• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Prichas

#7786


หลังอลเวงมากว่าสองสัปดาห์ในโครงการจัดหาชุดตรวจเชื้อโควิด แบบ Antigen Test kit (ATK) สำหรับให้ประชาชนใช้ตรวจคัดกรองเชิงรุก จำนวน 8.5 ล้านชุด ซึ่งก่อนหน้านี้มี "ข้อสั่งการ" ของ  "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผ่านการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ขอให้ชุดตรวจ ATK ที่องค์การเภสัชกรรม (อภ.) จะจัดซื้อนั้นต้องผ่านมาตรฐาน WHO ตามข้อเรียกร้องของชมรมแพทย์ชนบทที่ออกมาเคลื่อนไหวกดดันเพื่อให้ได้ชุดตรวจที่มีคุณภาพสูง มีความแม่นยำ จากนั้นเรื่องก็ "เงียบฉี่" ไปร่วมสัปดาห์ กระทั่งในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมา "ความชัดเจน"  ก็เกิดขึ้น เมื่อที่ประชุม ครม.รับทราบ "ข้อสั่งการใหม่" ของนายกรัฐมนตรี โดยกลับลำขอให้เร่งมือจัดหามาโดยเร็วที่สุดแทน

 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ครม.รับทราบการขอปรับปรุงข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ในการประชุม ศบค.ครั้งที่ 12/2564 และการประชุม ครม. เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2564 โดยแก้ไขข้อความจากเดิมที่ระบุในข้อสรุปผลการประชุม ศบค. หน้าที่ 17 ข้อ 6 ว่า "การเร่งดำเนินการจัดหาชุดตรวจหาเชื้อโควิด-19 แบบแอนติเจน (Antigen Test Kit : ATK) ที่ผ่านการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) รวมทั้งต้องมีความแม่นยำในการตรวจ เพื่อนำไปสู่การรักษาที่ทันท่วงที และพร้อมจัดส่งให้ได้ภายในเวลาที่กำหนด" นายกรัฐมนตรี เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการ ศบค.ปรับปรุงแก้ไขข้อสั่งการนายกฯ มีข้อความดังนี้คือ "ในเรื่องการจัดหาซื้อชุดตรวจ ATK นี้ ขอให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เร่งดำเนินการให้ได้โดยเร็ว หากมีปัญหาความขัดแย้งอยู่ในปัจจุบัน ขอให้เร่งแก้ไขปัญหาให้ดีที่สุด"

สำหรับเหตุผลที่เปลี่ยนแปลงให้ ATK ไม่ต้องผ่านการรับรองมาตรฐานจาก WHO นั้น มีคำอธิบายจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล  รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งรายงานต่อครม.ว่า ชุดตรวจ ATK ถ้าจะผ่าน WHO มีเพียงชุดตรวจสำหรับใช้โดยบุคคลากรทางการแพทย์ (Professional use) ที่ WHO ให้การรับรอง แต่ ATK สำหรับใช้โดยประชาชนทั่วไป (Home use) WHO ยังไม่ได้ให้การรับรองใดๆ ทั้งสิ้น

แน่นอนว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดสามารถมองได้ 2 ประเด็นด้วยกัน

ประเด็นแรก หากคิดแบบโลกสวยก็อาจมองได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ดื้อดึงและรับฟังข้อเท็จจริง

ประเด็นที่สอง พล.อ.ประยุทธ์ใช้ SINGLE COMMAND โดยที่ไม่ได้ตรวจสอบให้แน่ชัด ทำให้เกิดความผิดพลาดในการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งส่งผลทำให้การจัดซื้อชุดตรวจ ATK เป็นไปด้วยความล่าช้า และประชาชนไม่สามารถเข้าถึงชุดตรวจได้อย่างรวดเร็ว เพราะการจัดซื้อชุดตรวจครั้งนี้คือการจัดซื้อสำหรับประชาชนทั่วไปใช้มิใช่สำหรับบุคลากรทางการแพทย์

หลังจาก ครม. เคาะเกณฑ์ใหม่แล้ว นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม ได้แจ้งโรงพยาบาลราชวิถี และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อเดินหน้าดำเนินการจัดซื้อ ATK คู่ขนานไปกับการแจ้งบริษัทที่ชนะการประมูล ให้มาดำเนินการตามสัญญาจัดซื้อจัดจ้างตามข้อสั่งการที่นายกรัฐมนตรี ระบุให้เร่งดำเนินการให้เร็วที่สุดเพื่อให้ ATK ถึงมือประชาชนโดยเร็ว โดยลงนามในหนังสือลงวันที่ 24 สิงหาคม 2564 เรียบร้อยแล้ว

ขณะเดียวกัน  นางศิริญา เทพเจริญ  รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด บริษัท ณุศาศิริ จำกัด และ กรรมการบริหาร บริษัท เวิลด์ เมดิคอล อัลไลแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะตัวแทนจำหน่าย Lepu ให้สัมภาษณ์สื่อถึงเรื่องที่องค์การเภสัชกรรม เตรียมทำสัญญาจัดซื้อชุดตรวจ ATK จำนวน 8.5 ล้านชุด ในวันที่ 27 สิงหาคม แต่เนื่องจากต้องเตรียมเอกสารเพิ่มเติม จึงเลื่อนการทำสัญญาออกไปเป็นวันจันทร์ ที่ 30 สิงหาคม 2564 แทน ซึ่งหลังจากเซ็นสัญญา แล้วทางบริษัทพร้อมนำเข้าสินค้าตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้ทันที

อย่างไรก็ดี ก่อนหน้าที่เรื่องจะจบลงอย่างที่ปรากฏ ทางณุศาศิริก็เคลื่อนไหวอย่างหนัก โดยประกาศว่า บ.ณุศาศิริ ฯ และ บ.เวิลด์ เมดดิคอลฯ จะเป็นผู้นำเข้า ATK เพื่อคนไทย จำนวน 8.5 ล้านชิ้น มาจำหน่ายให้ประชาชนคนไทยทุกคน ได้มีโอกาสเข้าถึงชุดตรวจโควิดด้วยตนเอง ในราคาเพียงชุดละ 75 บาท โดยเป็นราคาที่ใกล้เคียงกับราคาที่ประมูลได้จากทางองค์การเภสัชฯ ซึ่งู้ที่สนใจสามารถเข้าไป Pre Order ขั้นต่ำ 1 กล่อง ( 1 กล่อง มี 25 ชุด) ได้ตั้งแต่วันที่ 23 -31 ส.ค.นี้ (สินค้า Pre-Order รับชุดตรวจที่คลินิกและร้านขายยาที่ร่วมโครงการกับ MORHELLO ได้ภายใน 14-30 วัน นับจากรับยอดโอน) หรือติดต่อสั่งซื้อได้ที่ Line @ Morhello ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

