• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Ailie662

#3141


ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของ "โควิด-19" ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ที่ยังคงมียอดผู้ติดเชื้อพุ่งสูงทุกวัน ทั้งนี้ เป็นผลจากการที่เจ้าหน้าที่เร่งตรวจคัดกรองเชิงรุกให้มากขึ้นในหลายๆ ชุมชน พร้อมกันนั้นทาง กทม. ก็ได้จัดตั้ง "ศูนย์พักคอย" หรือ Community Isolation ให้ครอบคลุมทุกเขตพื้นที่ให้เร็วที่สุด เพื่อรองรับ "ผู้ป่วยโควิด" ที่ไม่สามารถกักตัวที่บ้านได้ ให้มาแยกกักที่ศูนย์ฯ

โดยเมื่อวานนี้ (9 ส.ค.64) มีข้อมูลอัพเดทเกี่ยวกับจำนวนศูนย์พักคอยที่เปิดให้บริการแล้ว พร้อมทั้งจำนวนเตียงทั้งหมดที่มีของแต่ละแห่ง โดยมีทั้งหมด 49 แห่ง แบ่งเป็น 6 โซนทั่วพื้นที่กรุงเทพฯ ดังนี้

1. โซนกรุงเทพฯ เหนือ

เขตบางเขน : ศูนย์กีฬารามอินทรา      มี 150 เตียง
เขตจตุจักร : ศูนย์กีฬาประชานิเวศน์    มี 180 เตียง
เขตจตุจักร : ศูนย์สร้างสุขทุกวัยจตุจักร มี 120 เตียง
เขตดอนเมือง : ศูนย์สร้างสุขทุกวัยดอนเมือง มี 113 เตียง
เขตหลักสี่ : ศูนย์ไปรษณีย์หลักสี่         มี 118 เตียง
เขตสายไหม : วัดราษฎร์นิยมธรรม      มี 170 เตียง
เขตบางซื่อ : วัดมัชฌันติการาม          มี 120 เตียง
เขตลาดพร้าว : อาคารสำนักงานส่งเสริมวิชาการ 2 (พม.) มี 141 เตียง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : 

เช็ค 26 จุดตรวจโควิด! 'ชมรมแพทย์ชนบท' ลุยภารกิจวันสุดท้าย ย้ำ 'ไม่เสร็จไม่เลิก'
'หมอชนบท'ลงพื้นที่ 'ตรวจโควิด' 26 จุดใน กทม. พบการเกิดภูมิคุ้มกันหมู่
'ผู้ป่วยโควิด-19' รอเตียงกว่า 2,000 ราย ครองเตียงเกือบ 4 หมื่นราย
อัพเดท 'โควิดวันนี้' 10 จังหวัดติดเชื้อสูงสุด กทม.พุ่ง 4,226 ราย
สมัครผ่อนของ 0% 40 เดือนกับ Citi คลิกเลย

2. โซนกรุงเทพฯ กลาง 

เขตพระนคร : วัดอินทรวิหาร อาคารปฏิบัติธรรม มี 170 เตียง
เขตดินแดง : อาคารกีฬาเวสน์ 2  มี 150 เตียง
เขตดุสิต : ศูนย์สร้างสุขทุกวัยเกียกกาย  มี 52 เตียง
เขตห้วยขวาง : ศูนย์พักคอยตันปัน มี 145 เตียง
เขตวังทองหลาง : วิทยาลัยพาณิชยการอินทราชัย มี 100 เตียง
เขตป้อมปราบฯ : วัดมังกรกมลลาวาส (วัดเล่งเน่ยยี่) เฉพาะพระ-เณร  มี 20 เตียง
เขตพญาไท : ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียนชุมชนวัดไผ่ตัน มี 50 เตียง
ราชเทวี : อาคารวิทยาลัยเทคโนโลยีพาณิชยการเจ้าพระยา มี 170 เตียง
3. โซนกรุงเทพฯ ใต้

เขตสาทร : วัดสุทธิวราราม มี 70 เตียง
เขตคลองเตย : วัดสะพาน มี 500 เตียง
เขตสวนหลวง : วัดปากบ่อ มี 140 เตียง
เขตบางนา : โรงเรียนเพี้ยนพินอนุสรณ์ มี 99 เตียง
เขตบางคอแหลม : วัดไทร มี 40 เตียง
เขตยานนาวา : โรงเรียนวัดดอกไม้ มี 150 เตียง
เขตวัฒนา : โรงเรียนสุเหร่าบ้านดอน มี 85 เตียง
เขตปทุมวัน : โรงเรียนวัดบรมนิวาส มี 50 เตียง
เขตพระโขนง : วัดบุญรอดธรรมาราม มี 71 เตียง
เขตบางรัก : โรงเรียนสตรีวัดมหาพฤฒารามฯ มี 50 เตียง
4. กรุงเทพฯ ตะวันออก

เขตประเวศ : ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมหนองบอน มี 120 เตียง
เขตลาดกระบัง : ร้านจงกั๋วเหยียน มี 200 เตียง
เขตสะพานสูง : ศูนย์สร้างสุขทุกวัยสะพานสูง มี 140 เตียง
เขตบางกะปิ : ศูนย์สร้างสุขทุกวัยบางกะปิ มี 133 เตียง
เขตหนองจอก : ศูนย์สร้างสุขทุกวัยหนองจอก มี 100 เตียง
เขตบึงกุ่ม : โรงเรียนสุขุมนวพันธ์อุปถัมภ์ มี 100 เตียง
เขตมีนบุรี : ศูนย์กีฬาเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา มี 200 เตียง
เขตคลองสามวา : ศูนย์สร้างสุขทุกวัยคลองสามวา  มี 176 เตียง
'พยากรณ์อากาศ' วันนี้ 'กรมอุตุนิยมวิทยา' ชี้ ประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่ง - กทม. มีฝน 40%
สุดเศร้า! สาธารณสุขเมืองกรุงล้มเหลว ล็อกดาวน์ไร้ผล ยอด 'ผู้ติดเชื้อ' พุ่งคนตายเพียบ
จับตาอสังหาฯ"ซอมบี้เฟิร์ม"พุ่งหลังวิกฤติซ้อนวิกฤติต้นทุนพุ่ง-ดีมานด์ลด
5. กรุงธนเหนือ 

เขตบางกอกน้อย : วัดศรีสุดาราม  มี 80 เตียง
เขตทวีวัฒนา : ศูนย์สร้างสุขทุกวัยทวีวัฒนา  มี 114 เตียง
เขตคลองสาน : อาคารกิจไพบูลย์ อิมพอร์ต  มี 150 เตียง
เขตธนบุรี : มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จ  มี 94 เตียง
เขตจอมทอง : ศูนย์สร้างสุขทุกวัยจอมทอง  มี 70 เตียง
บางพลัด : โรงเรียนบางยี่ขัน  มี 91 เตียง
เขตบางกอกใหญ่ : ศูนย์สร้างสุขทุกวัยบางกอกใหญ่  มี 50 เตียง
เขตตลิ่งชัน : โรงเรียนวัดตลิ่งชัน  มี 56 เตียง
6. กรุงธนใต้

เขตบางแค : ศูนย์สร้างสุขทุกวัยบางแค  มี 150 เตียง
เขตบางขุนเทียน : ศูนย์สร้างสุขทุกวัยบางขุนเทียน มี 120 เตียง
เขตทุ่งครุ : ศูนย์สร้างสุขทุกวัยทุ่งครุ มี 51 เตียง
เขตทุ่งครุ : โรงเรียนสอนศาสนามูฮัมมะดียะห์ มี 60 เตียง
เขตภาษีเจริญ : ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย มี 140 เตียง
เขตหนองแขม : โรงเรียนมนต์จรัสสิงห์อนุสรณ์ มี 100 เตียง
เขตราษฎร์บูรณะ : ศูนย์พักคอยโกดัง บมจ.ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ มี 200 เตียง
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ Call Center สายด่วน 1330 สปสช. และ "สายด่วนโควิด" ของทั้ง 50 เขตในกรุงเทพฯ รวบรวมมาให้ทราบกันด้วย โดยจะรับเคสผู้ป่วยโควิดในกรุงเทพฯ เข้าสู่ระบบการรักษาพยาบาล 2 แบบ คือ 1) การกักตัวที่บ้าน หรือ Home Isolation และ 2) การกักตัวในชุมชนที่ศูนย์พักคอย หรือ Community Isolation

1. กรุงเทพฯ เหนือ

จตุจักร 0 2026 3100
ดอนเมือง 0 2026 3122
บางเขน 0 2026 3166
บางซื่อ 0 2026 3233
ลาดพร้าว 0 2026 3499
สายไหม 0 2026 3500
หลักสี่ 0 2026 6800

2. กรุงเทพฯ กลาง

ดินแดง 0 2092 7016
ดุสิต 0 2092 7121
ป้อมปราบศัตรูพ่าย 0 2092 7313
พญาไท 0 2092 7580
พระนคร 0 2092 7643
ราชเทวี 0 2092 7701
วังทองหลาง 0 2092 7910
สัมพันธวงศ์ 0 2094 1429
ห้วยขวาง 0 2096 9112

3. กรุงเทพฯ ใต้

คลองเตย 0 2096 2823
บางคอแหลม 0 2096 2824
บางนา 0 2096 2825
บางรัก 0 2096 2826
ปทุมวัน 0 2096 2827
พระโขนง 0 2096 2828
ยานนาวา 0 2096 2829
วัฒนา 0 2096 2830
สวนหลวง 0 2096 2831
สาทร 0 2096 2832



4. กรุงเทพฯ ตะวันออก

คลองสามวา 0 2096 9202
คันนายาว 0 2483 5000
บางกะปิ 0 2483 5001
บึงกุ่ม 0 2483 5002
ประเวศ 0 2483 5003
มีนบุรี 0 2483 5004
ลาดกระบัง 0 2483 5005
สะพานสูง 0 2483 5006
หนองจอก 0 2483 5007

5. กรุงธนเหนือ

คลองสาน 0 2023 9900
จอมทอง 0 2023 9911
ตลิ่งชัน 0 2023 9922
ทวีวัฒนา 0 2023 9933
ธนบุรี 0 2023 9944
บางกอกน้อย 0 2023 9966
บางกอกใหญ่ 0 2023 9977
บางพลัด 0 2023 9988

6. กรุงธนใต้

ทุ่งครุ 0 2483 5008
บางขุนเทียน 0 2483 5009
บางแค 0 2483 5010
บางบอน 0 2483 5011
ภาษีเจริญ 0 2483 5012
ราษฎร์บูรณะ 0 2483 5013
หนองแขม 0 2483 5014

----------------------

อ้างอิง : ศบค.(7 ส.ค. 64), สำนักยุทธศาสตร์และประเมินผล (9 ส.ค. 64)
#3142


จากสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ในประเทศที่ยังน่าเป็นห่วง อีกทั้ง คลัสเตอร์โรงงานกลายเป็นพื้นที่เสี่ยงที่พบผู้ติดเชื้อใหม่อย่างต่อเนื่องส่งผลให้หลายโรงงานต้องปิดดำเนินการชั่วคราวและกระทบการผลิตในทันที

