• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Prichas

#3101


เปิดประเด็นข้อเท็จจริง จริงหรือไม่? ที่อเมริกาและประเทศพันธมิตร ไม่อนุญาตให้ "นักศึกษาจีน" ไปเรียนอีกต่อไป

การเรียนต่อต่างประเทศของนักเรียน "นักศึกษาจีน" เป็นหนึ่งในประเด็นที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงเคียงคู่ไปกับกระแสที่ทางการจีนปฏิวัติ "ธุรกิจการศึกษา" และแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในจีน เพราะจำนวนนักศึกษาจีนไปเรียนต่อยังต่างประเทศในแต่ละปีถือว่าสูง เอาแค่ย้อนไปเมื่อราว 20 ปีที่ผ่านมา ช่วงปี 2002–2007 จำนวนนักศึกษาจีนที่ไปเรียนต่อต่างประเทศ อยู่ที่ประมาณ 100,000 คนต่อปี และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 10 ปีมานี้ โดยเฉพาะการไปเรียนต่อในประเทศสหรัฐอเมริกา

แต่มีการชะลอตัวไปบ้างในช่วงสามปีมานี้ เนื่องจากจีนมีปัญหาสงครามการค้ากับอเมริกา และต่อเนื่องด้วยความขัดแย้งทางการเมือง อย่างประเด็นการแพร่ระบาดโควิด และการเมืองไต้หวัน-ฮ่องจง ซึ่งจีนมองว่าอเมริกาเข้าไปแทรกแซง ทำให้มีประเด็นการแบนและตั้งข้อจำกัดที่ทำให้คนจีนขอวีซ่าไปเรียนในอเมริกายากขึ้นออกมาในพื้นที่สื่อทั่วโลก จนถึงขั้นเกิดข่าวลือในช่วงนี้ว่า "อเมริกาตัดสินใจห้ามนักศึกษาจีนเข้าไปเรียนที่อเมริกา รวมถึงประเทศที่เป็นพันธมิตรอเมริกาด้วย อย่าง แคนาดา ญี่ปุ่น"

จริงหรือไม่? นักเรียนนักศึกษาจีนทั้งหมดถูกอเมริกาและอีกบางประเทศ ห้ามไปเรียน!

อ้ายจง ขอบอกอย่างนี้ครับว่า อเมริกาไม่ได้ "ห้าม" หรือ "ไม่อนุญาต" ให้ "นักศึกษาจีน" เข้าไปเรียนที่อเมริกาอีกต่อไปเหมือนดังได้รับข่าวลือที่ออกมานะครับ ยังคงมีนักศึกษาจีนได้รับการตอบรับเพื่อเข้าเรียนในอเมริกา และเริ่มเดินทางไปยังอเมริกาแล้วโดยเฉพาะเดือนสิงหาคมนี้ หลังจากอเมริกาผ่อนคลายมาตรการเข้มงวดในการขอวีซ่าและเดินทางเข้าอเมริกา โดยอนุญาตให้นักเรียนจีนเดินทางเข้าอเมริกาได้ สำหรับโปรแกรมการศึกษาที่จะเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2021 เป็นต้นไป มีเงื่อนไขว่า "เดินทางเข้าอเมริกาล่วงหน้า ไม่เกิน 30 วัน ของเวลาเปิดเทอมหรือเริ่มต้นคอร์สเรียน" 

และ ตามข้อมูลจาก China Daily สื่อจีนรายใหญ่ ระบุว่า จำนวนนักศึกษาจีนทั้งหมดที่เรียนในอเมริกาช่วงปีการศึกษา 2019-2020 ยังคงครองสัดส่วนใหญ่ในอเมริกา มีทั้งหมด 372,000 คน คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของนักศึกษาต่างชาติหลักล้านคนในอเมริกา

ต้องยอมรับว่า ณ ขณะนี้ คนจีนเจอข้อจำกัดในการไปเรียนต่อเมริกาและต่างประเทศมากขึ้นจากหลายปัจจัย เช่น จากวิกฤติโควิด ค่าตั๋วค่าเดินทางแพงขึ้น

ข้อมูลจาก SCMP (South Morning China Post) สื่อเอกชนสายจีน กล่าวถึง ค่าตั๋วเครื่องบินจากจีนเข้าอเมริกา ราคาสูงมาก เป็นหนึ่งในข้อจำกัดสำคัญ ตัวอย่างเช่น ตั๋วเที่ยวเดียวจากปักกิ่งหรือเซี่ยงไฮ้ ไปยังปลายทางมหานครนิวยอร์ก บอสตัน หรือเมืองใหญ่อีกหลายเมืองในอเมริกา ต้องจ่ายเงินสูงถึงราว 20,000 หยวน (ประมาณ 1 แสนบาท) เลยทีเดียว

ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างจีนและอเมริกา มีผลกระทบต่อการเรียนต่อในอเมริกาของพลเมืองจีน อเมริกาแบนและจำกัดการขอวีซ่าจริงๆ ถึงขั้นแบนมหาวิทยาลัยจีนบางแห่งเลยก็มีนะครับ แต่แบนและจำกัดเฉพาะบางราย ไม่ใช่ 100% โดยมุ่งเน้นไปที่การศึกษาต่อในสายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และ คณิตศาสตร์ หรือเรียกรวมว่า STEM จากประเด็นความปลอดภัยและความมั่นคงของประเทศ สหรัฐอเมริกาเกรงกลัวว่า ข้อมูลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับ STEM รวมถึงข้อมูลสำคัญอื่นๆ จะหลุดรั่วไหลไปยังรัฐบาลจีนและกองทัพจีน ผ่านทางนักเรียนนักศึกษาและนักวิจัยจีน

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

ปี 2020 อเมริกาประกาศ "แบนและยกเลิกวีซ่านักศึกษาแก่นักศึกษาจีน" อย่างน้อย 2 รอบ สืบเนื่องมาตั้งแต่ความขัดแย้งทางการค้าในสงครามการค้าของทั้งสองประเทศ โดยเหตุผลที่ยกเลิกวีซ่า อเมริกายกเหตุผลว่า "นักศึกษาจีนเหล่านี้ มีความเกี่ยวข้องกับทางการทหารจีน และขโมยข้อมูลสำคัญของทางอเมริกาไปให้แก่ทางจีน" คาดว่ามีนักศึกษาจีนได้รับผลกระทบอย่างน้อย 3,000–5,000 คน เมื่อเทียบกับสัดส่วนตัวเลขจำนวนนักศึกษาจีนในอเมริกา 372,000 คน คิดเป็น 0.8–1.3% เท่านั้น

เมื่อพฤษภาคมปีนี้ Global Times สื่อกระบอกเสียงทางการจีน เผยแพร่รายงานข้อมูลจาก Gewai Education บริษัทแนะแนวศึกษาต่ออเมริกา ซึ่งเผยข้อมูลการขอวีซ่าอเมริกาของนักเรียนจีนจำนวนหนึ่งโดนปฏิเสธ เพราะพ่อแม่ผู้ปกครองทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงอยู่ในหน่วยงานเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและความมั่นคงของประเทศจีน รวมถึงหน่วยงานปราบปรามคอรัปชั่นและตรวจคนเข้าเมือง ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่ชี้ว่า เหตุผลการแบนในข้างต้นเป็นความจริง โดยเพิ่มเติมโพรไฟล์และภูมิหลังของครอบครัวด้วย ถ้าหากเกี่ยวข้องกับรัฐบาลจีน อาจมีแนวโน้มโดนแบน ไม่ได้วีซ่าอเมริกา

นักศึกษาจีน บางคนที่โดนแบนให้สัมภาษณ์กับสื่อ อย่างเช่น นักศึกษาหนุ่มจีนนาม "Dennis Hu" ให้สัมภาษณ์ต่อ CNN ว่า เดินทางกลับจากอเมริกาไปยังบ้านในประเทศจีน เพื่อฉลองตรุษจีน (ช่วงจีนเกิดระบาดโควิด) และจะกลับไปต่อวีซ่าอเมริกา เพื่อกลับไปทำปริญญาเอกทางด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ให้จบ แต่ปรากฏว่าเขาเป็น 1 ในนักศึกษาจีนนับพันคนที่ "โดนแบนวีซ่า" ไม่ให้กลับไปศึกษาต่อในอเมริกา และแน่นอนว่าเขาก็เหมือนกับทุกคนที่โดนแบน ยืนยัน ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ หรือเป็นสายลับให้กับรัฐบาลจีน

อย่างที่กล่าวไปแล้ว นอกเหนือจากแบนและจำกัดการขอวีซ่าแก่พลเมืองจีน รัฐบาลอเมริกายังแบนตัวมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษา-สถาบันวิจัยในจีนอีกด้วย กล่าวคือ ตั้งแต่ช่วงสงครามการค้าจีนอเมริกาอย่างหนักในปี 2019 อเมริกาประกาศแบนหลายสินค้าและบริษัทของจีน ไม่เว้นแม้แต่สถาบันการศึกษาและสถาบันวิจัยในจีนที่โดนแบนไปทั้งหมด 6 แห่ง ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับสายเทคโนโลยีและวิศวกรรมของจีน และถือเป็นหน่วยงานที่ทำโปรเจกต์สำคัญๆ แก่รัฐบาลจีน

ในฐานะที่ อ้ายจง เป็นศิษย์เก่าสถาบันที่มีอยู่ในรายชื่อแบนของอเมริกา (Beihang University หรือรู้จักในนาม มหาวิทยาลัยการบินและอวกาศปักกิ่ง) ผมสอบถามไปยังเพื่อนคนจีนที่ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ในมหาวิทยาลัยแห่งนั้น โดยได้รับคำตอบว่า เคยมีเหมือนกันที่อาจารย์ เจ้าหน้าที่ นักศึกษาปัจจุบัน และศิษย์เก่า รู้สึกว่า "ขอวีซ่าเข้าอเมริกายากขึ้นจริง" แต่ยังเข้าไปได้อยู่ อาจยากขึ้นกว่าสมัยก่อน แต่ยังไม่ถูกขึ้นบัญชีดำ

จากมาตรการของประเทศสหรัฐอเมริกา เข้มงวดเรื่องวีซ่าแก่นักเรียนนักศึกษาจีน รวมถึงนักวิจัยจีน ด้วยเหตุผลเรื่องความปลอดภัยและความมั่นคง เคยมีการนำเสนอข่าวออกมาโดยสื่อต่างประเทศเหมือนกันว่า ประเทศพันธมิตรของอเมริกาบางประเทศ มีการดำเนินนโยบายคล้ายๆ กันนี้ อย่างเช่น ญี่ปุ่น ตามการรายงานข่าวของ The Straits Times

แคนาดา ก็เคยมีการเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยแคนาดา ระมัดระวังการทำวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยจีน เพราะข้อมูลอาจรั่วไหลไปถึงรัฐบาลจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางการทหารจีน เป็นความวิตกกังวลและกลัวในประเด็นเดียวกันกับที่อเมริกาให้เหตุผลแบนวีซ่านักเรียนนักศึกษาและนักวิจัยจีน

แน่นอนว่า "จีน" ไม่ได้ปล่อยให้ประชาชนของตนโดนแบนและถูกตราหน้าว่า "ลักลอบขโมยข้อมูลสำคัญในประเทศอเมริการวมถึงประเทศอื่นๆ" จีนพยายามตอบโต้นโยบายเข้มงวดแก่นักศึกษาจีนของอเมริกามาโดยตลอด ตั้งแต่ปี 2019 สงครามการค้าจีนอเมริกา รัฐบาลจีนออกประกาศเตือนประชาชนถึงการไปเรียนต่อและเที่ยวที่ประเทศสหรัฐอเมริกาให้ระมัดระวังในเรื่องของการขอวีซ่าที่มีข้อจำกัดมากขึ้น ให้ระยะเวลาอยู่ในอเมริกาลดน้อยลงกว่าที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะส่งผลโดยตรงต่อนักศึกษาจีนที่ต้องการไปเรียนต่อที่อเมริกา

ประเทศจีนเองเพิ่มความเข้มงวดและข้อจำกัดในการขอวีซ่าแก่ชาวอเมริกาเช่นกัน ในเดือนมิถุนายน 2020 ทางการจีนออกมาตรการ "เพิ่มข้อจำกัดในการออกวีซ่าแก่ชาวอเมริกัน ที่มีพฤติกรรมเชิงลบต่อเรื่องราวของจีนและฮ่องกง" ปีเดียวกันกับอเมริกาเริ่มแบนและยกเลิกวีซ่าแก่นักศึกษาจีนแบบจริงจัง สอดคล้องกับการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญและสื่อต่างประเทศ "อเมริกาแบนและตั้งข้อจำกัดวีซ่าแก่จีน ไม่ใช่แค่มาจากเรื่องความมั่นคง แต่เบื้องลึกคือ แสดงออกถึงการต่อต้านการออกกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติที่จีนนำไปใช้กับฮ่องกง"

อย่างไรก็ตาม เราอาจได้เห็นนักศึกษาจีนไปเรียนยังอเมริกาหรือต่างประเทศลดน้อยลง ไม่ใช่เพียงจากเหตุผลทางการเมือง หรือการแพร่ระบาดโควิด ยังมีเหตุผลเรื่อง "ชาตินิยม" ที่เพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง และการแก้ไขปัญหาเรื่อง "สมองไหล หัวกะทิ คนจีนผู้มากความสามารถ ไปเรียนและทำงานต่างประเทศของรัฐบาลจีนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย" จีนดำเนินนโยบายดึงดูดคนจีนเก่งๆ ให้กลับมาประเทศจีน ตั้งแต่ก่อนเกิดสงครามการค้าจีนอเมริกาและการขัดแย้งทางการเมืองอย่างหนัก

จากประสบการณ์จริงของอ้ายจง สมัยไปทำวิจัยที่เมืองซีอานปี 2014 ตอนนั้นที่แลปดีลกับมหาวิทยาลัยในอเมริกาและยุโรปเยอะมากในด้านทำการวิจัย ภายใต้การร่วมมือแต่ละครั้ง ทางแลปและมหาวิทยาลัยจะดีลโดยตรงส่วนตัวกับอาจารย์และศาสตราจารย์จีนที่ทำงานในอเมริกา ให้มาเป็นอาจารย์และนักวิจัยในมหาวิทยาลัยจีน ดึงดูดด้วยผลตอบแทนและโอกาสก้าวหน้าทางอาชีพ เพื่อให้คนเก่งหัวกะทิเหล่านี้มั่นใจว่า "คุ้มค่าในการกลับไปยังประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของตน"  

 อ่านบทความทั้งหมดของ อ้ายจง ได้ที่ https:// www.bangkokbiznews.com/blog/blogger/504
#3102


ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ของประชาชนในช่วงก่อนหน้านี้ มีการกระจายไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ส่งผลให้รัฐบาลจำเป็นที่ต้องประกาศล็อกดาวน์พื้นที่ ป้องกันการแพร่ระบาด ส่งผลให้ประชาชนลำบากในการใช้ชีวิต บริษัท ห้างร้าน โรงงาน ต้องปิดกิจการ คนงานตกงานขาดรายได้

แต่ ณ เวลานี้ ตัวเลขของผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ดูจะมีแนวโน้มลดลง ซึ่งมาจากการที่ประชาชนมีโอกาสได้รับการฉีดวัคซีนมากขึ้น เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความมั่นใจให้กับภาคการลงทุนมากขึ้น

