• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Jessicas

#2961


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นกลุ่มบีทีเอส และกลุ่มเจมาร์ท วันนี้ (27 ส.ค.) บวกขึ้นเกือบยกแผง ภายหลังบริษัทในเครือบีทีเอส ได้แก่ บมจ.วีจีไอ (VGI) และ บมจ.ยู ซิตี้ (U) ประกาศเข้าลงทุนใน บมจ.เจ มาร์ท (JMART) และบริษัทในเครือ บมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) ด้วยมูลค่าเงินลงทุนกว่า 1.75 หมื่นล้านบาท


โดยพบว่าราคากลุ่มบีทีเอส ได้แก่ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) บวก 0.54% หรือ 0.05 บาท มาอยู่ที่ 9.30 บาทต่อหุ้น ส่วนบริษัทลูก VGI บวก 0.80% หรือ 0.05 บาท มาอยู่ที่ 6.30 บาทต่อหุ้น และ U บวก 4.72% หรือ 0.05 บาท มาอยู่ที่ 1.11 บาทต่อหุ้น

ส่วนกลุ่มเจมาร์ท ได้แก่ JMART บวก 4.29% หรือ 1.50 บาท มาอยู่ที่ 36.50 บาทต่อหุ้น บมจ.เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) บวก 1.18% หรือ 0.50 บาท มาอยู่ที่ 43.00 บาทต่อหุ้น และ SINGER ลบ 1.24% หรือ 0.50 บาท มาอยู่ที่ 39.75 บาทต่อหุ้น

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า การเข้าลงทุนของกลุ่มบีทีเอสในกลุ่มเจมาร์ท มองเป็นปัจจัยบวกต่อทั้ง 2 บริษัท โดยเฉพาะ VGI กับ JMART ที่คาดว่าจะเห็นการผนึกกำลังร่วมมือกัน (Synergy) อีกมาก โดยคาดว่า JMART จะได้ประโยชน์จากธุรกิจสื่อโฆษณาผ่านการใช้สื่อร่วมกันกับ VGI

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

ส่วน VGI ที่ก่อนหน้านี้ประกาศลงทุนใน บริษัท แฟนส์ลิ้งค์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด (Fanslink) ผู้นำเข้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (แก็ดเจ็ต) ของจีน คาดว่าจะได้ประโยชน์จากร้านค้าปลีกโทรศัพท์มือถือและสินค้าที่เกี่ยวข้องของ JMART ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ อีกทั้งปัจจุบัน VGI มีอัตราหนี้สินต่อทุนที่ต่ำ (D/E) ที่ 0.1-0.2 เท่า จึงไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุน


สำหรับกลยุทธ์การลงทุนจากทั้ง 2 กลุ่ม เลือก VGI และ JMT เป็นหุ้นเด่น โดย VGI ราคาเหมาะสม 6.50 บาทต่อหุ้น แต่มีโอกาสปรับเพิ่มราคาเหมาะสมจากการเข้าลงทุนในกลุ่มเจมาร์ท

ส่วน JMT ราคาเหมาะสม 51.00 บาทต่อหุ้น ได้ปัจจัยหนุนการเพิ่มทุนของบริษัทที่ราคาไม่แตกต่างจากราคากระดานมาก โดยบริษัทมีแผนนำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุน 70% ไปซื้อหนี้เสียมาบริหาร รองรับการเติบโตในอนาคต และอีก 30% จะนำไปใช้คืนหนี้ อีกทั้งบริษัทมีการออกใบสำคัญแสดงสิทธิเพื่อจูงใจให้ผู้ถือหุ้นเดิมเพิ่มทุนอีกด้วย


นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า VGI และ U เข้าถือหุ้นใน JMART และ SINGER ทางกลุ่มบีทีเอสเข้าลงทุนในกลุ่มเจมาร์ทผ่านทางดีลสำคัญ 3 ดีล ได้แก่ 1. VGI เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุน JMART 15% มูลค่า 6,257 ล้านบาท 2. U เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุน JMART 9.9% มูลค่า 4,171 ล้านบาท และ 3. U เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุน SINGER 24.9% มูลค่า 7,155 ล้านบาท ประเมิน Synergy ที่เกิดขึ้นจะเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นที่เกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นเพิ่มทุนแบบวงจำกัด (PP) ของ JMART และ SINGER ที่ 30.337 และ 36.3005 บาท ต่ำกว่าราคาปิดในกระดานที่ 13% และ 9% ตามลำดับ อาจกดดันต่อราคาหุ้นในระยะสั้นบ้าง สำหรับเงินทุนเราคาดส่วนใหญ่จะใช้การกู้ยืม เนื่องจาก VGI และ U มีหนี้สินต่อทุนต่ำที่เพียง 0.23 และ 0.49 เท่า ขณะที่มีส่วนผู้ถือหุ้นสูงถึง 15,904 และ 39,302 ล้านบาท
#2962


ฟิตบิท (Fitbit) เปิดตัวสายรัดข้อมือเพื่อสุขภาพ Fitbit Charge 5 ตัวเรือนบางลง 10% เพิ่มความสามารถวัดความเคลียด ออกซิเจนในเลือด และอุณหภูมิผิวหนัง หวังช่วยวัดความพร้อมร่างกายในทุกมิติในเครื่องเดียว ในราคาเปิดตัว 7,690 บาท แบตเตอรีใช้งานได้ต่อเนื่อง 7 วัน

การเปิดตัว Fitbit Charge 5 ถือเป็นผลิตภัณฑ์รุ่นแรกที่เปิดตัวหลังจากฟิตบิท เข้าเป็นส่วนหนึ่งของ Google ทำให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่เกิดขึ้น ทั้งการปรับรูปแบบการวิเคราะห์ข้อมูลเพิ่มเติมที่ช่วยให้แอปพลิเคชัน Fitbit สามารถเชื่อมต่อข้อมูลกับ Google Fit เพื่อเก็บข้อมูลสุขภาพไว้ในที่เดียว

ความน่าสนในของ Fitbit Charge 5 ที่มีการปรับปรุงดีไซน์ให้ทันสมัย เหมาะกับการใส่ใช้งานในชีวิตประจำวันมากขึ้น ยังมาพร้อมความสามารถในการวัดอัตราการเต้นของหัวใจตลอดเวลา และทำการแจ้งเตือนเมื่อหัวใจเต้นสูง หรือต่ำกว่าระดับปกติ รวมถึงการตรวจจับความเคลียด ที่จะคอยบันทึกข้อมูลการตอบสนองของร่างกาย ข้อมูลการหายใจ อุณหภูมิผิวหนัง และการวัดออกซิเจนในเลือด (SpO2) ด้วย

ทั้งนี้ จุดเด่นหลักของ Fitbit คือแอปพลิเคชันเก็บ และวิเคราะห์ข้อมูล ที่ได้มีการเพิ่มบริการบอกรับสมาชิก Fitbit Premium ขึ้นมาช่วยแนะนำการออกกำลังกาย ซึ่งผู้ที่ซื้อ Fitbit Charge 5 จะสามารถใช้งานได้ฟรี 6 เดือน และหลังจากนั้นจะมีค่าบริการรายเดือนต่อไป



พร้อมกันนี้ ด้วยการเปลี่ยนมาใช้หน้าจอ AMOLED แบบติดตลอดเวลา (Always On) ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลเวลา และสถานะก้าวเดินในแต่ละวันได้ตลอดเวลา โดยแบตเตอรีสามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง 7 วันต่อการชาร์จ 1 ครั้ง มีระบบตรวจจับการออกกำลังกายอัตโนมัติ วัดการนอน และการปลุกในช่วงที่ดีที่สุด

Fitbit Charge 5 วางจำหน่ายในราคา 7,690 บาท โดยเปิดให้สั่งจองล่วงหน้าแล้ววันนี้ ก่อนวางขายพร้อมกันทั่วโลกในช่วงปลายเดือนกันยายนนี้ โดยนอกจากตัวเรือนแล้ว ยังมีสายฟิตเนสแทร็กเกอร์ในรูปแบบที่หลากหลายมาให้เลือกด้วย
#2964


บาเยิร์น มิวนิค โชว์โหดไร้ความปราณีใส่ทีมระดับลีก 5 ของประเทศ หลังยกพลบุกไปฆาตกรรมโหดยิงประตูเละเทะ 12-0 ในรอบแรกของศึก เดเอฟเบ โพคาล เมื่อคืนวันที่ 25 สิงหาคม ที่ผ่านมา

ศึก เดเอฟเบ โพคาล รอบแรก บาเยิร์น มิวนิค ยักษ์ใหญ่แห่ง บุนเดสลีกา เยอรมนี ยกพลไปเจอ เบรเมอร์ ทีมระดับลีก 5 ของประเทศ แม้คู่แข่งวันนี้จะอยู่ห่างชั้นแต่ 'เสือใต้' ก็ไม่ประมาทส่งตัวหลักทั้ง โธมัส มุลเลอร์, โจชัว คิมมิช, เลอรอย ซาเน่ และ เอริค มักซิม ชูโป-โมติง ลงไปยิง

เริ่มแค่ 7 นาที บาเยิร์น นำอย่างว่องไว จามาล มูเซียล่า ตวัด.ต่อให้ เอริค มักซิม ชูโป-โมติง จับแล้วหมุนยิงเช็ดคานเข้าประตู 1-0 ขณะที่ นาที 16 ลูกสองของพี่เสือก็มา เอริค มักซิม ชูโป-โมติง ชิ่ง.เข้าเขตโทษเข้าทาง จามาล มูเซียล่า รับแล้วแปเข้าเสาไกลนิ่มๆ 2-0

นาที 26 บาเยิร์น ได้เม็ดสาม เอริค มักซิม ชูโป-โมติง เติมขึ้นมาแป.แฉลบขา จาน-ลูก้า วอร์ม เข้าประตูตัวเองเป็น 3-0 และแวบเดียว นาที 27 ยักษ์แห่งบุนเดสลีกา ทิ้งห่างไปอีก ตบ.ออกขวาให้ เอริค มักซิม ชูโป-โมติง วิ่งมาแปโล่งๆ กระชากหนี 4-0

นาที 34 บาเยิร์น ยังคงเป็นฝ่ายเล่นงานเหยื่อ กองหลัง เบรเมน โหม่ง.ผิดเหลี่ยมเจอ เอริค มักซิม ชูโป-โมติง วิ่งมาโขกซ้ำห่างไปอีก 5-0 เป็นแฮตทริคให้ตัวเอง และจบครึ่งแรก บาเยิร์น เดินกลับอุโมงค์แบบหล่อๆ เพราะนำถึง 5 เม็ด

ครึ่งหลัง เสือใต้ ยังไม่หยุด นาที 46 กองหลัง เบรเมอร์ จ่าย.ผิดเจอ มาร์ค ทิลแมน ฉก.ไปยิงหน้าประตูเหน่งๆ 6-0 จากนั้น นาที 48 เอริค มักซิม ชูโป-โมติง ถ่าย.ออกขวาให้ จามาล มูเซียล่า คลึงก่อนหนึ่งจังหวะแล้วซัลโวส่ง บาเยิร์น ถล่มเพิ่มอีกเป็น 7-0

ยังไม่หมดแค่นี้ นาที 65 โอมาร์ ริชาร์ดส โหม่งตั้งให้ เลอรอย ซาเน่ เติมไปจับ.แล้วยิงเข้าเสาสอง 8-0 ส่วน เบรเมอร์ ยังโชคร้ายไม่หยุด นาที 75 อูโก-มาริโอ โนบิล โดนใบแดงไล่ออกหลังไปกระชากเสื้อ เลอรอย ซาเน่ ที่กำลังจะเข้าไปยิงประตูทำให้ทีมเหลือ 10 คน

ประตูยังไหลเป็นน้ำ นาที 79 แซร์จ นาบรี เหลือบหาช่องแล้วจ่ายยัดให้ มิชาเอล คุยแซง กระทุ้งพา บาเยิร์น โขยกเละ 9-0 คล้อยหลังแวบเดียว นาที 81 ประตูที่ 10 ก็มา เอริค มักซิม ชูโป-โมติง วิ่งไปรับ.แล้วตวัดยิงหน้าโกลเป็น 10-0 ก่อนที่ นาที 86 บูน่า ซาร์ จะหลุดเข้าไปกระซวกอีกลูกส่ง บาเยิร์น ซัดไป 11-0

นาที 87 มิชาเอล คุยแซง ลากจี้มาทางขวาแล้วยิงแฉลบขานายประตู แต่ก็เจอ โคเรนติน โตลิสโซ่ ชาร์จเบียดเสาเข้า 12-0 และนั่นคือประตูสุดท้ายของเกมที่ส่งให้ บาเยิร์น มิวนิค ถล่มทีมลีก 5 ไปแบบสบายเท้าและผ่านเข้ารอบสองสบายๆ
#2965