ความจำเป็นในการเพิ่มผลิตภาพการผลิตและแรงกดดันจากผลกระทบวิกฤติโควิดที่เกิดขึ้นได้กระตุ้นให้ผู้ประกอบการในภาคการผลิตมีการตื่นตัวในการปรับใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ในสายการผลิตสู่การเป็นโรงงานอัจฉริยะ (Smart factory) โดยเฉพาะระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์อุตสาหกรรมที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตแบบดั้งเดิม ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตและลดการพึ่งพาแรงงานคน

 โดยในช่วงเวลา 5 ปีก่อนวิกฤติโควิด (2016-2019) มูลค่าการนำเข้าระบบอัตโนมัติสำหรับการผลิตและหุ่นยนต์อุตสาหกรรมของไทยเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปเฉลี่ยอยู่ที่ราว 2% ต่อปี ซึ่งสาเหตุหนึ่งเป็นผลจากการใช้เทคโนโลยีที่กระจุกตัวอยู่ในโรงงานขนาดใหญ่หรือโรงงานที่ตั้งโดยนักลงทุนต่างชาติเป็นส่วนใหญ่เนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูง อีกทั้ง ผู้ประกอบการไทยยังมีความกังวลในความพร้อมของระบบอัตโนมัติและทักษะของบุคลากร แต่หลังจากที่ภาคการผลิตในไทยต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านแรงงานจากผลกระทบของวิกฤตโควิดตั้งแต่เดือนมี.ค. 2020 เป็นต้นมา มูลค่าการนำเข้าระบบอัตโนมัติสำหรับการผลิตและหุ่นยนต์อุตสาหกรรมเติบโตกว่า 7%YOY จาก 1.72 พันล้านบาทในปี 2019 เป็น 1.84 พันล้านบาทในปี 2020 และการนำเข้าเติบโตอย่างก้าวกระโดดกว่า 40%YOY

ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2021 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2020 โดยกลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่มีการนำเข้าระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์อุตสาหกรรม ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร ซึ่งการเติบโตดังกล่าวสะท้อนถึงการตื่นตัวของภาคการผลิตในไทยที่เห็นความสำคัญของ Smart factory มากขึ้น เพื่อฝ่าวิกฤตที่กำลังเผชิญอยู่และให้การผลิตเดินหน้าไปได้อย่างต่อเนื่อง 

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังมีความมั่นใจในการใช้ระบบอัตโนมัติมากขึ้น เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญอย่างเทคโนโลยี 5G ได้ครอบคลุมพื้นที่ใช้งานใน EEC 100% แล้ว รวมถึงผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมหลายแห่งมีการขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตแบบสาย (FTTx) และจัดตั้งศูนย์ Data center ในพื้นที่โครงการพร้อมรองรับการใช้งานในระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์อุตสาหกรรมที่ทันสมัย


แม้จะเริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวกต่อการปรับเปลี่ยนภาคการผลิตสู่การเป็น Smart factory รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของไทยมีความพร้อมรองรับการใช้งานเทคโนโลยี แต่การขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะด้านดิจิทัล และการกระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจในการลงทุนด้านดิจิทัลของผู้ประกอบการไทยให้มากขึ้นยังเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องเร่งพัฒนา ด้วยจำนวนแรงงานที่มีทักษะด้านดิจิทัลของไทยมีไม่มากนักในปัจจุบัน 

โดยจากรายงาน Future of Jobs ของ World Economic Forum พบว่ามีเพียง 55% ของแรงงานไทยที่มีทักษะด้านดิจิทัล ดังนั้น การส่งเสริมให้เกิดการยกระดับทักษะแรงงานให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอยู่เสมอและการผลิตแรงงานที่มีทักษะด้านดิจิทัลอย่างจริงจังอาจต้องเร่งดำเนินการเพื่อรองรับความต้องการแรงงานเหล่านี้ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ การสร้างแรงจูงใจในการลงทุนด้านเทคโนโลยีดิจิทัลของผู้ประกอบการไทยยังต้องอาศัยการสนับสนุนจากภาครัฐในการลดภาระการลงทุนเพื่อดึงดูดความต้องการใช้งาน รวมถึงการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเห็นประโยชน์ของการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการใช้งานจริง ซึ่งการยกระดับภาคการผลิตของไทยสู่โรงงานอัจฉริยะนั้น นอกจากจะทำให้เกิดการรับรู้ถึงการปรับตัวของภาคการผลิตในไทยเพื่อฝ่าวิกฤติโควิดแล้ว ยังสะท้อนถึงความพร้อมของไทยในการรองรับการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติในกลุ่มอุตสาหกรรมไฮเทคในอนาคตได้อีกด้วย
#3143


นายอานนท์ วังวสุ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มการจ่ายค่าสินไหมประกันภัยโควิด-19ในปีนี้ เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง  โดยตั้งแต่ต้นปี ถึง สิ้นเดือน ก.ค.2564 บริษัทประกันวินาศภัยจ่ายเคลมไปแล้ว 4,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ประเมินว่า หากสถานการณ์โควิดรอบนี้ไม่คลี่คลาย มีผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้นระดับ 1.7-1.8 หมื่นคนต่อวัน และผู้เสียชีวิตสูงเกิน 100 คนต่อวัน ต่อเนื่องไปอีกการจ่ายเคลมประกันโควิด-19 เดือนส.ค. คาดจะเพิ่มเป็น  7,500-8,000 ล้านบาท

รวมถึงหากสถานการณ์ยังยืดเยื้อนานกว่านั้นการจ่ายเคลมนี้อาจทะลุเกิน 1 หมื่นล้านบาทได้ เนื่องจากกรมธรรม์ประกันโควิด-19มีระยะเวลาคุ้มครองยาว 1 ปี จนถึงปี 2565


อย่างไรก็ตามแเม้ปีก่อนประกันโควิด-19 มีกำไรค่อนข้างดี แต่ปีนี้โควิด-19แพร่ระบาดรุนแรงขึ้น มียอดเคลมเพิ่มกว่าเดิมมาก เมื่อหักลบรวมกัน 2 ปีแล้วก็น่าจะขาดทุน เพราะสัดส่วนคนไทยที่ทำประกันโควิด-19เทียบกับผู้ติดเชื้อ คิดเป็น10% ถ้ามีผู้ติดเชื้อใหม่วันละ 1.7-1.8 หมื่นคน หรือเฉลี่ยที่ 5 แสนคนต่อเดือน ตามสมมติฐานจะมีคนทำประกันโควิด-19ที่ 5 หมื่นคน เฉลี่ยยอดเคลมคนละ 7 หมื่นบาท เท่ากับมียอดเคลมเพิ่มขึ้นเดือนละ 3,500 ล้านบาท 

 "ปีก่อนมียอดเคลมประกันโควิด-19อยู่ที่ร้อยกว่าล้านบาท แต่ยอดเคลมปีนี้มีโอกาสพุ่งขึ้น50-100 เท่าจากปีก่อน เห็นได้จากช่วงเดือนพ.ค.2564 มียอดเคลม 1,000 ล้านบาท เดือนมิ.ย. เพิ่มเป็น 2,000 ล้านบาท และเดือนก.ค.เพิ่มเป็น 4,000 ล้านบาท สมาคมฯ หวังว่ารัฐบาลจะควบคุมสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบให้คนไทย และทำให้ยอดการจ่ายเคลมโควิด-19ชะลอลงบ้าง"

นายอานนท์ กล่าวว่า แม้ภาพรวมธุรกิจประกันวินาศภัยอาจต้องเผชิญการขาดทุนจากรับประกันโควิด-19 แต่บริษัทยังพร้อมดูแลผู้เอากรมธรรม์ให้ได้รับความคุ้มครองตามที่ระบุไว้ รวมถึงได้ปรับเงื่อนไขความคุ้มครองช่วยเหลือผู้ติดเชื้อให้ได้ประโยชน์และสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมากที่สุด 
#3144


รัฐบาลญี่ปุ่นเริ่มศึกษาความเป็นไปได้ที่จะฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เข็มที่ 3 ให้กับประชาชนในราวปีหน้า โดยได้สั่งจองวัคซีน "โนวาแวกซ์" และ "โมเดอนา" เตรียมไว้แล้ว

นายทาโร โคโนะ รัฐมนตรีที่รับผิดชอบเรื่องวัคซีนโควิดของญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ได้เจรจาเพื่อสั่งจองวัคซีนโมเดอนาเพิ่มเติมอีก 50 ล้านโดส และวัคซีนโนวาแวกซ์ 150 ล้านโดส โดยจะส่งมอบในต้นปีหน้า

รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังติดตามตัวอย่างของประเทศต่าง ๆ ที่ฉีดวัคซีนกระตุ้นเพิ่มเติมให้ประชาชน เช่น อิสราเอลที่ฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ให้กับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ส่วนเยอรมนี สวีเดน และอังกฤษก็เตรียมจะทำเช่นเดียวกันในราวเดือนกันยายน

รัฐบาลญี่ปุ่นจะตัดสินใจว่าจำเป็นต้องฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นหรือไม่ โดยรวบรวมผลการทดลองทางคลินิกในต่างประเทศ ทั้งเรื่องกลุ่มคนที่จำเป็นต้องรับวัคซีนกระตุ้น และการใช้วัคซีนจากต่างบริษัทกับวัคซีนเข็มที่ 1 และ 2 ซึ่งในญี่ปุ่นใช้วัคซีนของไฟเซอร์ และโมเดอนาเป็นหลัก



ญี่ปุ่นเริ่มฉีดวัคซีนโควิดในเดือนกุมภาพันธ์ ขณะนี้ผู้สูงอายุราว 80.0% ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว แต่คนหนุ่มสาวส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับวัคซีน และเป็นกลุ่มที่ติดเชื้อมากที่สุดในขณะนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นคาดว่าจะสามารถฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มให้กับประชาชนทุกคนได้ภายในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ปีนี้ และกำลังติดตามผลข้างเคียงของวัคซีน รวมทั้งประสิทธิผลในการป้องกันไวรัสกลายพันธุ์

บริษัทโมเดอนาได้ระบุเมื่อวันที่ 5 ส.ค. ว่า วัคซีนของตนสามารถคงภูมิคุ้มกันได้ที่ระดับ 93% นาน 6 เดือนหลังฉีดเข็มที่ 2 พร้อมชี้ว่าอาจมีความจำป็นต้องฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 เพื่อการปกป้องไวรัสกลายพันธุ์หลังจากที่ภูมิคุ้มกันลดน้อยลง

อย่างไรก็ตาม นายทีโดส อัดฮานอม กรีบีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก หรือ WHO เรียกร้องให้ประเทศร่ำรวยต่าง ๆ ระงับโครงการฉีดวัคซีนกระตุ้นไว้ก่อนจนถึงสิ้นเดือนกันยายน เพราะผู้คนหลายล้านคนในประเทศกำลังพัฒนายังไม่ได้รับวัคซีนแม้แต่เข็มเดียว.
#3146


ดร.แลร์รี บริลเลียนท์ นักระบาดวิทยาที่มีชื่อเสียงระดับโลก หนึ่งในคณะทำงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวว่า ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา ทำให้เกิดโรคติดต่อมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา 