ทว่า หลังจากมีความชัดเจนเรื่องการทำสัญญากับ อภ. นางศิริญาชี้แจงว่า การจำหน่ายให้ประชาชนจะเปิดให้ซื้อเพียง 5 วันเท่านั้น และหลังจากนี้จะไม่มีราคานี้อีก โดยขณะนี้มีทั้งสถานประกอบการ โรงงาน และประชาชนทั่วไป ให้ความสนใจสั่งซื้อกันแล้วยอดไม่ต่ำกว่า 1 ล้านชิ้น คาดว่าผลิตภัณฑ์ส่วนนี้จะเข้ามากระจายให้ผู้ที่สั่งจองภายใน 14-30 วัน อีกทั้งหลังจากนี้บริษัทจะนำเข้ามาขายแบบทั่วไปด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาราคาขายที่เหมาะสม แต่ในเบื้องต้นขณะนี้ขอนำเข้าในสัดส่วนที่ภาครัฐเตรียมจัดซื้อเพื่อแจกประชาชนใช้ฟรีก่อน

ขณะที่ปฏิกิริยาอีกฟากฝั่งทาง  ชมรมแพทย์ชนบท ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 5 สวนมติ ครม.ที่ออกมาใหม่ทันควัน โดยจั่วหัวว่า "ตู่ไม่แข็ง ชมรมแพทย์ชนบทและเครือข่ายจะยังคงตรวจสอบคุณภาพ ATK ที่ประมูลได้ต่อไป" โดย  นายแพทย์สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ  ระบุว่าข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่มีการแก้ไขใหม่นั้น ทางชมรมฯ มองเห็นแนวโน้มมาตลอดและสุดท้ายก็ชัดเจนว่า "รัฐบาลของนายกประยุทธ์ จันทร์โอชานั้น ไม่แข็งจริง การไม่มีหลักยึดทีมั่นชัด ไม่แข็งที่จะยืนบนหลักที่ถูกต้อง ทำให้การนำรัฐนาวาประเทศไทยสู่การฝ่าฟันวิกฤตโควิดไปได้นั้นสาหัสและเจ็บหนักมากทั้งชีวิตผู้คนและระบบเศรษฐกิจไทย"

ชมรมแพทย์ชนบท ยังคงยืนบนหลักการของแถลงการณ์ฉบับที่ 3 ที่เคยเสนอไปแล้วว่า อำนาจการจัดซื้ออยู่ที่องค์กรรัฐ แต่อำนาจการตรวจสอบอยู่ที่เราภาคประชาชน ชมรมแพทย์ชนบทร่วมกับเครือข่ายภาคประชาชน ยังยืนยันที่จะระดมทีมปฏิบัติการจากทุกภาค ทำการตรวจสอบชุดตรวจ ATK ที่ได้รับการประมูลว่ามีคุณภาพทั้ง sensitivity และ specificity ดังที่กล่าวอ้างหรือไม่ มีผลบวกปลอมและผลลบปลอมในสัดส่วนที่เกินกว่าจะรับได้หรือไม่ โดยจะเริ่มปฏิบัติการทันทีที่ชุดตรวจได้กระจายลงสู่พื้นที่ และหากผลการตรวจสอบพบว่าชุดตรวจมีคุณภาพต่ำเกินกว่าที่จะรับได้ เรื่องนี้ต้องมีผู้รับผิดชอบ

ด้าน  "นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี" เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) บอกว่า สปสช. เป็นเจ้าของงบประมาณ พร้อมกระจายชุดตรวจโควิดให้ประชาชนทันที หลังชุดตรวจ Lepu เข้าไทยแล้ว เบื้องต้นวางแผนว่าจะกระจาย 3 แบบ ระจาย 3 แบบ คือ กระจายให้ชุมชนแออัดในพื้นที่สีแดงเป็นลำดับแรก กระจายไปยังร้านยาในเครือข่าย จากนั้นให้ประชาชนมารับชุดตรวจ และกระจายไปยังหน่วยให้บริการ เช่น รพ.สต. ศูนย์สาธารณสุข สถานพยาบาลในเครือข่ายของ สปสช. แล้วให้ประชาชนมารับชุดตรวจ ซึ่งเป้าหมาย คือต้องการให้ประชาชนนำไปตรวจหาเชื้อโควิดด้วยตัวเอง และให้บุคลากรเป็นผู้ตรวจให้กับกลุ่มเสี่ยง หากตรวจแล้วไม่พบเชื้อ แต่เห็นว่ามีความเสี่ยง ก็จะให้ชุดตรวจกลับไปตรวจที่บ้านอีก 1-2 ชุดและตอนนี้อยู่ระหว่างการหารือว่าอาจจัดส่งชุดตรวจให้ถึงบ้านผ่านระบบไปรษณีย์ หรือ ไรเดอร์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนโดยหลังแจกจ่ายให้ประชาชนแล้ว ก็จะมีคณะทำงานติดตามผลว่าชุดตรวจที่ใช้มีประสิทธิภาพมากกน้อยแค่ไหน เพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจจัดซื้อในครั้งหน้า

ทั้งนี้ นอกจาก สปสช. และชมรมแพทย์ชนบท ที่เตรียมเดินหน้าทดสอบคุณภาพชุดตรวจ Lepu แล้ว  "สมชัย เจิดเสริมอนันต์" นายกสภาเทคนิคการแพทย์ บอกว่าสภาได้รับการติดต่อจาก อย. มาขอให้เข้าร่วมเป็นคณะทำงานตรวจสอบคุณภาพชุดตรวจ Lepu หลังกระจายให้ประชาชนใช้ด้วย ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างการตั้งคณะทำงาน และต้องรอความชัดเจนจาก อย. อีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ความจำเป็นและความต้องการชุดตรวจ ATK ของประชาชนได้เพิ่มขึ้นตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ล่าสุด จากเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เมื่อวันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา ระบุว่า มีผู้บริษัทที่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าและจำหน่ายชุดตรวจแล้วทั้งสิ้น 42 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยแหล่งผลิตชุดตรวจดังกล่าวมีโรงงานผลิตในประเทศจีนมากถึง 24-25 บริษัท รองลงไปเป็นเกาหลี 9 บริษัท สหรัฐอเมริกา 3 บริษัท ไต้หวัน 3 บริษัท สเปน 1 บริษัท และสวิตเซอร์แลนด์ 1 บริษัท