นายชาญ ศิริรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายบริหารทรัพยากรอาคารและระบบวิศวกรรม บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เผยว่า ปัจจุบันตามที่ได้เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ในประเทศไทย และเกิดผลกระทบต่อการใช้พื้นที่อาคารสำนักงานจากมาตรการทำงานที่บ้าน( Work From Home )แม้ในช่วงนี้ที่ความต้องการใช้พื้นที่อาคารสำนักงานจะลดน้อยลง อาคารหลายแห่งไม่ได้เปิดใช้งานเต็มพื้นที่ 100% แต่ในส่วนของพลัสฯ ก็ยังคงมีทีมงานประจำอยู่ในอาคาร โดยปรับจำนวนทีมงานให้สอดคล้องกับปริมาณการปฏิบัติงานในแต่ละโครงการ และมีการกำหนดมาตรการป้องกันโรคระบาดอย่างเคร่งครัด เพื่อดูแลและตรวจเช็คระบบวิศวกรรมอาคารให้อยู่ในสภาพดีและสามารถใช้การได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ในส่วนของผู้ใช้อาคาร ก็มีมาตรการดูแลคัดกรองผู้เข้ามาติดต่อในอาคารตามแนวทางของกรมควบคุมโรค และมีการทำความสะอาดฆ่าเชื้อเพื่อสุขอนามัยที่ดี ซึ่งนอกจากการดำเนินงานที่พลัสฯ มีมาตรฐานระดับสากลแล้ว ยังมีการปรับกลยุทธ์ เพิ่มมาตรฐานการดูแลที่ตอบโจทย์สถานการณ์ปัจจุบัน โดยมีการเพิ่มการบริหารจัดการโดยคำนึงถึงเรื่อง "เฮลท์แอนด์เวลเนส " เพื่อดูแลผู้ใช้อาคารให้ผ่านสถานการณ์โควิด-19 ไปได้อย่างปลอดภัย โดยมีการตรวจคัดกรองผู้เข้าออกในอาคาร ตรวจวัดอุณหภูมิและซักถามประวัติความเสี่ยงของทีมงานและทีมคู่สัญญาที่เข้ามาปฏิบัติงานในพื้นที่ มีการนำ เทคโนโลยีอัจฉริยะ มาใช้ควบคุมด้านงานระบบและการดูแลควบคุมคุณภาพอากาศในอาคาร มีการใช้หุ่นยนต์ทำความสะอาดและเครื่องฉีดพ่นฆ่าเชื้ออัตโนมัติ รวมทั้งเครื่องสแกนตรวจวัดอุณหภูมิ เป็นต้น

ในส่วนของพลัสฯ เอง ได้มีประสบการณ์บริหารอาคารที่ได้รับรางวัลการันตรีด้านเฮลท์แอนด์เวลเนส โดยมีการดูแลและนำอาคารสิริแคมปัสผ่านการรับรองมาตรฐานสากล Fitwel ระดับ 3 ดาว ด้วยคะแนนสูงสุดในเอเชียประจำปี 2020 ซึ่ง "เฮลท์แอนด์เวลเนส" เป็นเมกะเทรนด์ที่มาแรงในวงการอาคารสำนักงานยุคใหม่ จากเดิมที่สังคมเริ่มตระหนักถึงความสำคัญและเริ่มหันมาสนใจในเทรนด์นี้ และได้รับแรงส่งซึ่งเป็นผลมาจากโควิด-19 และปัญหา PM2.5 ที่เป็นปัจจัยประตุ้นด้านการดูแลสุขภาวะและสุขอนามัยที่ดีของผู้ใช้อาคาร เพื่อตอบโจทย์การทำงานและการใช้ชีวิตให้ผ่านสถานการณ์โควิด-19 ไปได้อย่างปลอดภัย


ดังนั้นธุรกิจดูแลบริหารจัดการอาคารต้องมีการปรับตัวเพื่อรองรับเมกะเทรนด์อาคารสำนักงานนี้ นอกจากนี้ ยังต้องมีการจัดการการใช้พื้นที่ในสำนักงาน ให้ตอบโจทย์รูปแบบสถานที่ทำงานแนวใหม่ ผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้บริษัทต่าง ๆ มีการควบคุมค่าใช้จ่ายและลดความเสี่ยงจากการเช่าพื้นที่สำนักงานมากขึ้น จึงต้องจัดการใช้งานอย่างเหมาะสม มีรูปแบบการผสมผสานการทำงานนอกพื้นที่สำนักงานมากขึ้น ฝ่ายบริหารจัดการอาคารจึงต้องมีการทบทวน จัดลำดับความสำคัญในการบริหารพื้นที่ที่ต้องปรับเปลี่ยนรองรับวิถีการทำงานแบบใหม่นี้ ตลอดจนมีมาตรการและการดำเนินงานที่ดูแลด้านสุขอนามัยและป้องกันโรคระบาดเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้อาคารด้วย

"เฮลท์แอนด์เวลเนส คือเมกะเทรนด์ของการบริหารจัดการอาคารสำนักงานในยุคต่อจากนี้ นอกจากการดูแลอาคารแล้ว การดูแลผู้ใช้อาคารด้านสุขอนามัยและการมีสุขภาวะที่ดีจะเข้ามาเป็นปัจจัยสำคัญที่เจ้าของอาคารมองข้ามไม่ได้ ธุรกิจบริหารจัดการอาคารจึงต้องปรับรูปแบบการทำงานให้สอดรับกับเทรนด์แห่งโลกอนาคต ในส่วนของพลัสฯ ก็ได้มีการยกระดับการให้บริการดูแลอาคารอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับเมกะเทรนด์เหล่านี้ เพื่อส่งมอบบริการอย่างมืออาชีพด้วยมาตรฐานระดับสากล พร้อมการเป็นพาร์ทเนอร์เคียงข้างเจ้าของอาคารที่ครอบคลุมในอาคารทุกประเภท มุ่งยกระดับมาตรฐานอาคารไปสู่เป้าหมายร่วมกัน"

นายชาญ กล่าว ธุรกิจบริหารจัดการอาคารเพื่อการพาณิชย์ของพลัสฯ มีการปรับกลยุทธ์เพื่อฝ่าวิกฤตโควิด-19 และพร้อมเดินหน้ารับงานโครงการใหม่ โดยขยายการดูแลบริหารอาคารให้ครอบคลุมในอาคารทุกประเภท ทั้งอาคารสำนักงานของภาครัฐและเอกชน คอมมูนิตี้มอล อาคารมิกซ์ยูส ในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยปัจจุบันพลัสฯ ดูแลอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ของผู้ประกอบการทั้งในกลุ่มของธุรกิจธนาคารและการลงทุน ธุรกิจโรงพยาบาล สถานศึกษา และล่าสุดรับดูแลบริหารอาคารใน 3 โครงการใหม่ ได้แก่ 1.อาคาร WHA Tower อาคารสำนักงานระดับพรีเมียมย่านบางนา-ตราด พื้นที่ใช้สอยกว่า 52,000 ตารางเมตร 2.อาคารของกลุ่ม U City Group จำนวน 4 อาคาร จำนวน 4 อาคาร - TST Tower, The Grand Regent, The Royal Place 1, The Royal Place 2 รวมพื้นที่ 156,453 ตารางเมตร และ 3.กลุ่มอาคารหอพัก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย จำนวน 4 อาคาร – อาคารกุลพิพัฒน์, อาคารพยาบารสถิต, อาคารนวไชยยันต์, อาคารนวราชูปถัมถ์ พื้นที่ใช้สอย 104,262 ตารางเมตร ทำให้ปัจจุบันธุรกิจบริหารจัดการอาคารเพื่อการพาณิชย์ของพลัสฯ มีพื้นที่บริหารรวมมากกว่า 2,300,000 ตารางเมตร
#2966


รายงานข้อมูลจากแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง)สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)ระบุ บริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CV กำหนดราคาเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก(ไอพีโอ) ที่ 3.90 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (Price to Earnings Ratio: P/E) เท่ากับ 32.5 เท่า ซึ่งคำนวณจากกำไรสุทธิใน 4 ไตรมาสย้อนหลังของบริษัทฯ (ตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2563 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564)

ทั้งนี้จะเสนอขายหุ้นจำนวน 320 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์)หุ้นละ 0.50 บาท แบ่งเป็น เสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของบริษัทหลักทรัยพ์ที่จัดจำหน่ายหุ้น จำนวน 240 ล้านหุ้น เสนอขายแก่ผู้มีอุปการคุณ จำนวนไม่เกิน 48 ล้าน หุ้น และเสนอขายต่อกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัท จำนวน32 ล้านหุ้น เปิดจองซื้อวันที่ 25-27 ส.ค2564

สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ จำนวน 1,248 ล้านบาท จะนำไปขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ ประกอบด้วย การเข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก กำลังการผลิตติดตั้ง 7.36 เมกะวัตต์ คาดใช้เงิน 110 ล้านบาท ภายในปี 2564

ใช้พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลในญี่ปุ่น กำลังการผลิตติดตั้ง 39.8 เมกะวัตต์ ใช้เงินลงทุน 450 ล้านบาท ภายในปี 2564-2566 และใช้พัฒนาโครงการ และหรือเข้าลงทุนในกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาด รวมถึงลงทุนในกิจการด้านงานวิศวกรรมที่เกี่ยวเนื่อง ทั้งในไทยและต่างประเทศ มูลค่า 180 ล้านบาท ภายในปี2564-2566


รวมถึงชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน และเงินกู้ยืมกรรมการ 330 ล้านบาทภายในปี 2564 และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของกลุ่มบริษัท 125 ล้านบาท ภายในปี2564-2565

'เงินเยียวยาประกันสังคมมาตรา 40' เช็คด่วน www.sso.go.th โอนวันนี้รับ 5,000 บาท
ยอด 'โควิด-19' วันนี้ ยังทรงตัว! ติดเชื้อเพิ่ม 17,165 ราย พบเสียชีวิต 226 ราย ไม่รวม ATK อีก 314 ราย
'โผทหาร' ระเบิดเวลากองทัพ  วัฏจักร "พรรคพวก-ผลประโยชน์"
สำหรับเป้าหมายในปี 2564 - 2566 กลุ่มบริษัทมุ่งเน้นขยายการลงทุนในธุรกิจด้านพลังงานหมุนเวียน และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานหมุนเวียนและโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ทั้งประเทศไทยและประเทศที่กำลังเติบโตด้านอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน ซึ่งส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนให้ดีขึ้น เน้นลงทุนในกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนควบคู่กับงานด้านวิศวกรรม Valued EPC แบบครบวงจร ในกลุ่มเทคโนโลยีพลังงานจากเชื้อเพลิงชีวภาพ ได้แก่ ชีวมวล ขยะ และก๊าซชีวภาพ รวมถึงพลังงานสะอาด ได้แก่ แสงอาทิตย์ พลังงานลม และก๊าชธรรมชาติ เป็นต้น
#2967


บอร์ดรฟท.เคาะเพิ่มงบก่อสร้างรถไฟสายสีแดง ค่า VO และภาษีกว่า 4,500 ล้านบาท หลังร่อนหนังสือถามอัยการ ไจก้ามั่นใจสั่งเพิ่มงานปฎิบัติไปตามสัญญา เตรียมชงคมนาคมและครม.เห็นชอบ และ ไฟเขียวให้รฟฟท.นำเงินล่วงหน้าไปเคลียร์ภาษีย้อนหลัง ปี54-55

นายจิรุฒม์ วิศาลจิตร ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม บอร์ด รฟท.เมื่อวันที่ 23 ส.ค.2564 ได้พิจารณาอนุมัติ ทบทวนปรับกรอบวงเงินลงทุน กรณีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากงานปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติม (Variation order - VO) พร้อมทั้งอนุมัติจัดหาแหล่งเงินรองรับสำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต และช่วง บางซื่อ-ตลิ่งชัน ทั้งนี้ บอร์ดได้มีข้อสังเกตุในบางเรื่อง โดยให้รฟท.ทำรายละเอียดเพิ่มเติม พร้อมทั้งยืนยันความถูกต้องให้ครบถ้วนก่อน เสนอไปที่กระทรวงคมนาคม และเพื่อนำเสนอคณะรัฐมตรี(ครม.) พิจารณาต่อไป

"เรื่องนี้บอร์ดไม่ได้อยู่หน้างาน ดังนั้นบางเรื่องต้องมีการยืนยันจากผู้บริหารโครงการ ว่าเรื่องการสั่งงาน VO ได้ดำเนินการตามกฎระเบียบและข้อกฎหมายครบถ้วนแล้วอย่างไรบาง "นายจิรุฒม์กล่าว 

รายงานข่าวจากรฟท.เปิดเผยถึงว่า โครงการก่อสร้างรถไฟสายสีแดง มีค่างาน VO จำนวน 10,345 ล้านบาท เป็นค่าภาษีมูลค่าเพิ่มประมาณ 3,000 ล้านบาท  และเป็นงานก่อสร้างเพิ่มเติมจากที่ออกแบบ ประมาณ 6,220 ล้านบาท โดยในการพิจารณาตัวเลขล่าสุด ได้ปรับในส่วนของสัญญา 3 งานระบบไฟฟ้าเครื่องกลและขบวนรถ และค่าที่ปรึกษา ออกเนื่องจากสามารถดำเนินการอยู่ในวงเงินของสัญญา ทำให้มีค่างานเพิ่ม VO และค่าภาษี ที่ประมาณ 4,500 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ของผู้รับเหมาที่เกิดจากการขยายสัญญา 1 สัญญา 2 วงเงินกว่า 800 ล้านบาท 

ส่วนประเด็น อำนาจสั่งการและอนุมัติในการเพิ่มงานของวิศวกรผู้มีอำนาจ หรือ The Enginee นั้น จากที่รฟท.ได้มีหนังสือสอบถาม อัยการสูงสุด ในแง่ของสัญญา ซึ่งอัยการตอบว่า ให้รฟท.ปฎิบัติตามสัญญา และความเข้าใจร่วมกันระหว่างผู้ว่าจ้างและผู้รับจ้าง ซึ่งรฟท.ได้สอบถามไปยังบริษัท ผู้รับจ้างทั้ง 3 สัญญา ซึ่งมีความเข้าใจตรงกันถึงความจำเป็นในการทำงานตตามสัญญา 

นอกจากนี้ ยังได้สอบถามองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น หรือไจก้า ในฐานะผู้ให้เงินกู้แล้ว และยังได้จ้างที่ปรึกษากฎหมาย คือ บริษัท เบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ จำกัด เป็น third party วิเคราะห์สัญญา เพื่อให้ความมั่นใจในความถูกต้องอีกด้วย