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา สหรัฐ อินเดีย จีน ประเทศต่างๆในยุโรป แอฟริกา และเอเชีย ต่างต้องต่อสู้กับสายพันธุ์เดลตา ที่แพร่กระจายเชื้อได้สูง 

ดร.บริลเลียนท์ กล่าวกับรายการ "Squawk Box Asia" ทางสถานีโทรทัศน์ CNBC ว่า ข่าวดีคือ วัคซีนที่เป็นเทคโนโลยี mRNA และวัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน กำลังพัฒนาประสิทธิภาพต้านเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตา 

"เว้นแต่ว่า จะฉีดวัคซีนให้ประชาชนทุกคนใน 200 ประเทศขึ้นไป แม้จะยังมีสายพันธุ์เกิดขึ้นใหม่" ดร.บริลเลียนระบุ และกล่าวว่า ขณะนี้มีเพียง 15% ของประชากรโลกที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 และมีมากกว่า 100 ประเทศที่ฉีดวัคซีนน้อยกว่า 5% ของประชากรประเทศ


ดร.บริลเลียนท์ มองว่า เราใกล้จุดเริ่มต้นของการแพร่บาดไวรัส มากกว่าสิ้นสุด และะเรากำลังเฝ้าดูอยู่ว่า การแพร่ระบาดของสายพันธุ์เดลตา ที่มีอยู่ตอนนี้ จะอยู่นานเพียงใด 

ในแบบจำลองของดร.บริลเลียนท์ ได้คาดการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในซานฟรานซิสโก และนิวยอร์ก เป็นลักษณะ "เส้นโค้งรูปตัววี กลับหัว" นั่นแสดงว่าการติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ก็จะลดลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน 

ถ้าหากคาดการณ์นี้เป็นจริง หมายความว่า สายพันธุ์เดลตาแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว อย่างที่เกิดขึ้นในสหราชอาณาจักร และอินเดีย ซึ่งการระบาดของสายพันธุ์เดลตาลดต่ำลงจากที่เคยขึ้นสูงสุด

เว็บไซต์ Our World in Data ระบุว่า ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสหราชอาณาจักร เฉลี่ยในช่วง 7 วันที่ผ่านมา ลดลงจากจุดสูงสุดที่อยู่ประมาณ 47,700 รายในวันที่ 21 ก.ค. เหลืออยู่ที่ 26,000 รายในวันที่ 5 ส.ค. 

ส่วนที่อินเดีย พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายวันต่ำกว่า 50,000 ราย ตั้งแต่วันที่ปลายเดือน มิ.ย. จากที่เคยติดเชื้อรายวันสูงสุด 390,000 รายในเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา 
#3147


บล.คันทรี่ กรุ๊ป (CGS) เปิดเผยว่า ประเมิน SET INDEX สัปดาห์นี้จะแกว่งตัว Sideway-Sideway Down ในกรอบ 1,500-1,530 จุด จากยังไม่มีปัจจัยใหม่ โดยสถานการณ์โคิด-19 ยังคงมีผลมากสุดต่อการลงทุน ข้อมูลล่าสุดยังไม่เห็นสัญญาณบวกจาก 1.จำนวนผู้ติดเชื้อทรงตัวระดับสูง 2.แนวโน้มการระบาดทั้งต่างจังหวัดรวมถึง กทม. และปริมณฑล ยังไม่เห็นสัญญาณกลับตัว หรือชะลอตัว 3.การติดเชื้อต่อวันในวันอาทิตย์สูงกว่าหายป่วยกลับบ้าน อย่างไรก็ตาม มีข้อดีเล็กน้อยคือการเสียชีวิตต่อวันลดลง แต่เชื่อว่าผลบวกต่อการลงทุนยังจำกัด

ขณะที่สัปดาห์นี้จะเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของการประกาศผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 2/64 โดยเฉพาะกลุ่ม Domestic Play ซึ่งเป็นกลุ่มที่รับผลกระทบมากสุดกับการระบาดโควิด-19 ต้องติดตามว่าทั้งนักวิเคราะห์และผู้บริหารจะมีมุมมองอย่างไรหลังจากนี้ทั้งในเชิง Outlook และปัจจัยพื้นฐาน (Valuation , Target Price) อิงข้อมูลจาก Bloomberg ประเมินว่าสัปดาห์นี้ SET 100 จะรายงานราว 72 ตัว

ดังนั้น จากข้อมูลทั้งหมดที่ปรากฎเต็มไปด้วยปัจจัยที่ค่อนไปทางลบ จึงคาด SET INDEX จะแกว่งไซด์เวย์ โดยมีปัจจัยกดดันเพิ่มเติมจากค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่ากระตุ้นแรงขายนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น

ส่วนปัจจัยสัปดาห์นี้นอกเหนือจากการประกาศผลประกอบการ ได้แก่ การรายงานตัวเลข CPI สหรัฐในวันพุธ Bloomberg ประเมิน +5.4%YoY เชื่อตลาดอยากเห็นตัวเลขที่ใกล้เคียงคาดหรือดีกว่าคาดเล็กน้อย เพื่อมิให้ FED รีบถอนสภาพคล่องออกจากตลาด (QE Tapering) และสถานการณ์โควิด-19 ภายในประเทศหากมีสัญญาณบวก อาทิ หายป่วยสูงกว่าติดเชื้อต่อวัน หรือ ติดเชื้อลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ตลาดอาจเริ่มตอบรับเชิงบวก อย่างไรก็ตามหากเกิดเหตุการณ์ตรงข้ามกันก็อาจจะเป็นแรงกดดันแทน

กลยุทธ์การลงทุน ยังคงแนะนำหุ้น Defensive อย่างสื่อสารและโรงไฟฟ้าเช่นเดิม ได้แก่ ADVANC BCPG BGRIM GPSC GULF รวมถึงกลุ่มส่งออกที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนค่า อย่าง ASIAN DELTA HANA KCE TU เชื่อว่าจะ Outperform ได้มากกว่า Domestic Play

แนะนำ GPSC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 95 บาท) คาดผลประกอบการของบริษัทในไตรมาส 2/64 จะปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อนหน้า จากผลการดำเนินงานที่สูงขึ้นของ IPP ตามปัจจัยฤดูกาล (ค่าความพร้อมจ่ายที่สูงขึ้นของทั้ง GHECO-one และ GIPP) และการรับรู้กำไรที่สูงขึ้นจาก XPCL

KCE (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 90 บาท) คาด KCE รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/64 ที่ 531 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 644% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 6% จากไตรมาสก่อนหน้า) โดยมีปัจจัยผลักดันหลักมาจากรายได้ที่ขยายตัวสู่ 3.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 71% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากฐานที่ต่ำในปี 63 และ เพิ่มขึ้น 7% จากไตรมาสแรก ตามจำนวนวันดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นและการปรับขึ้นราคา
#3148


นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า   กรมปศุสัตว์มีหน้าที่กำกับดูแลและส่งเสริมการส่งออกสินค้าเนื้อไก่ ซึ่งในสถานการณ์โรคโควิดระบาดนี้ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบดูแลการผลิตเนื้อไก่และผลิตภัณฑ์อย่างเข้มงวดต่อเนื่อง ส่งผลให้ยอดส่งออกเนื้อไก่ครึ่งปี2564เพิ่มขึ้นจำนวน 5 แสนตัน มูลค่า 56,000 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.1 และ 0.9 ตามลำดับ

              อธิบดีกรมปศุสัตว์กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมปศุสัตว์มีหน้าที่กำกับดูแลด้านความปลอดภัยอาหาร โดยเฉพาะสินค้าปศุสัตว์      ได้ตระหนักและให้ความสำคัญในการป้องกันโรคระบาดโควิดไม่ให้ปนเปื้อนกับสินค้า จึงมีนโยบายสนับสนุนให้ผู้ประกอบการทำบับเบิ้ลแอนด์ซี (Bubble and Seal) ตามคำแนะนำของกรมควบคุมโรคควบคู่ไปกับการดำเนินการตามมาตรการของกรมปศุสัตว์อย่างเข้มงวดตลอดห่วงโซ่การผลิต ตั้งแต่อาหารสัตว์ ฟาร์มมาตรฐาน GAP โรงฆ่าสัตว์และโรงแปรรูปที่ถูกสุขอนามัย มาตรการป้องกันโรคโควิด    ในโรงงานมุ่งเน้น 3 ด้าน

ได้แก่ 1) ด้านพนักงาน หรือผู้ที่ต้องสัมผัสอาหารต้องมีการเฝ้าระวังสุขภาพและผ่านการตรวจโรคโควิด-19 ก่อนเข้าปฏิบัติงาน 2) ด้านสถานที่ผลิต ให้รักษาความสะอาดเรียบร้อยตามหลักสุขลักษณะที่ดีในการผลิต (GMP) โดยมีการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช่ในการผลิตด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อในไลน์การผลิต 3) ด้านสินค้า มีการตรวจสอบประสิทธิภาพ   ในการควบคุมความปลอดภัยอาหารอย่างเข้มงวด มีการเก็บตัวอย่างตรวจการปนเปื้อนเชื้อไวรัสโควิด-19 ในสินค้า อุปกรณ์ สิ่งแวดล้อม จุดสัมผัสและจุดเสี่ยงในอาคารผลิต เพื่อประกันการปลอดเชื้อ จากการสุ่มเก็บตัวอย่างสินค้าตรวจจำนวน 2,940 ตัวอย่าง ทุกตัวอย่างตรวจไม่พบการปนเปื้อนเชื้อโควิด

"โรงงานที่พนักงานตรวจพบว่าติดเชื้อโควิดอาจได้รับผลกระทบเนื่องจากถูกสั่งปิด และ   ขาดแรงงาน ส่วนเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่อาจได้รับผลกระทบจากการรอนำไก่เข้าเชือดซึ่งโรงงานในบางจังหวัดถูกสั่งปิดเป็นเวลาสั้นๆ 5-7 วัน แต่บางจังหวัดอาจถูกสั่งปิด 14 วันไก่จะมีน้ำหนักมากและถูกกดราคา สำหรับการส่งออกยังไม่มีหน่วยงานของประเทศผู้นำเข้า   ของต่างประเทศได้แสดงความกังวลมาแต่อย่างใด  ยกเว้นสาธารณรัฐประชาชนจีนหากพบว่าโรงงานใดที่ตรวจพบคนงานติดเชื้อ     กรมปศุสัตว์ต้องชะลอการส่งออกชั่วคราวตามข้อกำหนดจีน" 

ดังนั้น หากประเทศไทยสามารถควบคุมการระบาดของโรคโควิด           ในภาพรวมได้ พนักงานหายป่วยกลับมาทำงาน รวมถึงการมีแรงงานเข้ามาชดเชย ก็มั่นใจว่า ปัจจุบันในปี 2564 สินค้าเนื้อไก่มีปริมาณการส่งออกมีจำนวน 504,754 ตัน มูลค่า 56,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่า สิ้นปีนี้ยอดส่งออกเนื้อไก่จะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ     ร้อยละ 2-3 เทียบกับปี 2563 หรือที่ปริมาณ 1,219,909 ตัน มูลค่า 141,786 ล้านบาท อย่างแน่นอน
#3149


