรที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า ,ไม่ควรกำหนดการเหมาจ่ายแบบคงที่ทั่วทั้งประเทศ โดยงบประมาณต้องจัดสรรไปตามภาระและแผนงานกิจกรรมที่ต้องทำ และไม่ควรรวมศูนย์การตัดสินใจเพราะจะทำให้แก้ปัญหาล่าช้า และไม่ทันการ

อย่างไรก็ตามหากมีความจำเป็นต้องขยายล็อกดาวน์ เพราะตัวเลขติดเชื้อไม่ลดลง และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจต้องล็อกดาวน์ไปอีกอย่างน้อยจนถึงปลายปี ในขณะที่ประชาชนยังรอฉีดวัคซีนกันอยู่ รัฐบาลต้องเตรียมงบประมาณจ่ายเยียวยาให้ภาคธุรกิจ และประชาชนเพิ่มเติม หากต้องขยายล็อกดาวน์ และควรประกาศล่วงหน้า และเยียวยาทันทีก่อนสั่งปิดพื้นที่ หรือกิจกรรมเพื่อไม่ให้ความทุกข์ยากทางเศรษฐกิจรุนแรงไปกว่าระดับวิกฤติในขณะนี้ และควรเตรียมเงินงบประมาณไม่ต่ำกว่าอีก 300,000 ล้านบาท หากต้องล็อกดาวน์ถึงปลายปี

การรับฟังข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในเวลานี้ จากผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง เป็นเรื่องที่ไม่เสียหายอะไร!!!
#3078

ไทยเวียตเจ็ท จัดโปรโมชั่นตั๋วราคาพิเศษ เริ่มต้นที่ 499 บาท รับการกลับมาเปิดบินเส้นทางภายในประเทศอีกครั้ง เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 64 นี้ ผู้สนใจจองได้ตั้งแต่วันนี้ – 31 ส.ค. 64 ที่ www.vietjetair.com

ตามประกาศของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่าด้วยการผ่อนคลายมาตรการการเดินทางและอนุญาตให้เที่ยวบินภายในประเทศทำการบินเข้าออกท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สายการบินไทยเวียตเจ็ทประกาศพร้อมให้บริการเส้นทางบินภายในประเทศ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 โดยผู้โดยสารจำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กบพ.) ซึ่งจะประกาศในวันที่ 28 สิงหาคม 2564



นอกจากนี้เพื่อฉลองการกลับมาให้บริการเที่ยวบินภายในประเทศอีกครั้ง สายการบินไทยเวียตเจ็ต ได้จัดโปรโมชั่น "Welcome Back to The Sky" เสนอบัตรโดยสารราคาพิเศษ เริ่มต้นที่ 499 บาท (รวมภาษีและค่าธรรมเนียม) ผู้สนใจจองได้ตั้งแต่วันนี้ – 31 สิงหาคม 2564 เพื่อใช้เดินทางได้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน - 30 พฤศจิกายน 2564 (ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์) ที่ www.vietjetair.com

สำหรับบัตรโดยสารราคาพิเศษนี้สามารถใช้เดินทางได้ในทุกเส้นทางบินภายในประเทศของสายการบินฯ ได้แก่ เส้นทางบินจาก กรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) สู่ เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต กระบี่ นครศรีธรรมราช หาดใหญ่ สุราษฎร์ธานี ขอนแก่น อุดรธานี และอุบลราชธานี รวมทั้งเที่ยวบินข้ามภาคภายในประเทศ จาก ภูเก็ต สู่ เชียงใหม่ (เริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2564) เส้นทางจาก เชียงราย สู่ หาดใหญ่ และ ภูเก็ต (เริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564) และเส้นทางจาก ภูเก็ต สู่ อุดรธานี (เริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 2564)