สำหรับราคานำเข้าและราคาขายชุดตรวจ ATK นั้น หลังจากกรมการค้าภายใน ทำหนังสือแจ้งให้ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ค้าชุดตรวจATK จัดส่งข้อมูลต้นทุนและราคาขายในท้องตลาดมาให้กรมพิจารณานั้น ข้อมูลที่จัดส่งมาให้กรมฯ แล้ว 9 ยี่ห้อ มีต้นทุนการนำเข้าแบบซีไอเอฟ (ค่าสินค้าบวกค่าประกันและค่าขนส่ง) ชิ้นละ 40.60-221.71 บาท เมื่อรวมค่าใช้จ่ายในการนำเข้า ค่าบริหารจัดการ และส่วนต่างราคา ราคาขายส่งอยู่ที่ชิ้นละ 160-305.55 บาท และราคาขายปลีกชิ้นละ 219.35-425 บาท หรือราคาขายในท้องตลาดเฉลี่ยอยู่ที่ 250-350 บาท

ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ กำลังรวบรวมข้อมูลเพื่อกำหนดราคาขายให้เหมาะสม และเปิดสายด่วน 1569 เพื่อให้ประชาชนแจ้งปัญหาเรื่องราคาสินค้า รวมทั้งสามารถแจ้งสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทุกจังหวัดทั่วประเทศ ทั้งนี้ ตามมาตรา 29 พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยชุดตรวจเอทีเค, วัคซีนป้องกันโควิด-19 และยาฟ้าทะลายโจร เป็นสินค้าควบคุมตามประกาศ กกร.ฉบับที่ 8 ลงวันที่ 28 มิถุนายน 2564

...ก็เป็นอันว่า ดรามาศึกชุดตรวจ ATK Lepu ที่เกิดขึ้นจาก "นายกฯ ลุงตู่" ก็จบลงด้วย "การกลับลำ" ของ "นายกฯ ลุงตู่" ด้วยประการฉะนี้
#7787
 



เคยได้ยินกันใช่ไหม ว่าการแก้ไขปัญหาให้ได้ผลชะงัดนั้นต้องเริ่มจัดการปัญหากันตั้งแต่ต้นเหตุ? ปัญหาผิวแห้ง หยาบกร้าน หมองคล้ำหรือแม้แต่ริ้วรอยก็เช่นกัน หากต้องการทวงคืนผิวสวยให้กลับมาเปล่งปลั่งดูงดงามได้นั้น
แท้จริงแล้วต้องเริ่มต้นจากการแก้ไขผิวแห้งผิวขาดความชุ่มชื้นที่เป็นต้นเหตุสำคัญของปัญหาผิวนับร้อยพันให้หมดไปเสียก่อน

 Calendula Serum Infused Water Cream "ครีมเพิ่มความชุ่มชื้น" จากกลีบดอกคาเลนดูล่าคือตัวเลือกที่ใช่
พร้อมประสิทธิภาพ "ปลอบประโลมผิว" และเข้าแก้ไขปัญหา "ผิวขาดน้ำ"
ต้นเหตุสำคัญของอุปสรรคผิวสวยใส


"ดอกคาเลนดูล่า" พืชสมุนไพรที่ใช้ในตำรับการแพทย์และการดูแลผิวมายาวนานนับศตวรรษ
สารสกัดจาก "ดอกคาเลนดูล่า" และกลีบดอกคาเลนดูล่าจากดินแดนแถบเมดิเตอร์เรเนียนมีคุณสมบัติในการมอบความชุ่มชื้นคืนสู่ผิวอย่างทรงพลัง พร้อมประสิทธิภาพช่วยปลอบประโลมผิวอ่อนล้าให้แข็งแรง เป็นส่วนผสมสำคัญที่มักถูกเลือกใช้ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณ อีกทั้งยังมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในตำรับแพทย์แผนจีนโบราณและทางอายุรเวชอย่างแพร่หลายมายาวนานหลายศตวรรษ สามารถใช้ได้กับสภาพผิวทุกประเภท ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ระคายเคือง สามารถชะลออายุของผิวให้อ่อนวัย และปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระพร้อมลดการอุดตัน


Kiehl's Calendula เติมความชุ่มชื้นให้ผิวพรรณ มอบความรู้สึกเปล่งปลั่งสดชื่นในทันที
Kiehl's ได้คัดสรรสารสกัดจากดอกคาเลนดูล่ามาใช้เป็นส่วนประกอบหลักของผลิตภัณฑ์ฟื้นฟูผิว โดยได้รับแรงบันดาลใจจากผลลัพธ์ทรงประสิทธิภาพของ Calendula Herbal-Extract Toner โทนเนอร์ขายดีจาก Kiehl's ที่กอบกู้ผิวสวยใสให้หนุ่มสาวมาแล้วทั่วโลก เมื่อนำมาบดละเอียดและผ่านความร้อนสูงผสมเข้ากับ Water Cream ได้เป็นครีมเพิ่มความชุ่มชื้นมีคุณสมบัติในการเติมน้ำให้กับผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพแต่ไม่ได้ให้ความรู้สึกหนาหนัก ในทางกลับกันตัวครีมมีเนื้อที่บางเบาในลักษณะเจลครีมสีเหลืองอ่อน เกาะตัวแน่น เข้มข้นสูง ทาแล้วให้สัมผัสนุ่มสบาย สามารถซึมซาบสู่ชั้นผิวได้อย่างรวดเร็ว ช่วยทำรู้สึกถึงความชุ่มชื้น สดชื่นและทำให้ผิวเปล่งประกายภายหลังการใช้ในทันที


ใช้เป็นประจำเพื่อผลลัพธ์ที่เห็นได้ใน 1 สัปดาห์
เพียงนวดและลูบไล้ครีม Kiehl's ลงบนผิวหน้าภายหลังการทำความสะอาดทุกเช้าและก่อนนอนเพื่อเติมความชุ่มชื้นให้ชั้นผิว ภายหลังการใช้เพียง 1 สัปดาห์ ผิวพรรณที่อ่อนล้าและแห้งกร้านจะค่อย ๆ ถูกฟื้นฟู มีสีผิวที่ดูสม่ำเสมอมากขึ้น และเมื่อใช้ต่อเป็นประจำ วอเตอร์ครีมนี้สามารถต้านทานริ้วรอยแรกเริ่ม พร้อมจัดการปัญหาเรื่องรอยแดง ความหมองคล้ำให้ค่อยๆ ลดเลือนลงไป


Calendula Cream มาในกระปุกสีเหลืองสดใส เนื้อครีมเจลบางเบาแต่เข้มข้นมีกลิ่นหอมซิตรัสจากน้ำมันหอมระเหยเปลือกส้ม ดอกไม้และมะนาวช่วยให้รู้สึกสดชื่นผ่อนคลาย
#7791
ถือเป็นคำถามที่หลายๆ คนข้องใจ...ว่าแท้จริงแล้วการใช้ "โทนเนอร์" นั้นสำคัญไฉนและจำเป็นต้องใช้ทุกครั้งหลังทำความสะอาดผิวหน้าเลยหรือ? 