ปฏิเสธไม่ได้ว่าความน่าเชื่อถือเป็นเรื่องสำคัญของ "ร้านค้าออนไลน์" พ่อค้าแม่ค้าในแวดวงออนไลน์จึงต้องศึกษาหาข้อมูลทั้งในแง่กลยุทธ์การขาย การบริการ ช่องทางการขาย วิธีโปรโมทร้าน รวมถึงวิธีส่งเสริมความน่าเชื่อถือทางด้านกฎหมายด้วย ซึ่งหนึ่งในสิ่งสำคัญที่จำเป็นต้องรู้คือ "จดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์"

ทำไม? ต้อง "จดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์"
มีข้อมูลจาก กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า การจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์นั้น ก็เพื่อให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือ จากการมีสถานะตัวตนทางกฎหมาย และเพื่อเป็นประโยชน์ในการทำธุรกรรมกับหน่วยงานต่างๆ อีกทั้งยังจะช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค

โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้าอาศัยอำนาจตามกฎหมายทะเบียนพาณิชย์ กำหนดให้ผู้ขายสินค้าหรือบริการทางอินเทอร์เน็ต ทั้งเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์หรือ Social Media ต้องจดทะเบียนพาณิชย์การประกอบธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้ผู้ประกอบการแสดงตนอย่างเปิดเผยต่อทางราชการ


ประโยชน์ของการ "จดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์"
นอกจากการจดทะเบียนฯ จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้ธุรกิจแล้ว ยังมีประโยชน์อื่นๆ ต่ออาชีพ "ขายออนไลน์" ด้วย  ได้แก่

1. หลังจดทะเบียนฯ เจ้าของธุรกิจจะมีสิทธิ์ในการเข้ารับการอบรม ตามหลักสูตรที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้ากำหนด ถือเป็นโอกาสในการพัฒนาความรู้ด้านธุรกิจ การบริหารร้านค้า เรียนรู้เทคนิคการตลาดแบบไม่มีค่าใช้จ่าย

2. ช่วยสร้างเครดิตให้กับ "ร้านค้าออนไลน์" ในสายตาของสถาบันการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการขอสินเชื่อเงินกู้ ยื่นขอกู้เงินทุนหมุนเวียน หรือแม้แต่การขอสินเชื่อเรื่องอื่นๆ ก็สามารถใช้ทะเบียนร้านค้าพาณิชย์เป็นหลักฐานประกอบการยื่นเอกสารทางการเงินได้เช่นกัน

3. ช่วยให้หน่วยงานภาครัฐเก็บข้อมูลสถิติร้านค้าออนไลน์ได้ง่ายขึ้น รัฐจะได้สามารถดำเนินการตามนโยบายทางเศรษฐกิจได้อย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการลงทุน, การช่วยเหลือผู้ประกอบการ, การสนับสนุนธุรกิจออนไลน์, การลงทุนต่างประเทศ ฯลฯ


หากไม่ "จดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์" มีสิทธิ์ถูกปรับ
ผู้ค้าออนไลน์ทุกคนจะต้องรู้จัก "ประกาศกระทรวงพาณิชย์ ฉบับที่ 11 พ.ศ. 2553 มาตรา 5" ซึ่งบังคับให้ผู้ประกอบพาณิชยกิจ ดังต่อไปนี้ ต้องจดทะเบียนพาณิชย์ ได้แก่ กิจการที่มีการซื้อ-ขายสินค้าหรือบริการ โดยวิธีการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต

หรือการบริการเป็นตลาดกลางในการซื้อขายสินค้าหรือบริการ โดยวิธีใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต (ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดา ห้างหุ้นส่วนสามัญ ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือบริษัทมหาชนจำกัดทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักร)

ดังนั้น การขายสินค้าออนไลน์ จึงนับเป็นพาณิชยกิจที่ต้องจดทะเบียนตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ฉบับดังกล่าว


อีกทั้ง ผู้ค้าออนไลน์ต้องรู้จัก "พ.ร.บ.ทะเบียนพาณิชย์ พ.ศ.2499" เอาไว้ด้วย เนื่องจากเป็นกฎหมายที่กำหนดบทลงโทษไว้ในมาตรา 19 ที่ระบุว่า

หาก "ร้านค้าออนไลน์" ไม่จดทะเบียนตาม พ.ร.บ. ฉบับนี้ หรือแสดงรายการเท็จ หรือไม่มาให้นายทะเบียนพาณิชย์สอบสวน ไม่ยอมให้ถ้อยคำ หรือไม่ยอมให้ทะเบียนพาณิชย์หรือพนักงานเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบนั้น จะต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท และให้ปรับอีกวันละ 100 บาท จนกว่าจะจดทะเบียนแล้วเสร็จ

ใครบ้างที่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์?
1. ผู้ขายสินค้า/บริการ ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต และ Social Media

2. ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (Internet Service Provider : ISP)

3. ผู้ให้เช่าพื้นที่ของเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย (WebHosting)

4. ผู้ให้บริการเป็นตัวกลางในการซื้อขายสินค้า/บริการ ผ่านอินเทอร์เน็ต (E-Marketplace) เช่น Lazada Shopee ฯลฯ

โดยต้องขอจดทะเบียนภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันเริ่มค้าขาย ผู้ค้าต้องทำเว็บไซต์ที่จะใช้ขายสินค้าให้เรียบร้อย เช่น ลงรูปสินค้า คำบรรยาย ราคา วิธีชำระเงิน และวิธีจัดส่งให้ครบถ้วน

ขั้นตอนการยื่นจดทะเบียนฯ และเช็กจุดให้บริการ
ผู้ขายสินค้าหรือบริการผ่านทางออนไลน์ สามารถเดินทางไปจดทะเบียนพาณิชย์ ณ สำนักงานเขตในกรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา เทศบาล หรือองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ตามที่ตั้งของสถานประกอบการหรือตามที่อยู่ของผู้ขาย โดยเอกสารที่จำเป็น ได้แก่ บัตรประชาชนตัวจริง สำเนาบัตรประชาชน รูปหน้าแรกของเว็บไซต์ (Print เป็นเอกสารเตรียมไปด้วย)

ส่วนขั้นตอนการยื่นจดทะเบียน และเอกสารสำคัญที่ใช้จดทะเบียนพาณิชย์เล็กทรอนิกส์  มีดังนี้

1. แสดงบัตรประจำตัวประชาชนตัวจริง พร้อมแจ้งว่ามาจดทะเบียนฯ

2. ขอเอกสารแบบคำขอจดทะเบียนพาณิชย์ (แบบ ทพ.)

3. กรอกรายละเอียดเกี่ยวกับเว็บไซต์(เอกสารแนบแบบ ทพ.) กรอก 1 ใบต่อ 1 เว็บไซต์

4. เตรียมเอกสารที่ Print หน้าแรกของเว็บไซต์

5. วาดแผนที่ตั้งการประกอบพาณิชยกิจ

6. หนังสือรับรองการจดทะเบียนของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท (กรณีจดในนามนิติบุคคล)

7. กรณีมอบอำนาจให้ผู้อื่นมาจดแทน ต้องมีหนังสือมอบอำนาจ พร้อมสำเนาบัตรประชาชนของทั้งผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจ

วิธีขอเครื่องหมาย "DBD REGISTERED" รับรองธุรกิจออนไลน์
เมื่อพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ผ่านขั้นตอนการยื่นจดทะเบียนฯ เรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็สามารถขอใช้เครื่องหมายรับรองผู้ประกอบธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือที่เรียกว่าเครื่องหมาย "DBD Registered" ได้เลย โดยเครื่องหมายนี้มีประโยชน์คือ ใช้แสดงความมีตัวตนในการประกอบธุรกิจ e-Commerce โดยแสดงไว้บนหน้าเว็บไซต์ร้านค้าของคุณ และสามารถคลิกตรวจสอบข้อมูลความมีตัวตนมายัง www.trustmarkthai.com ได้


สำหรับช่องทางในการยื่นขออนุญาตใช้เครื่องหมาย "DBD Registered" สามารถแจ้งขอใช้เครื่องหมายฯ ได้ที่ กองพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า โทร. 0-2547-5960 หรือ เว็บไซต์ www.trustmarkthai.com หรือ ส่งเอกสารมาที่ e-Mail : e-commerce@dbd.go.th หรือ โทรสาร 0-2547-5973

NOTE : เครื่องหมายรับรองผู้ประกอบธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ จะมีอายุการใช้งานเป็นเวลา 5 ปี นับแต่วันที่กรมอนุมัติให้มีกำหนดใช้

-------------------------

ที่มา : 

POST family

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
#3150


"นพ.สันต์" ติงสื่อฟังไม่ได้ศัพท์ กรณีนักวิจัย "ฟ้าทะลายโจรรักษาโควิดได้" ขอถอนต้นฉบับที่กำลังรอตีพิมพ์ แม้ค่า p-value สรุปผลไม่แตกต่างจากยาหลอก แต่ไม่ได้หมายความว่า รักษาโควิดไม่ได้ เพียงแต่ต้องวิจัยซ้ำขยายกลุ่มตัวอย่างให้ใหญ่ขึ้น ชี้พิเศษกว่าคู่แข่ง "ฟาวิพิราเวียร์" ที่มีข้อมูลน้อยพอกัน คือ แค่ทำวิจัยเพิ่มอีกนิดเดียว ก็จะเห็นดำเห็นแดงแล้ว อีกทั้งยังหาง่าย ราคาถูก มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของชาติ

จากกรณี นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ ศัลยแพทย์หัวใจและผู้เชี่ยวชาญเวชศาสตร์ครอบครัว เผยแพร่บทความว่า ทีมผู้วิจัยชาวไทย ที่สรุปผลได้ว่า ฟ้าทะลายโจรใช้รักษาโควิด-19 ลดการเกิดปอดอักเสบได้ ทำการขอถอนนิพนธ์ต้นฉบับของตนเองที่รอตีพิมพ์กลับคืนจากคลังวารสารรอตีพิมพ์ (medRxiv) เหตุผิดพลาดในการคำนวณค่านัยสำคัญของความแตกต่าง (p-value) ซึ่งหากคำนวณอย่างถูกต้องแท้จริงแล้วค่านัยสำคัญจริงๆ คือ p=0.1 แปลได้ว่า "การใช้ฟ้าทะลายโจรลดปอดบวมได้ไม่แตกต่างจากใช้ยาหลอก" ทำให้สื่อหลายแห่งตีความไปว่าฟ้าทะลายโจร ใช้รักษาโควิดไม่ได้ (อ่านบทความ : จำเป็นต้องมีการวิจัยรักษาโควิด-19 ด้วยฟ้าทะลายโจรซ้ำด้วยกลุ่มตัวอย่างที่ใหญ่ขึ้น)

วันนี้ (8 ส.ค. 2564) นพ.สันต์ จึงชี้แจงว่า สื่อตีความผิดพลาด เนื่องจากค่า p-value ที่ได้นั้น ไม่ได้หมายความว่า ฟ้าทะลายโจรรักษาโควิดไม่ได้ เพียงแต่ต้องทำการวิจัยนี้ซ้ำใหม่ด้วยกลุ่มตัวอย่างที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม


เมื่อวานนี้ ผมเล่าเรื่องคณะผู้วิจัยชาวไทย ที่ทำวิจัยฟ้าทะลายโจรรักษาโควิดได้ขอถอนต้นฉบับของตัวเองกลับออกมาจากเว็บไซต์งานวิจัยรอตีพิมพ์ (medRxiv) เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดในการคำนวณเชิงสถิติในประเด็นการคิดค่านัยสำคัญทางสถิติ (p-value) คิดไม่ถึงว่าจะมีผู้ตัดเอาบทความของผมครึ่งบรรทัดไปโพนทะนาผ่านทางหนังสือพิมพ์และสื่อต่างๆ ว่า ฟ้าทะลายโจรใช้รักษาโควิดไม่ได้ ผลเสียแล้วควรต้องเลิกใช้..ไปโน่นเลย ผู้คนก็พากันกระต๊าก กระต๊าก ต่อๆ กันไป ซึ่งเป็นการตัดบทความของผมเอาไปแค่บรรทัดเดียวแล้วเอาไปกระเดียดที่ได้ผลแบบอะเมซซิ่งทิงนองนอยมากส์

ตัวผมเองไม่ถือสานะครับ เพราะเรื่องก็ดี ชื่อก็ดี ภาพของผมก็ดี มักมีคนชอบเอาไปทำยำใหญ่ใส่สาระพัดเป็นประจำอยู่แล้ว เอาไปขายยาสีฟันก็ยังเคยมีเลย หิ หิ ครั้งนี้ผมก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร แต่กลับมองเห็นเป็นโอกาสดีที่จะทำให้ผู้คนได้หันมาสนใจและพยายามทำความเข้าใจงานวิจัยทางการแพทย์ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น จะได้ไม่ถูกคนกระเดียดข้อมูลให้ตื่นตกใจได้ง่ายๆ

ขอย้อนไปเริ่มต้นที่สนามหลวงก่อนนะ

เมื่อมีโรคโควิด-19 มา ได้มีการทำวิจัยในห้องทดลองที่ไต้หวันและในเมืองไทย แล้วสรุปผลได้ตรงกันว่า ฟ้าทะลายโจรระงับยับยั้งเชื้อไวรัสซาร์สโควี 2 ซึ่งเป็นเชื้อต้นเหตุของโรคโควิด-19 ทั้งนอกเซลล์และในเซลล์ได้ [1, 2]

ต่อมาก็ได้มีการทดลองใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโรคโควิด-19 ในคนกลุ่มเล็ก (case series) จำนวน 6 คน ซึ่งสรุปผลได้ว่าฟ้าทะลายโจรในขนาดที่ใช้ (180 มก.ของแอนโดรกราฟโฟไลด์ต่อวันนาน 5 วัน) สัมพันธ์กับการที่ไวรัสลดจำนวนลงและหมดไปจากตัว (viral shedding) ได้ โดยที่ไม่มีผลข้างเคียงที่มีนัยสำคัญ งานวิจัยนี้ไม่ได้ตีพิมพ์ แต่นำเสนอในที่ประชุมวิชาการโดยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก [3]

ต่อมาพัฒนาการทางวิชาการในเรื่องนี้ ก็แยกกันทำไปสองทาง ทางหนึ่งคือ ได้มีการทำวิจัยแบบย้อนหลังตามดู (retrospective cohort study) กลุ่มคนไข้โควิด-19 ที่ได้รับการรักษาต่างกันสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งใช้ฟ้าทะลายโจร 309 คน อีกกลุ่มหนึ่งไม่ได้ใช้ฟ้าทะลายโจร 526 คน แล้วพบว่า กลุ่มที่ได้ฟ้าทะลายโจรเป็นปอดบวม 3 คน (0.9%) กลุ่มที่ไม่ได้ฟ้าทะลายโจรเป็นปอดบวม 77 คน (14.64%) ซึ่งเป็นความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.001) งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในรูปของรายงานสรุป (short communication) ในวารสารการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก [4]

อีกด้านหนึ่งก็มีการทำวิจัยการใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโควิด-19 ในรูปของการวิจัยแบบสุ่มตัวอย่างแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบ (RCT) ซึ่งถือว่าเป็นระดับหลักฐานชั้นสูงสุดของการวิจัยทางการแพทย์ รายละเอียดของงานวิจัยมีอยู่ว่าผู้วิจัยได้ใช้ผู้ป่วย 57 คน สุ่มตัวอย่างแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่ง 29 คน ให้กินฟ้าทะลายโจรซึ่งมีเนื้อยาแอนโดรกราโฟไลด์ 180 มก.ต่อวันกินนาน 5 วัน อีกกลุ่มหนึ่ง 28 คน ให้กินยาหลอก โดยใช้การเกิดปอดอักเสบ (pneumonia) เป็นตัวชี้วัด พบว่า กลุ่มที่กินยาหลอกเกิดปอดอักเสบ 3 คน (10.7%) ขณะที่กลุ่มที่กินฟ้าทะลายโจรไม่เกิดปอดอักเสบเลย (0 คน) เป็นความแตกต่างที่มีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.039) ซึ่งคณะผู้วิจัยได้ส่งผลไปตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติ โดยเผยแพร่นิพนธ์ต้นฉบับล่วงหน้าในเว็บไซต์งานวิจัยรอการตีพิมพ์ (medRxiv)[5] แต่ต่อมาคณะผู้วิจัยพบความผิดพลาดในการคำนวณค่า p-value ว่าที่คำนวณได้ p = 0.039 นั้นผิดไป ที่ถูกต้องเป็น p = 0.1 จึงได้ขอถอนนิพนธ์ต้นฉบับกลับมาแก้ไขความผิดพลาดดังกล่าว

ผมได้เล่าเรื่องการขอถอนต้นฉบับกลับมาแก้ไขให้แฟนบล็อกฟัง และแจ้งเปลี่ยนข้อสรุปของผมเองที่เคยพูดว่าหลักฐานวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนให้ใช้ฟ้าทลายโจรรักษาโรคโควิด-19 มีมากพอแล้วนั้น ผมต้องขอแก้ไขคำพูดใหม่ เป็นหลักฐานวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนให้ใช้ฟ้าทลายโจรรักษาโรคโควิด-19ในคนยังมีไม่มากพอ (เพราะยังขาดงานวิจัยระดับ RCT) จึงต้องทำวิจัยซ้ำโดยการขยายกลุ่มตัวอย่างให้ใหญ่ขึ้น

เพราะการที่กลุ่มตัวอย่างเล็กได้ค่า p มากกว่า 0.05 ก็บอกได้แค่ว่ายังบอกไม่ได้ว่าความแตกต่างในผลการรักษา (คือการเกิดปอดบวม) ในทั้งสองกลุ่มมันต่างกันจริงหรือไม่ การจะรู้ได้ก็ต้องมีกลุ่มตัวอย่างที่ใหญ่กว่านี้

ทั้งหมดนี้ไม่มีอะไรสักแอะเดียวที่จะบ่งชี้ว่าการใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโรคโควิด-19 ไม่ได้ผล ฟังให้ดีนะ "ยังไม่มั่นใจว่ามันได้ผลจริงหรือเปล่า" ไม่เหมือนกับ "ใช้แล้วไม่ได้ผล"

ซึ่งยาคู่แข่งกันที่ใช้ในเมืองไทยอีกตัว คือ Favipiravir ก็มีข้อมูลน้อยประมาณเดียวกัน คือ ทุกอย่างติดอยู่ที่ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คือ นับถึงวันนี้การใช้ Favipiravir แล้วจะทำให้ไวรัสโควิด-19 หายไปจากตัวเร็วขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ..รึก็เปล่า จะทำให้ใช้ออกซิเจนน้อยลง..รึก็เปล่า จะทำให้ต้องเข้าไอซียูน้อยลง..รึก็เปล่า และที่สำคัญจะทำให้คนป่วยตายน้อยลง..รึก็เปล่า [6]

แต่ฟ้าทะลายโจรมันมีความพิเศษกว่า Favipiravir ตรงที่แค่ทำวิจัยซ้ำขยายกลุ่มตัวอย่างให้ใหญ่ขึ้นอีกนิดเดียว ก็จะเห็นดำเห็นแดงแล้วว่าได้ผลหรือไม่ได้ผลต่างจากยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ เท่าที่ผู้รู้ทางสถิติคำนวณให้คร่าวๆ หากพิจารณาจากอัตราการเป็นปอดบวมของผู้ใช้และผู้ไม่ใช้ฟ้าทะลายโจรในงานวิจัย retrospective cohort ที่ได้รายงานไว้ก่อนหน้านี้แล้ว แค่ขยายกลุ่มตัวอย่างในงานวิจัย RCT ไปให้ได้กลุ่มละ 40 คน คือ ขยายอีกกลุ่มละ 10 คน ก็จะเห็นดำเห็นแดงกันแล้ว

อีกทั้งฟ้าทะลายโจรเป็นพืชสามัญในท้องถิ่น หาง่ายกว่า ราคาถูกกว่า มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของชาติมากกว่าไปซื้อยาเขามาทั้งๆ ที่ผลการรักษาก็แปะเอี้ย ในแง่การค้าขายระดับนานาชาติ หากจะขายฟ้าทะลายโจร ก็ต้องมีงานวิจัยระดับ RCT สนับสนุน ตัวหมอสันต์จึงลุ้นตัวโก่งให้ทำงานวิจัยนี้ต่อให้เบ็ดเสร็จสะเด็ดน้ำ โดยยินดีช่วยทุกอย่างเท่าที่หมอแก่คนหนึ่งจะช่วยได้
#3151


การพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินได้มีการลงนามร่วมลงทุนกับบริษัทอู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จํากัด ไปแล้ว ในขณะที่การพัฒนาส่วนอื่นเพื่อผลักดันเมืองการบินจะเปิดให้เอกชนเข้ามาลงทุน โดยเฉพาะใน พื้นที่อุตสาหกรรมการบิน หรือ ATZ ที่จะทำให้สนามบินอู่ตะเภามีศักยภาพเป็นศูนย์กลางการบินได้มากขึ้น

รายงานข่าวจากกองทัพเรือ (ทร.) ระบุว่า ขณะนี้การพัฒนาในพื้นที่ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในส่วนสนามบินอู่ตะเภายังมีความก้าวหน้า เอกชนผู้รับสัมปทานโครงการต่างๆ อาทิ ท่าอากาศยานอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ยังคงเริ่มดำเนินงานในส่วนที่สามารถทำได้ เช่น สำรวจพื้นที่โครงการ และออกแบบโครงการ

ขณะเดียวกันกองทัพเรือและสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ยังหารือในการพัฒนาโครงการอื่นเพื่อรองรับการลงทุนที่คาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลลาย โดยส่วนหนึ่งของแผนพัฒนา สกพอ.มีเป้าหมายดำเนินโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับกิจกรรมพัฒนาพื้นที่ ATZ บนพื้นที่ 500 ไร่ เพื่อรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมการบิน

สำหรับโครงการ ATZ จะรองรับการลงทุนจากเอกชนที่เกี่ยวเนื่องกับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ ศูนย์ซ่อมอากาศยาน (MRO) ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ท่าอากาศยานอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกของอีอีซีเป็นศูนย์กลางการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมอากาศยาน เบื้องต้น สกพอ.อยู่ระหว่างจัดทำแผน คาดว่าจะเริ่มทดสอบความสนใจของนักลงทุน และเชิญชวนนักลงทุนภายในเดือน ก.ย.นี้