และในโอกาสพิเศษนี้ สายการบินไทยเวียตเจ็ตได้มอบสิทธิประโยชน์พิเศษแก่สมาชิกสกายฟัน (SkyFUNNER) ในระบบสมาชิกของสายการบินฯ โดยสมาชิกจะได้รับเหรียญฟันคอยน์ (Funcoin) สองเท่าสำหรับทุก ๆ การใช้จ่ายในการจองบัตรโดยสารในช่วงระยะเวลาโปรโมชั่น ทุกการใช้จ่าย 10 บาท สมาชิกจะได้รับ 2 เหรียญ (จากปกติ 1 เหรียญ) โดยเหรียญฟันคอยน์ (Funcoin) สามารถแลกเป็นรางวัลส่วนลดและบัตรกำนัลต่าง ๆ ผู้โดยสารสามารถสมัครสมาชิกสกายฟันได้ฟรี โดยลงทะเบียนที่ www.vietjetair.com ก่อนทำการจองบัตรโดยสาร



สำหรับผู้ถือบัตรโดยสารภายในประเทศของไทยเวียตเจ็ทที่มีช่วงวันเดินทางระหว่างวันที่ 1 – 30 กันยายน 2564 และประสงค์เปลี่ยนแปลงกำหนดการเดินทาง สามารถเลือกเปลี่ยนวันเดินทางโดยไม่เสียค่าธรรมเนียม โดยมีวันเดินทางใหม่ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2564 (มีช่วงเวลาที่ไม่สามารถเดินทางได้) หรือสามารถเก็บวงเงินค่าโดยสาร (Credit Shell) เพื่อใช้ในการสำรองบัตรโดยสารในอนาคต จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 สามารถตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.vietjetair.com
#3079


มีการพยากรณ์เศรษฐกิจไทยในปีนี้ว่าจะโตประมาณ 1.3% ของจีดีพี ซึ่งในความเป็นจริงก็เป็นการเติบโตจากจีดีพีที่ติดลบในปีที่แล้ว ในขณะที่มีแสงสว่างวับแวมจากตัวเลขการส่งออกที่เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 6 เดือนก็ประมาณ 16% นั่นก็เป็นการเพิ่มขึ้นจากการติดลบในปีที่แล้ว และส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าเกษตร ส่วนด้านอุตสาหกรรมเรากำลังมีปัญหาเรื่องกำลังการผลิต เพราะแรงงานจำนวนมากต่างติดโควิด ทำให้การจะผลิตเพิ่มเพื่อตอบสนองตลาดโลกที่เริ่มฟื้นตัวมีอุปสรรค

อย่างไรก็ตามอย่าพึ่งตกใจกับการพยากรณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจไทยที่เต็มที่จะได้ 1.3% ของจีดีพี บางสำนักคาดว่าอาจติดลบถึง -0.5% ด้วยซ้ำ เพราะตัวเลขที่ปรากฏนี้มันเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่อยู่ในระบบหรือเป็นทางการ

แต่เศรษฐกิจใต้ดินนั้นเมื่อเปรียบเทียบจากงานวิจัยต่างๆที่ได้ศึกษา เศรษฐกิจเงา เศรษฐกิจใต้ดิน หรือเศรษฐกิจนอกระบบนั้นอาจจะมีขนาดการเติบโต 2-3 เท่า ของเศรษฐกิจในระบบ

ก่อนที่จะติดตามต่อไปถึงสาเหตุและแนวโน้ม ของเศรษฐกิจเงาผู้เขียนขอกลับมาทำความเข้าใจกับคำจำกัดความของเศรษฐกิจแบบนี้เสียก่อน

เศรษฐกิจเงาหรือ SHADOW ECONOMY หรือระบบเศรษฐกิจใต้ดิน หมายถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบ หรือรับรู้เป็นทางการจากรัฐ จึงไม่ได้อยู่ในฐานข้อมูลของประเทศ โดยส่วนใหญ่ของธุรกิจเงาจะเป็นธุรกิจที่ผิดกฎหมาย เช่น ยาเสพติด ค้ามนุษย์ ค้าประเวณี รวมไปถึงธุรกิจที่ถูกกฎหมาย แต่ไม่ได้อยู่ในระบบการเสียภาษี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการค้าขายเล็กๆน้อยๆ หรือการทำธุรกิจหลอกลวงต้มตุ๋น อย่างแชร์ลูกโซ่ เป็นต้น