โดยในมุมมองตัวแทนภาคอุตสาหกรรม "นายสุพันธุ์ มงคลสุธี" ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การะบาดของโรคเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศ กำลังเข้าสู่ขั้นวิกฤติและส่งผลกระทบไปทุกภาคส่วนของประเทศ ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมเกิดการติดเชื้อในโรงงานเป็นจำนวนมากเช่นกัน สภาอุตสาหกรรมฯ ในฐานะองค์กรหลักภาคเอกชนที่เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศ ได้จัดทำ "มาตรการควบคุมโควิดในภาคอุตสาหกรรม" เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตและอาการรุนแรง พร้อมรักษากำลังการผลิตให้มากที่สุด ซึ่งโรงงานที่ดำเนินการอย่างถูกต้อง จะไม่ถูกปิด หากยังสามารถดำเนินการต่อได้โดยไม่แพร่กระจายเชื้อสู่ภายนอก ภายใต้คอนเซ็ปต์ "ติดโควิดไม่ต้องปิดโรงงาน" แบ่งออกเป็น 4 ข้อดังนี้

1.มาตรการ Bubble and Seal สำหรับภาคอุตสาหกรรมต้องมีความชัดเจน สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงและเป็นไปในแนวทางเดียวกันทุกพื้นที่ โดยให้สุ่มตรวจหาผู้ติดเชื้อด้วยชุดตรวจ ATK สม่ำเสมอ 10% ของจำนวนพนักงานทุก 14 วัน โดยรัฐบาลสนับสนุนค่าใช้จ่าย และให้พนักงานผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำสามารถกลับเข้ามาทำงานใน Bubble ในโรงงานตามปกติ

2.สถานประกอบการที่มีพนักงาน 300 คนขึ้นไป เสนอให้กระทรวงสาธารณสุขสนับสนุนงบประมาณในการจัดตั้ง Factory Quarantine และ Factory Accommodation Isolation โดยให้มีจำนวนเตียงๆไม่น้อยกว่า 5% ของจำนวนพนักงาน และเสนอให้กระทรวงแรงงานจัดตั้งโรงพยาบาลแม่ข่ายในแต่ละพื้นที่ประกันสังคม เพื่อให้บริการโรงงานในพื้นที่ ณ จุดเดียว ตั้งแต่การตรวจหาเชื้อไปจนถึงส่งต่อผู้ป่วยเข้าไปในระบบการรักษา เพื่อลดขั้นตอนในการหาโรงพยาบาล

3.สำหรับสถานประกอบการที่มีพนักงานต่ำกว่า 300 คน ขอให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมจัดตั้ง Community Quarantine (CQ), Community Isolation (CI) (ศูนย์พักคอยและแยกกักตัว) ให้เพียงพอกับแรงงาน โดยให้มีจำนวนเตียงไม่น้อยกว่า 5% ของจำนวนพนักงานในพื้นที่

4.จัดสรรวัคซีนตามเพื่อลดอัตราการเสียชีวิต โดยจัดสรรตามลำดับความสำคัญทางสาธารณสุข การป้องกันโรค และเศรษฐกิจใน 3 กลุ่มคือ กลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูงที่อายุ 40-59 ปี กลุ่มพนักงานในสถานประกอบการที่มีติดเชื้อมากกว่า 50% จนต้องปิดกิจการ และกลุ่มพนักงานในอุตสาหกรรมสำคัญยิ่งยวด

ขณะที่มุมมองของ "รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ" อดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง นำเสนอแง่คิดที่น่าสนใจว่า รัฐบาลควรเดินหน้าคลายล็อกดาวน์ในทุกพื้นที่ในบางกิจกรรม หากตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่ำกว่าผู้ได้รับการรักษาหายป่วยมากพอ และสามารถทำให้ผู้ป่วยที่ต้องรักษาในระบบสาธารณสุขลดลงมาเหลือต่ำกว่า 100,000 ราย จากปัจจุบันอยู่ที่ 200,339 ราย

ระบบสาธารณสุข ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า ควรต้องจัดการความเสี่ยงด้านอุปทานเพิ่มขึ้นโดยจัดสรรงบประมาณให้โรงพยาบาลของรัฐตามความเสี่ยงของประชากรที่ขึ้นทะเบียนกับโรงพยาบาลต่างๆ นั่นคือ ผู้ให้บริการในพื้นที่เสี่ยงสูง และต้องดูแลประชากรที่มีความเสี่ยงสูงควรจะเหมาจ่ายต่อหัวสูงกว่าผู้ให้บริการ หรือโรงพยาบาลที่ดูแลประชากรที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า ,ไม่ควรกำหนดการเหมาจ่ายแบบคงที่ทั่วทั้งประเทศ โดยงบประมาณต้องจัดสรรไปตามภาระและแผนงานกิจกรรมที่ต้องทำ และไม่ควรรวมศูนย์การตัดสินใจเพราะจะทำให้แก้ปัญหาล่าช้า และไม่ทันการ

อย่างไรก็ตามหากมีความจำเป็นต้องขยายล็อกดาวน์ เพราะตัวเลขติดเชื้อไม่ลดลง และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจต้องล็อกดาวน์ไปอีกอย่างน้อยจนถึงปลายปี ในขณะที่ประชาชนยังรอฉีดวัคซีนกันอยู่ รัฐบาลต้องเตรียมงบประมาณจ่ายเยียวยาให้ภาคธุรกิจ และประชาชนเพิ่มเติม หากต้องขยายล็อกดาวน์ และควรประกาศล่วงหน้า และเยียวยาทันทีก่อนสั่งปิดพื้นที่ หรือกิจกรรมเพื่อไม่ให้ความทุกข์ยากทางเศรษฐกิจรุนแรงไปกว่าระดับวิกฤติในขณะนี้ และควรเตรียมเงินงบประมาณไม่ต่ำกว่าอีก 300,000 ล้านบาท หากต้องล็อกดาวน์ถึงปลายปี

การรับฟังข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในเวลานี้ จากผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง เป็นเรื่องที่ไม่เสียหายอะไร!!!
#3103

ไทยเวียตเจ็ท จัดโปรโมชั่นตั๋วราคาพิเศษ เริ่มต้นที่ 499 บาท รับการกลับมาเปิดบินเส้นทางภายในประเทศอีกครั้ง เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 64 นี้ ผู้สนใจจองได้ตั้งแต่วันนี้ – 31 ส.ค. 64 ที่ www.vietjetair.com

ตามประกาศของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่าด้วยการผ่อนคลายมาตรการการเดินทางและอนุญาตให้เที่ยวบินภายในประเทศทำการบินเข้าออกท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สายการบินไทยเวียตเจ็ทประกาศพร้อมให้บริการเส้นทางบินภายในประเทศ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 โดยผู้โดยสารจำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กบพ.) ซึ่งจะประกาศในวันที่ 28 สิงหาคม 2564



นอกจากนี้เพื่อฉลองการกลับมาให้บริการเที่ยวบินภายในประเทศอีกครั้ง สายการบินไทยเวียตเจ็ต ได้จัดโปรโมชั่น "Welcome Back to The Sky" เสนอบัตรโดยสารราคาพิเศษ เริ่มต้นที่ 499 บาท (รวมภาษีและค่าธรรมเนียม) ผู้สนใจจองได้ตั้งแต่วันนี้ – 31 สิงหาคม 2564 เพื่อใช้เดินทางได้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน - 30 พฤศจิกายน 2564 (ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์) ที่ www.vietjetair.com

สำหรับบัตรโดยสารราคาพิเศษนี้สามารถใช้เดินทางได้ในทุกเส้นทางบินภายในประเทศของสายการบินฯ ได้แก่ เส้นทางบินจาก กรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) สู่ เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต กระบี่ นครศรีธรรมราช หาดใหญ่ สุราษฎร์ธานี ขอนแก่น อุดรธานี และอุบลราชธานี รวมทั้งเที่ยวบินข้ามภาคภายในประเทศ จาก ภูเก็ต สู่ เชียงใหม่ (เริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2564) เส้นทางจาก เชียงราย สู่ หาดใหญ่ และ ภูเก็ต (เริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564) และเส้นทางจาก ภูเก็ต สู่ อุดรธานี (เริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 2564)

และในโอกาสพิเศษนี้ สายการบินไทยเวียตเจ็ตได้มอบสิทธิประโยชน์พิเศษแก่สมาชิกสกายฟัน (SkyFUNNER) ในระบบสมาชิกของสายการบินฯ โดยสมาชิกจะได้รับเหรียญฟันคอยน์ (Funcoin) สองเท่าสำหรับทุก ๆ การใช้จ่ายในการจองบัตรโดยสารในช่วงระยะเวลาโปรโมชั่น ทุกการใช้จ่าย 10 บาท สมาชิกจะได้รับ 2 เหรียญ (จากปกติ 1 เหรียญ) โดยเหรียญฟันคอยน์ (Funcoin) สามารถแลกเป็นรางวัลส่วนลดและบัตรกำนัลต่าง ๆ ผู้โดยสารสามารถสมัครสมาชิกสกายฟันได้ฟรี โดยลงทะเบียนที่ www.vietjetair.com ก่อนทำการจองบัตรโดยสาร



สำหรับผู้ถือบัตรโดยสารภายในประเทศของไทยเวียตเจ็ทที่มีช่วงวันเดินทางระหว่างวันที่ 1 – 30 กันยายน 2564 และประสงค์เปลี่ยนแปลงกำหนดการเดินทาง สามารถเลือกเปลี่ยนวันเดินทางโดยไม่เสียค่าธรรมเนียม โดยมีวันเดินทางใหม่ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2564 (มีช่วงเวลาที่ไม่สามารถเดินทางได้) หรือสามารถเก็บวงเงินค่าโดยสาร (Credit Shell) เพื่อใช้ในการสำรองบัตรโดยสารในอนาคต จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 สามารถตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.vietjetair.com
#3104


มีการพยากรณ์เศรษฐกิจไทยในปีนี้ว่าจะโตประมาณ 1.3% ของจีดีพี ซึ่งในความเป็นจริงก็เป็นการเติบโตจากจีดีพีที่ติดลบในปีที่แล้ว ในขณะที่มีแสงสว่างวับแวมจากตัวเลขการส่งออกที่เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 6 เดือนก็ประมาณ 16% นั่นก็เป็นการเพิ่มขึ้นจากการติดลบในปีที่แล้ว และส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าเกษตร ส่วนด้านอุตสาหกรรมเรากำลังมีปัญหาเรื่องกำลังการผลิต เพราะแรงงานจำนวนมากต่างติดโควิด ทำให้การจะผลิตเพิ่มเพื่อตอบสนองตลาดโลกที่เริ่มฟื้นตัวมีอุปสรรค

อย่างไรก็ตามอย่าพึ่งตกใจกับการพยากรณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจไทยที่เต็มที่จะได้ 1.3% ของจีดีพี บางสำนักคาดว่าอาจติดลบถึง -0.5% ด้วยซ้ำ เพราะตัวเลขที่ปรากฏนี้มันเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่อยู่ในระบบหรือเป็นทางการ

แต่เศรษฐกิจใต้ดินนั้นเมื่อเปรียบเทียบจากงานวิจัยต่างๆที่ได้ศึกษา เศรษฐกิจเงา เศรษฐกิจใต้ดิน หรือเศรษฐกิจนอกระบบนั้นอาจจะมีขนาดการเติบโต 2-3 เท่า ของเศรษฐกิจในระบบ

ก่อนที่จะติดตามต่อไปถึงสาเหตุและแนวโน้ม ของเศรษฐกิจเงาผู้เขียนขอกลับมาทำความเข้าใจกับคำจำกัดความของเศรษฐกิจแบบนี้เสียก่อน

เศรษฐกิจเงาหรือ SHADOW ECONOMY หรือระบบเศรษฐกิจใต้ดิน หมายถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบ หรือรับรู้เป็นทางการจากรัฐ จึงไม่ได้อยู่ในฐานข้อมูลของประเทศ โดยส่วนใหญ่ของธุรกิจเงาจะเป็นธุรกิจที่ผิดกฎหมาย เช่น ยาเสพติด ค้ามนุษย์ ค้าประเวณี รวมไปถึงธุรกิจที่ถูกกฎหมาย แต่ไม่ได้อยู่ในระบบการเสียภาษี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการค้าขายเล็กๆน้อยๆ หรือการทำธุรกิจหลอกลวงต้มตุ๋น อย่างแชร์ลูกโซ่ เป็นต้น

มีงานวิจัยอยู่หลายชิ้นที่ทำการศึกษาถึงเศรษฐกิจเงาในประเทศไทย ทั้งนักวิจัยไทย และต่างประเทศ และลงตีพิมพ์ในวารสารต่างๆ เช่น Friedrich Schmeder และ Andreas Burhn ใน The Global Economy : The Shadow Economy in Thailand หรืองานวิจัยของ Anotai Buddhari และ Pornsawan Rugpenthum ชื่อ A .ter Understanding of Thailand's Informal Sector ใน FAQ ฉบับที่ 156 July 9,2019 ยังมีผลงานใน Quora.com โดย Pas Sean ในหัวข้อ What is the Size of Thailand's Shadow Economy? นอกจากนี้ยังมีอีกงานที่น่าสนใจ คือ เขียนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการท่องเที่ยวกับเศรษฐกิจเงา ชื่อหัวข้อ Tourist Arrivals and Shadow Economy : Waveletbased Evidence From Thailand : โดย Sinha,Avik et al,ใน Tourrism Analysis, Vol 26,No.2-3 , 2021

ที่ผู้เขียนอ้างอิงงานวิจัย 2-3 งานนี้เพื่อให้ทราบว่าเรื่องเศรษฐกิจเงาของประเทศไทยเป็นที่สนใจของนักวิจัยในหลายประเทศ เพราะประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีสัดส่วนเศรษฐกิจเงาสูงในระดับต้นๆของโลก ดังปรากฏในหลายๆงานวิจัย ในที่นี้จะขอแบ่งประเภทเป็นกลุ่มประเทศ ตามรายงานของ Global Economy ดังนี้

1.กลุ่มประเทศพัฒนา มีสัดส่วนเศรษฐกิจเงาประมาณ 17% ของจีดีพี

2.กลุ่มประเทศปานกลาง ประมาณ 35%-40% ของจีดีพี แต่มีข้อน่าสังเกตคือประเทศไทยที่ถือว่าเป็นประเทศรายได้ปานกลางค่อนข้างสูง มีสัดส่วนของเศรษฐกิจเงา อยู่ระหว่าง 40%-50% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับงานวิจัยที่บางส่วนไม่นับการค้ายาเสพติดบางส่วนนับด้วย

3.กลุ่มประเทศยากจนมีสัดส่วนเศรษฐกิจเงาเกินกว่า 40% ของจีดีพีขึ้นไป

ส่วนเครื่องมือสำคัญในการสนับสนุนธุรกิจประเภทนี้ โดยเฉพาะขนาดใหญ่ คือ ธุรกิจการฟอกเงิน ซึ่งได้แก่การโอนเงินระหว่างประเทศด้วยวิธีการต่างๆ เช่น โพยก๊วน หรือ Off Shore Banking อย่างลาบวนของมาเลเซีย เวอร์จินไอร์แลนด์ หรือ บาฮามาส์ หรือตลาดหุ้นและสุดท้ายคือ Crypto Currency เช่น Bitcoin เป็นต้น

ปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ ตัวผู้บังคับใช้กฎหมาย หรือการบังคับใช้กฎหมายที่หละหลวมละเลย หรือคอร์รัปชัน ทั้งนี้ยังนับรวมถึงตัวกฎหมายเอง ซึ่งเป็นดาบสองคม ถ้าเข้มงวดเกินไป หรือลงโทษรุนแรงมาก อาจกลายเป็นเครื่องมือให้เจ้าพนักงานใช้ในการรีดไถเงินจากผู้ต้องหาได้เป็นจำนวนเงินที่มากขึ้น แต่หากหละหลวมมีช่องว่างก็อาจทำให้ผู้ต้องหาหลีกเลี่ยงเล็ดลอดไปได้ แม้แต่เรื่องภาษีอากร หรือหนี้นอกระบบที่ขูดรีดอย่างทารุณ