@ เห็นชอบให้รฟทท.นำเงินล่วงหน้าไปเคลียร์ภาษีย้อนหลัง

นายจิรุฒม์ กล่าวว่า นอกจากนี้ บอร์ดรฟท.ยังได้อนุมัติแก้ไขสัญญาจ้างบริหารการเดินรถไฟฟ้า ระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและสถานีรับส่งผู้โดยสารอากาศยานในเมือง(แอร์พอร์ตเรลลิงก์) เลขที่ บฟ.007/2563 ลงวันที่ 15 ต.ค.2563 โดยงดการหักเงินค่าจ้างประจำงวด จากบริษัท รถไฟฟ้าร.ฟ.ท.จำกัด (รฟฟท.) ทั้งนี้ เพื่อให้ รฟฟท.นำไปชำระค่าภาษี 

รายงานข่าวแจ้งว่า รฟฟท. ของดการจ่ายเงินล่วงหน้ารายเดือน 25% งวดเดือนมิ.ย.-ก.ย. 2564 เป็นเวลา 4 เดือน เพื่อนำไปชำระค่าภาษี ซึ่งเงินล่วงหน้านี้ เป็นเงินที่รฟท.จะหักจากค่าจ้างรายเดือน ที่จ่ายให้รฟทท.ในการบริหารเดินรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ 

ทั้งนี้ สืบเนื่องจาก กรมสรรพากร ได้มีหนังสือถึง กรรมการผู้จัดการ รฟฟท. เมื่อเดือนมิ.ย. 2564 เรื่องไม่อนุมัติให้ทุเลาการเสียภาษีอากร ตามที่ รฟฟท.ได้มีคำร้องไปยังกรมสรรพากร ขอทุเลาการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับเดือนตุลาคม 2554 ถึงเดือนมิถุนายน 2555 รวมเป็นเงินจำนวน24,337,780 บาท ไว้ก่อนจนกว่าจะมีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ซึ่งรฟทท.ไม่ได้จัดให้มีหลักประกันการชำระภาษีอากรดังกล่าว ซึ่งกรมสรรพากรพิจารณาแล้วเห็นว่า ไม่มีเหตุอันควรผ่อนผัน ทำให้รฟฟท.จำเป็นต้องจัดหาเงินไปชำระภาษีดังกล่าว

@ ทำข้อตกลงกับบริษัทลูกทรัพย์สิน ในการทำสัญญาเช่าช่วงที่ดิน

นอกจากนี้บอร์ดรฟท.ยังเห็นชอบ ข้อตกลงหลักหรือMaster Agreemen ระหว่างรฟท. และบริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ รฟท. โดยเป็นข้อตกลง คล้ายกับสัญญาระหว่างกัน แต่เนื่องจากรัฐวิสาหกิจด้วยกัน จึงต้องทำเป็นข้อตกลงระหว่างบริษัทแม่กับ บริษัทลูก โดยจะเป็นข้อตกลงหลักในการให้บริษัทลูกฯ เข้ามาบริหารทรัพย์สินของ รฟท. ขอบเขต หน้าที่ในการดำเนินการ ในที่ดิน ทรัพย์สินของรฟท. กรณีมีการเช่าช่วง การจ้างบุคคลที่ 3 อะไรที่บริษัทลูกทำได้ อะไรที่ต้องเสนอ รฟท. พิจารณา ซึ่งหลักในการจัดซื้อจัดจ้าง จะต้องเป็นไปตามระเบียบ และพ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ
#2968


เอพี/เอเจนซีส์ – สาธุคุณนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนชื่อดังสหรัฐฯ เจสซี แจ็คสัน และภรรยา แจ็คเกอร์ลีน เมื่อวานนี้(22 ส.ค) ยังคงอยู่ในการดูแลของคณะแพทย์ในเมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ หลังเข้ารับการรักษาโรคโควิด-19 พบมีการตอบสนองการรักษาด้วยดี

เอพีรายงานวันนี้(23 ส.ค)ว่า ทั้งสาธุคุณ เจสซี แจ็คสัน (Jesse Jackson )และภรรยา แจ็คเกอร์ลีน (Jacqueline ) ที่แต่งงานมานานเกือบ 60 ปีถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาล นอร์ทเวสเทิร์น เมโมเรียล( Northwestern Memorial Hospital) 1 วันก่อนหน้า โดยคณะแพทย์เฝ้าสังเกตอาการคนทั้งคู่ด้วยความเฝ้าระวังเนื่องมาจากปัญหาการสูงวัยของทั้งสอง โจนาธาน แจ็คสัน หนึ่งในบุตรทั้ง 5 คนของสาธุคุณกล่าวผ่านแถลงการณ์

สาธุคุณแจ็คสันอยู่ในวัย 79 ปี ส่วนภรรยาอายุ 77 ปี

"ทั้งสองได้รับการพักผ่อนอย่างดีและมีการตอบสนองที่ดีต่อการรักษา" บุตรชายแจ็คสันแถลง และเสริมว่า "ครอบครัวของผมรู้สึกซาบซึ้งต่อความห่วงใยทั้งหมดและการสวดภาวนาที่ให้กับคนทั้งคู่ และพวกเราจะยังคงสวดภาวนาต่อครอบครัวของเราต่อไปเช่นกัน"

เจสซี แจ็คสัน เป็นผู้นำด้านสิทธิมนุษยชนชื่อดังจากเมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ นั้นได้รับวัคซีนโควิด-19แล้วโดยเขาได้รับมาตั้งแต่มกราคมต้นปีผ่านหน้ากล้องทีวีเพื่อเชิญชวนให้ประชาชนอเมริกันเข้าร่วมการฉีดวัคซีนโควิด-19โดยเร็วที่สุด แต่ทว่าสถานะการฉีดวัคซีนของแจ็คเกอร์ลีนนั้นไม่เป็นที่แน่ชัดในเวลานี้ สมาชิกครอบครัวต่างกล่าวว่ามารดาของพวกเขามีปัญหาด้านสุขภาพด้วยโรคที่ไม่เปิดเผยและทำให้เกิดความวิตกเมื่อไม่กี่วันมานี้

"ผมขอให้พวกคุณยังคงสวดภาวนาต่อไปเพื่อการฟื้นตัวโดยสมบูรณ์ของบิดามารดาของพวกเรา และพวกเราจะยังคงแจ้งการเปลี่ยนแปลงให้พวกคุณต่อไปเป็นระยะๆ" โจนาธาน แจ็คสันกล่าว

เอพีรายงานว่า สาธุคุณสีผิวนักต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมล้มป่วยด้วยโรคพาร์กินสัน และเขาได้เข้ารับการผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดีเมื่อต้นปี

ฟอร์บส์รายงานเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้องค์กรสมาพันธ์ผลักดันเพื่อสายรุ้ง( Rainbow Push Coalition) ที่สาธุคุณก่อตั้งขึ้นในปี 1996 ได้ออกแถลงการณ์ด่วนในวันเสาร์(21)มีใจความว่า ทั้งสาธุคุณแจ็คสันและภรรยาขณะนี้เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลหลังจากมีผลการตรวจโควิด-19 เป็นบวก และร้องขอให้บุคคลที่เคยเข้าใกล้และสัมผัสคนทั้งคู่ในช่วงระหว่าง 5 – 6 วันล่าสุดให้ทำตามข้อปฎิบัติของศูนย์การควบคุมและการป้องกันโรคสหรัฐฯ CDC
#2969


เริ่มเห็นแรงเก็งกำไรเข้ามาในกลุ่ม Domestic อาทิ ค้าปลีก ร้านอาหาร สนามบิน ธนาคารพาณิชย์ เราเชื่อว่ามีประเด็นสนับสนุนดังต่อไปนี้ (1) จำนวนผู้ติดเชื้อโดยรวมไม่ทำจุดสูงสุดใหม่และเริ่มเห็นสัญญาณการลดน้อยถอยลง ข้อมูลล่าสุด ณ วันอาทิตย์พบผู้ติดเชื้อ 19,014 รายต่ำสุดในรอบ 20 วัน ขณะที่รักษาหายอยู่ที่ 20,672 ราย ถือเป็นสัญญาณที่ดีในแง่ระบบสาธารณสุขที่จะคล่องตัวมากขึ้น (2) มีรายงานว่า กทม. รับ Vaccine เข็มแรกไปแล้วกว่า 80% ของประชากรทั้งหมดใน กทม. หากอิงสมมติฐานเดียวกับ New York พบช่วงที่ประกาศผ่อนคลายมาตรการทาง New York วางสมมติฐานคือประชากรได้รับ Vaccine เกินกว่า 70% สำหรับเข็มแรก

(3) Valuation หุ้นกลุ่มเปิดเมืองหลายตัวค่อนข้างถูกประกอบกับมี Upside ค่อนข้างสูง บนสมมติฐานอิงกำไรและราคา PRE COVID-19 (4) คาดการณ์จาก ศบค. เชื่อว่าจุดสูงสุดของการติดเชื้อจะอยู่ในช่วง ก.ย. - ต.ค. สำหรับคำแนะนำของเราต่อกลุ่มเปิดเมืองคือสามารถสะสมได้เนื่องจากระดับ Valuation ระยะยาวที่น่าสนใจประกอบกับปีหน้าเชื่อว่าสถานการณ์ COVID-19 มีแนวโน้มจะดีกว่าปีนี้ ส่วนระยะสั้นหากรับความเสี่ยงได้ก็สามารถ Trading ได้

สำหรับสัปดาห์นี้เชื่อว่าตลาดจะจับจ้องกับการประชุม Jackson Hole ในวันที่ 26 – 28 ส.ค.มีการคาดการณ์จากตลาดว่าการประชุมครั้งนี้ FED จะเริ่มส่งสัญญาณถึงการลดวงเงิน QE (Tapering QE) ทั้งนี้เราเชื่อว่าปัจจุบันราคาหุ้นทั่วโลกสะท้อนถึงประเด็นการส่งสัญญาณ Tapering QE แล้ว ดังนั้นหากที่ประชุมส่งสัญญาณออกมาจริงเชื่อไม่มีผลกระทบมากนัก แต่กลับกันหากไม่มีสัญญาณออกมาเชื่อตลาดหุ้นจะตอบรับเชิงบวก อย่างไรก็ตามกับตลาดหุ้นไทยไม่ว่าจะส่งสัญญาณหรือไม่ส่งสัญญาณเชื่อไม่มีผลใดๆมากนัก เพราะปัจจุบันการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยมาจากนักลงทุนสถาบันและรายย่อย สถานะยอดหลัง 6 ปีพบนักลงทุนสถาบันและรายย่อยซื้อสุทธิ 3.73 แสนล้านบาทและ 2.96 แสนล้านบาทตามลำดับ ส่วนนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 7.37 แสนล้านบาท ส่วนอื่นๆจะเป็นตัวเลขการค้าระหว่างประเทศในวันอังคาร Bloomberg ประเมินส่งออก +19.8%YoY นำเข้า +38.8%YoY หากดีกว่าคาดจะเป็น Sentiment บวกต่อตลาด รวมถึงสถานการณ์ COVID-19 ในประเทศ

กลยุทธ์การลงทุน สำหรับนักลงทุนระยะยาวขึ้นไปแนะทยอยสะสม Domestic Play ประกอบไปด้วยค้าปลีก (BJC CRC CPALL HMPRO) รถไฟฟ้า (BTS BEM) ศูนย์การค้า (CPN) ท่องเที่ยว (AOT CENTEL MINT SPA) โรงภาพยนตร์ (MAJOR) สื่อ (PLANB VGI) ร้านอาหาร (M) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK) ส่วนนักลงทุนระยะสั้นเน้นหุ้นกำไรครึ่งปีหลังเติบโตเด่น (EPG JWD KCE MEGA WICE TU)

CRC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 37.5 บาท) เชื่อราคาหุ้นที่ปรับฐานลงมา 12% จากจุดสูงสุดก่อนหน้าสะท้อนการระบาด COVID-19 ไประดับนึงแล้วจากนี้หากมีสัญญาณที่ดีของการควบคุมการระบาดได้หรือกระจาย Vaccine อย่างมีนัยยะ คาดราคาหุ้นจะเริ่มเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น โดยคาดผลประกอบการปี 22 จะฟื้นตัวเด่น

PLANB (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 7.7 บาท) คาดรายได้สื่อของ PLANB จะปรับตัวลดลงไปที่จุดต่ำสุดใน 3Q21 ก่อนจะมีการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งในช่วงครึ่งหลังของ 4Q21 หนุนจากการใช้จ่ายค่าโฆษณาของภาคเอกชนที่กลับมาอีกครั้ง การเริ่มรับรู้รายได้จากป้ายสื่อโฆษณาที่ติดตั้งใหม่ในปลายปีที่แล้ว ทั้งในส่วนที่อยู่ใน 7-11 และสื่อที่รอรถเมล์ใน กทม
#2970


เอริค ลาเมล่า ลงมาเป็นซูเปอร์ซับ สวมบทฮีโร่ ซัดประตูชัยในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ช่วยให้ เซบีย่า บุกเก็บชัยเหนือ เกตาเฟ่ 1-0 เก็บ 6 แต้มเต็มจาก 2 นัดแรก ผงาดจ่าฝูงของตาราง

ศึกฟุต.ลาลีกา สเปน ฤดูกาล 2021/22 นัดมันเดย์ไนท์ คืนวันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา เกมที่น่าสนใจ เซบีย่า ยกพลไปเยือน เกตาฟ่ ที่สนามโคลีเซียม อัลฟอนโซ่ เปเรซ

เกตาเฟ่ ของกุนซือ มิเชล เกมที่แล้วบุกพ่าย บาเลนเซีย 0-1 ขณะที่ เซบีย่า ของเฮดโค้ชฆูเลน โลเปเตกี เกมที่แล้วเปิดบ้านต้อน ราโย่ บาเยกาโน่ 3-0