มีงานวิจัยอยู่หลายชิ้นที่ทำการศึกษาถึงเศรษฐกิจเงาในประเทศไทย ทั้งนักวิจัยไทย และต่างประเทศ และลงตีพิมพ์ในวารสารต่างๆ เช่น Friedrich Schmeder และ Andreas Burhn ใน The Global Economy : The Shadow Economy in Thailand หรืองานวิจัยของ Anotai Buddhari และ Pornsawan Rugpenthum ชื่อ A .ter Understanding of Thailand's Informal Sector ใน FAQ ฉบับที่ 156 July 9,2019 ยังมีผลงานใน Quora.com โดย Pas Sean ในหัวข้อ What is the Size of Thailand's Shadow Economy? นอกจากนี้ยังมีอีกงานที่น่าสนใจ คือ เขียนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการท่องเที่ยวกับเศรษฐกิจเงา ชื่อหัวข้อ Tourist Arrivals and Shadow Economy : Waveletbased Evidence From Thailand : โดย Sinha,Avik et al,ใน Tourrism Analysis, Vol 26,No.2-3 , 2021

ที่ผู้เขียนอ้างอิงงานวิจัย 2-3 งานนี้เพื่อให้ทราบว่าเรื่องเศรษฐกิจเงาของประเทศไทยเป็นที่สนใจของนักวิจัยในหลายประเทศ เพราะประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีสัดส่วนเศรษฐกิจเงาสูงในระดับต้นๆของโลก ดังปรากฏในหลายๆงานวิจัย ในที่นี้จะขอแบ่งประเภทเป็นกลุ่มประเทศ ตามรายงานของ Global Economy ดังนี้

1.กลุ่มประเทศพัฒนา มีสัดส่วนเศรษฐกิจเงาประมาณ 17% ของจีดีพี

2.กลุ่มประเทศปานกลาง ประมาณ 35%-40% ของจีดีพี แต่มีข้อน่าสังเกตคือประเทศไทยที่ถือว่าเป็นประเทศรายได้ปานกลางค่อนข้างสูง มีสัดส่วนของเศรษฐกิจเงา อยู่ระหว่าง 40%-50% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับงานวิจัยที่บางส่วนไม่นับการค้ายาเสพติดบางส่วนนับด้วย

3.กลุ่มประเทศยากจนมีสัดส่วนเศรษฐกิจเงาเกินกว่า 40% ของจีดีพีขึ้นไป

ส่วนเครื่องมือสำคัญในการสนับสนุนธุรกิจประเภทนี้ โดยเฉพาะขนาดใหญ่ คือ ธุรกิจการฟอกเงิน ซึ่งได้แก่การโอนเงินระหว่างประเทศด้วยวิธีการต่างๆ เช่น โพยก๊วน หรือ Off Shore Banking อย่างลาบวนของมาเลเซีย เวอร์จินไอร์แลนด์ หรือ บาฮามาส์ หรือตลาดหุ้นและสุดท้ายคือ Crypto Currency เช่น Bitcoin เป็นต้น

ปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ ตัวผู้บังคับใช้กฎหมาย หรือการบังคับใช้กฎหมายที่หละหลวมละเลย หรือคอร์รัปชัน ทั้งนี้ยังนับรวมถึงตัวกฎหมายเอง ซึ่งเป็นดาบสองคม ถ้าเข้มงวดเกินไป หรือลงโทษรุนแรงมาก อาจกลายเป็นเครื่องมือให้เจ้าพนักงานใช้ในการรีดไถเงินจากผู้ต้องหาได้เป็นจำนวนเงินที่มากขึ้น แต่หากหละหลวมมีช่องว่างก็อาจทำให้ผู้ต้องหาหลีกเลี่ยงเล็ดลอดไปได้ แม้แต่เรื่องภาษีอากร หรือหนี้นอกระบบที่ขูดรีดอย่างทารุณ