ดังนั้นที่ผู้เขียนกล่าวว่าการประเมินว่าแม้เศรษฐกิจไทยจะโตเพียง 1.3% ของจีดีพีในปี 64 นี้ แต่เศรษฐกิจเงาอาจโตมากกว่า 2-3 เท่าของเศรษฐกิจในระบบ ซึ่งแน่นอนมันไม่ใช่ข่าวดี แต่ก็ทำให้เกิดช่องทางในการหากินนอกระบบมากขึ้น เพราะธุรกิจในระบบมันหดตัวรุนแรง จนตกงานหางานใหม่ยาก ธุรกิจ SME ปิดตัว จึงต้องดิ้นรนเอาตัวรอดเข้าไปสู่เศรษฐกิจเงา

ประกอบกับมีการปล่อยตัวนักโทษเป็นจำนวนหลายหมื่นคนทั้งที่ครบกำหนด ทั้งการผ่อนผัน หรือการอภัยโทษเพื่อลดความแออัดในคุก อันเป็นทางที่คิดว่าจะลดปัญหาการแพร่กระจายโควิด แต่ตรงกันข้ามอาจจะเป็นการกระจายการแพร่เชื้อก็ได้

ในขณะเดียวกันผู้ต้องโทษเหล่านี้ แม้ในยามปกติก็หางานยากอยู่แล้ว ครั้นมาเจอปัญหาโควิดแพร่ระบาดก็ยิ่งหางานสุจริตยากขึ้น จึงมีแนวโน้มเข้าสู่กิจกรรมเศรษฐกิจนอกระบบมากขึ้น และเป็นการซ้ำเติมปัญหา อันจะเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติในอนาคตอันใกล้

สำหรับแนวทางการแก้ไขก็ได้เคยมีการนำเสนอกันมาหลายครั้ง และหลายวิธีแต่ก็มักไม่มีการตอบสนอง ส่วนหนึ่งอาจจะมีการล็อบบี้จากผู้ทำธุรกิจสีเทา-สีดำ ที่มีเงินมหาศาล และอาจมีอำนาจทางการเมืองอีกด้วย อีกส่วนหนึ่งก็อาจมีการขัดขวางหน่วงเหนี่ยวโดยเจ้าหน้าที่ ที่มีหน้าที่รับผิดชอบนั่นเอง เพราะพวกเขาจะเสียผลประโยชน์จำนวนมาก นั่นคือพวกที่ใส่เครื่องแบบนั่นแหละ

ตัวอย่างประการแรกที่มีการนำเสนอให้มีการนำธุรกิจใต้ดินให้ขึ้นมาอยู่บนดิน และถูกกฎหมาย อย่างบ่อนการ. หวยใต้ดิน ซึ่งรัฐบาลอาจทำเป็นหวยออนไลน์ หรือ Lotto แบบสหรัฐฯ หรือ แหล่งค้าประเวณี เป็นต้น

การใช้ระบบ Negative Tax System คือ ให้ทุกคนเข้ามาอยู่ในระบบภาษี หากมีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ก็จะได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐในอัตราที่เหมาะสม ทั้งนี้จะทำให้ระบบภาษีของเราเป็นฐานข้อมูลที่สำคัญในการบริหารประเทศอย่างเป็นระบบ

หรือถ้าจะเอาแนวศาสนาอย่างเข้มข้น เช่น การประกาศให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ก็ต้องมีมาตรการให้ชาวพุทธถือศีล 5 และยกเลิกกิจการอบายมุขทั้งหลาย ทั้งโรงเหล้า ลอตเตอรี่ หรือแหล่งค้ากาม

ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่จะถูกต่อต้านทั้งนั้น และอย่างรุนแรงเพราะเศรษฐกิจเงามันมีมูลค่ามหาศาล ซึ่งประเมินแล้วไม่ต่ำกว่า 5-6 ล้านๆบาททีเดียว

นี่แหละเข้าตำราภาษิตจีนที่ว่า "มีเงินก็ใช้ผีโม่แป้งได้"
#3105


หลังอลเวงมากว่าสองสัปดาห์ในโครงการจัดหาชุดตรวจเชื้อโควิด แบบ Antigen Test kit (ATK) สำหรับให้ประชาชนใช้ตรวจคัดกรองเชิงรุก จำนวน 8.5 ล้านชุด ซึ่งก่อนหน้านี้มี "ข้อสั่งการ" ของ  "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผ่านการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ขอให้ชุดตรวจ ATK ที่องค์การเภสัชกรรม (อภ.) จะจัดซื้อนั้นต้องผ่านมาตรฐาน WHO ตามข้อเรียกร้องของชมรมแพทย์ชนบทที่ออกมาเคลื่อนไหวกดดันเพื่อให้ได้ชุดตรวจที่มีคุณภาพสูง มีความแม่นยำ จากนั้นเรื่องก็ "เงียบฉี่" ไปร่วมสัปดาห์ กระทั่งในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมา "ความชัดเจน"  ก็เกิดขึ้น เมื่อที่ประชุม ครม.รับทราบ "ข้อสั่งการใหม่" ของนายกรัฐมนตรี โดยกลับลำขอให้เร่งมือจัดหามาโดยเร็วที่สุดแทน

 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ครม.รับทราบการขอปรับปรุงข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ในการประชุม ศบค.ครั้งที่ 12/2564 และการประชุม ครม. เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2564 โดยแก้ไขข้อความจากเดิมที่ระบุในข้อสรุปผลการประชุม ศบค. หน้าที่ 17 ข้อ 6 ว่า "การเร่งดำเนินการจัดหาชุดตรวจหาเชื้อโควิด-19 แบบแอนติเจน (Antigen Test Kit : ATK) ที่ผ่านการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) รวมทั้งต้องมีความแม่นยำในการตรวจ เพื่อนำไปสู่การรักษาที่ทันท่วงที และพร้อมจัดส่งให้ได้ภายในเวลาที่กำหนด" นายกรัฐมนตรี เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการ ศบค.ปรับปรุงแก้ไขข้อสั่งการนายกฯ มีข้อความดังนี้คือ "ในเรื่องการจัดหาซื้อชุดตรวจ ATK นี้ ขอให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เร่งดำเนินการให้ได้โดยเร็ว หากมีปัญหาความขัดแย้งอยู่ในปัจจุบัน ขอให้เร่งแก้ไขปัญหาให้ดีที่สุด"

สำหรับเหตุผลที่เปลี่ยนแปลงให้ ATK ไม่ต้องผ่านการรับรองมาตรฐานจาก WHO นั้น มีคำอธิบายจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล  รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งรายงานต่อครม.ว่า ชุดตรวจ ATK ถ้าจะผ่าน WHO มีเพียงชุดตรวจสำหรับใช้โดยบุคคลากรทางการแพทย์ (Professional use) ที่ WHO ให้การรับรอง แต่ ATK สำหรับใช้โดยประชาชนทั่วไป (Home use) WHO ยังไม่ได้ให้การรับรองใดๆ ทั้งสิ้น

แน่นอนว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดสามารถมองได้ 2 ประเด็นด้วยกัน

ประเด็นแรก หากคิดแบบโลกสวยก็อาจมองได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ดื้อดึงและรับฟังข้อเท็จจริง

ประเด็นที่สอง พล.อ.ประยุทธ์ใช้ SINGLE COMMAND โดยที่ไม่ได้ตรวจสอบให้แน่ชัด ทำให้เกิดความผิดพลาดในการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งส่งผลทำให้การจัดซื้อชุดตรวจ ATK เป็นไปด้วยความล่าช้า และประชาชนไม่สามารถเข้าถึงชุดตรวจได้อย่างรวดเร็ว เพราะการจัดซื้อชุดตรวจครั้งนี้คือการจัดซื้อสำหรับประชาชนทั่วไปใช้มิใช่สำหรับบุคลากรทางการแพทย์

หลังจาก ครม. เคาะเกณฑ์ใหม่แล้ว นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม ได้แจ้งโรงพยาบาลราชวิถี และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อเดินหน้าดำเนินการจัดซื้อ ATK คู่ขนานไปกับการแจ้งบริษัทที่ชนะการประมูล ให้มาดำเนินการตามสัญญาจัดซื้อจัดจ้างตามข้อสั่งการที่นายกรัฐมนตรี ระบุให้เร่งดำเนินการให้เร็วที่สุดเพื่อให้ ATK ถึงมือประชาชนโดยเร็ว โดยลงนามในหนังสือลงวันที่ 24 สิงหาคม 2564 เรียบร้อยแล้ว

ขณะเดียวกัน  นางศิริญา เทพเจริญ  รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด บริษัท ณุศาศิริ จำกัด และ กรรมการบริหาร บริษัท เวิลด์ เมดิคอล อัลไลแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะตัวแทนจำหน่าย Lepu ให้สัมภาษณ์สื่อถึงเรื่องที่องค์การเภสัชกรรม เตรียมทำสัญญาจัดซื้อชุดตรวจ ATK จำนวน 8.5 ล้านชุด ในวันที่ 27 สิงหาคม แต่เนื่องจากต้องเตรียมเอกสารเพิ่มเติม จึงเลื่อนการทำสัญญาออกไปเป็นวันจันทร์ ที่ 30 สิงหาคม 2564 แทน ซึ่งหลังจากเซ็นสัญญา แล้วทางบริษัทพร้อมนำเข้าสินค้าตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้ทันที

อย่างไรก็ดี ก่อนหน้าที่เรื่องจะจบลงอย่างที่ปรากฏ ทางณุศาศิริก็เคลื่อนไหวอย่างหนัก โดยประกาศว่า บ.ณุศาศิริ ฯ และ บ.เวิลด์ เมดดิคอลฯ จะเป็นผู้นำเข้า ATK เพื่อคนไทย จำนวน 8.5 ล้านชิ้น มาจำหน่ายให้ประชาชนคนไทยทุกคน ได้มีโอกาสเข้าถึงชุดตรวจโควิดด้วยตนเอง ในราคาเพียงชุดละ 75 บาท โดยเป็นราคาที่ใกล้เคียงกับราคาที่ประมูลได้จากทางองค์การเภสัชฯ ซึ่งู้ที่สนใจสามารถเข้าไป Pre Order ขั้นต่ำ 1 กล่อง ( 1 กล่อง มี 25 ชุด) ได้ตั้งแต่วันที่ 23 -31 ส.ค.นี้ (สินค้า Pre-Order รับชุดตรวจที่คลินิกและร้านขายยาที่ร่วมโครงการกับ MORHELLO ได้ภายใน 14-30 วัน นับจากรับยอดโอน) หรือติดต่อสั่งซื้อได้ที่ Line @ Morhello ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

ทว่า หลังจากมีความชัดเจนเรื่องการทำสัญญากับ อภ. นางศิริญาชี้แจงว่า การจำหน่ายให้ประชาชนจะเปิดให้ซื้อเพียง 5 วันเท่านั้น และหลังจากนี้จะไม่มีราคานี้อีก โดยขณะนี้มีทั้งสถานประกอบการ โรงงาน และประชาชนทั่วไป ให้ความสนใจสั่งซื้อกันแล้วยอดไม่ต่ำกว่า 1 ล้านชิ้น คาดว่าผลิตภัณฑ์ส่วนนี้จะเข้ามากระจายให้ผู้ที่สั่งจองภายใน 14-30 วัน อีกทั้งหลังจากนี้บริษัทจะนำเข้ามาขายแบบทั่วไปด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาราคาขายที่เหมาะสม แต่ในเบื้องต้นขณะนี้ขอนำเข้าในสัดส่วนที่ภาครัฐเตรียมจัดซื้อเพื่อแจกประชาชนใช้ฟรีก่อน

ขณะที่ปฏิกิริยาอีกฟากฝั่งทาง  ชมรมแพทย์ชนบท ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 5 สวนมติ ครม.ที่ออกมาใหม่ทันควัน โดยจั่วหัวว่า "ตู่ไม่แข็ง ชมรมแพทย์ชนบทและเครือข่ายจะยังคงตรวจสอบคุณภาพ ATK ที่ประมูลได้ต่อไป" โดย  นายแพทย์สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ  ระบุว่าข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่มีการแก้ไขใหม่นั้น ทางชมรมฯ มองเห็นแนวโน้มมาตลอดและสุดท้ายก็ชัดเจนว่า "รัฐบาลของนายกประยุทธ์ จันทร์โอชานั้น ไม่แข็งจริง การไม่มีหลักยึดทีมั่นชัด ไม่แข็งที่จะยืนบนหลักที่ถูกต้อง ทำให้การนำรัฐนาวาประเทศไทยสู่การฝ่าฟันวิกฤตโควิดไปได้นั้นสาหัสและเจ็บหนักมากทั้งชีวิตผู้คนและระบบเศรษฐกิจไทย"

ชมรมแพทย์ชนบท ยังคงยืนบนหลักการของแถลงการณ์ฉบับที่ 3 ที่เคยเสนอไปแล้วว่า อำนาจการจัดซื้ออยู่ที่องค์กรรัฐ แต่อำนาจการตรวจสอบอยู่ที่เราภาคประชาชน ชมรมแพทย์ชนบทร่วมกับเครือข่ายภาคประชาชน ยังยืนยันที่จะระดมทีมปฏิบัติการจากทุกภาค ทำการตรวจสอบชุดตรวจ ATK ที่ได้รับการประมูลว่ามีคุณภาพทั้ง sensitivity และ specificity ดังที่กล่าวอ้างหรือไม่ มีผลบวกปลอมและผลลบปลอมในสัดส่วนที่เกินกว่าจะรับได้หรือไม่ โดยจะเริ่มปฏิบัติการทันทีที่ชุดตรวจได้กระจายลงสู่พื้นที่ และหากผลการตรวจสอบพบว่าชุดตรวจมีคุณภาพต่ำเกินกว่าที่จะรับได้ เรื่องนี้ต้องมีผู้รับผิดชอบ

ด้าน  "นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี" เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) บอกว่า สปสช. เป็นเจ้าของงบประมาณ พร้อมกระจายชุดตรวจโควิดให้ประชาชนทันที หลังชุดตรวจ Lepu เข้าไทยแล้ว เบื้องต้นวางแผนว่าจะกระจาย 3 แบบ ระจาย 3 แบบ คือ กระจายให้ชุมชนแออัดในพื้นที่สีแดงเป็นลำดับแรก กระจายไปยังร้านยาในเครือข่าย จากนั้นให้ประชาชนมารับชุดตรวจ และกระจายไปยังหน่วยให้บริการ เช่น รพ.สต. ศูนย์สาธารณสุข สถานพยาบาลในเครือข่ายของ สปสช. แล้วให้ประชาชนมารับชุดตรวจ ซึ่งเป้าหมาย คือต้องการให้ประชาชนนำไปตรวจหาเชื้อโควิดด้วยตัวเอง และให้บุคลากรเป็นผู้ตรวจให้กับกลุ่มเสี่ยง หากตรวจแล้วไม่พบเชื้อ แต่เห็นว่ามีความเสี่ยง ก็จะให้ชุดตรวจกลับไปตรวจที่บ้านอีก 1-2 ชุดและตอนนี้อยู่ระหว่างการหารือว่าอาจจัดส่งชุดตรวจให้ถึงบ้านผ่านระบบไปรษณีย์ หรือ ไรเดอร์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนโดยหลังแจกจ่ายให้ประชาชนแล้ว ก็จะมีคณะทำงานติดตามผลว่าชุดตรวจที่ใช้มีประสิทธิภาพมากกน้อยแค่ไหน เพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจจัดซื้อในครั้งหน้า