ปรากฎว่าเกมนี้ เซบีย่า เป็นฝ่ายที่ทำได้ดีกว่าทั้งการครอง. และจังหวะลุ้นประตู บุกมาเก็บชัยเหนือ เกตาเฟ่ ไปแบบหวุดหวิด 1-0 จากประตูชัยของ เอริค ลาเมล่า ในนาทีที่ 90+3

จากชัยชนะดังกล่าวทำให้ เซบีย่า คว้าสามคะแนน 2 เกมติดต่อกัน ขึ้นไปรั้งตำแหน่งจ่าฝูงของตาราง มี 6 แต้มเต็มเท่ากับ แอตเลติโก มาดริด แต่ลูกได้เสียดีกว่า ขณะที่ เกตาเฟ่ รั้งอันดับ 18 ของตาราง ยังไม่มีแต้ม
#2971
ข้าวกล้องหอมมะลิอินทรีย์   ข้าวไรซ์เบอรี่ออแกนิคส่งทั่วไทย    ข้าวสุรินทร์ หลักปฏิบัติในการผลิตข้าวปลอดสาร    จากนาข้าวเคมีสู่นาข้าวปลอดสาร   โครงการนาข้าวปลอดสาร ถ้าไม่อยากกินยาตลอดชีวิตให้กิน "ข้าวกล้อง" เป็นยาการที่ข้าวเปลือกอินทรีย์ถูกขัดสี ทำให้สูญเสียสารอาหารที่จำเป็นออกไปเป็นจำนวนมาก ยิ่งขัดสีเป็นข้าวขาวหลายครั้งเท่าไร สารอาหารยิ่งเหลือน้อยลงไป การหันกลับมากินข้าวกล้อง เหมือนบรรพบุรุษของเรา จึงเป็นวิถีชีวิตที่ถูกต้อง ช่วยไม่ให้เป็นโรคอันไม่ควรจะเป็น เนื่องจากขาดสารอาหาร
 

การฝึกกินข้าวกล้องออแกนิค (ต้นข้าวอินทรีย์ )
1. คนที่เพิ่งหัดกินข้าวกล้อง ( การผลิตข้าวออร์แกนิค
) อาจใช้วิธีง่ายๆ คือนำข้าวกล้องผสมกับข้าวขาวในอัตราส่วน 1 : 2 โดยแช่ข้าวกล้องก่อนนำไปหุงรวมกับข้าวขาว เพื่อจะได้สุกพร้อมๆ กัน และค่อยๆ เพิ่มปริมาณข้าวกล้อง จนเปลี่ยนเป็นข้าวกล้องทั้งหมด ท่านก็จะกินข้าวที่ได้คุณค่าอาหารอย่างเต็มที่ 
2. การกินข้าวกล้องก็คือควรกินขณะยังอุ่นๆ โดยทั่วไป พอข้าวสุก ทิ้งไว้ให้ข้าวระอุประมาณ 5-10 นาทีแล้วควรรีบกิน ข้าวจะนุ่มกินได้ง่าย และให้ค่อยๆ เคี้ยวพอละเอียด จะได้รสชาติหวานอร่อยของข้าวกล้อง ตาม  ปลูกข้าวออร์แกนิค กันมั้ย  
3. ควรกินข้าวกล้องที่สุกแล้วให้หมดในมื้ออาหารนั้น เพราะข้าวกล้องบูดเสียได้ง่ายกว่าข้าวขาวทั่วๆ ไป

วิธีหุงข้าวกล้องอินทรีย์  ตลาดข้าวออร์แกนิค

1. ก่อนซาวข้าวควรเก็บสิ่งแปลกปลอมออกเสียก่อน และซาวข้าวเบาๆ ด้วยเวลาสั้นๆ เพียงครั้งเดียว เพื่อไม่ให้วิตามินสูญเสียไปกับน้ำซาวข้าว
2. การหุงข้าวกล้องนั้น ต้องใส่น้ำมากกว่าหุงข้าวขาว การหุงข้าวกล้อง 1 ส่วนจึงควรเติมน้ำประมาณ 2-3 เท่า ถ้าจะให้ประหยัดเวลาหุง ควรแช่ข้าวกล้องก่อนประมาณครึ่งชั่วโมง วิธีนี้อาจทำให้สูญเสียวิตามินบางอย่างที่ละลายน้ำไปบ้าง แต่ไม่แนะนำให้แช่ข้าวเป็นเวลานานๆ โดยเฉพาะข้าวที่มีสี แต่ถ้าจำเป็นต้องแช่ข้าว แนะนำให้ใช้น้ำที่แช่ข้าวนำกลับไปใช้ในการหุ้ง เพื่อลดการสูญเสียสารต้านอนุมูลอิสระในข้าว โดยเฉพาะข้าวสี
3. สำหรับข้าวใหม่หรือข้าวเก่านั้น จะมีผลต่อการหุงต้มเช่นกัน เพราะข้าวใหม่เมื่อหุงสุกจะมีลักษณะเมล็ดข้าวติดกันมาก ส่วนข้าวเก่าเมื่อหุงสุกการติดกันของเมล็ดข้าวจะน้อย เนื่องจากข้าวเก่าเมล็ดข้าวจะแห้งกว่าข้าวใหม่
เหตุนี้จึงทำให้บางท่านหุงข้าวแล้วบอกว่าใช้น้ำมากเท่าเดิมทำไมข้าวจึงแฉะหรือร่วน ซึ่งก็ต้องถามผู้ขายว่า เป็นข้าวเก่าหรือข้าวใหม่ ส่วนจะให้แฉะหรือร่วนแล้วแต่จะชอบ ผู้หุงข้าวจึงต้องใส่น้ำให้เหมาะสมหรือต้องใช้ศิลปะในการหุงเช่นกัน


ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์  ส่งออกข้าวอินทรีย์

277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website : https://www.hor.boutique
Facebook : https://www.facebook.com/Rice.For.Infant/
Twitter : https://twitter.com/hor_boutique
IG : https://www.instagram.com/hor.boutique/
Line: @Hor.Boutique กลุ่มผลิตข้าวอินทรีย์

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ1.ข้าวหอมมะลิสุรินทร์ 2.ข้าวกล้องหอมมะลิสุรินทร์  ข้าวกล้องหอมมะลิออแกนิคคือ 3.ข้าวปกาอำปึลอินทรีย์ (#ข้าวพื้นถิ่นจังหวัดสุรินทร์) 4.ข้าวผสมห้าสายพันธุ์อินทรีย์ 5.ข้าวกล้องมะลิแดงอินทรีย์ 6.ข้าวมะลินิลอินทรีย์สุรินทร์ 7. ข้าวไรซ์เบอรี่

#ข้าวกล้องอินทรีย์สุรินทร์ #ข้าวกล้องออแกนิคสุรินทร์ #ข้าวกล้องปลอดสารสุรินทร์ #ข้าวกล้องเพื่อสุขภาพสุรินทร์ #ข้าวกล้องหอมมะลิสุรินทร์ #ข้าวกล้องเมืองสุรินทร์

 

 

 

 

 
 
#2972


วันนี้(23 ส.ค.) นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกประจำศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม ศบค. เห็นชอบการขยายพื้นที่ของภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ให้กว้างขึ้น โดยให้นักท่องเที่ยวภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์สามารถเดินทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงระหว่างจังหวัดภูเก็ตกับพื้นที่นำร่องอื่นในลักษณะ 7+7 เป็นการส่งเสริมให้นักท่องเที่ยว สามารถเดินทางไปยังพื้นที่นำร่องอื่นๆ ได้เพิ่มเติม โดยปรับลดเวลาที่ต้องอยู่ในพื้นที่ภูเก็ตจาก 14 วัน เหลือ 7 วัน ซึ่งพื้นที่นำร่องประกอบด้วย พื้นที่เกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี พื้นที่เกาะพีพี เกาะไหง ไร่เลย์ จังหวัดกระบี่ และพื้นที่เขาหลัก เกาะยาวน้อย และเกาะยาวใหญ่ จังหวัดพังงา เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กำชับให้ดูแลความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ด้วย

นายธนกร กล่าวต่อว่า ขณะนี้ยอดนักท่องเที่ยวสะสมของโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ อยู่ที่ 22,810คน มียอดการจองโรงแรมที่ได้เครื่องหมายมาตรฐานความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยวและสุขอนามัย SHA Plus ตลอดไตรมาส 3 (กรกฎาคม-กันยายน 2564) จำนวนกว่า 409,390 คืน ยังคงมีเที่ยวบินเข้ามาอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน โดย 5 อันดับแรกมาจากสหรัฐอเมริกา อังกฤษ อิสราเอล ฝรั่งเศส และเยอรมนี โดยหลังจากที่ปรับเป็นสูตร 7+7 ให้นักท่องเที่ยว"ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์" อยู่ภูเก็ตครบ 7 วันแล้วเดินทางไปพื้นที่นำร่องอื่นต่อได้ 7 วัน จึงจะสามารถเดินทางไปจังหวัดอื่นได้ ทำให้มีนักท่องเที่ยวกลุ่มแซนด์บ็อกซ์ที่เดินทางออกจากพื้นที่ภูเก็ตทางบก ขณะนี้มีจำนวนสะสมอยู่ที่ 3,578 คน โดยปลายทาง 5 อันดับอยู่ที่กรุงเทพมหานคร สุราษฎร์ธานี ประจวบคีรีขันธ์ เชียงใหม่ และชลบุรี ซึ่งปัจจุบันแต่ละจังหวัดมีการเตรียมการวางแผน บริหารจัดการควบคุมเพื่อรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ตามมาตรการที่ ศบค. กำหนดแล้ว ขอให้ประชาชนในพื้นปลายทางมั่นใจได้

นายธนกร กล่าวอีกว่า ในส่วนของสมุยพลัสโมเดล ที่เชื่อมต่อกับภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์นั้น มีกลุ่มแซนด์บ็อกซ์เข้ามาแล้วจำนวนเกือบ 400 คน มีจำนวนคืนเข้าพักแรมรวมเกือบ 3,000 คืน (รูมไนท์) จำนวนวันพักเฉลี่ย 9 คืนต่อคน ประมาณการรายได้อยู่ที่ 17.28 ล้านบาท โดยนักท่องเที่ยว 5 อันดับแรกได้แก่ ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน สหรัฐอเมริกา และเนเธอร์แลนด์ ซึ่งจำนวนนักท่องเที่ยวที่น้อยเนื่องจากเส้นทางการบินภูเก็ต-สมุยได้หยุดทำการบินไปตั้งแต่วันที่ 3 - 16 สิงหาคม 2564 ตามคำสั่งจังหวัดภูเก็ต และจะประกาศต่อจนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2564 เนื่องจากการควบคุมการระบาดของโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต อย่างไรก็ตาม เที่ยวบินภูเก็ต-สมุยจะกลับมาให้บริการอีกครั้งตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม เป็นต้นไป คาดว่าหลังจากเปิดเส้นทางการบินภูเก็ต-สมุย และใช้มาตรการ 7 + 7 แล้ว จะทำให้ยอดนักท่องเที่ยวสมุยพลัสโมเดลเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ สำหรับกรณีที่สหรัฐฯ ประกาศว่า โควิด-19 ระบาดหนักในไทย ให้หลีกเลี่ยงการเดินทางนั้น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้เร่งสื่อสารตลาดต่างประเทศเพื่อสร้างความเข้าใจกับนักท่องเที่ยว และทัวร์โอเปอร์เรเตอร์ ในเชิงซิตี้ มาร์เก็ตติ้ง (City marketing) แยกจังหวัดภูเก็ตออกมาจากประเทศไทยในภาพรวมว่าภูเก็ตมีความปลอดภัย รัฐบาลได้เน้นย้ำให้ทุกฝ่ายเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์ สาธารณสุข ภายใต้มาตรการสาธารณสุข และการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด มีการประเมินและควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างใกล้ชิด
#2973


(ภูเก็ต ประเทศไทย) เผยโฉมสุดยอดโครงการรักษ์โลก "จำปา" ร้านอาหารแนวคิดใหม่ที่ผสมผสานนวัตกรรมเข้ากับอาหารและเครื่องดื่ม สร้างสรรค์เมนูรสเลิศจากวัตถุดิบสดใหม่ในท้องถิ่น เน้นอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ พร้อมยึดหลัก Zero Waste ไม่สร้างขยะให้แก่โลก ณ ตรีวนันดา คอมมูนิตี้เพื่อสุขภาพที่ดีแบบองค์รวมกลางเกาะภูเก็ต ภายใต้การดูแลของ มนทาระ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป ที่เคยคว้ามาหลายรางวัลระดับโลก ได้แก่ "พรุ" ร้านอาหารรางวัลมิชลิน สตาร์ 1 ดาว แห่งเดียวนอกเขตกรุงเทพฯ "ซีฟู้ด แอท ตรีสรา" ร้านอาหารแห่งเดียวในประเทศไทยที่ได้รางวัลมิชลิน กรีน สตาร์ และ "พระยา ไดนิ่ง" ที่ได้รับมิชลิน เพลท อันทรงเกียรติ เปิดปฐมฤกษ์ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป 

"จำปา เป็นโครงการที่น่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะเราให้ความสำคัญกับวัตถุดิบจากท้องถิ่น ใช้ไฟฟืน ยึดแนวคิดการปรุงอาหารที่ไม่ก่อให้เกิดขยะ ถือเป็นบทบาทหลักของ ตรีวนันดา คอมมูนิตี้ เฮ้าส์" เควนทิน ฟูเกอรูซ์ (Quentin Fougeroux) ผู้อำนวยการ ด้านอาหารและเครื่องดื่มกล่าว "เนื่องจากเป็นศูนย์กลางคอมมูนิตี้ ที่นี่จึงเป็นพื้นที่เพื่อการแบ่งปัน เรียนรู้ และให้ความสำคัญกับชีวิตที่ดี รวมไปถึงยึดหลักการความเป็นอยู่แบบพึ่งพาตนเอง นับว่าเป็นสถานที่ซึ่งผสานอาหารและงานฝีมือเข้าด้วยกัน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งสำคัญเหนืออื่นใด" 