สำหรับคำตอบนั้น เราลองยกให้ Calendula Herbal Extract Toner Alcohol Free จาก Kiehl's เป็นผู้เฉลยไขคำตอบให้กันจะดีกว่า ว่าประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ยอดขายอันดับหนึ่งที่ครองใจผู้ใช้ทั่วโลกขวดนี้มีดีต่อผิวอย่างไรบ้าง 

โทนเนอร์ Kiehl's ช่วยทำความสะอาดผิวได้อย่างลึกล้ำหลังการล้างหน้า 
แม้ว่าคุณจะล้างหน้าอยู่แล้วเป็นประจำทุกวัน ทว่าก็ไม่อาจทำให้มั่นใจได้ว่าน้ำและโฟมล้างหน้าสามารถชะล้างสิ่กสกปรกตกค้างจากใบหน้าออกไปได้อย่างหมดจดแล้วเพียงพอ เพราะหากได้ลองสังเกตดู แม้ว่าจะได้ล้างหน้าสะอาดแล้วเพียงใด เมื่อเช็ดหน้าด้วยโทนเนอร์อีกครั้ง ก็มักมีคราบดำ คราบสกปรกหลุดออกมาให้เห็นเพิ่มเติมอยู่ดี 

โทนเนอร์จากดอกคาเลนดูล่าช่วยเช็ดทำความสะอาดผิวหน้าและขจัดสิ่งสกปรกตกค้างหลังการล้างหน้าได้อย่างลึกล้ำ สามารถใช้ได้ทั้งในช่วงเช้า หรือก่อนแต่งหน้า และก่อนเข้านอน

ปรับสมดุลและปลอบประโลมผิวให้แข็งแรง 
ด้วยนวัตกรรมและส่วนผสมสูตรพิเศษจากสมุนไพรนานาพันธุ์ ทั้งกลีบดอกคาเลนดูล่า ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระพร้อมคุณสมบัติปลอบประโลมให้ความสบายต่อผิว และสมุนไพรจากต้นคอมเฟรย์และรากของต้นโกโบ Calendula Toner จึงโด่งดังเรื่องการใช้ซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่สึกหรอพร้อมเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิว โทนเนอร์ขวดนี้สามารถช่วยปลอบประโลมผิว ลดความระคายเคือง และบรรเทาปัญหาผิวแห้งหยาบกร้านให้กลับมาชุ่มชื้นดูแข็งแรง

ดูแลผิวอย่างอ่อนโยนเหมาะกับทุกสภาพผิว 
แม้จะมีประสิทธิภาพทรงพลังในการใช้ทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างลึกล้ำหมดจด คุณก็สามารถมั่นใจได้ว่า Kiehl's Toner นั้นอ่อนโยนและปลอดภัยและไม่เป็นอันตรายต่อผิวสำหรับผู้แพ้ง่าย เพราะ Kiehl's เลือกใช้เฉพาะส่วนผสมจากธรรมชาติที่ผ่านการเก็บเกี่ยวด้วยมืออย่างพิถีพิถัน ไม่มีส่วนผสมจากแอลกอฮอล์ จึงอ่อนโยนและดีต่อผู้ใช้ที่มีผิวบอบบาง อีกทั้งยังเหมาะกับทุก ๆ สภาพผิวโดยเฉพาะผู้มีผิวผสม ผิวมัน ไปจนถึงผู้ที่มีปัญหาสิว หรือ ผิวระคายเคืองง่าย

ใช้เป็นประจำเพื่อผิวเรียบเนียนสัมผัสได้ 
ไม่เพียงแต่จะรู้สึกได้ว่าผิวหน้าดูแข็งแรงขึ้นกว่าเคย แต่เมื่อได้ใช้ Kiehl's Calendula  Toner เป็นประจำเพื่อการทำความสะอาดและฟื้นฟูผิวหน้า คุณจะสามารถสัมผัสได้ถึงผิวที่กระจ่างใส ดูมีออร่า มีความเรียบเนียนและแลดูเปล่งปลั่งมากยิ่งกว่าเดิม

Toner จากดอกคาเลนดูล่าขวดนี้มาในขวดใสสไตล์มินิมอล และยังมีกลิ่นหอมละมุนอ่อนๆ จากสมุนไพร ที่ช่วยให้คุณรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายในทุก ๆ ครั้งที่เปิดใช้งาน

 
 
#7792


ตามที่มีข่าวออกมากยังมีประชาชนกลุ่มเปราะบางที่อาจจะไม่ได้รับการช่วยเหลือให้ทันท่วงที่ต่อผลกระทบของการแพร่ระบาดของโควิด-19 เลยทำให้นึกถึงการพัฒนากำลังคนของประเทศว่า ประชาชนกลุ่มเปราะบางกลุ่มไหน จะสามารถมาเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศด้านกำลังคน เพราะโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ยังต้องการกำลังคนมาสนับสนุนโครงการต่างๆ ในเขตอีอีซี

ผู้เขียนได้มีโอกาสทำงานด้านการพัฒนากำลังคนดิจิทัล ซึ่งเป็นหนึ่งในภาระกิจของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ในการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาผลิตกำลังคนเพื่อรองรับอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ประเทศไทยเข้าสู่ยุค Thailand 4.0 และกำลังพัฒนาประเทศด้วยเศรษฐกิจดิจิทัล จากประสบการณ์มีหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนให้ความร่วมมืออย่างดียิ่งในการพัฒนากำลังคน ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาหรือสถาบันอาชีวศึกษา หรือบุคลากรในหน่วยงานที่มีการ upskill reskill new skill อยู่บ่อยครั้ง แต่หากมองออกไปที่กลุ่มอื่น ที่ยังไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมการส่งเสริมและช่วยเหลือมากนัก ก็จะเป็นกลุ่มที่อยู่นอกระบบ ซึ่งถ้าหากเราสามารถนำกลุ่มนี้กลับเข้ามาในระบบได้ก็เป็นดี จะได้มาเสริมกำลังคนในการพัฒนาประเทศ

กลุ่มประชากรที่อยู่ในระบบก็จะได้รับการส่งเสริมง่ายกว่ากลุ่มที่อยู่นอกระบบ เช่น โครงการ Schools Championship หรือ โครงการ depa Maker Spaces ของ depa ซึ่งเป็นโครงการที่ปูพื้นฐานด้วยองค์ความรู้ด้านโค้ดดิ้งให้กับนักเรียนระดับชั้นประถมและมัธยมศึกษา หรือกลุ่มนักศึกษาและบุคลากรที่มีการจัดอบรมต่อยอดองค์ความรู้เดิมที่มีอยู่ให้สูงยิ่งขึ้นไปอีก จะอยู่ในรูปแบบของ reskill upskill และ new skill