ดังนั้นที่ผู้เขียนกล่าวว่าการประเมินว่าแม้เศรษฐกิจไทยจะโตเพียง 1.3% ของจีดีพีในปี 64 นี้ แต่เศรษฐกิจเงาอาจโตมากกว่า 2-3 เท่าของเศรษฐกิจในระบบ ซึ่งแน่นอนมันไม่ใช่ข่าวดี แต่ก็ทำให้เกิดช่องทางในการหากินนอกระบบมากขึ้น เพราะธุรกิจในระบบมันหดตัวรุนแรง จนตกงานหางานใหม่ยาก ธุรกิจ SME ปิดตัว จึงต้องดิ้นรนเอาตัวรอดเข้าไปสู่เศรษฐกิจเงา

ประกอบกับมีการปล่อยตัวนักโทษเป็นจำนวนหลายหมื่นคนทั้งที่ครบกำหนด ทั้งการผ่อนผัน หรือการอภัยโทษเพื่อลดความแออัดในคุก อันเป็นทางที่คิดว่าจะลดปัญหาการแพร่กระจายโควิด แต่ตรงกันข้ามอาจจะเป็นการกระจายการแพร่เชื้อก็ได้

ในขณะเดียวกันผู้ต้องโทษเหล่านี้ แม้ในยามปกติก็หางานยากอยู่แล้ว ครั้นมาเจอปัญหาโควิดแพร่ระบาดก็ยิ่งหางานสุจริตยากขึ้น จึงมีแนวโน้มเข้าสู่กิจกรรมเศรษฐกิจนอกระบบมากขึ้น และเป็นการซ้ำเติมปัญหา อันจะเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติในอนาคตอันใกล้

สำหรับแนวทางการแก้ไขก็ได้เคยมีการนำเสนอกันมาหลายครั้ง และหลายวิธีแต่ก็มักไม่มีการตอบสนอง ส่วนหนึ่งอาจจะมีการล็อบบี้จากผู้ทำธุรกิจสีเทา-สีดำ ที่มีเงินมหาศาล และอาจมีอำนาจทางการเมืองอีกด้วย อีกส่วนหนึ่งก็อาจมีการขัดขวางหน่วงเหนี่ยวโดยเจ้าหน้าที่ ที่มีหน้าที่รับผิดชอบนั่นเอง เพราะพวกเขาจะเสียผลประโยชน์จำนวนมาก นั่นคือพวกที่ใส่เครื่องแบบนั่นแหละ

ตัวอย่างประการแรกที่มีการนำเสนอให้มีการนำธุรกิจใต้ดินให้ขึ้นมาอยู่บนดิน และถูกกฎหมาย อย่างบ่อนการ. หวยใต้ดิน ซึ่งรัฐบาลอาจทำเป็นหวยออนไลน์ หรือ Lotto แบบสหรัฐฯ หรือ แหล่งค้าประเวณี เป็นต้น

การใช้ระบบ Negative Tax System คือ ให้ทุกคนเข้ามาอยู่ในระบบภาษี หากมีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ก็จะได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐในอัตราที่เหมาะสม ทั้งนี้จะทำให้ระบบภาษีของเราเป็นฐานข้อมูลที่สำคัญในการบริหารประเทศอย่างเป็นระบบ

หรือถ้าจะเอาแนวศาสนาอย่างเข้มข้น เช่น การประกาศให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ก็ต้องมีมาตรการให้ชาวพุทธถือศีล 5 และยกเลิกกิจการอบายมุขทั้งหลาย ทั้งโรงเหล้า ลอตเตอรี่ หรือแหล่งค้ากาม

ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่จะถูกต่อต้านทั้งนั้น และอย่างรุนแรงเพราะเศรษฐกิจเงามันมีมูลค่ามหาศาล ซึ่งประเมินแล้วไม่ต่ำกว่า 5-6 ล้านๆบาททีเดียว

นี่แหละเข้าตำราภาษิตจีนที่ว่า "มีเงินก็ใช้ผีโม่แป้งได้"
#3080


หลังอลเวงมากว่าสองสัปดาห์ในโครงการจัดหาชุดตรวจเชื้อโควิด แบบ Antigen Test kit (ATK) สำหรับให้ประชาชนใช้ตรวจคัดกรองเชิงรุก จำนวน 8.5 ล้านชุด ซึ่งก่อนหน้านี้มี "ข้อสั่งการ" ของ  "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผ่านการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ขอให้ชุดตรวจ ATK ที่องค์การเภสัชกรรม (อภ.) จะจัดซื้อนั้นต้องผ่านมาตรฐาน WHO ตามข้อเรียกร้องของชมรมแพทย์ชนบทที่ออกมาเคลื่อนไหวกดดันเพื่อให้ได้ชุดตรวจที่มีคุณภาพสูง มีความแม่นยำ จากนั้นเรื่องก็ "เงียบฉี่" ไปร่วมสัปดาห์ กระทั่งในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมา "ความชัดเจน"  ก็เกิดขึ้น เมื่อที่ประชุม ครม.รับทราบ "ข้อสั่งการใหม่" ของนายกรัฐมนตรี โดยกลับลำขอให้เร่งมือจัดหามาโดยเร็วที่สุดแทน

 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ครม.รับทราบการขอปรับปรุงข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ในการประชุม ศบค.ครั้งที่ 12/2564 และการประชุม ครม. เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2564 โดยแก้ไขข้อความจากเดิมที่ระบุในข้อสรุปผลการประชุม ศบค. หน้าที่ 17 ข้อ 6 ว่า "การเร่งดำเนินการจัดหาชุดตรวจหาเชื้อโควิด-19 แบบแอนติเจน (Antigen Test Kit : ATK) ที่ผ่านการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) รวมทั้งต้องมีความแม่นยำในการตรวจ เพื่อนำไปสู่การรักษาที่ทันท่วงที และพร้อมจัดส่งให้ได้ภายในเวลาที่กำหนด" นายกรัฐมนตรี เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการ ศบค.ปรับปรุงแก้ไขข้อสั่งการนายกฯ มีข้อความดังนี้คือ "ในเรื่องการจัดหาซื้อชุดตรวจ ATK นี้ ขอให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เร่งดำเนินการให้ได้โดยเร็ว หากมีปัญหาความขัดแย้งอยู่ในปัจจุบัน ขอให้เร่งแก้ไขปัญหาให้ดีที่สุด"

สำหรับเหตุผลที่เปลี่ยนแปลงให้ ATK ไม่ต้องผ่านการรับรองมาตรฐานจาก WHO นั้น มีคำอธิบายจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล  รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งรายงานต่อครม.ว่า ชุดตรวจ ATK ถ้าจะผ่าน WHO มีเพียงชุดตรวจสำหรับใช้โดยบุคคลากรทางการแพทย์ (Professional use) ที่ WHO ให้การรับรอง แต่ ATK สำหรับใช้โดยประชาชนทั่วไป (Home use) WHO ยังไม่ได้ให้การรับรองใดๆ ทั้งสิ้น

แน่นอนว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดสามารถมองได้ 2 ประเด็นด้วยกัน

ประเด็นแรก หากคิดแบบโลกสวยก็อาจมองได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ดื้อดึงและรับฟังข้อเท็จจริง