ชื่อ "จำปา" (JAMPA) มาจากชื่อของดอกแมกนิโอเลีย จัมพากา (Magniolia Champaka) ซึ่งเป็นดอกไม้เฉพาะถิ่นที่มีกลิ่นหอมพบได้ทั่วไปในภูเก็ต และมาจากชื่อของหมู่บ้านเล็ก ๆ ซึ่งเป็นที่ตั้งของฟาร์มของกรุ๊ป ที่เรียกกันว่า "พรุจำปา" ครึ่งแรกของชื่อหมู่บ้านได้นำมาตั้งเป็นชื่อร้านอาหาร "พรุ" ร้านชนะรางวัลมิชลินของมนทาระ และใช้ชื่อครึ่งหลังสำหรับคอนเซปต์ใหม่นี้
ทีมอาหารของจำปามีความมุ่งมั่นที่จะทำให้ร้านอาหารแห่งนี้ก้าวไปสู่แถวหน้าของนวัตกรรมอาหารในเกาะภูเก็ต โดยการใช้ไฟจากฟืนเท่านั้น ในการรังสรรค์วัตถุดิบท้องถิ่นให้กลายเป็นอาหารอันน่าตื่นตาตื่นใจ พร้อมเน้นเมนูที่ดีต่อสุขภาพ สร้างความสมดุลให้ร่างกาย ซึ่งส่งผลดีงามต่อจิตใจ 

ทีมจำปามี เชฟริค ดิงเกน (Chef Rick Dingen) เป็นหัวหน้าทีม เขาเคยประจำอยู่ที่ร้านอาหารเมดิสัน ในกรุงเทพฯ และยังผ่านการทำงานในร้านอาหารระดับมิชลิน สตาร์ ในประเทศไทยและเนเธอร์แลนด์บ้านเกิดของเขา ซึ่งรวมถึงร้านอินเตอร์ สกาลเดส ร้านระดับมิชลิน สตาร์ 3 ดาว และร้านอาหาร เดอ คาส ที่ขึ้นชื่อเรื่องนำของสดจากฟาร์มมาปรุงอาหาร เชฟทุ่มเทให้กับการเลือกสรรวัตถุดิบสดใหม่ที่เก็บเกี่ยวได้ในวันนั้น ใช้วิธีปรุงอาหารด้วยไฟจากฟืน เพื่อแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ทางธรรมชาติของวัตถุดิบแต่ละชนิด 

"สำหรับเราแล้ว เป็นเรื่องสำคัญมากในการเลือกใช้วัตถุดิบในท้องถิ่นและอยู่ในฤดูกาลมาปรุงด้วยวิธีที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้" เชฟริคกล่าว "การทำอาหารคืองานฝีมือ ประกอบกับบริการและบรรยากาศของสถานที่ นับเป็นหนึ่งในศิลปะที่สวยงามที่สุด เราต้องการให้แขกของเราได้สัมผัสถึงอารมณ์ของเชฟ ได้รับรู้ว่าทำไมเราจึงคัดสรรวัตถุดิบเหล่านี้ ทำไมเราจึงเลือกวิธีปรุงอาหารแบบนี้ และอยากให้ได้ร่วมเรียนรู้จากเรา ที่ร้านไฮด์อะเวย์ บาย จำปา ร้านป๊อปอัพของเรา ทุกสัปดาห์เรามักจะทำอาหารกลางแจ้งด้วยไฟฟืน ซึ่งเป็นโอกาสที่เราจะได้เรียนรู้วัตถุดิบใหม่ ๆ ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ เราทดลองหลาย ๆ สิ่ง เราหัวเราะมีความสุขกับมัน เป็นประสบการณ์ที่แขกของเราสามารถมีส่วนร่วมได้เช่นกัน" 

ร้านอาหารจะตั้งอยู่ที่ ตรีวนันดา คอมมูนิตี้ เฮ้าส์ เป็นอาคารแสนสวยที่ออกแบบโดย ฮาบิตา อาร์คิเท็คท์ บริษัทออกแบบมือรางวัลและสถาบันศิลปะอาศรมศิลป์ ออกแบบตกแต่งภายในโดย อาฟโรโค่ ที่มีชื่อเสียงว่าเป็นหนึ่งในบริษัทออกแบบที่ล้ำสมัยที่สุดในวงการ ล้อมรอบไปด้วยเนินทรายและภูมิทัศน์ที่สวยงาม อาคารคอมมูนิตี้ เฮ้าส์ แห่งนี้จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของ ตรีวนันดา เวลเนส คอมมูนิตี้ ที่ซึ่งผู้พักอาศัยสามารถมาพบปะแลกเปลี่ยนมุมมองกัน ทั้งผู้พักประจำและผู้มาเยือนจะสามารถร่วมพลังกันในโครงการต่าง ๆ ของชุมชนที่เน้นเรื่องความยั่งยืน เรื่องโภชนาการ และความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำโดยทีมของตรีวนันดา 

ร้านอาหารได้รับการกล่าวถึงในหัวข้อ "ร้านเปิดใหม่ล่าสุด" ของเวปไซต์ "Top 25 Restaurants Phuket" โดย อเมซิ่ง ไทยแลนด์ ยังมีบาร์ที่ทันสมัยนำเสนอเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ร่างกาย และจิตใจ เสิร์ฟมาในรูปแบบที่คุ้นเคยของนักดื่ม รวมทั้งมีแนวคิด zero waste ลดขยะเป็นศูนย์ นำเสนอของสดเก็บใหม่ในวันนั้น ขนมปังอบใหม่ และอาหารชั้นดีชนิดอื่น ๆ ให้กับผู้พักอาศัยและแขกผู้มาเยือน 

สำหรับแนวคิดลดขยะเป็นศูนย์ (The Zero Waste) สิ่งสำคัญของคอมมูนิตี้นี้ คือ อาหารและข้าวของต่าง ๆ จะไม่ใช้พลาสติก ผู้พักอาศัยและแขกสามารถเลือกสรรสินค้าโฮมเมด ผลไม้ ผัก และสมุนไพร ที่เก็บมาสด ๆ ขนมปังอบใหม่ที่ยังอุ่น ๆ จากเตาฟืน ชีสท้องถิ่น ชีสวีแกน และสินค้าอื่น ๆ ในรีฟิล สเตชั่น ยิ่งไปกว่านั้น เชฟทุกคนพร้อมให้คำแนะนำหรือเกร็ดความรู้ในการใช้ประโยชน์จากผลิตผลนั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุด 

ร้านอาหารก็มุ่งมั่นที่จะเป็นร้านแรกบนเกาะภูเก็ตที่ปรุงอาหารตามแนวคิดลดขยะเป็นศูนย์เช่นเดียวกัน "เราต้องการลดผลกระทบต่อโลกให้มากที่สุดและเราแยกขยะในครัวของเราทั้งหมด เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่เหลือสิ่งใดกลับไปสู่พื้นดิน" เควนทิน กล่าว "เราจะแยกขยะ โดยอาหารที่เหลือจะนำไปเป็นอาหารสัตว์หรือทำเป็นปุ๋ยใช้ในฟาร์มของเรา ขยะและของที่ย่อยสลายได้จะถูกนำมาใช้เป็นปุ๋ยปลูกผักเพื่อทำให้วงจรของชีวิตสมบูรณ์" 

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ +66 76 310 100 หรือเยี่ยมชมที่ jamparestaurant.com
Facebook : https:// www.facebook.com/JampaRestaurant/
Instagram : https:// www.instagram.com/jamparestaurant/?hl=en
Line : @jamparestaurant ​
#2974


นายอิศเรศ จิราธิวัฒน์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายขายบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด(มหาชน) ผู้บริหารศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์, เซ็นทรัลพลาซา, เซ็นทรัลเฟสติวัล, เซ็นทรัล ภูเก็ต และ เซ็นทรัล วิลเลจ ลักชัวรีเอาต์เลต กล่าวว่า ได้ผนึกกำลังและจับคู่ธุรกิจ (BusinessMatching) กับพันธมิตรทุกระดับในรูปแบบต่างๆ เพื่อแสวงหาโอกาสใหม่  เพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย และคู่ค้าผู้เช่ากว่า 15,000 รายทั่วประเทศ เข้าถึงแหล่งทุนง่ายขึ้น

ล่าสุด จับมือกับสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ บริษัท อินเวสทรี (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้ให้บริการ Crowdfunding Platform ที่ได้รับความเห็นชอบจาก ก.ล.ต.ช่วยแก้ปัญหาสภาพคล่องให้กลุ่มเอสเอ็มอีที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน สามารถใช้ใบแจ้งหนี้การค้าหรือสัญญากับเซ็นทรัลพัฒนา

"เรานำ pain-point ของผู้เช่ามาปรับให้เป็น gain-point ด้วยการใช้นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อส่งเสริมธุรกิจให้เติบโตไปได้ด้วยกันอย่างอย่างยั่งยืน"


ทั้งนี้ ได้เปิดตัว CentralPattana'Serve' Application ช่วยเหลือคู่ค้าแบบครบวงจรนับเป็นรายแรกของวงการศูนย์การค้าไทยของ "Application&Solution" ในการบริหารจัดการร้านค้าในพื้นที่ด้วยตัวเองทั้งติดต่อศูนย์การค้า ทำธุรกรรม รับข้อมูลข่าวสาร เข้าถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ รวมถึงเตรียมเปิดตัวโปรแกรม The1Biz : Effective CRM เพิ่มยอดขายให้คู่ค้าและแผนสนับสนุนต่อเนื่องทั้งปีเพิ่มการเข้าถึงลูกค้ามากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้เพื่อดูแลผู้ประกอบการรายย่อยที่ดำเนินธุรกิจร่วมกับศูนย์การค้าที่มีอยู่ทั่วประเทศกว่า 4,500 ราย เช่น ร้านค้าในโซนฟู้ดพาร์ค แฟชั่นพลัส และอี-เซ็นเตอร์ เซ็นทรัลพัฒนาช่วยเหลือแบบ 360 องศา ทั้งการปรับลดค่าเช่าตามความเหมาะสมต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน 

ก่อนหน้านี้ เซ็นทรัลพัฒนา จัด "Multi-BankLoans"  ช่วยเหลือผู้เช่าหลักผ่าน 7 สถาบันการเงิน ได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย, ธนาคารกรุงไทย, ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, ธนาคารกรุงเทพ, ธนาคารไทยพาณิชย์, ธนาคารทีเอ็มบีธนชาต และธนาคารออมสิน ให้เข้าถึงสินเชื่อฟื้นฟู หรือสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) และวงเงินO/D เพื่อเสริมสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ ด้วยระบบ Grading ฐานข้อมูล Credit Score หรือความน่าเชื่อถือของคู่ค้าเซ็นทรัลพัฒนาที่ช่วยออกแบบ (Tailor-Made) แผนสินเชื่อให้คู่ค้าแต่ละรายได้

สำหรับ "อินเวสทรี" ก่อตั้งมาเพื่อช่วยธุรกิจขนาดเล็กเข้าถึงเงินทุนในรูปแบบใหม่ที่สะดวกและเร็ว ผ่านการระดมทุนจากนักลงทุนโดยตรง ด้วยอัตราที่สมเหตุสมผลและกระบวนการระดมทุนที่โปร่งใส ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน เพียงใช้ "ใบแจ้งหนี้การค้า" หรือ สัญญาที่มีกับเซ็นทรัลพัฒนามาประกอบคำขอ ขณะเดียวกันฝั่งนักลงทุนเองก็ได้โอกาสลงทุนในผลิตภัณฑ์ใหม่ กระจายการลงทุนไปในธุรกิจที่หลากหลายมากกว่าเดิม

โดยปัญหาสำคัญที่เอสเอ็มอีไทยพบ คือ เมื่อคู่ค้าหรือลูกค้ายืดเวลาการชำระเงินค่าสินค้าออกไปเอสเอ็มอีจะประสบปัญหาขาดสภาพคล่องในระยะสั้น หากเข้าไม่ถึงสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ เพราะไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน หลายรายไม่มีทางเลือกและจำเป็นต้องหันหน้าหาเงินกู้นอกระบบ

ซึ่งบริการ Investment-based Crowdfunding ในรูปแบบของการออกหุ้นกู้ จะเป็นทางเลือกให้เอสเอ็มอี ซึ่งเส้นเลือดฝอยของระบบเศรษฐกิจไทย แต่โอกาสเข้าถึงสินเชื่อมีสัดส่วนไม่ถึง 1% ของจีดีพี ขณะที่สินเชื่อภาคธุรกิจมีถึง 85% ของจีดีพี เป็น Credit Gap ที่ใหญ่มากในระบบการเงินไทย
#2975


สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนจำนวน 1,274 คน จากทั่วประเทศ เรื่อง "การใช้จ่ายของคนไทยในยุคโควิด-19" สืบเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างรุนแรง ประชาชนต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินชีวิตและระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ส่งผลให้มีพฤติกรรมการใช้จ่ายที่เปลี่ยนแปลงไป ผลการสำรวจพบว่า



1. การใช้จ่ายของประชาชน ณ วันนี้ เปรียบเทียบกับก่อนมีโควิด-19 เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

ร้อยละ 40.22 ระบุ ใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
ร้อยละ 33.60 ระบุ ใช้จ่ายลดลง
ร้อยละ 26.18 ระบุ ใช้จ่ายเท่าเดิม