"ขณะนี้แผนลงทุนในอีอีซีไม่ได้หยุดชะงัก โดยเฉพาะโครงการพัฒนาในพื้นที่ใหญ่ที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมการบิน โดย สกพอ.ยังมีแผนจะปรับพื้นที่ศูนย์ซ่อมอากาศยานของการบินไทยให้เล็กลง เนื่องจากปัจจุบันการบินไทยยังมีแผนลงทุนโครงการไม่ชัดเจน เพื่อวางแผนเพิ่มพื้นที่ให้เอกชนรายอื่นเข้ามาลงทุนอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง หรือศูนย์ซ่อมอากาศยานใน ATZ"

รายงานข่าวยังระบุด้วยว่า ขณะนี้มีเอกชนสนใจสอบถามเกี่ยวกับการลงทุนศูนย์ซ่อมอากาศยานในพื้นที่ ATZ อย่างต่อเนื่อง เพราะเล็งเห็นว่าภายหลังโควิด-19 คลี่คลายแล้วจะทำให้อุตสาหกรรมการบินกลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากช่วงปี 2563-2564 การเดินทางท่องเที่ยวชะลอตัว โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียจะมีการเดินทางมากที่สุด ซึ่งจะทำให้อุตสาหกรรมการบินฟื้นตัวอย่างก้าวกระโดด นำมาสู่การลงทุนศูนย์ซ่อมอากาศยานเพื่อรองรับ

ทั้งนี้ กองทัพเรือได้ประเมินว่า หาก สกพอ.เร่งผลักดัน ATZ โดยมีการสอบถามความสนใจของนักลงทุนและประกาศเชิญชวนภายในปีนี้ จะทำให้โครงการ ATZ มีการลงทุนและพัฒนาโครงการอย่างเป็นรูปธรรมในอีก 2 ปีข้างหน้า ซึ่งจะสอดคล้องไปกับสถานการณ์โควิด-19 ที่มีท่าทีจะคลี่คลายใน 2565 จากการเร่งฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน และคาดว่าการบินจะกลับมาฟื้นตัวเป็นปกติเช่นเดียวกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ในช่วงปี 2566–2567

"โครงการ ATZ หากมีการพัฒนา คาดว่าจะเพิ่มอัตราการจ้างงานด้านอุตสาหกรรมการบินกว่า 3,000 ตำแหน่ง และส่งเสริมให้อีอีซีเป็นศูนย์กลางด้านการบิน"

ทั้งนี้ความพร้อมของพื้นที่ฐานรากศูนย์ซ่อมอากาศยานที่กองทัพเรือรับผิดชอบในการดำเนินงาน ปัจจุบันกองทัพเรือได้ประกวดราคาจัดหาเอกชนเริ่มงานแล้ว รวม 4 งาน มูลค่ากว่า 1,890 ล้านบาท ประกอบไปด้วย 

1.การจ้างปรับถมดินและส่วนอื่นที่เกี่ยวข้องสำหรับงานก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน มูลค่าโครงการ 660 ล้านบาท 

2.การจ้างควบคุมงานถมดินและอื่นที่เกี่ยวข้องสำหรับงานก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน มูลค่าโครงการ 16.5 ล้านบาท

3.การจ้างปรับพื้นที่สำหรับก่อสร้างทางขับระยะที่ 1 และลานจอดของศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน มูลค่าโครงการ 1,180 ล้านบาท

4.การจ้างควบคุมงานปรับพื้นที่สำหรับก่อสร้างทางขับระยะที่ 1 และลานจอดของศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน มูลค่าโครงการ 29.6 ล้านบาท

ส่วนความคืบหน้าโครงการศูนย์ซ่อมอากาศยานของ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ตามแผนจะพัฒนาบนพื้นที่ราว 210 ไร่ โดยปัจจุบันการบินไทยยังอยู่ระหว่างทบทวนแผนพัฒนา ซึ่งมีเป้าหมายจะปรับการลงทุนให้สามารถรองรับซ่อมอากาศยานหลายรูปแบบ และยังอยู่ระหว่างพิจารณาแนวทางการลงทุน โดยขณะนี้มี 3 ทางเลือก คือ 

1.การบินไทยร่วมทุนกับแอร์บัส 2.การบินไทยลงทุนเองและใช้เทคโนโลยีของทางแอร์บัส 3.หาผู้ร่วมทุนใหม่

นอกจากนี้ การการพัฒนาสนามบินยานอู่ตะเภาให้เป็นสนามบินนานาชาติเชิงพาณิชย์หลักแห่งที่ 3 ของกรุงเทพฯ จะเป็นการเชื่อมโยงการคมนาคมขนส่ง 3 รูปแบบ คือ 1.รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา) 2.ถนน 3.ทางเรือ โดยพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาครอบคลุมบนพื้นที่ 6,500 ไร่ ให้สิทธิบริษัทอู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จํากัด 30 ปี ซึ่งจะเป็นการยกระดับสนามบินอู่ตะเภาเพิ่มการใช้เชิงพาณิชย์ จากเดิมที่เน้นภารกิจด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศ

เชิดพันธ์ โชติคุณ ประธานเจ้าหน้าที่สายช่าง การบินไทย กล่าวก่อนหน้านี้ว่า ตามแผนลงทุนของการบินไทย โครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานจะดำเนินการบนพื้นที่ประมาณ 210 ไร่ เป็นพื้นที่ของกรมธนารักษ์ที่อยู่ในความครอบครองของกองทัพเรือ โดยแบ่งระยะการลงทุนออกเป็น ระยะแรกช่วงปี 2565-2583 จะลงทุนประมาณ 6,400 ล้านบาท โดยการบินไทยลงทุนเอง 2,000 ล้านบาท ที่เหลือจะเป็นการลงทุนของภาคเอกชน เพื่อใช้ในการก่อสร้างโรงซ่อมบำรุง และจัดซื้ออุปกรณ์

ทั้งนี้ จะพัฒนาเพื่อรองรับการซ่อมบำรุงอากาศยานได้ 80-100 ลำ โดยตามแผนเดิมคาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ในปี 2565 มีเป้าหมายสร้างรายได้ในปีแรกอยู่ที่ 400-500 ล้านบาท จากการซ่อมอากาศยาน 10 ลำ และประเมินว่าจะมีการเติบโตของรายได้เฉลี่ยอีกปีละ 2% และในช่วง 50 ปีจะมีรายได้รวม 2 แสนล้านบาท 
#3152


วานนี้ (6 ส.ค.) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวชาวสวิสอย่างมาก ล่าสุดได้ทำจดหมายแสดงความเสียใจไปถึงสถานทูตสวิตเซอร์แลนด์แล้ว ยอมรับว่ากรณีนี้ส่งผลต่อภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทย ไม่ควรเกิดขึ้นในปัจจุบันที่ประเทศไทยเปิดโครงการ "ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์" เปิดเมืองภูเก็ตนำร่องรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วมาเที่ยวแบบไม่กักตัวในช่วงที่โรคโควิด-19 ยังมีการระบาดทั่วโลก ซึ่งกำลังถูกจับตาจากหลายๆ ประเทศในโลกนี้ว่าจะเดินไปได้ขนาดไหน หากสำเร็จ หลายประเทศก็จะเดินตามทำแซนด์บ็อกซ์แบบประเทศไทย หากไม่สำเร็จก็จะนำจุดอ่อนไปแก้ไข

"เรื่องนี้ถือว่าเราผิดพลาดและไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น"

ในฐานะที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นผู้เชิญชวนให้นักท่องเที่ยวเข้ามาร่วมโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ก็ต้องแสดงความรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด รวมทั้งเยียวยาแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต ซึ่งมีกองทุนช่วยเหลือเยียวยานักท่องเที่ยวต่างชาติที่จ่ายเยียวยาให้ได้ภายใต้หลักเกณฑ์สูงสุด 1 ล้านบาท พร้อมดูแลการส่งร่างของผู้เสียชีวิตกลับประเทศ และดูแลญาติผู้เสียชีวิตที่จะเดินทางเข้ามาประเทศไทย

ทั้งนี้ได้รายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ทาง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมรับทราบเมื่อวันที่ 5 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยทางนายกฯกำชับให้ดูแลเรื่องนี้ และสั่งการให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาติดตามเรื่องที่ภูเก็ตด้วยตัวเอง ขณะเดียวกันกระทรวงการท่องเที่ยวฯจะประสานเพื่อขอความร่วมมือกับทางผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ฝ่ายความมั่นคงทั้งตำรวจ ทหาร ให้กำชับเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายร่วมมือกันดูแลความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวอย่างเข้มงวด ไม่ให้เกิดเหตุซ้ำซ้อนอีก

พร้อมขยายผลไปยังพื้นที่นำร่องเปิดรับนักท่องเที่ยวอื่นๆ ทั้งโครงการ "สมุย พลัส โมเดล" ซึ่งเปิดโครงการไปแล้วเมื่อวันที่ 15 ก.ค.ที่ผ่านมา รวมถึงโครงการ "กระบี่ อีเวน มอร์ อะเมซิ่ง" เปิดพื้นที่นำร่อง 3 เกาะใน จ.กระบี่ ได้แก่ เกาะพีพี เกาะไหง และไร่เล และโครงการ "พังงา พร้อมต์" นำร่องด้วยเขาหลัก เกาะยาวน้อย และเกาะยาวใหญ่ จ.พังงา ที่สองโครงการหลังเตรียมเปิดรับนักท่องเที่ยววันที่ 15 ส.ค.นี้ ใช้สูตร 7+7 คือเปิดให้เที่ยวเชื่อมโยงจากภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์สู่พื้นที่นำร่องในสุราษฎร์ธานี กระบี่ และพังงา คาดเริ่มเห็นนักท่องเที่ยวเดินทางเชื่อมโยงจริงตั้งแต่ 22 ก.ค.นี้เป็นต้นไป

"ผมจะโทรศัพท์ประสานไปยังผู้ว่าราชการทั้ง 3 จังหวัด ได้แก่ สุราษฎร์ธานี กระบี่ และพังงา ให้ช่วยดูแลเรื่องความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวด้วย เพราะถือเป็นเรื่องสำคัญของประเทศไทย รวมทั้งจะหารือกับนายกฯเพื่อยกระดับความปลอดภัยให้สูงขึ้น เพราะหากภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ไม่สะดุดกลางคัน คาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะเข้ามาในช่วงไฮซีซั่นไตรมาส 4 ปีนี้และไตรมาส 1 ปี 2565 เพิ่มมากขึ้น สร้างรายได้ท่องเที่ยวแก่จังหวัดภูเก็ตมากกว่าเดือน ก.ค.ที่นักท่องเที่ยวนำเงินมาใช้จ่าย 829 ล้านบาท สร้างเงินหมุนเวียนราว 2,000 ล้านบาท" รมว.การท่องเที่ยวฯกล่าว
#3153