ทั้งนี้ นอกจาก สปสช. และชมรมแพทย์ชนบท ที่เตรียมเดินหน้าทดสอบคุณภาพชุดตรวจ Lepu แล้ว  "สมชัย เจิดเสริมอนันต์" นายกสภาเทคนิคการแพทย์ บอกว่าสภาได้รับการติดต่อจาก อย. มาขอให้เข้าร่วมเป็นคณะทำงานตรวจสอบคุณภาพชุดตรวจ Lepu หลังกระจายให้ประชาชนใช้ด้วย ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างการตั้งคณะทำงาน และต้องรอความชัดเจนจาก อย. อีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ความจำเป็นและความต้องการชุดตรวจ ATK ของประชาชนได้เพิ่มขึ้นตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ล่าสุด จากเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เมื่อวันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา ระบุว่า มีผู้บริษัทที่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าและจำหน่ายชุดตรวจแล้วทั้งสิ้น 42 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยแหล่งผลิตชุดตรวจดังกล่าวมีโรงงานผลิตในประเทศจีนมากถึง 24-25 บริษัท รองลงไปเป็นเกาหลี 9 บริษัท สหรัฐอเมริกา 3 บริษัท ไต้หวัน 3 บริษัท สเปน 1 บริษัท และสวิตเซอร์แลนด์ 1 บริษัท

สำหรับราคานำเข้าและราคาขายชุดตรวจ ATK นั้น หลังจากกรมการค้าภายใน ทำหนังสือแจ้งให้ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ค้าชุดตรวจATK จัดส่งข้อมูลต้นทุนและราคาขายในท้องตลาดมาให้กรมพิจารณานั้น ข้อมูลที่จัดส่งมาให้กรมฯ แล้ว 9 ยี่ห้อ มีต้นทุนการนำเข้าแบบซีไอเอฟ (ค่าสินค้าบวกค่าประกันและค่าขนส่ง) ชิ้นละ 40.60-221.71 บาท เมื่อรวมค่าใช้จ่ายในการนำเข้า ค่าบริหารจัดการ และส่วนต่างราคา ราคาขายส่งอยู่ที่ชิ้นละ 160-305.55 บาท และราคาขายปลีกชิ้นละ 219.35-425 บาท หรือราคาขายในท้องตลาดเฉลี่ยอยู่ที่ 250-350 บาท

ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ กำลังรวบรวมข้อมูลเพื่อกำหนดราคาขายให้เหมาะสม และเปิดสายด่วน 1569 เพื่อให้ประชาชนแจ้งปัญหาเรื่องราคาสินค้า รวมทั้งสามารถแจ้งสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทุกจังหวัดทั่วประเทศ ทั้งนี้ ตามมาตรา 29 พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยชุดตรวจเอทีเค, วัคซีนป้องกันโควิด-19 และยาฟ้าทะลายโจร เป็นสินค้าควบคุมตามประกาศ กกร.ฉบับที่ 8 ลงวันที่ 28 มิถุนายน 2564

...ก็เป็นอันว่า ดรามาศึกชุดตรวจ ATK Lepu ที่เกิดขึ้นจาก "นายกฯ ลุงตู่" ก็จบลงด้วย "การกลับลำ" ของ "นายกฯ ลุงตู่" ด้วยประการฉะนี้
#3106
 



เคยได้ยินกันใช่ไหม ว่าการแก้ไขปัญหาให้ได้ผลชะงัดนั้นต้องเริ่มจัดการปัญหากันตั้งแต่ต้นเหตุ? ปัญหาผิวแห้ง หยาบกร้าน หมองคล้ำหรือแม้แต่ริ้วรอยก็เช่นกัน หากต้องการทวงคืนผิวสวยให้กลับมาเปล่งปลั่งดูงดงามได้นั้น
แท้จริงแล้วต้องเริ่มต้นจากการแก้ไขผิวแห้งผิวขาดความชุ่มชื้นที่เป็นต้นเหตุสำคัญของปัญหาผิวนับร้อยพันให้หมดไปเสียก่อน

 Calendula Serum Infused Water Cream "ครีมเพิ่มความชุ่มชื้น" จากกลีบดอกคาเลนดูล่าคือตัวเลือกที่ใช่
พร้อมประสิทธิภาพ "ปลอบประโลมผิว" และเข้าแก้ไขปัญหา "ผิวขาดน้ำ"
ต้นเหตุสำคัญของอุปสรรคผิวสวยใส


"ดอกคาเลนดูล่า" พืชสมุนไพรที่ใช้ในตำรับการแพทย์และการดูแลผิวมายาวนานนับศตวรรษ
สารสกัดจาก "ดอกคาเลนดูล่า" และกลีบดอกคาเลนดูล่าจากดินแดนแถบเมดิเตอร์เรเนียนมีคุณสมบัติในการมอบความชุ่มชื้นคืนสู่ผิวอย่างทรงพลัง พร้อมประสิทธิภาพช่วยปลอบประโลมผิวอ่อนล้าให้แข็งแรง เป็นส่วนผสมสำคัญที่มักถูกเลือกใช้ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณ อีกทั้งยังมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในตำรับแพทย์แผนจีนโบราณและทางอายุรเวชอย่างแพร่หลายมายาวนานหลายศตวรรษ สามารถใช้ได้กับสภาพผิวทุกประเภท ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ระคายเคือง สามารถชะลออายุของผิวให้อ่อนวัย และปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระพร้อมลดการอุดตัน


Kiehl's Calendula เติมความชุ่มชื้นให้ผิวพรรณ มอบความรู้สึกเปล่งปลั่งสดชื่นในทันที
Kiehl's ได้คัดสรรสารสกัดจากดอกคาเลนดูล่ามาใช้เป็นส่วนประกอบหลักของผลิตภัณฑ์ฟื้นฟูผิว โดยได้รับแรงบันดาลใจจากผลลัพธ์ทรงประสิทธิภาพของ Calendula Herbal-Extract Toner โทนเนอร์ขายดีจาก Kiehl's ที่กอบกู้ผิวสวยใสให้หนุ่มสาวมาแล้วทั่วโลก เมื่อนำมาบดละเอียดและผ่านความร้อนสูงผสมเข้ากับ Water Cream ได้เป็นครีมเพิ่มความชุ่มชื้นมีคุณสมบัติในการเติมน้ำให้กับผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพแต่ไม่ได้ให้ความรู้สึกหนาหนัก ในทางกลับกันตัวครีมมีเนื้อที่บางเบาในลักษณะเจลครีมสีเหลืองอ่อน เกาะตัวแน่น เข้มข้นสูง ทาแล้วให้สัมผัสนุ่มสบาย สามารถซึมซาบสู่ชั้นผิวได้อย่างรวดเร็ว ช่วยทำรู้สึกถึงความชุ่มชื้น สดชื่นและทำให้ผิวเปล่งประกายภายหลังการใช้ในทันที


ใช้เป็นประจำเพื่อผลลัพธ์ที่เห็นได้ใน 1 สัปดาห์
เพียงนวดและลูบไล้ครีม Kiehl's ลงบนผิวหน้าภายหลังการทำความสะอาดทุกเช้าและก่อนนอนเพื่อเติมความชุ่มชื้นให้ชั้นผิว ภายหลังการใช้เพียง 1 สัปดาห์ ผิวพรรณที่อ่อนล้าและแห้งกร้านจะค่อย ๆ ถูกฟื้นฟู มีสีผิวที่ดูสม่ำเสมอมากขึ้น และเมื่อใช้ต่อเป็นประจำ วอเตอร์ครีมนี้สามารถต้านทานริ้วรอยแรกเริ่ม พร้อมจัดการปัญหาเรื่องรอยแดง ความหมองคล้ำให้ค่อยๆ ลดเลือนลงไป


Calendula Cream มาในกระปุกสีเหลืองสดใส เนื้อครีมเจลบางเบาแต่เข้มข้นมีกลิ่นหอมซิตรัสจากน้ำมันหอมระเหยเปลือกส้ม ดอกไม้และมะนาวช่วยให้รู้สึกสดชื่นผ่อนคลาย
#3107
ถือเป็นคำถามที่หลายๆ คนข้องใจ...ว่าแท้จริงแล้วการใช้ "โทนเนอร์" นั้นสำคัญไฉนและจำเป็นต้องใช้ทุกครั้งหลังทำความสะอาดผิวหน้าเลยหรือ? 





สำหรับคำตอบนั้น เราลองยกให้ Calendula Herbal Extract Toner Alcohol Free จาก Kiehl's เป็นผู้เฉลยไขคำตอบให้กันจะดีกว่า ว่าประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ยอดขายอันดับหนึ่งที่ครองใจผู้ใช้ทั่วโลกขวดนี้มีดีต่อผิวอย่างไรบ้าง 

โทนเนอร์ Kiehl's ช่วยทำความสะอาดผิวได้อย่างลึกล้ำหลังการล้างหน้า 
แม้ว่าคุณจะล้างหน้าอยู่แล้วเป็นประจำทุกวัน ทว่าก็ไม่อาจทำให้มั่นใจได้ว่าน้ำและโฟมล้างหน้าสามารถชะล้างสิ่กสกปรกตกค้างจากใบหน้าออกไปได้อย่างหมดจดแล้วเพียงพอ เพราะหากได้ลองสังเกตดู แม้ว่าจะได้ล้างหน้าสะอาดแล้วเพียงใด เมื่อเช็ดหน้าด้วยโทนเนอร์อีกครั้ง ก็มักมีคราบดำ คราบสกปรกหลุดออกมาให้เห็นเพิ่มเติมอยู่ดี 

โทนเนอร์จากดอกคาเลนดูล่าช่วยเช็ดทำความสะอาดผิวหน้าและขจัดสิ่งสกปรกตกค้างหลังการล้างหน้าได้อย่างลึกล้ำ สามารถใช้ได้ทั้งในช่วงเช้า หรือก่อนแต่งหน้า และก่อนเข้านอน

ปรับสมดุลและปลอบประโลมผิวให้แข็งแรง 
ด้วยนวัตกรรมและส่วนผสมสูตรพิเศษจากสมุนไพรนานาพันธุ์ ทั้งกลีบดอกคาเลนดูล่า ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระพร้อมคุณสมบัติปลอบประโลมให้ความสบายต่อผิว และสมุนไพรจากต้นคอมเฟรย์และรากของต้นโกโบ Calendula Toner จึงโด่งดังเรื่องการใช้ซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่สึกหรอพร้อมเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิว โทนเนอร์ขวดนี้สามารถช่วยปลอบประโลมผิว ลดความระคายเคือง และบรรเทาปัญหาผิวแห้งหยาบกร้านให้กลับมาชุ่มชื้นดูแข็งแรง

ดูแลผิวอย่างอ่อนโยนเหมาะกับทุกสภาพผิว 
แม้จะมีประสิทธิภาพทรงพลังในการใช้ทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างลึกล้ำหมดจด คุณก็สามารถมั่นใจได้ว่า Kiehl's Toner นั้นอ่อนโยนและปลอดภัยและไม่เป็นอันตรายต่อผิวสำหรับผู้แพ้ง่าย เพราะ Kiehl's เลือกใช้เฉพาะส่วนผสมจากธรรมชาติที่ผ่านการเก็บเกี่ยวด้วยมืออย่างพิถีพิถัน ไม่มีส่วนผสมจากแอลกอฮอล์ จึงอ่อนโยนและดีต่อผู้ใช้ที่มีผิวบอบบาง อีกทั้งยังเหมาะกับทุก ๆ สภาพผิวโดยเฉพาะผู้มีผิวผสม ผิวมัน ไปจนถึงผู้ที่มีปัญหาสิว หรือ ผิวระคายเคืองง่าย

ใช้เป็นประจำเพื่อผิวเรียบเนียนสัมผัสได้ 
ไม่เพียงแต่จะรู้สึกได้ว่าผิวหน้าดูแข็งแรงขึ้นกว่าเคย แต่เมื่อได้ใช้ Kiehl's Calendula  Toner เป็นประจำเพื่อการทำความสะอาดและฟื้นฟูผิวหน้า คุณจะสามารถสัมผัสได้ถึงผิวที่กระจ่างใส ดูมีออร่า มีความเรียบเนียนและแลดูเปล่งปลั่งมากยิ่งกว่าเดิม

Toner จากดอกคาเลนดูล่าขวดนี้มาในขวดใสสไตล์มินิมอล และยังมีกลิ่นหอมละมุนอ่อนๆ จากสมุนไพร ที่ช่วยให้คุณรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายในทุก ๆ ครั้งที่เปิดใช้งาน

 
 
#3108


ตามที่มีข่าวออกมากยังมีประชาชนกลุ่มเปราะบางที่อาจจะไม่ได้รับการช่วยเหลือให้ทันท่วงที่ต่อผลกระทบของการแพร่ระบาดของโควิด-19 เลยทำให้นึกถึงการพัฒนากำลังคนของประเทศว่า ประชาชนกลุ่มเปราะบางกลุ่มไหน จะสามารถมาเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศด้านกำลังคน เพราะโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ยังต้องการกำลังคนมาสนับสนุนโครงการต่างๆ ในเขตอีอีซี

ผู้เขียนได้มีโอกาสทำงานด้านการพัฒนากำลังคนดิจิทัล ซึ่งเป็นหนึ่งในภาระกิจของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ในการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาผลิตกำลังคนเพื่อรองรับอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ประเทศไทยเข้าสู่ยุค Thailand 4.0 และกำลังพัฒนาประเทศด้วยเศรษฐกิจดิจิทัล จากประสบการณ์มีหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนให้ความร่วมมืออย่างดียิ่งในการพัฒนากำลังคน ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาหรือสถาบันอาชีวศึกษา หรือบุคลากรในหน่วยงานที่มีการ upskill reskill new skill อยู่บ่อยครั้ง แต่หากมองออกไปที่กลุ่มอื่น ที่ยังไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมการส่งเสริมและช่วยเหลือมากนัก ก็จะเป็นกลุ่มที่อยู่นอกระบบ ซึ่งถ้าหากเราสามารถนำกลุ่มนี้กลับเข้ามาในระบบได้ก็เป็นดี จะได้มาเสริมกำลังคนในการพัฒนาประเทศ

กลุ่มประชากรที่อยู่ในระบบก็จะได้รับการส่งเสริมง่ายกว่ากลุ่มที่อยู่นอกระบบ เช่น โครงการ Schools Championship หรือ โครงการ depa Maker Spaces ของ depa ซึ่งเป็นโครงการที่ปูพื้นฐานด้วยองค์ความรู้ด้านโค้ดดิ้งให้กับนักเรียนระดับชั้นประถมและมัธยมศึกษา หรือกลุ่มนักศึกษาและบุคลากรที่มีการจัดอบรมต่อยอดองค์ความรู้เดิมที่มีอยู่ให้สูงยิ่งขึ้นไปอีก จะอยู่ในรูปแบบของ reskill upskill และ new skill

กลุ่มประชาชนเปราะบางด้านการพัฒนกำลังคนนั้น คือ กลุ่มที่อยู่นอกระบบหรือแรงงานนอกระบบ เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่ทำให้ไม่สามารถเข้าอยู่ในระบบได้ เช่น การขาดโอกาสเข้ารับการศึกษาขั้นพื้นฐานหรือออกจากระบบการศึกษาก่อนเวลาอันควร จากรายงานของ จากรายงานของ Organization for Economic Co-operation and Development (2019) รายงานว่าถึงแม้เมื่อปี 2552 รัฐบาลมีมติคณะรัฐมนตรีจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย 15 ปี โดยนับจากชั้นอนุบาล ถึง มัธยมศึกษาปีที่ 6 แต่ก็ยังปัจจัยอื่นที่ทำให้นักเรียนต้องออกจากระบบการศึกษาขั้นพื้นฐาน