ประเด็นที่สอง พล.อ.ประยุทธ์ใช้ SINGLE COMMAND โดยที่ไม่ได้ตรวจสอบให้แน่ชัด ทำให้เกิดความผิดพลาดในการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งส่งผลทำให้การจัดซื้อชุดตรวจ ATK เป็นไปด้วยความล่าช้า และประชาชนไม่สามารถเข้าถึงชุดตรวจได้อย่างรวดเร็ว เพราะการจัดซื้อชุดตรวจครั้งนี้คือการจัดซื้อสำหรับประชาชนทั่วไปใช้มิใช่สำหรับบุคลากรทางการแพทย์

หลังจาก ครม. เคาะเกณฑ์ใหม่แล้ว นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม ได้แจ้งโรงพยาบาลราชวิถี และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อเดินหน้าดำเนินการจัดซื้อ ATK คู่ขนานไปกับการแจ้งบริษัทที่ชนะการประมูล ให้มาดำเนินการตามสัญญาจัดซื้อจัดจ้างตามข้อสั่งการที่นายกรัฐมนตรี ระบุให้เร่งดำเนินการให้เร็วที่สุดเพื่อให้ ATK ถึงมือประชาชนโดยเร็ว โดยลงนามในหนังสือลงวันที่ 24 สิงหาคม 2564 เรียบร้อยแล้ว

ขณะเดียวกัน  นางศิริญา เทพเจริญ  รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด บริษัท ณุศาศิริ จำกัด และ กรรมการบริหาร บริษัท เวิลด์ เมดิคอล อัลไลแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะตัวแทนจำหน่าย Lepu ให้สัมภาษณ์สื่อถึงเรื่องที่องค์การเภสัชกรรม เตรียมทำสัญญาจัดซื้อชุดตรวจ ATK จำนวน 8.5 ล้านชุด ในวันที่ 27 สิงหาคม แต่เนื่องจากต้องเตรียมเอกสารเพิ่มเติม จึงเลื่อนการทำสัญญาออกไปเป็นวันจันทร์ ที่ 30 สิงหาคม 2564 แทน ซึ่งหลังจากเซ็นสัญญา แล้วทางบริษัทพร้อมนำเข้าสินค้าตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้ทันที

อย่างไรก็ดี ก่อนหน้าที่เรื่องจะจบลงอย่างที่ปรากฏ ทางณุศาศิริก็เคลื่อนไหวอย่างหนัก โดยประกาศว่า บ.ณุศาศิริ ฯ และ บ.เวิลด์ เมดดิคอลฯ จะเป็นผู้นำเข้า ATK เพื่อคนไทย จำนวน 8.5 ล้านชิ้น มาจำหน่ายให้ประชาชนคนไทยทุกคน ได้มีโอกาสเข้าถึงชุดตรวจโควิดด้วยตนเอง ในราคาเพียงชุดละ 75 บาท โดยเป็นราคาที่ใกล้เคียงกับราคาที่ประมูลได้จากทางองค์การเภสัชฯ ซึ่งู้ที่สนใจสามารถเข้าไป Pre Order ขั้นต่ำ 1 กล่อง ( 1 กล่อง มี 25 ชุด) ได้ตั้งแต่วันที่ 23 -31 ส.ค.นี้ (สินค้า Pre-Order รับชุดตรวจที่คลินิกและร้านขายยาที่ร่วมโครงการกับ MORHELLO ได้ภายใน 14-30 วัน นับจากรับยอดโอน) หรือติดต่อสั่งซื้อได้ที่ Line @ Morhello ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

ทว่า หลังจากมีความชัดเจนเรื่องการทำสัญญากับ อภ. นางศิริญาชี้แจงว่า การจำหน่ายให้ประชาชนจะเปิดให้ซื้อเพียง 5 วันเท่านั้น และหลังจากนี้จะไม่มีราคานี้อีก โดยขณะนี้มีทั้งสถานประกอบการ โรงงาน และประชาชนทั่วไป ให้ความสนใจสั่งซื้อกันแล้วยอดไม่ต่ำกว่า 1 ล้านชิ้น คาดว่าผลิตภัณฑ์ส่วนนี้จะเข้ามากระจายให้ผู้ที่สั่งจองภายใน 14-30 วัน อีกทั้งหลังจากนี้บริษัทจะนำเข้ามาขายแบบทั่วไปด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาราคาขายที่เหมาะสม แต่ในเบื้องต้นขณะนี้ขอนำเข้าในสัดส่วนที่ภาครัฐเตรียมจัดซื้อเพื่อแจกประชาชนใช้ฟรีก่อน