 หลังจากที่ชานนท์ เรืองกฤตยา ซีอีโอ อนันดา แถลงข่าวยื่นอุทรณ์คำพิพากษาคดีเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างต่อศาลปกครองสูงสุดภายใน 30 วัน และ หลังจากที่ชานนท์ เรืองกฤตยา ซีอีโอ อนันดา แถลงข่าวยื่นอุทรณ์คำพิพากษาคดีเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างต่อศาลปกครองสูงสุดภายใน 30 วัน และคาดว่ากระบวนการทางศาลจะใช้เวลา 3-5 ปี นั้น ยังไม่ได้สร้างความมั่นใจให้กับลูกบ้านถึงมาตรการ ความช่วยเหลือที่อนันดาจะดำเนินการให้กับลูกบ้าน กรณีหากถูกตัดสินให้เพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้าง 

  ดังนั้นล่าสุด ตัวแทนท่านเจ้าของร่วมและผู้พักอาศัย แอชตัน อโศก จึงได้ส่งจดหมายให้สื่อมวลชนเข้ารับฟังถึงผลกระทบที่ลูกบ้านจะได้รับผลกระทบจากคำสั่งศาลปกครองกลาง ในวันอังคารที่10 ส.ค.นี้ ผ่านทางเฟซบุ๊ก   โดยมีเนื้อหาดังนี้    

                                                                                               วันที่ 6  สิงหาคม 2564  
เรื่อง  ขอเชิญสัมภาษณ์กลุ่มตัวแทนท่านเจ้าของร่วมและผู้พักอาศัย แอชตัน อโศก คอนโดมิเนียม เรียน  ท่านสื่อมวลชนทุกท่าน

          ตามที่มีการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับคำพิพากษาของศาลปกครองกลางเกี่ยวกับการเพิกถอนใบอนุญาตโครงการ แอชตัน อโศกที่ดำเนินการ โดยบริษัทอนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัดถึงแม้ว่าทางบริษัทอนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ได้เรียนแจ้งกับทางลูกบ้านว่าเป็นเพียงคำตัดสินของศาลปกครองกลางในศาลชั้นต้นเท่านั้น ยังไม่มีผลกระทบต่อการอยู่อาศัยของท่านเจ้าของร่วมแต่อย่างใด และผู้บริหารโครงการของบริษัทอนันดา  ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)ก็ได้ยืนยันว่า ได้ดำเนินการอย่างถูกต้องตามขั้นตอนของกฏหมายทุกประการ    

      ในนามของตัวแทนของท่านเจ้าของร่วมและผู้พักอาศัยทุกท่านของโครงการ แอชตัน อโศก ขอเรียนชี้แจงว่า ถึงแม้กระบวนการทางกฏหมายจะยังไม่สิ้นสุด แต่บัดนี้ทางลูกบ้านได้รับผลกระทบต่างๆแล้วทางกลุ่มตัวแทนเจ้าของร่วมและผู้พักอาศัยแอชตัน อโศก คอนโดมิเนียม ใคร่ขอเรียนเชิญ สื่อมวลชนทุกท่านรับฟังแถลงข่าวการเปิดใจครั้งแรกของกลุ่มตัวแทนลูกบ้านพร้อมร่วมสัมภาษณ์ในประเด็นเกี่ยวกับผลกระทบที่ลูกบ้านแอชตัน อโศกได้รับและกำลังเผชิญในขณะนี้  ในวันอังคารที่10 สิงหาคม 2564  ตั้งแต่เวลา 14.00น.เป็นต้นไปผ่านช่องทางการถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ"ลูกบ้านแอชตันอโศกที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งศาลปกครองกลาง "  โดยท่านสามารถพิมพ์ข้อความหรือความสงสัยเข้ามาเพื่อสัมภาษณ์ได้ผ่านการถ่ายทอดสดดังกล่าว


      ในนามของตัวแทนของท่านเจ้าของร่วมและผู้พักอาศัยทุกท่านของโครงการ แอชตัน อโศก  หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีโอกาสได้ต้อนรับทุกท่านในครั้งนี้และขอขอบคุณล่วงหน้ามาณ โอกาสนี้             

                                                                       ขอแสดงความนับถือ


                                                               ตัวแทนท่านเจ้าของร่วมและผู้พักอาศัย                  

                                                                     แอชตัน อโศก คอนโดมิเนียม 
#3154
ให้ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับสถาณการ์โควิท สำหรับผู้ป่วยโควิท และ ประชาชนทั่วไป ร่วมกันช่วยเหลือคนที่ได้รับความเดือนร้อนจากโควิด19  ให้ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับสถาณการ์โควิท สำหรับผู้ป่วยโควิท และ ประชาชนทั่วไป

 ให้ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับสถาณการ์โควิท สำหรับผู้ป่วยโควิท และ ประชาชนทั่วไป ร่วมกันช่วยเหลือคนที่ได้รับความเดือนร้อนจากสถานการณ์โควิดได้ที่  www.jitasa.care

เว็บ JITASA.CARE จิตอาสาดูแลไทย (สำหรับอาสาสมัคร)  ร่วมกันช่วยเหลือคนที่ได้รับความเดือนร้อนจากโควิด19

เว็บ ร่วมกันช่วยเหลือคนที่ได้รับความเดือนร้อนจากโควิด19  ให้ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับสถาณการ์โควิท สำหรับผู้ป่วยโควิท และ ประชาชนทั่วไป
.
สายด่วนสถานการณ์โควิด-19, ข้อมูลการติดต่อหน่วยงานสถานการณ์โควิด (กรุงเทพมหานคร),แนวทางปฏิบัติในการแยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation),
แนวทางการจัดการศพผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19

และ ข้อมูลติดต่อฉุกเนิน ต่างๆเช่น

-สายด่วนกรมการแพทย์ ช่วยเหลือผู้ป่วยในการหาเตียง โทร 1668
-สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ สำหรับผู้ป่วยฉุกเฉินทันที /โทร 1669
-สายด่วน สปสช. ช่วยเหลือผู้ติดเชื้อที่ยังไม่ได้รับการดูแลรักษาในโรงพยาบาล โทร 1330
-ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน โทร 1111
-สบายดีบอต หาเตียง Line Official: https://bit.ly/Covid-SaBaiDee
-กรุงเทพมหานคร Line ID: @bkkcovid19connect หรือ https://bit.ly/Covid-BKK
-เราต้องรอด Facebook: www.facebook.com/savethailandsafe Line ID: @iwillsurvive หรือ https://bit.ly/ Covid-iwillsurvive
-โควิดติดล้อถึงเตียง Facebook: www.facebook.com/CC.Kontumngan


และข้อมูลอื่นๆ คลิก JITASA.CARE 

รายละเอียดเพิ่มเติม
https://pantipmart.com/?p=437


คำค้น
#ช่วยเหลือโควิท, #ร่วมกันช่วยเหลือคนเดือดร้อนจากโควิท19, สายด่วน สถานการณ์โควิด-19, ข้อมูลการติดต่อหน่วยงานสถานการณ์โควิด,
แนวทางปฏิบัติในการแยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation), แนวทางการจัดการศพผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19
#3155


โมเดอร์นา อิงค์ เปิดเผยในวันพฤหัสบดี (5 ส.ค.) ว่า วัคซีนโมเดอร์นา ยังคงประสิทธิภาพวัคซีนป้องกันโควิด-19 ประมาณ 93% หลังฉีดโดสแล้ว 4 - 6 เดือน หรือกล่าวได้ว่า แทบไม่เปลี่ยนแปลงตามที่เคยเผยผลทดลองทางคลินิกครั้งแรก 94% 

เมื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพวัคซีนคู่แข่ง อย่าง ไฟเซอร์ - ไบออนเทค ที่เผยผลการทดลองครั้งใหม่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ชี้ว่า วัคซีนไฟเซอร์มีประสิทธิภาพลดลงประมาณ 6% ในทุกๆ 2 เดือน หรือลดลงเหลือประมาณ 84% หลังจากที่ฉีดโดสสองแล้ว 6 เดือน 

วัคซีนโมเดอร์นากับวัคซีนไฟเซอร์ ทั้งคู่เป็นเทคโนโลยี messenger RNA (mRNA)

สเตฟาน บันเซล ซีอีโอของโมเดอร์นา กล่าวว่า วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของโมเดอร์นา กำลังแสดงให้เห็นประสิทธิภาพที่สูงถึง 93% ตลอด 6 เดือน แต่ตระหนักดีว่า สายพันธุ์เดลตาเป็นภัยคุกคามใหม่ที่สำคัญ ดังนั้นเราต้องระมัดระวังตัว 

อย่างไรก็ตาม บัลเซล แนะนำว่า จำเป็นต้องฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้นก่อนฤดูหนาว เนื่องจากระดับแอนติบอดีมีแนวโน้มลดลง 


นายบันเซล กล่าวว่า บริษัทจะไม่ผลิตวัคซีนโมเดอร์นา ไปมากกว่าที่บริษัทตั้งเป้าไว้ 800 - 1,000 ล้านโดสในปีนี้

"ขณะนี้ โมเดอร์นาจำกัดกำลังการผลิตในปี 2564 และเราจะไม่รับคำสั่งซื้อเพิ่มเติมสำหรับการส่งมอบวัคซีนโควิด-19 ในปี 2564" ซีอีโอโมเดอร์นา กล่าว

มีรายงานว่า วันนี้หุ้นโมเดอร์นาร่วงลง 3.6% สู่ระดับ 403.87 ดอลลาร์ ในการซื้อขายก่อนเปิดตลาดหลังจากปิดที่ 419.05 ดอลลาร์ในวันพุธที่ผ่านมา
#3156


นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า บริษัทฯ ขอแจ้งให้ทราบว่า ในวันที่ 5 ส.ค.2564 บริษัทฯ ในฐานะผู้ทำคำเสนอซื้อในการเข้าทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่เหลือทั้งหมดของ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH ได้ยื่นแบบรายงานผลการซื้อหลักทรัพย์ของ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (แบบ 256-2) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แล้ว

ตามที่ บริษัทฯ ได้ทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์โดยสมัครใจแบบมีเงื่อนไขก่อนการทำคำเสนอซื้อ (Conditional Voluntary Tender Offer) ของ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 2,599,720,233 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 81.07 ของหุ้นที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของกิจการ และคิดเป็น 81.07% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ (ไม่รวมหุ้นสามัญของกิจการที่ผู้ทำคำเสนอซื้อถืออยู่เป็นจำนวน 606,878,314 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 18.93% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของกิจการ) โดยมีกำหนดระยะเวลาการรับซื้อทั้งสิ้น 25 วันทำการ ตั้งแต่วันที่ 29 มิ.ย. - 4 ส.ค.2564 นั้น

เพื่อให้เป็นไปตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทจ. 12/2554 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ ลงวันที่ 13 พ.ค.2554 (รวมทั้งที่ได้แก้ไขเพิ่มเติม) ผู้ทำคำเสนอซื้อขอนำส่งแบบรายงานผลการซื้อหลักทรัพย์ของกิจการ (แบบ 256-2) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อทราบและเป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของกิจการในครั้งนี้