2. ปัจจุบันประชาชนนำเงินจากช่องทางใดมาใช้จ่าย

อันดับ 1 ร้อยละ 83.57 ระบุ รายได้จากการทำงานหลักและงานเสริม
อันดับ 2 ร้อยละ 46.78 ระบุ นำเงินออมออกมาใช้
อันดับ 3 ร้อยละ 44.34 ระบุ มาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐ เช่น คนละครึ่ง เงินเยียวยา
อันดับ 4 ร้อยละ 26.26 ระบุ รูดบัตรเครดิต กดบัตรเงินสด รถแลกเงิน บ้านแลกเงิน
อันดับ 5 ร้อยละ 25.31 ระบุ หยิบยืมญาติ คนรู้จัก พี่น้อง

3. สำหรับประชาชนที่มีเงินออม ในช่วงนี้มีการนำเงินออมมาใช้มากน้อยเพียงใด

อันดับ 1 ร้อยละ 42.63 ระบุ ใช้ไปบ้างบางส่วน
อันดับ 2 ร้อยละ 19.36 ระบุ ใช้ไปเกือบหมดแล้ว
อันดับ 3 ร้อยละ 15.15 ระบุ ใช้ไปกว่าครึ่ง
อันดับ 4 ร้อยละ 12.64 ระบุ ใช้ไปหมดแล้ว
อันดับ 5 ร้อยละ 10.22 ระบุ ไม่ได้นำเงินออมมาใช้

4. ในช่วงโควิด-19 รูปแบบการใช้จ่ายของประชาชนเป็นอย่างไร

อันดับ 1 ร้อยละ 80.44 ระบุ ลดการซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย วางแผนการใช้จ่ายอย่างรัดกุม
อันดับ 2 ร้อยละ 57.49 ระบุ ซื้อสินค้าทีละจำนวนมาก กักตุนสินค้าจำเป็น
อันดับ 3 ร้อยละ 56.47 ระบุ ซื้อสินค้าที่ราคาประหยัดกว่า ซื้อช่วงจัดโปรโมชัน
อันดับ 4 ร้อยละ 53.71 ระบุ สั่งซื้อของผ่านทางออนไลน์
อันดับ 5 ร้อยละ 53.08 ระบุ ซื้อสินค้าจากร้านที่เข้าร่วมมาตรการรัฐ เช่น คนละครึ่ง เราชนะ

5. ประชาชนอยากให้รัฐบาลช่วยเหลือเรื่องการใช้จ่ายของประชาชน ณ วันนี้ อย่างไร

อันดับ 1 ร้อยละ 86.41 ระบุ ลดค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต ค่าน้ำมัน
อันดับ 2 ร้อยละ 76.86 ระบุ ลดภาระค่าครองชีพ ควบคุมราคาสินค้า
อันดับ 3 ร้อยละ 71.64 ระบุ มีมาตรการเยียวยาประชาชนแบบทั่วถึงทุกคน
อันดับ 4 ร้อยละ 61.85 ระบุ พักชำระหนี้ ลดดอกเบี้ย
อันดับ 5 ร้อยละ 51.82 ระบุ จำหน่ายสินค้าราคาประหยัดในพื้นที่ต่างๆ

6. ในยุคโควิด-19 จากสภาพการใช้จ่าย ณ วันนี้ ประชาชนคาดว่าจะประคองตัวเองต่อไปได้อีกประมาณเท่าใด

ร้อยละ 37.37 ระบุ ไม่เกิน 3 เดือน
ร้อยละ 30.32 ระบุ 3-6 เดือน
ร้อยละ 19.68 ระบุ 6 เดือน - 1 ปี
ร้อยละ 12.63 ระบุ 1-2 ปี

น.ส.พรพรรณ บัวทอง นักวิจัยสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สรุปผลการสำรวจ "การใช้จ่ายของคนไทยในยุคโควิด-19" ว่า ถึงแม้ว่าในช่วงโควิด-19 ประชาชนจะประหยัดและวางแผนการใช้จ่ายอย่างรัดกุม แต่ก็ยังต้องนำเงินออมออกมาใช้ เพราะโควิด-19 ทำให้มีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น อีกทั้งสถานการณ์ว่างงาน ตกงาน และเศรษฐกิจต่กต่ำก็ทำให้ประชาชนไม่มีกำลังการบริโภคภายในประเทศมากนัก ทั้งนี้ ประชาชนมองว่าจะประคองตัวเองต่อไปได้อีกไม่เกิน 3 เดือนเท่านั้น รัฐบาลจึงต้องเร่งแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจ มีมาตรการช่วยเหลือค่าใช้จ่ายที่จำเป็นและลดค่าครองชีพเพื่อช่วยเหลือประชาชนโดยเร็ว

ขณะที่ รองศาสตราจารย์ ดร. พรรณี สวนเพลง อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ระบุว่า จากผลการสำรวจการใช้จ่ายของคนไทยในยุคโควิด-19 พบว่ากำลังเข้าสู่ยุคของ Transformation เพื่อเข้าสู่ยุค "ความปกติถัดไป" (Next Normal) ซึ่งทำให้ประชาชนมีการปรับตัว ปรับใจ ปรับการใช้ชีวิต ซึ่งจะต้องอยู่บนพื้นฐานของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เริ่มจากการปรับตัวด้วยความมีเหตุผลในการใช้จ่าย ควรจะต้องลด ละ เลิก ซื้อสิ่งที่ไม่จำเป็นในชีวิตลง วางแผนการใช้จ่ายอย่างรัดกุมมากขึ้น เน้นความประหยัดและคุ้มค่า ปรับใจให้มีความพอประมาณ มีความสุขและพอใจกับสิ่งที่มี ให้ความสำคัญกับความสุขใจและสุขภาพที่ดีบนพื้นฐานของการแบ่งปันและเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน มีการปรับการใช้ชีวิตในยุคปกติถัดไปด้วยการสร้างภูมิคุ้มกัน โดยมีการวางแผนการออมเงิน ลดการสร้างภาระหนี้สินที่ไม่จำเป็น มีเงินสำรองสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน สร้างรายได้มากกว่าหนึ่งอาชีพ พร้อมกับมีการพัฒนาตนเองเพื่อให้ทันและรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในทุกสถานการณ์เพื่อสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุข สงบเย็น เป็นประโยชน์
#2976


ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ได้โพสต์ภาพคนกำลังเก็บ กวาด สถานที่แห่งหนึ่ง พร้อมข้อความว่า "ความน่ารักของผู้ป่วยศูนย์ CI สะเดียง เมื่อโทรไปบอกว่า..วันนี้เหนื่อยมากเคสจะเข้าอีก 8 คน ช่วยพี่ทำความสะอาดรับผู้ป่วยรายใหม่หน่อยได้มั้ย ผู้ป่วยรายเดิมขออุปกรณ์ทันที ไม้กวาดไม้ถูพื้น น้ำยาล้างห้องน้ำ ช่วยกันทำความสะอาดหอพักผู้ป่วย จัดเตียงรับเพื่อนใหม่ แบ่งเบาภาระเจ้าหน้าที่ได้เยอะทีเดียว...ทุกคนน่ารักช่วยกันดูแลกันและกัน ใครมาก่อนก็สอนคนมาทีหลัง ข้าวปลาอาหาร ของใช้ต่างๆก็รู้จักแบ่งปันกัน ##ผู้ป่วยของทีมงานเราน่ารักทุกคนค่ะ##มื้อเย็นมีรางวัล ขนม เป๊ปซี่ ตามขอค่ะ"

จากนั้นได้มีตนเข้ามาแสดงความคิดเห็นอย่างมากมาย ซึ่งล้วนแต่ชื่นชมผู้ป่วยเหล่านั้น พร้อมทั้งให้กำลังใจให้หายป่วยโดยเร็ว

ผู้สื่อข่าวจึงติดต่อไปยังผู้โพสต์ ทราบชื่อต่อมาคือ นางสาวศิริพร นาคสำราญ นักพัฒนาชุมชนชำนาญการพิเศษ องค์การบริหารส่วนตำบลสะเดียง อ.เมืองเพชรบูรณ์ ซึ่งได้เปิดเผยว่า อบต.สะเดียง ได้จัดตั้งศูนย์พักคอยสำหรับประชาชนชาวจังหวัดเพชรบูรณ์ที่อยู่ต่างจังหวัดที่โควิด-19 แพร่ระบาด ต้องการที่จะกลับมารักษาตัวที่บ้านเกิดจังหวัดเพชรบูรณ์ รวมทั้งเป็นที่พักคอยของคนในพื้นที่ที่ตรวจพบว่าติดเชื้อโควิดโดยวิธี ATK รอผลการตรวจจากโรงพยาบาลเพื่อยืนยัน โดยตั้งอยู่ภายในสนามกีฬาจังหวัดเพชรบูรณ์ มีทั้งหมด 80 เตียง

ซึ่งก่อนหน้านี้มีผู้ป่วยรายเก่า(สีเขียว) อยู่จำนวน 33 คน ต่อมาได้รับแจ้งว่าจะมีผู้ป่วยรายใหม่(สีเขียว)เข้ามาเพิ่มอีกจำนวน 8 ราย แต่เนื่องจากตนและทีมงานที่ดูแลเรื่องสถานที่ติดภารกิจ จึงได้โทรไปแจ้งตัวแทนผู้ป่วยที่อยู่ภายในศูนย์ฯ เพียงแค่นั้นผู้ป่วยที่สุขภาพแข็งแรงก็ได้ช่วยกันเก็บ กวาดพื้น ล้างห้องน้ำ ช่วยกันคนละไม้ละมือ พร้อมทั้งถ่ายภาพมาให้ดูด้วย

ทั้งนี้ก่อนหน้านั้นผู้ป่วยที่อยู่ภายในศูนย์แห่งนี้ก็จะช่วยกันเก็บกวาดและทำความสะอาดกันเองอยู่เป็นประจำ ตนจึงเกิดความประทับใจจึงได้นำเรื่องราวและภาพดังกล่าวมาโพสต์ในเฟซบุ๊กเพื่อบอกกล่าวเรื่องราวดี ๆ ภายในศูนย์CIแห่งนี้

นางสาวศิริพร ยังเปิดเผยอีกว่าสิ่งที่ตนและทีมงานประทับใจอีกประการหนึ่งก็คือการช่วยเหลือซึ่งกันและกันของผู้ป่วย เมื่อมีผู้ป่วยรายใหม่เข้ามา ผู้ป่วยรายเก่าก็จะคอยแนะนำในการปฏิบัติตัว หากมีผู้ป่วยสูงอายุก็จะมีผู้ป่วยที่แข็งแรงค่อยดูแล ซึ่งเป็นภาพที่ประทับใจเป็นอย่างมาก
#2977


นายอานนท์ วังวสุ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ในประเทศไทยที่ยังคงมีจำนวนผู้ติดเชื้อโรค COVID-19 อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องและส่งผลกระทบต่อการให้บริการทางการแพทย์ ทำให้ผู้ป่วย COVID-19 ไม่สามารถเข้าถึงระบบการรักษาพยาบาลได้อย่างทันท่วงที ภาครัฐจึงได้นำแนวทางการรักษาแบบ Home Isolation หรือการรักษาตัวเองจากที่บ้านมาใช้ เพื่อช่วยให้ผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการ หรือผู้ป่วย COVID-19 กลุ่มสีเขียวที่มีอาการไม่รุนแรง ได้เข้ารับการรักษาอย่างรวดเร็วขึ้น ดังนั้นเพื่อเป็นการดูแลผู้ป่วยซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยที่ติดเชื้อ COVID-19 ที่อยู่ในกลุ่มสีเขียวได้เข้าถึงการรักษาของแพทย์ได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน สมาคมประกันวินาศภัยไทย จึงได้มีแนวทางให้บริการกับผู้เอาประกันภัยที่ติดเชื้อ COVID-19 และรักษาพยาบาลแบบ Home Isolation ให้เข้าถึงบริการ Telemedicine ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งในเบื้องต้นได้รับความร่วมมือจากสมาคมนายหน้าประกันภัยไทยในการประสานงานกับผู้ให้บริการ Telemedicine พร้อมทั้งมอบหมายให้คณะทำงานของสมาคมฯ ประกอบด้วย นายโอฬาร วงศ์สุรพิเชษฐ์ เลขาธิการสมาคมฯ นายปิยะพัฒน์ วนอุกฤษฏ์ ประธานคณะกรรมการประกันภัยอุบัติเหตุและสุขภาพ และ นายวาสิต ล่ำซำ ประธานคณะกรรมการพัฒนาธุรกิจและวิชาการประกันภัย เพื่อดำเนินการต่อไป

ทั้งนี้ นายโอฬาร วงศ์สุรพิเชษฐ์ เลขาธิการ สมาคมประกันวินาศภัยไทย ได้กล่าวถึงความร่วมมือกันระหว่าง สมาคมประกันวินาศภัยไทย ทรู ดิจิทัล และ Third Party Administration หรือ TPA ว่า เป็นบริการปรึกษาแพทย์ผ่านแอปพลิเคชัน True HEALTH สำหรับผู้เอาประกันภัยที่มีกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 ที่มีความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล หากติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ได้เข้ารับการรักษาพยาบาลแบบ Home Isolation ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้เอาประกันภัยสามารถเข้าถึงการดูแลรักษาของแพทย์ได้อย่างรวดเร็ว และช่วยให้ผู้เอาประกันภัยสามารถเบิกค่าสินไหมทดแทนได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

สำหรับบริษัทประกันวินาศภัยที่เข้าร่วมในบริการ Telemedicine สำหรับผู้เอาประกันภัย COVID-19 มีจำนวน 16 บริษัท ได้แก่
1. บมจ.กรุงเทพประกันภัย
2. บมจ.เจมาร์ท ประกันภัย
3. บมจ.เดอะ วัน ประกันภัย
4. บมจ.ทิพยประกันภัย
5. บมจ.เทเวศประกันภัย
6. บมจ.ไทยเศรษฐกิจประกันภัย
7. บมจ.ธนชาตประกันภัย
8. บมจ.นวกิจประกันภัย
9. บมจ.ประกันภัยไทยวิวัฒน์
10. บมจ.ฟอลคอนประกันภัย
11. บมจ.เมืองไทยประกันภัย
12. บมจ.วิริยะประกันภัย
13. บมจ.สินมั่นคงประกันภัย
14. บมจ.อาคเนย์ประกันภัย
15. บมจ.เอเชียประกันภัย 1950
16. บมจ.เอฟดับบลิวดีประกันภัย