กลุ่มประชาชนเปราะบางด้านการพัฒนกำลังคนนั้น คือ กลุ่มที่อยู่นอกระบบหรือแรงงานนอกระบบ เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่ทำให้ไม่สามารถเข้าอยู่ในระบบได้ เช่น การขาดโอกาสเข้ารับการศึกษาขั้นพื้นฐานหรือออกจากระบบการศึกษาก่อนเวลาอันควร จากรายงานของ จากรายงานของ Organization for Economic Co-operation and Development (2019) รายงานว่าถึงแม้เมื่อปี 2552 รัฐบาลมีมติคณะรัฐมนตรีจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย 15 ปี โดยนับจากชั้นอนุบาล ถึง มัธยมศึกษาปีที่ 6 แต่ก็ยังปัจจัยอื่นที่ทำให้นักเรียนต้องออกจากระบบการศึกษาขั้นพื้นฐาน

อย่างไรก็ตามหากประชาชนกลุ่มเปราะบางด้านการพัฒนากำลังคนได้รับโอกาสในการพัฒนาในทักษะขั้นพื้นฐานที่จำเป็นต่อการประกอบวิชาชีพ ถึงอาจจะใช้งบประมาณสูง ใช้เวลานาน และความอดทนสูงก็ตาม เพราะจะต้องมีการวางแผนรอบด้าน ตั้งแต่การวางหลักสูตรที่เร่งรัดแต่มีประสิทธิภาพ จัดหาระบบที่เอื้ออำนวยความสะดวกในการเดินทางเพื่อมาอบรม จัดหาแหล่งจ้างงานที่รองรับหลักจบจากหลักสูตร แต่หากมองในระยะยาว ก็ถึงว่าคุ้มที่จะลงทุนเพราะจะมีผลกระทบเชิงบวกในหลายมิติ เช่น ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม เพิ่มจำนวนประชากรที่มีคุณภาพทำให้กับสังคม เศรษฐกิจมีการขับเคลื่อนและหมุนเวียนเนื่องจากมีจำนวนผู้บริโภคเพิ่มขึ้น และที่สำคัญจะมีการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น เนื่องจากเรามีบุคลากรเพียงพอในการรองรับธุรกิจที่จะมาตั้งในเขตอีอีซี และลดจำนวนการจ้างแรงงานจากต่างประเทศ

ADVERTISEMENT


ดังนั้น หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ได้คลี่คลาย ทั้งภาครัฐ เอกชน และองค์กรต่างๆ ควรร่วมมือกันวางแผนการส่งเสริมการอบรมให้ความรู้แก่ประชาชนกลุ่มเปราะบางด้านการพัฒนากำลัง ประชากรกลุ่มนี้อาจจะเป็นกลุ่มท้ายๆ ที่หลายคนไม่ได้นึกถึง เพราะอยู่นอกระบบ ทั้งที่เป็นบุคลากรที่มีคุณภาพและสามารถทำงานได้ เพียงแต่ขาดโอกาสในการพัฒนาและสนับสนุน ประชากรกลุ่มนี้ก็สามารถเป็นกำลังเสริมในการขับเคลื่อนประเทศได้
#7793
ต้องการถมดิน ถมที่ นึกถึงเรา เริ่มที่เราจบที่เรา ไม่ใช่นายหน้า ติดต่อ 080-022-3804
รับทุกขนาดพื้นที่ ฟรีตรวจสอบพื้นที่ประมาณ ราคา
#7794


นางแววคนีย์ อัสโสรัตน์กุล ผู้จัดการทั่วไปเคเอฟซีประเทศไทย บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า กระแสการตอบรับเนื้อจากพืชกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นในหลายประเทศ รวมถึงในประเทศไทย เมนูอาหารจากแพลนต์เบส (Plant Based) จึงเป็นอีกความท้าทายหนึ่งของ KFC ในการนำเสนอเมนูเนื้อไก่จากพืชที่เหมาะสำหรับผู้บริโภคชาวไทย เป็นอีกทางเลือกให้ผู้บริโภคได้ลิ้มลอง ซึ่งพบว่า Meat Zero เป็นแบรนด์แพลนต์เบสของไทยที่มีความโดดเด่น เหมือนเนื้อไก่จริง ทั้งลักษณะชิ้นเนื้อ รสชาติ กลิ่นและเนื้อสัมผัส เมื่อนำมาปรุงเป็นเมนูแบบไทยในสไตล์ของเคเอฟซี จึงมั่นใจได้ว่าผู้บริโภคจะได้รับอรรถรสความอร่อยเหมือนทุกครั้งที่สัมผัสรสชาติของ KFC

"การเลือก Meat Zero มาปรุงเป็นเมนูไก่ป็อปแพลนต์เบส และข้าวยำไก่ป็อปแพลนต์เบส มีความอร่อยลงตัวและกลมกลืนมาก เชื่อว่าผู้บริโภคแทบจะไม่รู้เลยว่ากำลังรับประทานเนื้อไก่ที่ทำมาจากพืช วันไหนที่ต้องการเว้นเนื้อสัตว์เราสามารถตอบโจทย์นี้ของลูกค้าได้ทันที ภายใต้ความอร่อยที่ทุกคนคุ้นเคย เมนูพิเศษนี้ยังถือเป็นส่วนหนึ่งภายใต้แนวคิดรักษ์โลกของ KFC โดยจะประเดิมวางจำหน่ายที่ร้านสาขา KFC Green Store" นางแววคนีย์กล่าว



ด้าน นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เปิดเผยว่า Meat Zero เป็นนวัตกรรมจากพืชที่อร่อยอย่างเนื้อ และได้รับการตอบรับอย่างดีมากจากผู้บริโภค ครั้งนี้เป็นอีกก้าวหนึ่งของ Meat Zero ที่ได้รับเลือกจาก KFC เชนร้านอาหารฟาสต์ฟูดอันดับ 1 ของไทย ให้เป็นเมนูแพลนต์เบสจานแรกของ KFC และร่วมเติมเต็มรสชาติความอร่อยที่รักษ์โลก รักษ์สิ่งแวดล้อมของร้าน KFC Go Green สอดคล้องกับความมุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรมอาหารที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมของซีพีเอฟ และเป็นเมนูที่ดีต่อใจของผู้ที่ต้องการลดการบริโภคเนื้อสัตว์ ทั้งกลุ่มวีแกน และกลุ่มมังสวิรัติยืดหยุ่น (Flexitarian)