ขณะที่ปฏิกิริยาอีกฟากฝั่งทาง  ชมรมแพทย์ชนบท ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 5 สวนมติ ครม.ที่ออกมาใหม่ทันควัน โดยจั่วหัวว่า "ตู่ไม่แข็ง ชมรมแพทย์ชนบทและเครือข่ายจะยังคงตรวจสอบคุณภาพ ATK ที่ประมูลได้ต่อไป" โดย  นายแพทย์สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ  ระบุว่าข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่มีการแก้ไขใหม่นั้น ทางชมรมฯ มองเห็นแนวโน้มมาตลอดและสุดท้ายก็ชัดเจนว่า "รัฐบาลของนายกประยุทธ์ จันทร์โอชานั้น ไม่แข็งจริง การไม่มีหลักยึดทีมั่นชัด ไม่แข็งที่จะยืนบนหลักที่ถูกต้อง ทำให้การนำรัฐนาวาประเทศไทยสู่การฝ่าฟันวิกฤตโควิดไปได้นั้นสาหัสและเจ็บหนักมากทั้งชีวิตผู้คนและระบบเศรษฐกิจไทย"

ชมรมแพทย์ชนบท ยังคงยืนบนหลักการของแถลงการณ์ฉบับที่ 3 ที่เคยเสนอไปแล้วว่า อำนาจการจัดซื้ออยู่ที่องค์กรรัฐ แต่อำนาจการตรวจสอบอยู่ที่เราภาคประชาชน ชมรมแพทย์ชนบทร่วมกับเครือข่ายภาคประชาชน ยังยืนยันที่จะระดมทีมปฏิบัติการจากทุกภาค ทำการตรวจสอบชุดตรวจ ATK ที่ได้รับการประมูลว่ามีคุณภาพทั้ง sensitivity และ specificity ดังที่กล่าวอ้างหรือไม่ มีผลบวกปลอมและผลลบปลอมในสัดส่วนที่เกินกว่าจะรับได้หรือไม่ โดยจะเริ่มปฏิบัติการทันทีที่ชุดตรวจได้กระจายลงสู่พื้นที่ และหากผลการตรวจสอบพบว่าชุดตรวจมีคุณภาพต่ำเกินกว่าที่จะรับได้ เรื่องนี้ต้องมีผู้รับผิดชอบ

ด้าน  "นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี" เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) บอกว่า สปสช. เป็นเจ้าของงบประมาณ พร้อมกระจายชุดตรวจโควิดให้ประชาชนทันที หลังชุดตรวจ Lepu เข้าไทยแล้ว เบื้องต้นวางแผนว่าจะกระจาย 3 แบบ ระจาย 3 แบบ คือ กระจายให้ชุมชนแออัดในพื้นที่สีแดงเป็นลำดับแรก กระจายไปยังร้านยาในเครือข่าย จากนั้นให้ประชาชนมารับชุดตรวจ และกระจายไปยังหน่วยให้บริการ เช่น รพ.สต. ศูนย์สาธารณสุข สถานพยาบาลในเครือข่ายของ สปสช. แล้วให้ประชาชนมารับชุดตรวจ ซึ่งเป้าหมาย คือต้องการให้ประชาชนนำไปตรวจหาเชื้อโควิดด้วยตัวเอง และให้บุคลากรเป็นผู้ตรวจให้กับกลุ่มเสี่ยง หากตรวจแล้วไม่พบเชื้อ แต่เห็นว่ามีความเสี่ยง ก็จะให้ชุดตรวจกลับไปตรวจที่บ้านอีก 1-2 ชุดและตอนนี้อยู่ระหว่างการหารือว่าอาจจัดส่งชุดตรวจให้ถึงบ้านผ่านระบบไปรษณีย์ หรือ ไรเดอร์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนโดยหลังแจกจ่ายให้ประชาชนแล้ว ก็จะมีคณะทำงานติดตามผลว่าชุดตรวจที่ใช้มีประสิทธิภาพมากกน้อยแค่ไหน เพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจจัดซื้อในครั้งหน้า