ADVERTISEMENT


ดร.อดิภัทร ชัยชนะสกุล กรรมการผู้จัดการ ธุรกิจดิจิทัล เฮลท์ บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด
ดร.อดิภัทร ชัยชนะสกุล กรรมการผู้จัดการ ธุรกิจดิจิทัล เฮลท์ บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด


ดร.อดิภัทร ชัยชนะสกุล กรรมการผู้จัดการ ธุรกิจดิจิทัล เฮลท์ บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ทรู ดิจิทัล พัฒนาแพลตฟอร์มดูแลสุขภาพอัจฉริยะ ทรู เฮลท์ เพื่อเพิ่มช่องทางให้คนไทยสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ผ่านระบบออนไลน์ได้ง่าย ๆ จากทุกที่ทั่วประเทศ โดยไม่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาล พร้อมมอบประสบการณ์ดูแลสุขภาพในยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบครบวงจร ทั้งพบหมอออนไลน์ รับยาที่บ้าน และ เคลมประกันได้ ไม่ต้องสำรองจ่าย ด้วยฟังก์ชันใหม่ล่าสุด "เทเลเมดิเคลม" (TeleMediClaim+) ซึ่งความร่วมมือกับ สมาคมประกันวินาศภัยไทย และ TPA ในครั้งนี้ ทรู เฮลท์ ต่อยอดฟังก์ชัน "เทเลเมดิเคลม" ไปอีกขั้น เพิ่มทางเลือกให้ผู้ป่วย COVID-19 กลุ่มสีเขียวที่มีกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 ของบริษัทประกันวินาศภัยที่เข้าร่วมโครงการ สามารถปรึกษาแพทย์และผู้เชี่ยวชาญจากชีวีบริรักษ์คลินิกเวชกรรม ผ่านแอปพลิเคชัน True HEALTH ได้ทั้งในรูปแบบของการโทร แช็ต และวิดีโอคอล (VDO Call) พูดคุยกับแพทย์ได้จากทุกที่แบบเรียลไทม์ พร้อมมีบริการส่งยาตามใบสั่งแพทย์ถึงหน้าบ้านทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัดทั่วประเทศ และสามารถเคลมประกันเบิกค่าสินไหมทดแทนตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ได้ทันที มั่นใจว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นอีกหนึ่งพลังในการดูแลช่วยเหลือผู้ป่วยโรค COVID-19 ที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน ให้สามารถเข้าถึงการรักษาได้อย่างทั่วถึง สะดวกและรวดเร็ว โดยไม่ต้องกังวลกับค่ารักษาพยาบาลและค่ายาด้วยความคุ้มครองจากกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19

ฐิตาพร ธารากิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยรี เซอร์วิสเซส จำกัด (THRES) 
ฐิตาพร ธารากิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยรี เซอร์วิสเซส จำกัด (THRES)


ด้าน นางฐิตาพร ธารากิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยรี เซอร์วิสเซส จำกัด (THRES) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการภายใต้แบรนด์ TPA ในการจัดการสินไหมทดแทนให้กับบริษัทประกันภัย กล่าวว่า บริษัทมีระบบเพื่อเชื่อมต่อข้อมูลการตรวจสอบสิทธิและการเคลมของผู้เอาประกันภัย พร้อมทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการเคลมมืออาชีพ ได้ให้การสนับสนุนโครงการของสมาคมประกันวินาศภัยไทยในครั้งนี้ โดยแอปพลิเคชันของบริษัทจะรองรับข้อมูลการประกันภัยโควิดจากบริษัทประกันภัยและจะเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มดูแลสุขภาพอัจฉริยะ ทรู เฮลท์ แบบ Real Time เพื่อให้ผู้เอาประกันสามารถปรึกษาแพทย์ผ่านแอปพลิเคชัน True HEALTH และรับยาได้ นอกจากนี้ บริษัทยังมี mobile application ที่ชื่อ TPA Care ให้ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบสิทธิความคุ้มครองด้วยตนเองได้อีกด้วย เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการให้บริการ

ทั้งนี้ ผู้เอาประกันภัยที่มีกรมธรรม์ประกันภัยซึ่งให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากโรค COVID-19 สามารถใช้บริการ Telemedicine ได้แล้ววันนี้ เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน True HEALTH ที่แอปสโตร์และเพลย์สโตร์ และลงทะเบียนเพื่อเริ่มต้นใช้งาน จากนั้นตรวจสอบสิทธิ์กับเจ้าหน้าที่ผ่าน "แช็ต" และ ปรึกษาแพทย์ได้ทันทีหลังได้รับอนุมัติ โดยเลือกคลินิก "Telemedicine สำหรับผู้เอาประกันภัย" สมาคมประกันวินาศภัยไทย หวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือในการให้บริการ Telemedicine ผ่านแอปพลิเคชัน True HEALTH จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้เอาประกันภัยที่ป่วยด้วยโรค COVID-19 และรักษาพยาบาลแบบ Home Isolation ได้รับบริการทางการแพทย์ที่ดี สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อให้ผู้เอาประกันภัยทุกคนหายป่วยจากโรค COVID-19 และสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติได้โดยเร็ว



#สมาคมประกันวินาศภัยไทย #TGIATelemedicine #ทรูเคียงคู่สู้โควิด #TrueHEALTH #ทรูเฮลท์ #บริการส่งสุขภาพดีถึงที่
#2978


เมื่อวันที่ 19 ส.ค. OnlyFans ผู้ให้บริการคอนเทนท์ภาพและวิดีโอแบบสมัครสมาชิก ประกาศปรับกลยุทธ์ธุรกิจครั้งสำคัญ โดยจะไม่อนุญาตให้เหล่าครีเอเตอร์สร้าง "เนื้อหาทางเพศโจ่งแจ้ง" (sexually explicit) อีกต่อไป ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.นี้

อย่างไรก็ตาม OnlyFans ที่มีสำนักงานใหญ่ในกรุงลอนดอน เผยว่า จะยังอนุญาตให้ครีเอเตอร์โพสต์เนื้อหา "นู้ด" หรือภาพเปลือยเชิงศิลปะ ตราบใดที่ไม่ขัด "นโยบายการใช้งานที่ยอมรับได้" ของแพลตฟอร์ม

แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่า จะใช้เกณฑ์ใดพิจารณาว่าโพสต์ไหนมีเนื้อหาทางเพศโจ่งแจ้ง หรือจะมีผลในทางปฏิบัติอย่างไร ซึ่ง OnlyFans บอกเพียงว่าจะชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติมในภายหลัง

เงื่อนไขการบริการของ OnlyFans ระบุข้อห้ามไว้หลายข้อ รวมไปถึงเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับบุคคลอายุต่ำกว่า 18 ปี และเนื้อหาที่ผิดกฎหมายอื่น ๆ หรือมีความรุนแรงด้วย


"เรายังคงทุ่มเทเพื่อชุมชนของผู้ใช้งาน 130 ล้านคนและครีเอเตอร์กว่า 2 ล้านคนที่สร้างรายได้กว่า 5,000 ล้านดอลลาร์บนแพลตฟอร์มของเราต่อไป" OnlyFans แถลง

มุ่งสู่ถนนสายใหม่

OnlyFans ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสุดฮิตมานานสำหรับเหล่าดาราหนังผู้ใหญ่ (AV) ที่ต้องการสร้างรายได้จากการแสดง ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในช่วงการระบาดใหญ่ของโควิด-19 เนื่องจากบรรดาคนดังที่ขายความเซ็กซี่และผู้ค้าบริการทางเพศ (sex worker) หันมาใช้แพลตฟอร์มนี้เข้าถึงกลุ่มผู้ใช้งานในออนไลน์กันมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือน OnlyFans เตรียมช่องทางทำมาหากินใหม่เอาไว้แล้ว เพื่อขยายกลุ่มผู้ชมนอกเหนือจากกลุ่มที่นิยมคอนเทนท์ผู้ใหญ่

เมื่อเร็ว ๆ นี้ OnlyFans ได้เปิดตัวเว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นบริการสตรีมมิงแบบไม่เสียเงิน ชื่อว่า "OFTV" ซึ่งจะไม่เน้นนำเสนอคอนเทนท์ 18+ เหมือนกับแพลตฟอร์มเดิม แต่จะเสนอคอนเทนท์ที่ดูได้อย่างปลอดภัยในที่ทำงาน เช่น คลิปทำอาหาร เล่นดนตรี เล่นโยคะ หรือออกกำลังฟิตกล้าม 


แม้ผู้สร้างคอนเทนท์เหล่านี้ยังมีอยู่บ้างใน OnlyFans แต่ก็เป็นเพียงส่วนน้อย และไม่ใช่จุดขายของแพลตฟอร์มที่ให้สมาชิกจ่ายเงินเพื่อดูเนื้อหา "ลับเฉพาะ" หรือ 18+ ซึ่งเป็นหมวดที่ได้รับความนิยมที่สุด

การขยายแนวคอนเทนท์ของ OnlyFans มายัง OFTV ซึ่งมีครีเอเตอร์คุ้นตาจาก OnlyFans กว่า 100 คน นอกจากจะช่วยเพิ่มฐานผู้ชมแล้ว ยังเป็นการแข่งขันกับแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ เช่น "Facebook" ที่เปิดให้เหล่าครีเอเตอร์สร้างรายได้ออนไลน์บนแพลตฟอร์มตัวเองเช่นกัน

"พันธมิตร-ทุน" ตีตัวห่าง 18+

ถึงแม้เนื้อหาผู้ใหญ่ หรือ 18+ เป็นแม่เหล็กดึงดูดรายได้และผู้ใช้จำนวนมากมาตลอดช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่สตาร์ทอัพสัญชาติอังกฤษให้เหตุผลถึงการตัดสินใจแบนคอนเทนท์โป๊เปลือยว่า "ทำตามคำขอจากบรรดาพาร์ทเนอร์" ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านธนาคารและการชำระเงิน


"เพื่อรับประกันความยั่งยืนในระยะยาวของแพลตฟอร์ม และให้สามารถสร้างชุมชนสำหรับครีเอเตอร์และแฟน ๆ ต่อไปได้ เราจึงต้องปรับหลักเกณฑ์ด้านเนื้อหาของเราใหม่" แถลงการณ์ของ OnlyFans ระบุ

แหล่งข่าวใกล้ชิดเผยกับเว็บไซต์วอลล์สตรีทเจอร์นัลว่า ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา OnlyFans อยู่ระหว่างการระดมทุน และนักลงทุนหลายรายต่างเลี่ยงลงทุนในธุรกิจที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องเชิงลบทางเพศ รวมถึงสื่อลามกด้วย

ขณะที่เว็บไซต์แอกซิออส (Axios) ระบุว่า นักลงทุนจำนวนมากตีตัวห่างจาก OnlyFans เพราะมีความกังวลเกี่ยวกับ "เนื้อหาผู้ใหญ่" กองทุนร่วมลงทุน (เวนเจอร์ ฟันด์) บางราย ถูกห้ามลงทุนในเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาทางเพศ เนื่องจากทำข้อตกลงกับนักลงทุนสถาบันของตนไว้

นอกจากนี้ ความเคลื่อนไหวล่าสุดของ OnlyFans เกิดขึ้นหลังจากในปีที่แล้ว "มาสเตอร์การ์ด" และ "วีซ่า" 2 ผู้ให้บริการด้านการชำระเงินรายใหญ่ตัดสัมพันธ์กับเว็บไซต์หนังผู้ใหญ่ยอดนิยมอย่าง "Pornhub"

เว็บไซต์ AV ชื่อดังเผชิญข้อกล่าวหาว่าเป็นแหล่งแพร่คลิปที่มีเนื้อหาการมีเซ็กซ์กับผู้เยาว์ การข่มขืน และคลิปอนาจารแก้แค้นอดีตคนรัก

อย่างไรก็ตาม Pornhub ปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าเว็บไซต์ปล่อยให้เนื้อหาล่วงละเมิดทางเพศเด็ก และได้ปรับกฎเข้มให้งวดขึ้นโดยห้าม "ผู้ใช้ที่ไม่ยืนยันตัวตน" อัพโหลดคลิปวิดีโอ หวังช่วยลดข้อครหานี้

โกยรายได้หมื่นล้านช่วงโควิด

จุดเริ่มต้นของ OnlyFans เกิดขึ้นจากการก่อตั้งเว็บไซต์เมื่อปี 2559 โดย "ทิม สโตคลีย์" นักธุรกิจชาวอังกฤษ และนั่งเก้าอี้ซีอีโอบริษัทถึงปัจจุบัน สื่ออังกฤษบางรายอย่าง The Sunday Times ตั้งฉายาให้สโตคลีย์ว่า "ราชาแห่งสื่อลามกโฮมเมด"


- ทิม สโตคลีย์ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ OnlyFans -

เดิมนั้น เจ้าของ OnlyFans คือ บริษัทฟีนิกซ์ อินเตอร์เนชันแนล ลิมิเต็ด (Fenix International Limited) ของสโตคลีย์ ก่อนจะขายหุ้น 75% ใน OnlyFans ให้กับเลียวนิด รัดวินสกี นักธุรกิจสื่อลามกชาวยูเครน-อเมริกัน เมื่อปี 2561

OnlyFans รายงานผลประกอบการมีรายได้สุทธิ 375 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1.25 หมื่นล้านบาทในปีที่แล้ว ซึ่งเริ่มมีการระบาดของโควิด-19 ทั่วโลก