ร่วมรักษ์โลกและพิสูจน์ความอร่อยของ ไก่ป๊อปแพลนต์เบส และ ข้าวยำไก่ป๊อปแพลนต์เบส ได้แล้ววันนี้ ณ ร้าน KFC Green Store 2 สาขา คือ สาขาอาคารแสงโสม และสาขาวนชัย ดีโป้ ฉะเชิงเทรา โดยมีเซตเมนูให้เลือกถึง 6 เซต ได้แก่ แพลนต์เบสป๊อป 7 ชิ้น ราคา 49 บาท ข้าวแพลนต์เบสแซ่บโบวล์ ราคา 75 บาท ชิคแอนด์แชร์ แพลนต์เบสป๊อป ราคา 119 บาท คอมโบ แพลนต์เบสป๊อป ราคา 79 บาท คอมโบข้าวแพลนต์เบสแซ่บโบวล์ 119 บาท และ เดอะบ็อกซ์ แพลนต์เบส 179 บาท

อนึ่ง เมนูอาหารจากแพลนต์เบสเป็นส่วนหนึ่งของโรดแมปด้านความยั่งยืนของ KFC ที่ประกอบด้วย 3 เสาหลัก คือ Planet การเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตลอดห่วงโซ่ เช่น การเลือกวัสดุก่อสร้างร้านสาขา ลดใช้พลังงานและการลดพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง - Food สร้างสรรค์เมนูอาหารที่มีคุณภาพและมีความรับผิดชอบ - People การเพิ่มศักยภาพของผู้คนในการเข้าถึงอาหารและลดความเหลื่อมล้ำ
#7795
คิดจะ ถมดิน ขุดท่อ ทำถนน ขุดสระ ถางป่า เครียร์พื้นที่ ติดต่อ 080-022-3804
#7796


บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า บริษัทได้เข้าซื้อธุรกิจสุกร ในประเทศรัสเซีย โดย LLC RBPI Voronezh ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ตั้งขึ้นใหม่ของ CPF โดยจะชำระค่าตอบแทนเป็นเงิน 22,000 ล้านรัสเซียรูเบิล หรือเทียบเท่าประมาณ 9,900 ล้านบาท ทั้งนี้คาดว่าการเข้าทำรายการจะแล้วเสร็จภายในเดือน ม.ค. 2565

ส่วนเงินที่ใช้ในการลงทุนครั้งนี้ จะมาจากการกู้ยืมจากสถาบันการเงินและภายในกลุ่ม ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เห็นว่า การเข้าทำรายการดังกล่าว มีความสมเหตุสมผลและจะทำให้บริษัท มีศักยภาพในการขยายธุรกิจสุกรในรัสเซียให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 26 ส.ค. ที่ผ่านมา ผู้ซื้อและผู้ขายได้เข้าทำสัญญาซื้อขายหุ้น (Share Purchase Agreement หรือ Agreement) โดยภายใต้ Agreement ดังกล่าว โดยผู้ซื้อจะชำระค่าตอบแทนดังกล่าว เพื่อให้ได้มาซึ่งรายการต่อไปนี้ 1.หุ้นทั้งหมดใน LLC Agro-Sojuz TS และ LLC Mjaso-Sojuz T หรือ บริษัทเป้าหมาย และ 2.หนี้เงินกู้ยืมที่ผู้ขายให้กู้ยืมแก่บริษัทเป้าหมาย และเมื่อการทำรายการแล้วเสร็จ บริษัทเป้าหมายดังกล่าวและบริษัทย่อยจะมีสถานะเป็รบริษัทย่อยทางอ้อมของ CPF

ทางด้านผู้ขายหุ้นดังกล่าว ที่ บริษัทย่อย CPF ซื้อมานั้น ประกอบด้วย 1.Tönnies Russland Agrar GmbH 2.RKS Agrar.eiligungs GmbH และ 3.Tönnies Holding ApS & Co. KG
#7797


นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์  เปิดเผยว่า  ตัวเลขการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนเดือนก.ค. 2564  มีมูลค่า 90,101 ล้านบาท ขยายตัว 41.70% แยกเป็นการค้าชายแดน มูลค่า 40,416 ล้านบาท  เพิ่ม10.55% โดยมาเลเซีย เพิ่ม 17.95% เมียนมาเพิ่ม 10.65% สปป.ลาวเพิ่ม  8.08% กัมพูชา เพิ่ม 5.12% และการค้าผ่านแดนมีมูลค่า 49,685 ล้านบาทเพิ่ม 83.84% โดยจีนขยายตัวสูงถึง 126.64% มีสินค้าที่ส่งออกไปมากที่สุดผลไม้สดและผลไม้แห้ง 348% มูลค่ารวม 15,000 ล้านบาท โดยเฉพาะทุเรียนมีมูลค่า 10,600 ล้านบาท มังคุด 4,700 ล้านบาท และลำไย 370 ล้านบาท เป็นต้น ขณะที่ สิงคโปร์เพิ่ม  59.85% และเวียดนาม เพิ่ม 1.63%  

การค้าชายแดนและผ่านแดนที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากการทำงานร่วมกันอย่างหนักและต่อเนื่องระหว่างกระทรวงพาณิชย์ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และภาคเอกชน  ภายใต้รูปแบบ กรอ.พาณิชย์  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเร่งเปิดจุดผ่านแดน ด่านทั้งหมดมี 97 ด่าน แต่หลายด่านก็ต้องปิดเนื่องจากสถานการณ์โควิด ปัจจุบัน สามารถเปิดแล้วถึง 44 ด่าน  การแก้ปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการส่งออกทั้งด่านในประเทศเพื่อนบ้านและด่านของประเทศผู้นำเข้า  เช่น  ด่านโหย่วอี้กวน ของจีน การเพิ่มช่องการขนส่งที่ด่านตงซิง ทำให้การขนส่งผลไม้ไทยมีความคล่องตัว  รวมทั้งปัญหาด้านสุขอนามัยที่ทำให้จีนจะงับการนำเข้าผลไม้ไทย

นอกจากนี้กระทรวงพาณิชย์มีนโยบายช่วยต่อลมหายใจให้กับ SMEs ส่งออกซึ่งมีส่วนสำคัญในการทำตัวเลขการส่งออกสินค้าข้ามแดนและชายแดนคือโครงการ "จับคู่กู้เงิน"สถาบันการเงินกับ SMEs ส่งออก โดยวันที่ 26 ส.ค. EXIM Bank อนุมัติเงินกู้เงื่อนไขพิเศษให้ SMEs ส่งออกแล้ว 151 รายเป็นเงิน 618 ล้านบาท ช่วยให้เกิดสภาพคล่องในการทำตัวเลขส่งออกผ่านการค้าชายแดนและผ่านแดนเพิ่มขึ้น   รวมทั้ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า และความต้องการสินค้าบางประเภทเพิ่มขึ้นเช่น สินค้า Work from Home และค่าเงินบาทเริ่มอ่อนค่าลงโดยเฉลี่ย 10% ช่วยให้เราสามารถแข่งขันในตลาดเพื่อนบ้านหรือตลาดจีนได้ดีขึ้น