ทั้งนี้ นอกจาก สปสช. และชมรมแพทย์ชนบท ที่เตรียมเดินหน้าทดสอบคุณภาพชุดตรวจ Lepu แล้ว  "สมชัย เจิดเสริมอนันต์" นายกสภาเทคนิคการแพทย์ บอกว่าสภาได้รับการติดต่อจาก อย. มาขอให้เข้าร่วมเป็นคณะทำงานตรวจสอบคุณภาพชุดตรวจ Lepu หลังกระจายให้ประชาชนใช้ด้วย ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างการตั้งคณะทำงาน และต้องรอความชัดเจนจาก อย. อีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ความจำเป็นและความต้องการชุดตรวจ ATK ของประชาชนได้เพิ่มขึ้นตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ล่าสุด จากเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เมื่อวันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา ระบุว่า มีผู้บริษัทที่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าและจำหน่ายชุดตรวจแล้วทั้งสิ้น 42 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยแหล่งผลิตชุดตรวจดังกล่าวมีโรงงานผลิตในประเทศจีนมากถึง 24-25 บริษัท รองลงไปเป็นเกาหลี 9 บริษัท สหรัฐอเมริกา 3 บริษัท ไต้หวัน 3 บริษัท สเปน 1 บริษัท และสวิตเซอร์แลนด์ 1 บริษัท

สำหรับราคานำเข้าและราคาขายชุดตรวจ ATK นั้น หลังจากกรมการค้าภายใน ทำหนังสือแจ้งให้ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ค้าชุดตรวจATK จัดส่งข้อมูลต้นทุนและราคาขายในท้องตลาดมาให้กรมพิจารณานั้น ข้อมูลที่จัดส่งมาให้กรมฯ แล้ว 9 ยี่ห้อ มีต้นทุนการนำเข้าแบบซีไอเอฟ (ค่าสินค้าบวกค่าประกันและค่าขนส่ง) ชิ้นละ 40.60-221.71 บาท เมื่อรวมค่าใช้จ่ายในการนำเข้า ค่าบริหารจัดการ และส่วนต่างราคา ราคาขายส่งอยู่ที่ชิ้นละ 160-305.55 บาท และราคาขายปลีกชิ้นละ 219.35-425 บาท หรือราคาขายในท้องตลาดเฉลี่ยอยู่ที่ 250-350 บาท

ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ กำลังรวบรวมข้อมูลเพื่อกำหนดราคาขายให้เหมาะสม และเปิดสายด่วน 1569 เพื่อให้ประชาชนแจ้งปัญหาเรื่องราคาสินค้า รวมทั้งสามารถแจ้งสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทุกจังหวัดทั่วประเทศ ทั้งนี้ ตามมาตรา 29 พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยชุดตรวจเอทีเค, วัคซีนป้องกันโควิด-19 และยาฟ้าทะลายโจร เป็นสินค้าควบคุมตามประกาศ กกร.ฉบับที่ 8 ลงวันที่ 28 มิถุนายน 2564

...ก็เป็นอันว่า ดรามาศึกชุดตรวจ ATK Lepu ที่เกิดขึ้นจาก "นายกฯ ลุงตู่" ก็จบลงด้วย "การกลับลำ" ของ "นายกฯ ลุงตู่" ด้วยประการฉะนี้