บริษัทคาดการณ์ว่า ในปี 2564 จะมีรายได้เพิ่มเป็น 1,200 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 4 หมื่นล้านบาท และภายในปี 2565 น่าจะโกยรายได้สูงขึ้นอีกเป็น 2,500 ล้านดอลลาร์ (ราว 4 หมื่นล้านบาท)


กว่า 50% ของรายได้ OnlyFans นับถึงสิ้นเดือน มี.ค. 2564 มาจากส่วนแบ่งการสมัครรับคอนเทนท์ของผู้ใช้ ขณะที่อีกกว่า 30% มาจากการแชท และส่วนที่เหลือมาจากทิป/สตรีม และโพสต์ที่เสียค่าโฆษณาสำหรับบัญชีที่เปิดให้ชมคอนเทนท์ฟรี

ขณะที่บรรดาครีเอเตอร์ใน OnlyFans ที่มีรายได้โดยตรงจากผู้ชม ก็รับทรัพย์หลักล้านบาทต่อปี มีรายงานว่า ครีเอเตอร์กว่า 300 คนโกยรายได้อย่างน้อย 1 ล้านดอลลาร์ (ราว 33.3 ล้านบาท) ต่อปีและครีเอเตอร์ราว 1.6 หมื่นคนโกยรายได้อย่างน้อย 5 หมื่นดอลลาร์ (ประมาณ 1.66 ล้านบาท) ต่อปี

ปัจจุบัน OnlyFans ยังคงอยู่ในช่วงการระดมทุน เว็บไซต์บลูมเบิร์กรายงานว่า บริษัทตั้งเป้าระดมทุนให้ได้มูลค่ากว่า 1,000 ล้านดอลลาร์

-------------

อ้างอิง: Bloomberg, CNBC, Axios, Reuters, WSJ
#2979


นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 17 ส.ค.2564 ที่ผ่านมา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เห็นชอบข้อเสนอการจัดตั้งกองทุน FTA ของคณะทำงานพิจารณาแนวทางการพัฒนากองทุนช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า ที่มีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน และได้ส่งเรื่องถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแล้ว เพื่อขอให้นำเรื่องการขอจัดตั้งกองทุน FTA ของกระทรวงพาณิชย์ เข้าสู่การพิจารณากลั่นกรองของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนของกระทรวงการคลัง เพื่อพิจารณาเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์จะดำเนินกระบวนการรับฟังความเห็นต่อร่าง พ.ร.บ.จัดตั้งกองทุน FTA ก่อนเสนอครม. ตามกระบวนการตรากฎหมายด้วย

สำหรับกองทุน FTA ที่เสนอจัดตั้ง มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก FTA ทั้งภาคการผลิตสินค้าเกษตร อุตสาหกรรม และภาคบริการ โดยจะให้ความช่วยเหลือใน 2 รูปแบบ คือ เงินจ่ายขาด เช่น การวิจัยพัฒนา การจัดหาที่ปรึกษา การฝึกอบรม กิจกรรมที่สนับสนุนการตลาด และเงินกู้ยืม เช่น เงินลงทุน ค่าใช้จ่ายหมุนเวียน โดยจะดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานทั้งรัฐ เอกชน เกษตร วิชาการ และธนาคาร เพื่อเป็นตัวกลางให้กับกลุ่มผู้ขอรับความช่วยเหลือในการช่วยเขียนโครงการและเสนอโครงการมายังกองทุน

ส่วนที่มาของเงินกองทุนส่วนใหญ่ จะขอทุนประเดิมจากรัฐบาล 5,000 ล้านบาท และจากงบประมาณประจำปี 120-150 ล้านต่อปี และกองทุนจะมีการพิจารณาจัดเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้ที่ได้ประโยชน์จาก FTA ทั้งผู้ส่งออก ผู้นำเข้า และผู้ประกอบการในภาคการผลิตและภาคบริการ ซึ่งในเบื้องต้นได้มีข้อเสนอให้จัดเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้ขอใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าที่ประสงค์จะใช้สิทธิพิเศษทางภาษีสำหรับการส่งออกภายใต้ FTA โดยคำนึงถึงความเหมาะสมและไม่เป็นภาระเกินความจำเป็นต่อภาคเอกชน

ทั้งนี้ การผลักดันจัดตั้งกองทุน FTA เป็นไปตามนโยบายของนายจุรินทร์ ที่ได้เล็งเห็นถึงปัญหาจากการทำ FTA ที่แม้จะช่วยสร้างความได้เปรียบทางการค้า แต่ก็มีความท้าทาย เนื่องจากด้านหนึ่งมีผู้ได้ประโยชน์ อีกด้านหนึ่งก็มีผู้ที่ได้รับผลกระทบ และจากการลงพื้นที่รับฟังความเห็นที่ผ่านมาของกระทรวงพาณิชย์ พบว่ามีเสียงเรียกร้องและข้อเสนอแนะจากภาคส่วนต่าง ๆ ให้รัฐมีการจัดตั้งกองทุน FTA อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก FTA ให้สามารถปรับตัวรับมือกับการแข่งขันในตลาดการค้าเสรี จึงได้มีการตั้งคณะทำงานพิจารณาแนวทางการพัฒนากองทุนช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า มีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน และมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชนร่วมเป็นคณะทำงาน เพื่อร่วมกันหาแนวทางและจัดทำข้อเสนอการจัดตั้งกองทุน FTA

ปัจจุบัน ไทยมีความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) จำนวน 13 ฉบับ กับ 18 ประเทศและเขตเศรษฐกิจ ได้แก่ อาเซียน จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี และเปรู และความตกลง RCEP ที่กำลังจะมีผลใช้บังคับในปีหน้า จะเป็นฉบับที่ 14 ของไทย

รายงานข่าวจากกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ระบุว่า การจัดตั้งกองทุน FTA อย่างเป็นรูปธรรม จะเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นต่อการจัดทำ FTA เพื่อขยายโอกาสทางการค้าและรักษาความสามารถในการแข่งขันของไทย และเตรียมความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบแก่ทุกภาคส่วน ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 178 ที่ได้กำหนดให้มีการเยียวยาที่จำเป็นอันเกิดจากผลกระทบทางด้านนี้
#2980


นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ปัญหาการส่งออกลำไยในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี โดยเป็นประธานการประชุมการแก้ไขปัญหาด้านผลผลิตทางการเกษตร (ลำไย) พร้อมด้วย นายฤหัส ไชยศักดิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี นายสมบัติ ตงเต๊า รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร นายชลธี นุ่มหนู ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6 หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ผู้ประกอบการโรงคัดบรรจุ และตัวแทนเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ เข้าร่วมประชุม และผ่านระบบ Zoom Meeting ณ ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดจันทบุรี ว่า

 

 จากปัญหาการตรวจพบศัตรูพืช (เพลี้ยแป้ง)ในลำไยผลสดจากไทยที่ส่งออกไปจีน ทำให้สำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (General Administration of China Customs: GACC) ได้ระงับการส่งออกชั่วคราวโรงคัดบรรจุ 66 แห่ง เป็นโรงคัดบรรจุในเขตภาคตะวันออก ในจังหวัดจันทบุรี 28 แห่ง และจังหวัดสระแก้ว 1 แห่ง

           ทั้งนี้ ทางการจีนขอให้กรมวิชาการเกษตรสอบสวนหาสาเหตุ และกําหนดมาตรการควบคุมให้ทางการจีนพิจารณา ซึ่งเป็นเรื่องสําคัญและเร่งด่วน เนื่องจากใกล้ฤดูกาลเก็บเก่ียวลําไยของจังหวัดจันทบุรี ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรชาวสวนลําไยเป็นจํานวนมาก กรมวิชาการเกษตร สํานักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตท่ี 6 นายกสมาคมการค้าและการท่องเท่ียวชายแดนไทย-กัมพูชา จันทบุรี และนายกสมาคมชาวสวนลําไยจันทบุรี ได้ร่วมกันหามาตรการป้องกันเสนอให้ทางการจีนพิจารณา เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการตรวจพบศัตรูพืชอีก ซึ่งขณะนี้ทางการจีนได้มีการผ่อนผันปลดล็อค ให้สามารถส่งออกได้แล้ว


รมช.มนัญญา กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลการเจรจาทำให้ทางการจีนอนุญาตให้โรงคัดบรรจุ 50 แห่ง จาก 66 แห่ง ที่มีความถี่ในการตรวจพบศัตรูพืชค่อนข้างต่ำสามารถส่งออกลำไยไปจีนได้ และอนุญาตให้โรงคัดบรรจุอีก 6 แห่ง จาก 9 แห่ง ที่ไทยได้ระงับเองเป็นการชั่วคราวเมื่อเดือน มี.ค.2564 มีการปรับปรุงแก้ไขเป็นไปตามเงื่อนไขที่จีนกำหนด สามารถส่งออกได้เช่นเดียวกัน รวมทั้งสิ้นมีโรงคัดบรรจุ 56 แห่ง ที่ได้รับอนุญาตให้ส่งออกไปจีนในครั้งนี้ มีผลตั้งแต่วันที่ 17 ส.ค. 2564 สำหรับโรงคัดบรรจุในเขตพื้นที่ภาคตะวันออก มีจำนวนทั้งสิ้น 93 แห่ง สามารถส่งออกไปจีนได้ จำนวน 88 โรง และยังคงถูกระงับการส่งออกชั่วคราว จำนวน 5 โรง เป็นโรงคัดบรรจุที่ตั้งอยู่ในจังหวัดจันทบุรีทั้งหมด (ข้อมูล ณ วันที่ 18 ส.ค. 2564) โดยจีนจะประเมินประสิทธิภาพของมาตรการเฝ้าระวังป้องกันกำจัดศัตรูพืชของไทย ในขั้นตอนกักกันการนำเข้า หากมาตรการดังกล่าวได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพ โรงคัดบรรจุที่เหลือ จำนวน 5 โรง ที่มีความถี่ในการตรวจพบศัตรูพืชค่อนข้างสูง จึงจะสามารถส่งออกลำไยไปจีนได้


         "โรงคัดบรรจุที่ถูกตรวจพบศัตรูพืชหลายครั้ง จะต้องปรับปรุงแก้ไข และเป็นไปตามขั้นตอนที่กรมวิชาการเกษตรได้หารือกับทางการจีน จึงหวังว่าหลังจากน้ี ผู้ประกอบการของไทยจะพัฒนาระบบการส่งออกให้เป็นไปตามที่จีนต้องการในฐานะประเทศคู่ค้ารายใหญ่ของไทย และขอให้เจ้าหน้าที่ของกรมวิชาการเกษตรดําเนินการตามมาตรการที่เสนอไปยังจีนอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการตรวจพบศัตรูพืชควบคุมอีก ซึ่งหากทุกฝ่ายร่วมมือกัน ให้ความสําคัญในเรื่องของคุณภาพผลผลิตลําไยที่จะส่งออกไปยังต่างประเทศ ก็จะสามารถขับเคลื่อนให้ธุรกิจการค้าลําไยเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และมีความยั่งยืนตลอดไป" รมช.มนัญญา กล่าว

         รมช.มนัญญา กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงเกษตรฯ ให้ความสำคัญในคุณภาพสินค้า ทำอย่างไรให้คงความเป็นเอกลักษณ์ลำไยของไทย และควบคุมราคาไม่ให้ตกต่ำ โดยการสนับสนุนการบริโภคในประเทศให้มากขึ้น การแปรรูปลำไย การปรับเปลี่ยนเป็นลำไยอินทรีย์เพื่อเพิ่มมูลค่า อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ พร้อมสนับสนุนเครื่องอบลดความชื้นให้กับสหกรณ์จันทบุรีเพื่อลดปริมาณความชื้นลงตามเกณฑ์มาตรฐาน เก็บรักษาผลผลิตไว้รอการจำหน่ายช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรทำให้เกษตรกรสมาชิกมีความเชื่อมั่นในระบบบริหารจัดการการผลิตและการตลาดของสหกรณ์ ช่วยเหลือเกษตรกรให้มีแหล่งจำหน่ายผลผลิตที่แน่นอน ในราคาที่เป็นธรรม ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น

         จากนั้น รมช.เกษตรฯ เดินทางไปเยี่ยมชมการจัดการโรงคัดบรรจุ พร้อมรับฟังปัญหาและการบรรยายสรุป ณ บริษัท ไชน่า จิงหว่อหยวน เอ็กพอร์ต (ไทยแลนด์) จำกัด ต.หนองตาคง อ.โป่งร้อน จ.จันทบุรี

           สำหรับสถานการณ์การส่งออกลำไยในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ในฤดูกาลผลิต ปี 2564/2565 สมาคมชาวสวนลำไยจังหวัดจันทบุรี คาดการณ์ว่าจะมีผลผลิตลำไยออกสู่ตลาดมากกว่า 300,000 ตัน สำหรับโรงคัดบรรจุ (ล้ง) ลำไย ในเขตพื้นที่ภาคตะวันออก มีจำนวนทั้งสิ้น 93 โรง อยู่ในจังหวัดจันทบุรี 89 โรง จังหวัดสระแก้ว 2 โรง และจังหวัดระยอง 2 โรงทั้งนี้ ภาคตะวันออก มีพื้นที่ปลูกลำไย 379,255 ไร่ เกษตรกรยื่นขอใบรับรอง GAP 336,294 ไร่ สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6 ได้ตรวจประเมินแปลง และให้การรับรอง GAP แล้ว 330,662 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 98 ของพื้นที่ ที่เกษตรกรยื่นขอใบรับรอง ในส่วนของจังหวัดจันทบุรี มีพื้นที่ปลูกลำไย 296,640 ไร่ เกษตรกรยื่นขอใบรับรอง GAP 278,542 ไร่ สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6 ได้ตรวจประเมินแปลง และให้การรับรอง GAP แล้ว 275,321 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 99 ของพื้นที่ ที่เกษตรกรยื่นขอใบรับรอง