นายจุรินทร์ กล่าวว่า   อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยลบที่เป็นตัวถ่วงตัวเลขการค้าชายแดนเช่นสถานการณ์โควิดซึ่งมาเลเซียเข้มงวดการนำเข้าสินค้าชายแดนผ่านไทยเพราะต้องควบคุมการแพร่ระบาดซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกน้ำยางและส่งผลต่อราคาน้ำยางในประเทศไทย แต่ยางก้อนถ้วยยังราคาดีมากและดีกว่าหลายยุคที่ผ่านมา เพราะ 3-5 ปีที่ผ่านมากิโลกรัมละ 15 บาท แต่วันนี้ 24 บาท ซึ่งราคาอาจปรับลดลงไปบ้างตามสถานการณ์ และระบบการขนส่งโลจิสติกส์ทั้งการขนส่งข้ามจังหวัดและะระบบการขนส่งข้ามประเทศที่ต้องแก้ปัญหาหน้างาน ตลอดทั้งจากไทยไปลาว ลาวไปเวียดนาม เป็นต้น หรือรวมทั้งข้ามฝั่งไปเมียนมาเพราะสถานการณ์การเมืองในเมียนมาเป็นปัจจัยตัวที่ทำให้การค้าชายแดนไม่คล่องตัวอย่างในภาวะปกติ

สำหรับด่านที่จะเร่งรัดเปิดต่อไปหลังจากเปิด 44 จาก 97 ด่าน ตนมอบหมายให้อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเจรจากับจับมือกับเอกชนและจังหวัด ขณะนี้มีความคืบหน้าใน 5 จังหวัดคือ เชียงราย เลย หนองคาย นครพนมและมุกดาหาร ที่จะทำแผนการเปิดด่านระหว่างไทยกับลาวแล้ว   ส่วนด่านปากแซง นาตาล ที่อุบลราชธานี ที่ตนไปดูด่านด้วยตนเองประสานจังหวัดจัดงบประมาณทำทางลาดลงไป มีความคืบหน้าในการเจรจาอยู่ในขั้นตอนรายละเอียด คาดว่าน่าจะเป็นด่านแรกๆที่จะสามารถเปิดด่านได้ 3.ที่นราธิวาส ด่านตากใบ กับบูเก๊ะตาจะเร่งรัดต่อไปตนได้มอบอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศใช้โมเดลเดียวกับด่านชายแดนลาวประชุม 3 ฝ่ายคาดว่าสัปดาห์หน้าจะประชุมได้ เมื่อได้แผนเปิดงานแล้วจะเจรจากับมาเลเซียต่อไป ซึ่งต้องคุยทั้ง 3 ฝ่ายเศรษฐกิจโควิดและความมั่นคง ต้องคุยด้วยกันถึงจะเปิดด่านได้

"ยอดรวมการค้าชายแดนและผ่านแดนในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2564 มีมูลค่า 591,051 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.88% เกินไปกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 3-6%  หากเป็นเป้าขั้นต่ำที่ 3% จะโตเกินกว่าเป้ากว่า 12 เท่า และเป้าขั้นสูง 6% จะโตเกินกว่าเป้ากว่า 6 เท่า    "

ด้าน นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า สำหรับสินค้าส่งออกสำคัญไปยังประเทศมาเลเซีย ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบผลิตภัณฑ์ยางพารา ประเทศกัมพูชา สินค้าส่งออกสำคัญได้แก่ สินค้าอุปโภคบริโภคเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ สำหรับ สปป.ลาว สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ น้ำมันดีเซลน้ำมันสำเร็จรูปอื่นๆและรถยนต์นั่ง ประเทศเมียนมา สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ น้ำมันดีเซล สินค้าอุปโภคบริโภค เป็นต้น
#7799
สนใจติดต่อคุณเป้ง 087-347-6299

สำนักงานบัญชีนนทบุรี  สำนักงานบัญชีบางกรวย  สำนักงานบัญชีบางใหญ่  สำนักงานบัญชีบางบัวทอง  สำนักงานบัญชีไทรน้อย  สำนักงานบัญชีปากเกร็ด  สำนักงานบัญชีบางศรีเมือง  สำนักงานบัญชีพิมลราช  สำนักงานบัญชีบางคูรัด  สำนักงานบัญชีบางรักพัฒนา  สำนักงานบัญชีบางแม่นาง  สำนักงานบัญชีบางกร่าง  สำนักงานบัญชีไทรม้า  สำนักงานบัญชีตลาดขวัญ  สำนักงานบัญชีบางตะไนย์  สำนักงานบัญชีบางพลับ  สำนักงานบัญชีบางรักน้อย  สำนักงานบัญชีมหาสวัสดิ์  สำนักงานบัญชีศาลากลางนนทบุรี  สำนักงานบัญชีอ้อมเกร็ด  สำนักงานบัญชีแจ้งวัฒนะ  สำนักงานบัญชีถนนกาญจนาภิเษกนนทบุรี  สำนักงานบัญชีถนนจงถนอม-ไทรน้อย  สำนักงานบัญชีถนนชัยพฤกษ์  สำนักงานบัญชีถนนติวานนท์  สำนักงานบัญชีถนนทวีวัฒนา  สำนักงานบัญชีถนนเทศบาลจังหวัดนนทบุรี  สำนักงานบัญชีถนนเทิดพระเกียรติ  สำนักงานบัญชีท่าอิฐ  สำนักงานบัญชีถนนนครอินทร์  สำนักงานบัญชีบางม่วง  สำนักงานบัญชีบางกรวย-จงถนอม  สำนักงานบัญชีถนนบางไกรใน  สำนักงานบัญชีบางกรวย-ไทรน้อย  สำนักงานบัญชีบางคูเวียง  สำนักงานบัญชีบางศรีเมือง  สำนักงานบัญชีถนนวัดโบสถ์ดอนพรหม  สำนักงานบัญชีไทรม้า  สำนักงานบัญชีถนนพิบูลสงคราม  สำนักงานบัญชีถนนราชพฤกษ์  สำนักงานบัญชีตลิ่งชัน  สำนักงานบัญชีถนนเรวดี  สำนักงานบัญชีถนนเลี่ยงเมืองนนทบุรี  สำนักงานบัญชีถนนศรีสมาน  รับทำบัญชี
#7800


นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือทีเส็บ กล่าวว่า จากสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมไมซ์ไทย การจัดงาน "ไมซ์ไทยรวมใจสร้างชาติ" ในรูปแบบออนไลน์ (Virtual Meeting) จึงจัดขึ้นเพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมไมซ์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศร่วมกันทุกภาคส่วน เพื่อส่งเสริมให้เกิดการกระจายรายได้และความเจริญสู่ชุมชน ตลอดจนแสดงความพร้อมของเมืองไมซ์ซิตี้ในฐานะศูนย์กลางภูมิภาคในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย และใช้โอกาสนี้เป็นเวทีนำเสนอทิศทางการส่งเสริมอุตสาหกรรมไมซ์ในปี 2565 ให้แก่หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และผู้ประกอบการไมซ์ ซึ่งมีจำนวนผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมชมงานกว่า 800 คน



โดยภายในงานมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิร่วมให้ข้อมูลและเสวนา ได้แก่ นายวิโรจน์ นรารักษ์ รองเลขาธิการ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, นายสมศักดิ์ จังตระกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น, นายสนธยา คุณปลื้ม นายกเทศมนตรีเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี, นายอนุชา มีเกียรติชัยกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ และนายภูมิกิตติ์ รักแต่งาม นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต

"ทีเส็บ ในฐานะองค์กรภาครัฐ พัฒนาแผนงานให้สอดรับกับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศของรัฐบาล โดยวางทิศทางขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ไทยในปีหน้าผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ การเสริมความแกร่งระดับชาติ การช่วงชิงโอกาสระดับสากล และการยกระดับศักยภาพของอุตสาหกรรม เพื่อเร่งฟื้นฟูอุตสาหกรรมไมซ์ และเศรษฐกิจของประเทศให้พ้นจากวิกฤต ต้องอาศัยทั้งความยืดหยุ่นและการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนอย่างเข้มแข็ง เพื่อนำพาอุตสาหกรรมไมซ์และเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นกลับมาโดยเร็วที่สุด"

ภายใต้กลยุทธ์การเสริมความแกร่งระดับชาติ ทีเส็บเร่งยกระดับความพร้อมของจังหวัดที่มีศักยภาพ ก้าวสู่การรองรับกิจกรรมไมซ์ พร้อมกับการสร้างงานใหม่ และยกระดับกิจกรรมไมซ์ให้มีคุณภาพระดับนานาชาติ โดยร่วมทำงานกับพันธมิตรทุกภาคส่วน เช่น โครงการ Empower Thai Exhibition หรือ EMTEX ซึ่งได้ขยายความร่วมมือระหว่างทีเส็บกับกระทรวงต่างๆ รวมถึงหน่วยงานภาครัฐและเอกชนกว่าสิบหน่วยงาน เพื่อร่วมกันพัฒนาศักยภาพงานแสดงสินค้าในระดับท้องถิ่นก้าวสู่ระดับประเทศ ตลอดจนการพัฒนางานเทศกาลท้องถิ่นภายใต้แนวคิด Festival Economy ที่จะพัฒนางานต่อยอดสู่ระดับสากล 1 City : 1 License Event เช่น งานเทศกาล "เกลือ-เมือง-เพชร หรือ Diamond of the Salt Festival ของจังหวัดเพชรบุรี, งานเทศกาล Huahin Hop Fest ของเมืองหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นต้น



พร้อมกันนี้ ยังดำเนินงานด้านการสื่อสาร เพื่อกระตุ้นและขับเคลื่อนองค์กรภาครัฐและเอกชนจัดประชุมสัมมนาและจัดกิจกรรมไมซ์ทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง ผ่านแคมเปญการสื่อสาร "จัดงานไมซ์ทั่วไทย ภูมิใจช่วยชาติ" และสนับสนุนงบประมาณผ่านโครงการ "ประชุมเมืองไทย ปลอดภัยกว่า" ซึ่งในขณะนี้มีองค์กรและหน่วยงานได้รับการสนับสนุนแล้วกว่า 645 โครงการ และแสดงความจำนงมากกว่า 1,000 งาน

กลยุทธ์การช่วงชิงโอกาสระดับสากล มุ่งเน้นการผลักดันไมซ์ไทยสู่เวทีโลก จัดทำแคมเปญตลาดเชิงรุกเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในภูมิภาคอาเซียน โดยการประกาศปีแห่งการประชุมในประเทศไทยด้วยการต่อยอดจากการเป็นเจ้าภาพจัดงาน APEC 2022 อีกทั้งจะเร่งดึงงานสำคัญระดับโลกเข้ามาจัดในประเทศไทย เช่น งาน Thailand International Air Show, งานประชุมองค์กรระหว่างประเทศ เช่น งาน World Bank หรืองานแสดงสินค้าระดับท็อปไฟว์ของโลก

กลยุทธ์การยกระดับศักยภาพของอุตสาหกรรม มุ่งสานต่อการยกระดับศักยภาพอุตสาหกรรมไมซ์อย่างต่อเนื่อง ร่วมกับสมาคมผู้ประกอบการไมซ์ และหน่วยงานพันธมิตรภาครัฐในและต่างประเทศ ทั้งในด้านการพัฒนาบุคลากร มาตรฐานสถานที่จัดงาน และการพัฒนาหลักสูตรอบรมต่างๆ เพื่อให้ไมซ์ไทยก้าวทันความต้องการของโลกในยุคหลังโควิด เช่น การยกระดับมาตรฐานและส่งเสริม "การจัดงานไมซ์อย่างยั่งยืน" โดยนำแนวคิด BCG Model (Bio-Circular-Green Economy) ที่เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล มาต่อยอดกับหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals) ขณะเดียวกัน ส่งเสริมการใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีและเครื่องมือแพลตฟอร์มดิจิทัลต่อเนื่อง อาทิ แพลตฟอร์ม "Thai MICE Connect" ที่มีข้อมูลผู้ประกอบการเข้าร่วมแล้วกว่าหมื่นรายทั่วประเทศ ซึ่งจะเป็นตลาดออนไลน์ซื้อขายบริการด้านไมซ์ รองรับตลาดทั้งในและต่างประเทศ ช่วยลดความเหลื่อมล้ำของการเข้าถึงตลาดให้ผู้ประกอบการทุกขนาด

ทั้งนี้ ทีเส็บสานต่อการจัดกิจกรรมภายใต้แนวคิด "ไมซ์ไทยรวมใจสร้างชาติ" เตรียมเปิดนิทรรศการรูปแบบออนไลน์ (Virtual Exhibition) ให้ความรู้ถึงจุดกำเนิด และการเดินทางของอุตสาหกรรมไมซ์ไทย เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและความภาคภูมิใจของทุกภาคส่วนที่ร่วมกันขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์อย่างต่อเนื่องตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยจะเปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันที่ 15 กันยายนเป็นต้นไป และสามารถดาวน์โหลดหนังสือ "ภูมิไทย" เส้นทางทรงคุณค่าของอุตสาหกรรมไมซ์ ที่ทีเส็บจัดทำร่วมกับกองทุนส่งเสริมการประชุมนานาชาติ