อย่างไรก็ตามหากประชาชนกลุ่มเปราะบางด้านการพัฒนากำลังคนได้รับโอกาสในการพัฒนาในทักษะขั้นพื้นฐานที่จำเป็นต่อการประกอบวิชาชีพ ถึงอาจจะใช้งบประมาณสูง ใช้เวลานาน และความอดทนสูงก็ตาม เพราะจะต้องมีการวางแผนรอบด้าน ตั้งแต่การวางหลักสูตรที่เร่งรัดแต่มีประสิทธิภาพ จัดหาระบบที่เอื้ออำนวยความสะดวกในการเดินทางเพื่อมาอบรม จัดหาแหล่งจ้างงานที่รองรับหลักจบจากหลักสูตร แต่หากมองในระยะยาว ก็ถึงว่าคุ้มที่จะลงทุนเพราะจะมีผลกระทบเชิงบวกในหลายมิติ เช่น ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม เพิ่มจำนวนประชากรที่มีคุณภาพทำให้กับสังคม เศรษฐกิจมีการขับเคลื่อนและหมุนเวียนเนื่องจากมีจำนวนผู้บริโภคเพิ่มขึ้น และที่สำคัญจะมีการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น เนื่องจากเรามีบุคลากรเพียงพอในการรองรับธุรกิจที่จะมาตั้งในเขตอีอีซี และลดจำนวนการจ้างแรงงานจากต่างประเทศ

ADVERTISEMENT


ดังนั้น หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ได้คลี่คลาย ทั้งภาครัฐ เอกชน และองค์กรต่างๆ ควรร่วมมือกันวางแผนการส่งเสริมการอบรมให้ความรู้แก่ประชาชนกลุ่มเปราะบางด้านการพัฒนากำลัง ประชากรกลุ่มนี้อาจจะเป็นกลุ่มท้ายๆ ที่หลายคนไม่ได้นึกถึง เพราะอยู่นอกระบบ ทั้งที่เป็นบุคลากรที่มีคุณภาพและสามารถทำงานได้ เพียงแต่ขาดโอกาสในการพัฒนาและสนับสนุน ประชากรกลุ่มนี้ก็สามารถเป็นกำลังเสริมในการขับเคลื่อนประเทศได้
#3109


นางแววคนีย์ อัสโสรัตน์กุล ผู้จัดการทั่วไปเคเอฟซีประเทศไทย บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า กระแสการตอบรับเนื้อจากพืชกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นในหลายประเทศ รวมถึงในประเทศไทย เมนูอาหารจากแพลนต์เบส (Plant Based) จึงเป็นอีกความท้าทายหนึ่งของ KFC ในการนำเสนอเมนูเนื้อไก่จากพืชที่เหมาะสำหรับผู้บริโภคชาวไทย เป็นอีกทางเลือกให้ผู้บริโภคได้ลิ้มลอง ซึ่งพบว่า Meat Zero เป็นแบรนด์แพลนต์เบสของไทยที่มีความโดดเด่น เหมือนเนื้อไก่จริง ทั้งลักษณะชิ้นเนื้อ รสชาติ กลิ่นและเนื้อสัมผัส เมื่อนำมาปรุงเป็นเมนูแบบไทยในสไตล์ของเคเอฟซี จึงมั่นใจได้ว่าผู้บริโภคจะได้รับอรรถรสความอร่อยเหมือนทุกครั้งที่สัมผัสรสชาติของ KFC

"การเลือก Meat Zero มาปรุงเป็นเมนูไก่ป็อปแพลนต์เบส และข้าวยำไก่ป็อปแพลนต์เบส มีความอร่อยลงตัวและกลมกลืนมาก เชื่อว่าผู้บริโภคแทบจะไม่รู้เลยว่ากำลังรับประทานเนื้อไก่ที่ทำมาจากพืช วันไหนที่ต้องการเว้นเนื้อสัตว์เราสามารถตอบโจทย์นี้ของลูกค้าได้ทันที ภายใต้ความอร่อยที่ทุกคนคุ้นเคย เมนูพิเศษนี้ยังถือเป็นส่วนหนึ่งภายใต้แนวคิดรักษ์โลกของ KFC โดยจะประเดิมวางจำหน่ายที่ร้านสาขา KFC Green Store" นางแววคนีย์กล่าว



ด้าน นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เปิดเผยว่า Meat Zero เป็นนวัตกรรมจากพืชที่อร่อยอย่างเนื้อ และได้รับการตอบรับอย่างดีมากจากผู้บริโภค ครั้งนี้เป็นอีกก้าวหนึ่งของ Meat Zero ที่ได้รับเลือกจาก KFC เชนร้านอาหารฟาสต์ฟูดอันดับ 1 ของไทย ให้เป็นเมนูแพลนต์เบสจานแรกของ KFC และร่วมเติมเต็มรสชาติความอร่อยที่รักษ์โลก รักษ์สิ่งแวดล้อมของร้าน KFC Go Green สอดคล้องกับความมุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรมอาหารที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมของซีพีเอฟ และเป็นเมนูที่ดีต่อใจของผู้ที่ต้องการลดการบริโภคเนื้อสัตว์ ทั้งกลุ่มวีแกน และกลุ่มมังสวิรัติยืดหยุ่น (Flexitarian)

ร่วมรักษ์โลกและพิสูจน์ความอร่อยของ ไก่ป๊อปแพลนต์เบส และ ข้าวยำไก่ป๊อปแพลนต์เบส ได้แล้ววันนี้ ณ ร้าน KFC Green Store 2 สาขา คือ สาขาอาคารแสงโสม และสาขาวนชัย ดีโป้ ฉะเชิงเทรา โดยมีเซตเมนูให้เลือกถึง 6 เซต ได้แก่ แพลนต์เบสป๊อป 7 ชิ้น ราคา 49 บาท ข้าวแพลนต์เบสแซ่บโบวล์ ราคา 75 บาท ชิคแอนด์แชร์ แพลนต์เบสป๊อป ราคา 119 บาท คอมโบ แพลนต์เบสป๊อป ราคา 79 บาท คอมโบข้าวแพลนต์เบสแซ่บโบวล์ 119 บาท และ เดอะบ็อกซ์ แพลนต์เบส 179 บาท

อนึ่ง เมนูอาหารจากแพลนต์เบสเป็นส่วนหนึ่งของโรดแมปด้านความยั่งยืนของ KFC ที่ประกอบด้วย 3 เสาหลัก คือ Planet การเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตลอดห่วงโซ่ เช่น การเลือกวัสดุก่อสร้างร้านสาขา ลดใช้พลังงานและการลดพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง - Food สร้างสรรค์เมนูอาหารที่มีคุณภาพและมีความรับผิดชอบ - People การเพิ่มศักยภาพของผู้คนในการเข้าถึงอาหารและลดความเหลื่อมล้ำ
#3110


บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า บริษัทได้เข้าซื้อธุรกิจสุกร ในประเทศรัสเซีย โดย LLC RBPI Voronezh ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ตั้งขึ้นใหม่ของ CPF โดยจะชำระค่าตอบแทนเป็นเงิน 22,000 ล้านรัสเซียรูเบิล หรือเทียบเท่าประมาณ 9,900 ล้านบาท ทั้งนี้คาดว่าการเข้าทำรายการจะแล้วเสร็จภายในเดือน ม.ค. 2565

ส่วนเงินที่ใช้ในการลงทุนครั้งนี้ จะมาจากการกู้ยืมจากสถาบันการเงินและภายในกลุ่ม ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เห็นว่า การเข้าทำรายการดังกล่าว มีความสมเหตุสมผลและจะทำให้บริษัท มีศักยภาพในการขยายธุรกิจสุกรในรัสเซียให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 26 ส.ค. ที่ผ่านมา ผู้ซื้อและผู้ขายได้เข้าทำสัญญาซื้อขายหุ้น (Share Purchase Agreement หรือ Agreement) โดยภายใต้ Agreement ดังกล่าว โดยผู้ซื้อจะชำระค่าตอบแทนดังกล่าว เพื่อให้ได้มาซึ่งรายการต่อไปนี้ 1.หุ้นทั้งหมดใน LLC Agro-Sojuz TS และ LLC Mjaso-Sojuz T หรือ บริษัทเป้าหมาย และ 2.หนี้เงินกู้ยืมที่ผู้ขายให้กู้ยืมแก่บริษัทเป้าหมาย และเมื่อการทำรายการแล้วเสร็จ บริษัทเป้าหมายดังกล่าวและบริษัทย่อยจะมีสถานะเป็รบริษัทย่อยทางอ้อมของ CPF

ทางด้านผู้ขายหุ้นดังกล่าว ที่ บริษัทย่อย CPF ซื้อมานั้น ประกอบด้วย 1.Tönnies Russland Agrar GmbH 2.RKS Agrar.eiligungs GmbH และ 3.Tönnies Holding ApS & Co. KG
#3111


นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์  เปิดเผยว่า  ตัวเลขการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนเดือนก.ค. 2564  มีมูลค่า 90,101 ล้านบาท ขยายตัว 41.70% แยกเป็นการค้าชายแดน มูลค่า 40,416 ล้านบาท  เพิ่ม10.55% โดยมาเลเซีย เพิ่ม 17.95% เมียนมาเพิ่ม 10.65% สปป.ลาวเพิ่ม  8.08% กัมพูชา เพิ่ม 5.12% และการค้าผ่านแดนมีมูลค่า 49,685 ล้านบาทเพิ่ม 83.84% โดยจีนขยายตัวสูงถึง 126.64% มีสินค้าที่ส่งออกไปมากที่สุดผลไม้สดและผลไม้แห้ง 348% มูลค่ารวม 15,000 ล้านบาท โดยเฉพาะทุเรียนมีมูลค่า 10,600 ล้านบาท มังคุด 4,700 ล้านบาท และลำไย 370 ล้านบาท เป็นต้น ขณะที่ สิงคโปร์เพิ่ม  59.85% และเวียดนาม เพิ่ม 1.63%  

การค้าชายแดนและผ่านแดนที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากการทำงานร่วมกันอย่างหนักและต่อเนื่องระหว่างกระทรวงพาณิชย์ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และภาคเอกชน  ภายใต้รูปแบบ กรอ.พาณิชย์  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเร่งเปิดจุดผ่านแดน ด่านทั้งหมดมี 97 ด่าน แต่หลายด่านก็ต้องปิดเนื่องจากสถานการณ์โควิด ปัจจุบัน สามารถเปิดแล้วถึง 44 ด่าน  การแก้ปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการส่งออกทั้งด่านในประเทศเพื่อนบ้านและด่านของประเทศผู้นำเข้า  เช่น  ด่านโหย่วอี้กวน ของจีน การเพิ่มช่องการขนส่งที่ด่านตงซิง ทำให้การขนส่งผลไม้ไทยมีความคล่องตัว  รวมทั้งปัญหาด้านสุขอนามัยที่ทำให้จีนจะงับการนำเข้าผลไม้ไทย

นอกจากนี้กระทรวงพาณิชย์มีนโยบายช่วยต่อลมหายใจให้กับ SMEs ส่งออกซึ่งมีส่วนสำคัญในการทำตัวเลขการส่งออกสินค้าข้ามแดนและชายแดนคือโครงการ "จับคู่กู้เงิน"สถาบันการเงินกับ SMEs ส่งออก โดยวันที่ 26 ส.ค. EXIM Bank อนุมัติเงินกู้เงื่อนไขพิเศษให้ SMEs ส่งออกแล้ว 151 รายเป็นเงิน 618 ล้านบาท ช่วยให้เกิดสภาพคล่องในการทำตัวเลขส่งออกผ่านการค้าชายแดนและผ่านแดนเพิ่มขึ้น   รวมทั้ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า และความต้องการสินค้าบางประเภทเพิ่มขึ้นเช่น สินค้า Work from Home และค่าเงินบาทเริ่มอ่อนค่าลงโดยเฉลี่ย 10% ช่วยให้เราสามารถแข่งขันในตลาดเพื่อนบ้านหรือตลาดจีนได้ดีขึ้น



นายจุรินทร์ กล่าวว่า   อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยลบที่เป็นตัวถ่วงตัวเลขการค้าชายแดนเช่นสถานการณ์โควิดซึ่งมาเลเซียเข้มงวดการนำเข้าสินค้าชายแดนผ่านไทยเพราะต้องควบคุมการแพร่ระบาดซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกน้ำยางและส่งผลต่อราคาน้ำยางในประเทศไทย แต่ยางก้อนถ้วยยังราคาดีมากและดีกว่าหลายยุคที่ผ่านมา เพราะ 3-5 ปีที่ผ่านมากิโลกรัมละ 15 บาท แต่วันนี้ 24 บาท ซึ่งราคาอาจปรับลดลงไปบ้างตามสถานการณ์ และระบบการขนส่งโลจิสติกส์ทั้งการขนส่งข้ามจังหวัดและะระบบการขนส่งข้ามประเทศที่ต้องแก้ปัญหาหน้างาน ตลอดทั้งจากไทยไปลาว ลาวไปเวียดนาม เป็นต้น หรือรวมทั้งข้ามฝั่งไปเมียนมาเพราะสถานการณ์การเมืองในเมียนมาเป็นปัจจัยตัวที่ทำให้การค้าชายแดนไม่คล่องตัวอย่างในภาวะปกติ

สำหรับด่านที่จะเร่งรัดเปิดต่อไปหลังจากเปิด 44 จาก 97 ด่าน ตนมอบหมายให้อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเจรจากับจับมือกับเอกชนและจังหวัด ขณะนี้มีความคืบหน้าใน 5 จังหวัดคือ เชียงราย เลย หนองคาย นครพนมและมุกดาหาร ที่จะทำแผนการเปิดด่านระหว่างไทยกับลาวแล้ว   ส่วนด่านปากแซง นาตาล ที่อุบลราชธานี ที่ตนไปดูด่านด้วยตนเองประสานจังหวัดจัดงบประมาณทำทางลาดลงไป มีความคืบหน้าในการเจรจาอยู่ในขั้นตอนรายละเอียด คาดว่าน่าจะเป็นด่านแรกๆที่จะสามารถเปิดด่านได้ 3.ที่นราธิวาส ด่านตากใบ กับบูเก๊ะตาจะเร่งรัดต่อไปตนได้มอบอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศใช้โมเดลเดียวกับด่านชายแดนลาวประชุม 3 ฝ่ายคาดว่าสัปดาห์หน้าจะประชุมได้ เมื่อได้แผนเปิดงานแล้วจะเจรจากับมาเลเซียต่อไป ซึ่งต้องคุยทั้ง 3 ฝ่ายเศรษฐกิจโควิดและความมั่นคง ต้องคุยด้วยกันถึงจะเปิดด่านได้

"ยอดรวมการค้าชายแดนและผ่านแดนในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2564 มีมูลค่า 591,051 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.88% เกินไปกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 3-6%  หากเป็นเป้าขั้นต่ำที่ 3% จะโตเกินกว่าเป้ากว่า 12 เท่า และเป้าขั้นสูง 6% จะโตเกินกว่าเป้ากว่า 6 เท่า    "

ด้าน นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า สำหรับสินค้าส่งออกสำคัญไปยังประเทศมาเลเซีย ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบผลิตภัณฑ์ยางพารา ประเทศกัมพูชา สินค้าส่งออกสำคัญได้แก่ สินค้าอุปโภคบริโภคเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ สำหรับ สปป.ลาว สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ น้ำมันดีเซลน้ำมันสำเร็จรูปอื่นๆและรถยนต์นั่ง ประเทศเมียนมา สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ น้ำมันดีเซล สินค้าอุปโภคบริโภค เป็นต้น
#3112


นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือทีเส็บ กล่าวว่า จากสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมไมซ์ไทย การจัดงาน "ไมซ์ไทยรวมใจสร้างชาติ" ในรูปแบบออนไลน์ (Virtual Meeting) จึงจัดขึ้นเพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมไมซ์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศร่วมกันทุกภาคส่วน เพื่อส่งเสริมให้เกิดการกระจายรายได้และความเจริญสู่ชุมชน ตลอดจนแสดงความพร้อมของเมืองไมซ์ซิตี้ในฐานะศูนย์กลางภูมิภาคในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย และใช้โอกาสนี้เป็นเวทีนำเสนอทิศทางการส่งเสริมอุตสาหกรรมไมซ์ในปี 2565 ให้แก่หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และผู้ประกอบการไมซ์ ซึ่งมีจำนวนผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมชมงานกว่า 800 คน



โดยภายในงานมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิร่วมให้ข้อมูลและเสวนา ได้แก่ นายวิโรจน์ นรารักษ์ รองเลขาธิการ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, นายสมศักดิ์ จังตระกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น, นายสนธยา คุณปลื้ม นายกเทศมนตรีเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี, นายอนุชา มีเกียรติชัยกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ และนายภูมิกิตติ์ รักแต่งาม นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต

"ทีเส็บ ในฐานะองค์กรภาครัฐ พัฒนาแผนงานให้สอดรับกับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศของรัฐบาล โดยวางทิศทางขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ไทยในปีหน้าผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ การเสริมความแกร่งระดับชาติ การช่วงชิงโอกาสระดับสากล และการยกระดับศักยภาพของอุตสาหกรรม เพื่อเร่งฟื้นฟูอุตสาหกรรมไมซ์ และเศรษฐกิจของประเทศให้พ้นจากวิกฤต ต้องอาศัยทั้งความยืดหยุ่นและการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนอย่างเข้มแข็ง เพื่อนำพาอุตสาหกรรมไมซ์และเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นกลับมาโดยเร็วที่สุด"

ภายใต้กลยุทธ์การเสริมความแกร่งระดับชาติ ทีเส็บเร่งยกระดับความพร้อมของจังหวัดที่มีศักยภาพ ก้าวสู่การรองรับกิจกรรมไมซ์ พร้อมกับการสร้างงานใหม่ และยกระดับกิจกรรมไมซ์ให้มีคุณภาพระดับนานาชาติ โดยร่วมทำงานกับพันธมิตรทุกภาคส่วน เช่น โครงการ Empower Thai Exhibition หรือ EMTEX ซึ่งได้ขยายความร่วมมือระหว่างทีเส็บกับกระทรวงต่างๆ รวมถึงหน่วยงานภาครัฐและเอกชนกว่าสิบหน่วยงาน เพื่อร่วมกันพัฒนาศักยภาพงานแสดงสินค้าในระดับท้องถิ่นก้าวสู่ระดับประเทศ ตลอดจนการพัฒนางานเทศกาลท้องถิ่นภายใต้แนวคิด Festival Economy ที่จะพัฒนางานต่อยอดสู่ระดับสากล 1 City : 1 License Event เช่น งานเทศกาล "เกลือ-เมือง-เพชร หรือ Diamond of the Salt Festival ของจังหวัดเพชรบุรี, งานเทศกาล Huahin Hop Fest ของเมืองหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นต้น



พร้อมกันนี้ ยังดำเนินงานด้านการสื่อสาร เพื่อกระตุ้นและขับเคลื่อนองค์กรภาครัฐและเอกชนจัดประชุมสัมมนาและจัดกิจกรรมไมซ์ทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง ผ่านแคมเปญการสื่อสาร "จัดงานไมซ์ทั่วไทย ภูมิใจช่วยชาติ" และสนับสนุนงบประมาณผ่านโครงการ "ประชุมเมืองไทย ปลอดภัยกว่า" ซึ่งในขณะนี้มีองค์กรและหน่วยงานได้รับการสนับสนุนแล้วกว่า 645 โครงการ และแสดงความจำนงมากกว่า 1,000 งาน

กลยุทธ์การช่วงชิงโอกาสระดับสากล มุ่งเน้นการผลักดันไมซ์ไทยสู่เวทีโลก จัดทำแคมเปญตลาดเชิงรุกเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในภูมิภาคอาเซียน โดยการประกาศปีแห่งการประชุมในประเทศไทยด้วยการต่อยอดจากการเป็นเจ้าภาพจัดงาน APEC 2022 อีกทั้งจะเร่งดึงงานสำคัญระดับโลกเข้ามาจัดในประเทศไทย เช่น งาน Thailand International Air Show, งานประชุมองค์กรระหว่างประเทศ เช่น งาน World Bank หรืองานแสดงสินค้าระดับท็อปไฟว์ของโลก

กลยุทธ์การยกระดับศักยภาพของอุตสาหกรรม มุ่งสานต่อการยกระดับศักยภาพอุตสาหกรรมไมซ์อย่างต่อเนื่อง ร่วมกับสมาคมผู้ประกอบการไมซ์ และหน่วยงานพันธมิตรภาครัฐในและต่างประเทศ ทั้งในด้านการพัฒนาบุคลากร มาตรฐานสถานที่จัดงาน และการพัฒนาหลักสูตรอบรมต่างๆ เพื่อให้ไมซ์ไทยก้าวทันความต้องการของโลกในยุคหลังโควิด เช่น การยกระดับมาตรฐานและส่งเสริม "การจัดงานไมซ์อย่างยั่งยืน" โดยนำแนวคิด BCG Model (Bio-Circular-Green Economy) ที่เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล มาต่อยอดกับหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals) ขณะเดียวกัน ส่งเสริมการใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีและเครื่องมือแพลตฟอร์มดิจิทัลต่อเนื่อง อาทิ แพลตฟอร์ม "Thai MICE Connect" ที่มีข้อมูลผู้ประกอบการเข้าร่วมแล้วกว่าหมื่นรายทั่วประเทศ ซึ่งจะเป็นตลาดออนไลน์ซื้อขายบริการด้านไมซ์ รองรับตลาดทั้งในและต่างประเทศ ช่วยลดความเหลื่อมล้ำของการเข้าถึงตลาดให้ผู้ประกอบการทุกขนาด

ทั้งนี้ ทีเส็บสานต่อการจัดกิจกรรมภายใต้แนวคิด "ไมซ์ไทยรวมใจสร้างชาติ" เตรียมเปิดนิทรรศการรูปแบบออนไลน์ (Virtual Exhibition) ให้ความรู้ถึงจุดกำเนิด และการเดินทางของอุตสาหกรรมไมซ์ไทย เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและความภาคภูมิใจของทุกภาคส่วนที่ร่วมกันขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์อย่างต่อเนื่องตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยจะเปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันที่ 15 กันยายนเป็นต้นไป และสามารถดาวน์โหลดหนังสือ "ภูมิไทย" เส้นทางทรงคุณค่าของอุตสาหกรรมไมซ์ ที่ทีเส็บจัดทำร่วมกับกองทุนส่งเสริมการประชุมนานาชาติ
 
#3113


วันนี้ (26 ส.ค.) นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศโดยรวมดีขึ้น หลังจากจำนวนผู้หายป่วยกลับบ้านเพิ่มขึ้น และเริ่มมีจำนวนมากกว่าผู้ติดเชื้อต่อวัน ส่วนการบริหารจัดการเตียงในขณะนี้ พบว่าจำนวนเตียงในพื้นที่ กทม. เริ่มเพียงพอต่อการรองรับผู้ป่วย เนื่องจากการทำ Home Isolation (HI) และ Community Isolation (SI) เป็นไปอย่างมีระบบ ส่งผลให้การบริหารจัดสรรเตียงเป็นไปอย่างราบรื่น โดยจากข้อมูลการรอคอยเตียงในระบบ Call Center พบว่าจำนวนผู้รอเตียงสีแดงมีจำนวนลดลง และมีผู้ป่วยที่ต้องรอเตียงเกิน 24 ชม. ลดลงเรื่อยๆ
"เตียงสีเหลืองใน กทม. มีการบริหารจัดการได้ดี แต่เตียงสีแดงยังมีผู้ป่วยต้องรอเตียงอยู่ เนื่องจากในพื้นที่กทม. มีความสามารถในการรองรับผู้ป่วยได้เพียง 1,000 ราย/วันเท่านั้น ขณะที่ตอนนี้ยังมีผู้ป่วยใน กทม.สูงถึง 4,000 ราย/วัน ส่วนสถานการณ์เตียงในพื้นที่ต่างจังหวัด เริ่มตึง ๆ บ้าง แต่ยังบริหารจัดการได้ดีอยู่ เนื่องจากสามารถขยายเตียงไปยังชุมชนได้" นพ.สมศักดิ์ กล่าว
พร้อมระบุว่า ขณะนี้การทำ HI ในพื้นที่ กทม. เริ่มเป็นไปอย่างมีระบบ โดยมีจำนวนเคสการทำ HI สะสมอยู่ที่ 87,023 ราย และมีจำนวนผู้ป่วยที่ทำ HI เฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 1,000 ราย ทั้งนี้ การทำ HI หรือการแยกกักตัวที่บ้านที่ได้มาตรฐานนั้น ผู้ป่วยจะต้องทำการแยกทั้งหมด 7 อย่าง คือ 1.แยกนอน 2.แยกกิน 3.แยกอยู่ 4.แยกใช้ 5.แยกทิ้ง 6.แยกห้องน้ำ และ 7.แยกอากาศ
ส่วนผู้ป่วยที่ไม่สามารถแยกกักตัวที่บ้านได้ จะต้องทำ CI ที่ศูนย์พักคอย โดยในพื้นที่กทม. มีการเปิดศูนย์ CI ให้ใช้บริการแล้วทั้งหมด 64 แห่ง มีเตียงทั้งหมด 8,694 เตียง และมีอัตราการครองเตียงอยู่ที่ 3,410 ราย ซึ่งแสดงให้เห็นว่ายังมีเตียงเพียงพอในการรองรับผู้ป่วยต่อวันที่เฉลี่ยอยู่ที่ 200 ราย
อย่างไรก็ดี ประชาชนบางรายมีความกังวลต่อคุณภาพการทำ HI โดยมีการร้องเรียนว่าวิธีปฎิบัติไม่เป็นไปตามที่ทาง สธ. ระบุ เช่น ผู้ป่วยบางรายไม่ได้รับการโทรศัพท์เช็คอาการจากแพทย์ 2 ครั้ง/วัน หรือบางรายไม่ได้รับยา และอาหาร 3 มื้อ เป็นต้น ดังนั้นเพื่อประสิทธิภาพการทำ HI ที่มีคุณภาพ จึงจะมีการประเมินคุณภาพการทำ HI โดยประเมินทั้ง 2 ด้าน คือ การประเมินโดยผู้ให้บริการ และการประเมินโดยผู้รับบริการ (Patient Reporting Outcome Measurement) ซึ่งจะมีการตรวจสอบคุณภาพทั้ง "Standard Set for HI" ที่จะต้องมีอุปกรณ์พื้นฐานครบทั้งหมด 4 อย่าง คือ เทอร์โมมิเตอร์วัดไข้, หน้ากากอนามัย, เครื่องวัดระดับออกซิเจนในกระแสเลือด และถุงขยะสีแดงเพื่อใส่ขยะติดเชื้อ โดยการประเมินคุณภาพนี้ จะมีการนำร่องที่โรงพยาบาลในสังกัดกรมการแพทย์ทั้ง 3 แห่ง คือ รพ.ราชวิถี รพ.เลิดสิน และ รพ.นพรัตนราชธานี

ในส่วนของการทำ HI และ CI สำหรับผู้ป่วยกลุ่มเปราะบาง ทั้งผู้ที่มีความพิการทางร่างกาย มีความพิการทางจิตใจ รวมทั้งเด็ก ได้มีการเตรียมการรองรับผู้ป่วยตามสถานที่ต่าง ๆ ไว้ดังนี้ โรงพยาบาลตามสิทธิเพิ่มเติมส่วนพิการทางจิต (รพ.ศรีธัญญา และรพ.สมเด็จเจ้าพระยา), โรงพยาบาลสนามเพื่อคนพิการ (รพ.สนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ และสถาบันราชานุกูล), HI สถาบันสิรินธรเพื่อคนพิการ, CI โรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ (รพ.รามาธิบดี และสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ) และ CI สำหรับเด็กอายุ 7-15 ปี ณ ศูนย์สร้างสุขทุกวัย ที่เกียกกาย โดยสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ดำเนินการร่วมกับเขตดุสิต
#3114


อีกหนึ่งซีรีส์จีนชื่อดังที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในช่วงนี้คือ "You Are My Glory" หรือ "ดุจดวงดาวเกียรติยศ" ที่ได้นักแสดงชื่อดังของจีน ตี๋ลี่เร่อปา และ หยางหยาง มานำแสดง

เนื้อเรื่องเกี่ยวกับดาราสาวชื่อดัง "จิงจิง" และหนุ่มวิศวกรอวกาศ "อวี๋ถู" อดีตเพื่อนร่วมห้องสมัยมัธยมที่กลับมาเจอกันอีกครั้ง เริ่มต้นพัฒนาความสัมพันธ์จากการเล่นเกม จนได้ลงเอยกันในที่สุด

ซีรีส์ You Are My Glory ดุจดวงดาวเกียรติยศ (ภาพ : We TV)
ซีรีส์ You Are My Glory ดุจดวงดาวเกียรติยศ (ภาพ : We TV)

ซีรีส์ You Are My Glory ดุจดวงดาวเกียรติยศ (ภาพ : We TV)
ซีรีส์ You Are My Glory ดุจดวงดาวเกียรติยศ (ภาพ : We TV)

ซีรีส์ You Are My Glory ดุจดวงดาวเกียรติยศ (ภาพ : We TV)
ซีรีส์ You Are My Glory ดุจดวงดาวเกียรติยศ (ภาพ : We TV)

นอกเหนือจากเคมีของนักแสดง เนื้อเรื่องที่มีการสอดแทรกเรื่องราวในวงการบันเทิง วงการเกม และกิจการอวกาศของจีน สถานที่สวยๆ ในเรื่องก็น่าติดตามไม่แพ้กัน แต่ละโลเคชั่นที่ปรากฎอยู่ในเรื่องเป็นภาพที่สวยงามจนอยากจะไปเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง

ตามมาชม 7 ที่เที่ยวตามรอยซีรีส์ "You Are My Glory" กัน

หอไข่มุกตะวันออก (ภาพ : news.cgtn.com)
หอไข่มุกตะวันออก (ภาพ : news.cgtn.com)

หอไข่มุกตะวันออก
สถานที่หลักๆ ในเรื่องอยู่ที่ "เซี่ยงไฮ้" เมืองใหญ่อีกแห่งของจีน เป็นศูนย์กลางระดับโลกทางด้านการเงิน นวัตกรรม และการขนส่ง และภาพสถานที่ที่มักจะได้เห็นในเรื่องก็คือ "หอไข่มุกตะวันออก" (Oriental Pearl Tower) ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเซี่ยงไฮ้ ตั้งอยู่ในเขตเมืองใหม่ ทางตะวันออกของแม่น้ำหวงผู่

หอไข่มุกตะวันออก เป็นหอส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์ ความสูง 468 เมตร ลักษณะเป็นไข่มุก 11 ลูก ด้านบนเป็นรูปไข่มุก 3 เม็ด 3 ขนาดเรียงกันในแนวตั้ง ภายในหอกลมเป็นภัตตาคาร มีโรงแรมหรู และร้านค้า ตรงฐานของหอจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์เมืองเซี่ยงไฮ้ เมืองจำลองโลกอนาคต และเมืองวิทยาศาสตร์แฟนตาซี ช่องกลางของหอไข่มุกตะวันออกเป็นเสาปล่องกลวง ใช้แขวนลิฟท์ความเร็วสูง 6 ตัว ที่มีความเร็ว 7 เมตร/วินาที เพื่อขึ้นไปที่จุดชมวิว ในระดับความสูง 267 เมตร ส่วนในเวลากลางคืนนั้น หอกลมจะเปิดไฟที่สามารถเปลี่ยนสีไปได้เรื่อยๆ บนไข่มุกเม็ดที่สองจะสามารถมองลงมาข้างล่างได้เนื่องจากทำพื่นเป็นกระจก

เดอะบันด์ (ภาพ : heygo.com)
เดอะบันด์ (ภาพ : heygo.com)

เดอะบันด์
"เดอะบันด์" (The Bund) เป็นจุดชมวิวและทางเดินเลียบแม่น้ำหวงผู่ฝั่งตะวันตก มีความยาว 1.5 กิโลเมตร และได้ชื่อว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในนครเซี่ยงไฮ้ เนื่องจากเป็นจุดที่สามารถชมความสวยงามของหอคอยไข่มุกที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามได้ทั้งในช่วงกลางวันและกลางคืน บริเวณฝั่งทางเดินเลียบแม่น้ำก็ยังมีอาคารสไตล์ตะวันตกที่สวยงามอยู่มากมาย และยังอยู่ใกล้กับถนนสายช้อปปิ้งชื่อดังคือถนนหนานจิง

ย่านลู่เจียจุ่ย (ภาพ : shanghaieye.com.cn)
ย่านลู่เจียจุ่ย (ภาพ : shanghaieye.com.cn)

ย่านลู่เจียจุ่ย
"ลู่เจียจุ่ย" เป็นศูนย์กลางทางการเงินในเซี่ยงไฮ้ ตั้งอยู่บนแหลมที่งอกจากคุ้งน้ำของแม่น้ำหวงผู่ฝั่งตะวันออก ในเขตผู่ตง ตรงข้ามกับย่านธุรกิจและการเงินเก่าแก่บนฝั่งตะวันตก ซึ่งย่านนี้ที่ตั้งของบ้านนางเอกในเรื่อง

บริเวณนี้เป็นย่านสำคัญทางธุรกิจ มีตึกสูงระฟ้าจำนวนมาก อาคารสำคัญได้แก่ หอไข่มุกตะวันออก เซี่ยงไฮ้ทาวเวอร์ ตึก Shanghai World Financial Center : SWFC และตึกจินเม่า ทาวเวอร์ นอกจากนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ อีก เช่น สวนลู่เจียจุ่ย และ เซี่ยงไฮ โอเชียน อควาเรียม เป็นต้น

ทะเลสาบจันทร์เสี้ยว (ภาพ : สำนักข่าวซินหัว)
ทะเลสาบจันทร์เสี้ยว (ภาพ : สำนักข่าวซินหัว)

ซีรีส์ You Are My Glory ดุจดวงดาวเกียรติยศ (ภาพ : We TV)
ซีรีส์ You Are My Glory ดุจดวงดาวเกียรติยศ (ภาพ : We TV)

ตุนหวง
"เมืองตุนหวง" ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลกานซู่ ติดกับชายแดนซินเจียง เป็นเมืองโอเอซิสกลางทะเลทรายโกบีที่มีชื่อเสียงทางด้านวัฒนธรรมและมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,000 ปี และเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหม ชุมทางการค้าที่เจริญรุ่งเรืองในสมัยโบราณ

สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในตุนหวงคือ "ถ้ำโม่เกา" แหล่งมรดกโลกยูเนสโก อายุกว่า 1,650 ปี มีผลงานพุทธศิลป์อันมิอาจประเมินมูลค่าได้ "จุดชมวิวเนินทรายหมิงซาซาน" หรือ "ทะเลสาบจันทร์เสี้ยว" โอเอซิสกลางทะเลทรายโกบีที่กว้างใหญ่ กิจกรรมที่นิยมอย่างมากคือการเดินขึ้นไปบนเนินทราย และการขี่อูฐเที่ยวชมรอบๆ นอกจากนี้ยังมี "เมืองโบราณตุนหวง" เป็นแหล่งท่องเที่ยวและโรงถ่ายทำภาพยนตร์ย้อนยุค

เหิงเตี้ยน (ภาพ : news.cgtn.com)
เหิงเตี้ยน (ภาพ : news.cgtn.com)

เหิงเตี้ยน
"เหิงเตี้ยน" เป็นโรงถ่ายทำภาพยนตร์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก อยู่ในมณฑลเจ้อเจียง ทางตะวันออกของจีน ได้รับการขนานนามว่า "ไชน่าวูด" (Chinawood) เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1996 ภายในจำลองสถานที่ทำคัญหลายแห่งของจีน เช่น พระราชวังต้องห้าม พระราชวังฤดูร้อน ถนนคนเดินกว่างโจว เป็นต้น โดยจองลองเมืองจีนในยุคต่างๆ มาไว้ในที่เดียวกัน และยังมีการก่อสร้างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ในเนื้อเรื่อง เหิงเตี้ยนเป็นสถานที่ที่นางเอกมาถ่ายภาพยนตร์ ซึ่งที่เหิงเตี้ยนนี้ก็เปิดให้นักท่องเที่ยวทั่วไปเข้ามาเที่ยวได้ แต่วันไหนที่มีการถ่ายทำจะปิดไม่ให้เข้าชมในบางจุด พื้นที่กว่า 2,000 ไร่ มีทั้งฉากภาพยนตร์ สวนน้ำ สวนสนุก ร้านอาหาร ร้านค้า โรงแรม ซึ่งจะมีแพ็คเกจให้นักท่องเที่ยวเลือกหลายแบบ นอกจากจะมาเดินชมและถ่ายรูปแล้ว กิจกรรมที่พลาดไม่ได้คือการเช่าชุดจีนโบราณมาใส่เดินถ่ายรูปสวยๆ ให้เข้ากับบรรยากาศ

วัดหนานซาน (ภาพ : wall.alphacoders.com)
วัดหนานซาน (ภาพ : wall.alphacoders.com)

ศูนย์ปล่อยยานอวกาศเหวินซาง (ภาพ : trip.com)
ศูนย์ปล่อยยานอวกาศเหวินซาง (ภาพ : trip.com)

ไหหลำ
"ไหหลำ" หรือ "ไห่หนาน" เป็นมณฑลที่มีขนาดเล็กที่สุดของจีน อยู่ทางใต้สุดของประเทศ ประกอบด้วยเกาะหลายเกาะในทะเลจีนใต้ แหล่งท่องเที่ยวในไหหลำ อาทิ "วัดหนานซาน" ที่เมืองซานย่า เป็นสวนพุทธธรรมที่ใหญ่ที่สุดในจีน มีลักษณะฮวงจุ้ยที่ดีมาก เมื่อมาถึงแล้วจะได้พบองค์เจ้าแม่กวนอิมยืนตระหง่านอยู่กลางทะเล "หาดย่าหลง" เป็นเมืองตากอากาศที่สำคัญของจีน ยังมีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ มีที่พักมากมายให้เลือก

ที่ไหหลำอยู่ในฉากสำคัญตอนสุดท้ายของเรื่อง คือการส่งดาวเทียมโซวเฉินขึ้นสู่อวกาศ โดยมีฉากอยู่ที่ "ศูนย์ปล่อยยานอวกาศเหวินซาง" เป็นศูนย์ปล่อยยานอวกาศแห่งที่ 4 และเป็นแห่งเดียวที่อยู่ใกล้ทะเล ถูกใช้ในภารกิจการส่งดาวเทียม สถานีอวกาศขนาดใหญ่ และยานสำรวจอวกาศห้วงลึก ซึ่งมีการตั้งเป้าหมายให้เมืองเหวินซางเป็นเมืองแห่งการบินและอวกาศนานาชาติ

พิพิธภัณฑ์ดาราศาสตร์เซี่ยงไฮ้ (ภาพ : สำนักข่าวซินหัว)
พิพิธภัณฑ์ดาราศาสตร์เซี่ยงไฮ้ (ภาพ : สำนักข่าวซินหัว)

พิพิธภัณฑ์ดาราศาสตร์เซี่ยงไฮ้ (ภาพ : สำนักข่าวซินหัว)
พิพิธภัณฑ์ดาราศาสตร์เซี่ยงไฮ้ (ภาพ : สำนักข่าวซินหัว)

พิพิธภัณฑ์ดาราศาสตร์เซี่ยงไฮ้
หากใครดูซีรีส์แล้วยังติดใจเรื่องราวเกี่ยวกับอวกาศและดาราศาสตร์ของจีน แนะนำให้มาที่ "พิพิธภัณฑ์ดาราศาสตร์เซี่ยงไฮ้" (Shanghai Astronomy Museum) เป็นท้องฟ้าจำลองขนาดใหญ่ที่สุดในโลกหากวัดจากพื้นที่ใช้สอย ตั้งอยู่ในเขตการค้าเสรีนำร่องพิเศษหลิงกัง มีพื้นที่ราว 58,600 ตารางเมตร โดยเป็นหนึ่งในสาขาของพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Science and Technology Museum) โดยภายในพิพิธภัณฑ์มีพื้นที่นิทรรศการหลายรูปแบบ รวมถึงการจัดแสดงชิ้นส่วนอุกกาบาตที่ได้มาจากดวงจันทร์ ดาวอังคาร และดาวเคราะห์น้อยเวสตาราว 70 ชิ้น ตลอดจนสิ่งประดิษฐ์อื่นๆ มากกว่า 120 ชิ้น อาทิ ผลงานของไอแซก นิวตัน กาลิเลโอ กาลิเลอี และโจฮันเนส เคพเลอร์

นอกจากนั้นพิพิธภัณฑ์ยังจัดแสดงตัวอย่างดินจากดวงจันทร์จำนวนหนึ่ง ซึ่งนำกลับสู่โลกโดยฉางเอ๋อ-5 (Chang'e-5) ยานสำรวจดวงจันทร์ของจีน อีกทั้งติดตั้งกล้องโทรทรรศน์พลังงานแสงอาทิตย์แบบปรับสภาพตามแสง และกล้องโทรทรรศน์แบบโฟกัสคู่ขนาด 1 เมตร เพื่อสนับสนุนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และส่งเสริมให้วิทยาศาสตร์เป็นที่นิยม

พิพิธภัณฑ์แห่งใหม่นี้ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีหลายประเภท เช่น การนำเสนอแผนภาพข้อมูล ความเป็นจริงเสริม (AR) การจำลองภาพเสมือนจริง (VR) และเทคโนโลยียืนยันตัวบุคคลหรือไบโอเมตริกซ์ เพื่อให้ผู้เข้าชมได้รับความรู้ทางดาราศาสตร์และวิทยาศาสตร์ผ่านการมีปฏิสัมพันธ์ตอบโต้
#3115


บิลด์ สื่อดังจากเยอรมนี เปิดเผยว่า เชลซี เกือบจะได้ตัว เออร์ลิง ฮาแลนด์ ดาวยิงพระกาฬของ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ มาร่วมทีม หากไม่เจอ มิโน่ ไรโอล่า ซูเปอร์เอเยนต์ เรียกร้องค่าจ้างแพงมหาศาลจนไม่สามารถจ่ายได้

พลพรรค 'สิงห์บลูส์' เพิ่งคว้าตัว โรเมลู ลูกากู อดีตหัวหอกของตัวเอง กลับสู่ถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ด้วยค่าตัว 98 ล้านปอนด์ (ประมาณ 4,420 ล้านบาท) แต่แท้จริงแล้วนี่เป็นออฟชั่นสำรอง เพราะพวกเขาอยากได้ ฮาแลนด์ มากกว่า

เชลซี มีความมั่นใจว่าจะเอาตัว ฮาแลนด์ มาจากอ้อมอก 'เสือเหลือง' ทว่าโชคไม่ดีที่เอเยนต์ของเจ้าตัวคือ มิโน่ ไรโอล่า นายหน้าลูกหนังที่ขึ้นชื่อว่าโคตรเขี้ยว และสร้างชื่อจากการเรียกค่าเหนื่อยกับค่าตัวมหาศาล เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองกับนักเตะที่ดูแลอยู่

รายงานจาก บิลด์ บอกว่า ไรโอล่า เรียกร้องค่าเหนื่อยจาก เชลซี ให้กับ ฮาแลนด์ ที่สัปดาห์ละ 820,000 ปอนด์ (ประมาณ 36 ล้านบาท) และตัวของเอเยนต์ ก็เรียกค่าดำเนินการจัดการที่ 34 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,533 ล้านบาท)

เมื่อคำนวนทุกสิ่งอย่างรวมกันแล้ว เชลซี จำต้องจ่ายถึง 275 ล้านปอนด์ (ประมาณ 12,405 ล้านบาท) ตลอดสัญญา 5 ปีที่ทั้งสองฝ่ายเซ็นสัญญากัน ซึ่งทำให้ยักษ์แห่งลอนดอน สู้ไม่ไหวก่อนเปลี่ยนซื้อ ลูกากู กลับมาจาก อินเตอร์ มิลาน
#3116


'เดลี เมล' หนังสือพิมพ์ของอังกฤษ รายงานตั้งแต่วันพุธที่ผ่านมา (25 ส.ค.) เคน จะปักหลักถิ่น ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ สเตเดียม ฤดูกาลนี้ ก่อนนักเตะออกมายืนยันด้วยตัวเองทาง โซเชียล มีเดีย

ขณะที่ 'เดอะ ไทม์ส' ตีข่าว กัปตันทีมชาติอังกฤษ ยอมรับความจริงว่า ซิตี ไม่สามารถทุ่มเงินถึง 150 ล้านปอนด์ (ราว 6,750 ล้านบาท) ตามที่ แดเนียล เลวี ประธานสโมสร ตั้งไว้ แต่ต้องการค่าแรงซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญต่อ 'ไก่เดือยทอง' ซึ่งน่าจะกลายเป็นสถิติสูงสุดของ พรีเมียร์ ลีก

ปัจจุบัน เควิน เดอ บรอยน์ จอมทัพ แมนฯ ซิตี เป็นเจ้าของสถิติ 385,000 ปอนด์ (ประมาณ 17.3 ล้านบาท) ต่อสัปดาห์ รองลงมาคือ ดาบิด เด เคอา นายทวาร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 375,000 ปอนด์ (16.9 ล้านบาท) ต่อสัปดาห์

เข้าใจว่า เคน ได้รับการปรับค่าแรงขึ้น หลัง ท็อตแนมฯ ปฏิเสธขายออกจากทีม ช่วงซัมเมอร์ที่แล้ว โดยสัญญาฉบับปัจจุบันมีมูลค่าสูงถึง 300,000 ปอนด์ (13.5 ล้านบาท) ต่อสัปดาห์

รายงานข่าวระบุ ทีมจากย่านลอนดอนเหนือ จะขึ้นค่าจ้าง จอมถล่มประตูวัย 28 ปี หากสอดคล้องกับเงื่อนไขจ่ายโบนัสต่างๆ รวมยิงประตู

'เดลี เมล' ตีข่าวสัปดาห์ที่แล้ว อ้างอิงแหล่งข่าวใกล้ชิด ขุนพล 'สิงโตคำราม' ชุดรองแชมป์ ยูโร 2020 ยังคงทุ่มเทเต็มร้อย ถึงแม้รู้สึกว่าสโมสรไม่สามารถตอบสนองความทะเยอทะยานของตัวเองได้

ฝ่าย ดาวซัลโวสูงสุด พรีเมียร์ ลีก 2020-21 ยืนยันมีการทำข้อตกลงไว้ว่า เคน จะได้รับอนุญาตให้ย้ายสังกัด หาก สเปอร์ส จบซีซันแบบมือเปล่า และไม่ผ่านควอลิฟาย ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก
#3117


ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กล่าวว่า ภายใต้การดำเนินงานของศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมเกษตรสร้างสรรค์ ในการกำกับดูแลของ วว.ได้เดินหน้า BCG โมเดล ในโครงการยกระดับเศรษฐกิจในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคกลางตะวันตก ในปีงบประมาณ 2564 โดยสามารถยกระดับการผลิตพืชด้วยรูปแบบเกษตรสมัยใหม่ จากการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการพัฒนาให้เกิดการทำการเกษตรที่ปลอดภัย โดยใช้สารชีวภัณฑ์เป็นหลักในการผลักดันการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของกระบวนการผลิต ช่วยให้เกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการได้รับผลิตผลที่ดีขึ้นทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ ลดปัญหาสุขภาพของเกษตรกร และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตทางการเกษตรตลอดห่วงโซ่ เพิ่มแต้มต่อให้ภาคเกษตรของไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก

ทั้งนี้ วว. ได้ดำเนินงานในพื้นที่ 4 จังหวัดในเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคกลางตะวันตกเป็นพื้นที่นำร่อง BCG Model ประกอบด้วย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี นครปฐม และกาญจนบุรี ครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูกกว่า10 ล้านไร่ ใน 2 กลุ่มพืช คือ พืชไร่เศรษฐกิจหลักในพื้นที่ ได้แก่ ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง พืชสวน ได้แก่ มะพร้าวน้ำหอม ส้มโอ กล้วยไข่ และหน่อไม้ฝรั่ง พื้นที่ดังกล่าว

นอกจากจะมีศักยภาพเป็นฐานการผลิตพืชเศรษฐกิจที่สำคัญแล้ว ยังเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ในการเชื่อมโยงเส้นทางการค้าการขนส่งระหว่างทะเลตะวันตกและทะเลตะวันออก มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ขนส่ง ที่เชื่อมต่อภาคอื่นๆ ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และยังมีสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียง สามารถเป็นเครือข่ายสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าในพื้นที่ได้อีกด้วย


วว. ดำเนินโครงการ BCG Model ผ่าน 3 กิจกรรมหลัก ได้แก่ 1) การยกระดับการผลิตพืชรูปแบบเกษตรสมัยใหม่โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านเศรษฐกิจชีวภาพ (Biological Economy) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านกระบวนการผลิต ลดต้นทุน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม 2) การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตทางการเกษตรตลอดห่วงโซ่การผลิตตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และ 3) การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ธรรมชาติจากขยะเหลือทิ้งทางการเกษตรตามแนวทางเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) สร้างโอกาสและเพิ่มรายได้ให้กับผู้ประกอบการ ลดความเหลื่อมล้ำเศรษฐกิจฐานราก


โดยมีการนำเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาใช้ เช่น เทคโนโลยีข้าวเสริมซีลีเนียม การพัฒนาวัสดุเพาะเห็ดจากฟางข้าวเสริมซีลีเนียม พัฒนาวัสดุเพาะเห็ดจากกากมันสำปะหลัง บรรจุภัณฑ์ (Non Food) หน่อไม้ฝรั่งเพื่อการส่งออก การเพิ่มคุณภาพผลผลิตอ้อยด้วยปุ๋ยอินทรีย์เคมีเสริมจุลินทรีย์ละลายฟอสเฟต การเพิ่มคุณภาพและเพิ่มผลผลิตพืชด้วยสารควบคุมการเจริญเติบโต (มันสำปะหลังและกล้วย) ขยายชีวภัณฑ์ทางการเกษตรอย่างง่าย เทคโนโลยีการผลิตผลิตภัณฑ์เวชสำอาง และเทคโนโลยีการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพ ฯลฯ
 
ด้วยความร่วมมือจากเกษตรกรและเครือข่ายหน่วยงานสนับสนุนในท้องถิ่น ทำให้โครงการนี้ประสบความสำเร็จเกินกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการถึง 494 คน สามารถลดค่าใช้จ่ายในการใช้สารเคมีในพื้นที่นำร่องได้ประมาณปีละ 11.5 ล้านบาท หรือราว 25% ของมูลค่าสารกำจัดศัตรูพืชทั้งหมด มีกลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน ที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตอาหารสุขภาพ (Functional Food) และต้นแบบบรรจุภัณฑ์ จำนวน 163 ราย เกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน สามารถผลิตสารชีวภัณฑ์ไว้ใช้เองได้จำนวน 5 ชนิด
 

นอกจากนี้ ยังมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าจำนวน 10 ผลิตภัณฑ์ สามารถสร้างต้นแบบบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Non Food) และผสานแนวคิดเศรษฐกิจสีเขียว (Green Technology) และแนวคิดการออกแบบแบบองค์รวม (Holistic Design) ได้ 2 ต้นแบบ คือ ถาดเพาะชำกล้าอ้อยจากชานอ้อย และแผ่นกันการกระแทกจากกาบกล้วย รวมถึงได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการเข้าร่วมลงทุนในด้านวิจัยและพัฒนาภายใต้ BCG โมเดลอีกจำนวน 6 ราย
 

"BCG Model เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จครั้งสำคัญของ วว. ที่ผลิตภัณฑ์ชีวภัณฑ์ทางการเกษตรของสถาบัน สามารถช่วยยกระดับขีดความสามารถของเกษตรกรไทยในการพัฒนาและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลผลิตได้หลากหลายรูปแบบยิ่งขึ้น ช่วยให้ผลผลิตในแปลงของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการได้รับผลผลิตที่ดีขึ้น ทั้งในแง่ปริมาณ คุณภาพ ความปลอดภัยต่อเกษตรกรและผู้บริโภค สร้างรายได้ให้แก่เกษตรเพิ่มขึ้นเป็นที่น่าพอใจ นับเป็นก้าวสำคัญในการสร้างเกษตรกรคุณภาพรุ่นใหม่ ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาและยกระดับเศรษฐกิจ ภายใต้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของชาติด้วย BCG โมเดลอย่างยั่งยืน" ชุติมา กล่าวทิ้งท้าย
#3118


ภารกิจการไล่ล่าถ้วยแชมป์ แกรนด์ สแลม ใบที่ 24 ของ เซเรน่า วิลเลียมส์ นักเทนนิสหญิงจอมแกร่งชาวอเมริกัน ต้องสะดุดอีกครั้งเมื่อเธอตัดสินใจขอถอนตัวจากรายการ ยูเอส โอเพน ที่จะเริ่มขึ้นสัปดาห์หน้า เพราะอาการบาดเจ็บ

แกรนด์ สแลม ส่งท้ายปี 2021 จะเกิดขี้นวันที่ 30 สิงหาคมนี้ แต่แล้ว เซเรน่า ซูเปอร์สตาร์มือ 22 ของโลก ประกาศโบกมือลาไม่แข่งขันที่มหานครนิวยอร์ค เพราะตรวจพบว่ามีอาการบาดเจ็บบริเวณกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง

หวดหญิงวัย 39 ปี เผยผ่านอินสตาแกรมว่า 'หลังพิจารณาอย่างถี่ถ้วนและปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมอ ฉันตัดสินใจแล้วที่จะถอนตัวจากการแข่งขัน ยูเอส โอเพน เพื่อให้ตัวเองหายจากอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อต้นขาอย่างสมบูรณ์'

'นิวยอร์ค เป็นหนึ่งในเมืองที่ฉันประทับใจที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในสังเวียนโปรดสำหรับการเล่นเทนนิส ฉันคิดถึงแฟนๆ ทุกคน แต่ก็จะขอเชียร์ทุกคนจากไกลๆ ขอบคุณที่คอยมอบความรักและสนับสนุนกันมาตลอด แล้วเจอกันเร็วๆนี้'

ทั้งนี้ จากถ้อยแถลงบ่งบอกได้ดีว่านักหวดคุณแม่ลูกหนึ่ง ยังมีไฟที่จะไล่ล่าถ้วย แกรนด์ สแลม ใบที่ 24 ให้แก่ตัวเองอยู่ ซึ่งหากทำสำเร็จก็จะขึ้นไปเทียบชั้น มาร์กาเร็ต คอร์ต บนตำแหน่งแชมป์ แกรนด์ สแลม หญิงเดี่ยวมากสมัยที่สุด หลังคาอยู่ที่ 23 สมัย ที่ทำได้ล่าสุดคือ ออสเตรเลียน โอเพน ปี 2017
#3119


พบการโฆษณาผลิตภัณฑ์ Efferin ทางสื่อออนไลน์ โดยระบุสรรพคุณ "กระตุ้นการเผาผลาญได้อย่างดีเยี่ยม...ส่งเสริมการกำจัดไขมันขั้นสุด...กระตุ้นเนื้อเยื่อไขมันสีน้ำตาล... ช่วยลดคลอเรสเตอรอลในเลือด ช่วยสลายและใช้งานไขมัน กำจัดไขมันส่วนเกินจากกระแสเลือด ทำให้เนื้อเยื่อไขมันลดลง... มีประสิทธิภาพในการต้านภาวะซึมเศร้า... ช่วยให้การทำงานของตับดีขึ้น" เป็นต้น โดยมีการสร้างเรื่องราวเกี่ยวกับแพทย์หญิงชื่อดังชาวไทยถูกไล่ออกจากประเทศชั้นนำ เนื่องจากปฏิเสธที่จะขายผลิตภัณฑ์เผาผลาญไขมันสูตรพิเศษให้แก่บริษัทยาในประเทศนั้น จึงได้กลับประเทศไทยและร่วมกับผู้ทรงอิทธิพลผลิตผลิตภัณฑ์เอฟเฟอร์รินขายเฉพาะในประเทศไทย

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า เป็นข้อมูลลวง โดยผลิตภัณฑ์ Efferin ขออนุญาตเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในชื่อ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เอฟเฟอร์ริน/Efferin Dietary Supplement Product เลขสารบบอาหาร 10-1-03958-5-0272 โฆษณาดังกล่าวแสดงข้อมูลทางการแพทย์ที่เป็นเท็จและแสดงคุณประโยชน์หรือสรรพคุณของอาหารที่ไม่ได้รับอนุญาต เนื่องจากในการยื่นขออนุญาตไม่มีการยื่นข้อมูลเพื่อประเมินประสิทธิผลตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใดอีกทั้งผลิตภัณฑ์อาหารไม่มีผลในการบำบัด บรรเทา หรือรักษาโรค นอกจากนี้ ยังพบมีการแอบอ้างชื่อบุคลากรทางการแพทย์ในตำแหน่ง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการวิจัยด้านเทคโนโลยีชีวภาพต่อมไร้ท่อเป็นผู้คิดค้นผลิตภัณฑ์ดังกล่าว และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคเบาหวานและนักโภชนาการเป็นผู้รับรองผลิตภัณฑ์แต่แท้จริงแล้วนั้น ไม่มีตำแหน่งดังกล่าวตามที่กล่าวอ้าง และภาพหญิง-ชายที่อ้างว่าเป็นผู้คิดค้นและรับรองผลิตภัณฑ์นั้น เป็นภาพหญิง-ชายที่เผยแพร่ทั่วไปอยู่บนอินเทอร์เน็ตอยู่แล้ว

ข้อแนะนำ

ขอให้ผู้บริโภคระมัดระวังอย่าหลงเชื่อผลิตภัณฑ์ที่โอ้อวดสรรพคุณเกินจริง หรือสร้างเรื่องราวดึงดูดความสนใจที่เป็นไปไม่ได้ หากมีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวควรปรับพฤติกรรมการบริโภค ควบคุมอาหาร และออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ไม่ควรหลงเชื่อซื้อผลิตภัณฑ์ที่โฆษณาโอ้อวดเกินจริงทางสื่อออนไลน์ เพราะอาจมีสารที่เป็นอันตราย มีผลข้างเคียงรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ หากผู้บริโภคพบเห็นเบาะแสการโฆษณา การผลิต/จำหน่ายผลิตภัณฑ์ลดความอ้วนผิดกฎหมาย ขอให้แจ้งมาที่สายด่วน อย. 1556 หรือ Oryor Smart Application หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ
#3120


นายสมศักดิ์ เกียรติชัยลักษณ์ เลขาธิการคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า เปิดเผยว่า  สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (สขค.) ได้ติดตามพฤติกรรมธุรกิจให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ทั้ง 3 ประเภทแพลตฟอร์มที่ขยายตัวและเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงวิกฤตโควิด 19 จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปโดยพบว่ามีพฤติกรรมที่อาจเข้าข่ายการการใช้อำนาจเหนือตลาดอย่างไม่เป็นธรรม  ได้แก่ 1. แพลตฟอร์มร้านค้าออนไลน์ หรืออีคอมเมิร์ซ (E-Commerce)  เช่น การกำหนดเงื่อนไขในการจำกัดทางเลือกในการขนส่งสินค้า การเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการโฆษณาหรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพิ่มสูงขึ้น หรือเป็นการเลือกปฏิบัติต่อคู่ค้าโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร การใช้ระบบอัลกอริทึมในการแข่งขันด้านราคาหรือการตลาดอย่างไม่เป็นธรรม

2.แพลตฟอร์มส่งอาหารออนไลน์เช่น การเรียกเก็บค่าบริการหรือค่าใช้จ่ายจากร้านอาหารสูงขึ้นหรือค่า GP (Gross Profit) หรือเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการขายและโฆษณาเพื่อแนะนำร้านในอัตราเพิ่มขึ้นโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร และ3.   แพลตฟอร์มบริการขนส่ง   เช่น การกำหนดเงื่อนไขที่จำกัดสิทธิแฟรนไชส์ซี หรือการกำหนดเงื่อนไขหรือค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นหลังทำสัญญาโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร


นายสมศักดิ์ กล่าวว่า  สำหรับข้อร้องเรียนของผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับความไม่เป็นธรรมส่วนใหญ่ร้องเรียนพฤติกรรมที่เข้าข่ายใช้อำนาจเหนือตลาด ซึ่งการร้องเรียนดังกล่าวอยู่ระหว่างการดำเนินการตรวจสอบสืบสวนสอบสวน หากพบว่ามีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 จะเร่งดำเนินการตามกฎหมาย โดยกรณีที่เป็นการใช้อำนาจเหนือตลาดโดยมิชอบตามมาตรา 50  กรณีที่เป็นการตกลงร่วมกันกำหนดค่าบริการหรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 54 ซึ่งมีโทษอาญา จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 10% ของรายได้ในปีที่กระทำความผิดหรือทั้งจำทั้งปรับ และกรณีที่เป็นการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมหรือการกำหนดเงื่อนไขทางการค้า อันเป็นการจำกัดหรือขัดขวางการประกอบธุรกิจของผู้อื่นเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 57 มีโทษปรับทางปกครองในอัตราไม่เกิน 10 % ของรายได้ในปีที่กระทำความผิด


นายสมศักดิ์ กล่าวว่า การขยายตัวของธุรกิจออนไลน์อย่างรวดเร็วส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบธุรกิจจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม SMEs สขค. จึงได้กำหนดแนวทางพิจารณการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมในธุรกิจแฟรนไชส์ และในส่วนของการลดผลกระทบของ SMEs ได้มีการจัดทำแนวทางพิจารณาการปฏิบัติทางการค้าที่เป็นธรรมเกี่ยวกับระยะเวลาการให้สินเชื่อการค้า (Credit Term) สำหรับผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) โดยกำหนดระยะเวลาไม่เกิน 30 – 45 วันเพื่อเพิ่มสภาพคล่องของผู้ประกอบธุรกิจ SMEs  นอกจากนี้ สขค. ยังอยู่ระหว่างการศึกษาตลาดธุรกิจ E-platform ประเภทอื่นๆ เพื่อพิจารณาการจัดทำแนวปฏิบัติ (Guideline) เพิ่มเติมเพื่อใช้กำกับดูแลการแข่งขันได้อย่างครบถ้วนและสร้างมาตรฐานทางการค้าให้เกิดการแข่งขันทางการค้าอย่างเสรีและเป็นธรรม         

ทั้งนี้  ผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม สามารถร้องเรียนได้ที่สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (สขค.) หรือช่องทางเว็บไซต์ www.otcc.or.th หมายเลขโทรศัพท์
02-199-5444