โดยหุ้นที่บริษัทฯ ถืออยู่ก่อนทำคำเสนอซื้ออยู่ที่ 606,878,314 หุ้น หรือ 18.93% หุ้นที่เสนอซื้อ 2,599,720,233 หุ้น หรือ 81.07% ส่วนหุ้นที่มีผู้แสดงเจตนาขายอยู่ที่ 747,874,638 หุ้น หรือ 23.32% ส่งผลให้หุ้นที่รับซื้อไว้อยู่ที่ 747,874,638 หุ้น หรือ 23.32% ดังนั้น จำนวนหลักทรัพย์ที่บริษัทฯ จะถือภายหลังการรับซื้อจะอยู่ที่ 1,354,752,952 หุ้น หรือ 42.25%

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ข้อมูลผู้ถือหุ้นใหญ่ INTUCH ณ วันที่ 23 ก.พ.2564 ได้แก่ 

1. SINGTEL GLOBAL INVESTMENT PTE. LTD. 673,348,264 หุ้น 21.00%

2. บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) 505,918,114 หุ้น 15.78%

3. บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 463,009,866 หุ้น 14.44%

4. THE HONGKONG AND SHANGHAI BANKING CORPORATION LIMITED 166,753,460 หุ้น 5.20%

5. SOUTH EAST ASIA UK (TYPE C) NOMINEES LIMITED 45,803,886 หุ้น 1.43%

6. สำนักงานประกันสังคม 43,645,100 หุ้น 1.36%

7. STATE STREET EUROPE LIMITED 33,219,794 หุ้น 1.04%

8. THE BANK OF NEW YORK MELLON 31,611,600 หุ้น 0.99%

9. นาย เพิ่มศักดิ์ เก่งมานะ 31,023,100 หุ้น 0.97%

10. GIC PRIVATE LIMITED 21,620,700 หุ้น 0.67%

ส่งผลให้ภายหลังเทนเดอร์ GULF จะขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นเบอร์ 1 ของ INTUCH
#3157


รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งว่า ได้รับรายงานการจำหน่าย หุ้นของ บริษัท โซลาร์ตรอน จำกัด (มหาชน) หรือ SOLAR โดยนายศึกษิต เพชรอำไพ ซึ่งเป็นการจำหน่าย เมื่อวันที่ 2 ส.ค.2564จำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่าย คิดเป็น 9.189% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ส่งผลให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่าย คิดเป็น 0% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

ส่วนจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่าย ของกลุ่มคิดเป็น 9.189% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ส่งผลให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่าย ของกลุ่มคิดเป็น 0% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

ทั้งนี้เป็นการทำธุรกรรมผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) และยื่นแบบรายงานต่อ ก.ล.ต.วันที่ 5 ส.ค. จำนวนหุ้นที่จำหน่าย 50 ล้านหุ้น หรือ 9.189%

นอกจากนี้ ก.ล.ต.ยังได้รับรายงานการจำหน่าย หุ้นของ บริษัท โซลาร์ตรอน จำกัด (มหาชน) โดยนายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ซึ่งเป็นการจำหน่าย เมื่อวันที่ 2 ส.ค.2564 จำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่าย คิดเป็น 5.5134% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ส่งผลให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่าย คิดเป็น 0.0029% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

ส่วนจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่าย ของกลุ่มคิดเป็น 5.5134% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ส่งผลให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่าย ของกลุ่มคิดเป็น 0.0029% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ
#3158


บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนเอไอเอ (ประเทศไทย) จำกัด นำโดย นายสุขวัฒน์ ประเสริฐยิ่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เป็นตัวแทนรับมอบรางวัล Best New Asset Management Company Thailand ประจำปี 2564 ในหมวด Fund & Asset Management Newcomer Awards จาก Global Banking & Finance Review สื่อการเงินการลงทุนชั้นนำแห่งประเทศอังกฤษ โดยรางวัลดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและความเชี่ยวชาญพร้อมด้วยประสบการณ์ในด้านการลงทุนของบลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) แม้จะเป็นบลจ. ใหม่ในอุตสาหกรรม โดย บลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) เป็นผุ้บริหารเงินลงทุนให้แก่กลุ่มบริษัท เอไอเอ ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทประกันชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในโลก[1] ผ่านความเชี่ยวชาญด้านการลงทุนใน 18 ประเทศทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เสริมด้วยเครือข่ายทางธุรกิจระดับโลก พร้อมทั้งพันธมิตรผู้จัดการกองทุนที่มีชื่อเสียงในระดับสากล

ทั้งนี้ บลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) เริ่มประกอบธุรกิจในปี พ.ศ. 2563 ถือหุ้นโดยกลุ่มบริษัทเอไอเอ ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลก ด้วยวิสัยทัศน์ที่ว่า "เราลงทุนเคียงข้างลูกค้า บริหารจัดการสินทรัพย์ผ่านความชำนาญและประสบการณ์ระดับโลก เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวให้กับผู้ลงทุน" ปัจจุบัน บลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารประมาณ 800,000 ล้านบาท อันรวมถึงกองทุนรวม และกองทุนส่วนบุคคล ซึ่งถือเป็นบลจ. ที่มีขนาดใหญ่ใน 5 อันดับแรกของอุตสาหกรรมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน[2] (ข้อมูล ณ เดือนพฤษภาคม 2564)
#3159


นายอัฏฐ์ ทองใหญ่ อัศวานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็กซ์สปริง ดิจิทัล จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทในฐานะผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัลในประเทศไทย (ICO Portal) ที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เตรียมเสนอขายโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนตัวแรกของไทย "สิริฮับ" หรือโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนสิริฮับ (SiriHub Investment Token) มูลค่าเสนอขาย 2,400 ล้านบาท โดยปัจจุบันได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต.ให้เสนอขายโทเคนดิจิทัลต่อประชาชนอย่างเป็นทางการแล้วในวันที่ 29 ก.ค.2564 ที่ผ่านมา โดยคาดว่าจะเปิดให้จองซื้อและเข้าซื้อขายบนตลาดรองภายในปีนี้

โครงการสิริฮับ เป็นการลงทุนในกระแสรายรับค่าเช่าของกลุ่มอาคารสำนักงาน สิริ แคมปัส ซึ่งมีบมจ.แสนสิริ (SIRI) เป็นผู้เช่าระยะยาวเต็มพื้นที่ 100% โดยโครงการดังกล่าวตั้งอยู่ภายในพื้นที่ T77 ของบริษัท เอสพีวี 77 จำกัด สัญญาเช่าระยะยาว 12 ปี ค่าเช่าปีละ 149.4 ล้านบาท ขณะที่โครงการเสนอขายโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนสิริฮับ มีอายุโครงการ 4 ปี ดังนั้นนักลงทุนจึงมั่นใจได้ว่าโครงการนี้จะมีรายรับที่ต่อเนื่อง


ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

สำหรับการเสนอขายโทเคนดิจิทัลในครั้งนี้ จะแบ่งเสนอขายทั้งหมด 2 ชุดอายุ ได้แก่ 1. สิริฮับ A (SiriHubA) จำนวน 160 ล้านโทเคน มูลค่า 1,600 ล้านบาท กำหนดส่วนแบ่งรายได้รายไตรมาสที่ 4.5% ต่อปี โดยนักลงทุนจะได้รับส่วนแบ่งรายได้จากการจำหน่ายทรัพย์สินเมื่อสิ้นสุดอายุโครงการจำนวนไม่เกิน 1,600 ล้านบาท 

2. สิริฮับ B (SiriHubB) จำนวน 80 ล้านโทเคน มูลค่า 800 ล้านบาท ส่วนแบ่งรายได้ 8% ต่อปี นักลงทุนจะได้รับส่วนแบ่งรายได้สูงถึง 8% ต่อปี และยังได้รับส่วนแบ่งรายได้จากการจำหน่ายทรัพย์สินโครงการเมื่อสิ้นสุดอายุโครงการเฉพาะส่วนเกิน 1,600 ล้านบาทเป็นต้นไป

การประเมินมูลค่าทรัพย์สินจากผู้ที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงาน ก.ล.ต. จำนวน 2 ราย คาดการณ์ว่าในอนาคตอีก 4 ปีข้างหน้า มูลค่าตลาดของโครงการนี้จะมีมูลค่าประมาณ 2,600 ล้านบาท

"เรากำหนดมูลค่าจองซื้อขั้นต่ำเพียง 10 บาทต่อ 1 โทเคน เพื่อกระจายโอกาสให้นักลงทุนทุกกลุ่มสามารถลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณภาพและมีมูลค่าโครงการระดับพันล้านบาทได้ ในขณะเดียวกันยังมีโอกาสได้รับส่วนแบ่งรายได้ที่ดีและสม่ำเสมอเป็นรายไตรมาส"

นายอัฏฐ์ กล่าวว่า ในการเสนอขายโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนสิริฮับครั้งนี้ ถูกรองรับด้วยเทคโนโลยีระบบบล็อกเชน (Blockchain) ของเทโซส (Tezos) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มบล็อกเชนที่ทันสมัยที่สุดถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการระดมทุนในรูปแบบของโทเคนดิจิทัลที่มีสินทรัพย์อ้างอิงโดยเฉพาะ ทำให้ระบบดังกล่าวมีความปลอดภัยสูง 

สำหรับรายละเอียดวันที่เปิดให้จองซื้อและวันที่เข้าซื้อขายในตลาดรอง บริษัทจะแจ้งให้นักลงทุนอีกครั้ง เพราะจะต้องได้รับการอนุมัติจากก.ล.ต.ให้แบบแสดงรายการข้อมูลเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) มีผลบังคับใช้ก่อน แต่เบื้องต้นนักลงทุนสามารถลงทะเบียนในแอพพลิเคชั่น "XSpring" ซึ่งเป็นช่องทางที่บริษัทจะเปิดให้จองซื้อโทเคนดิจิทัลได้แล้ววันนี้ ทั้งในระบบ iOS และ Android เพื่อเปิดบัญชีและยืนยันตัวตนใช้บริการ ซึ่งจะต้องผูกกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์(e-Wallet) ไว้สำหรับการรับเงินปันผล

ทั้งนี้คาดว่าจะเปิดให้จองซื้อประมาณ 10 วันทำการนับตั้งแต่วันที่เริ่มขาย แต่สามารถปิดขายได้ก่อนกำหนด หากกระจายได้ครบจำนวนแล้วและจะดำเนินการตั้งกองทรัสต์หลังจากปิดการขายภายใน 15 วันทำการ ก่อนจะนำโทเคนดังกล่าวเข้าไปซื้อขายในตลาดรองของพันธมิตรบริษัท อีอาร์เอ็กซ์ จำกัด ซึ่งเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับใบอนุญาตการประกอบธุรกิจเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลจากกระทรวงการคลัง และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. โดยอีอาร์เอ็กซ์จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลในตลาดรอง
#3160


นายวุฒิภูมิ จุฬางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOK เปิดเผยว่า ตามที่ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งให้บริษัทฯ ฟื้นฟูกิจการและแต่งตั้งผู้ทำแผนตามที่บริษัทเสนอเมื่อวันที่ 4 พ.ย.2563 และบริษัทได้นำส่งแผนฟื้นฟูกิจการในวันที่ 17 พ.ค.2564 แล้วนั้น บริษัทใคร่ขอรายงานว่า ในวันนี้ (4 ส.ค.) เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีการจัดการประชุมเจ้าหนี้ของบริษัทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และที่ประชุมได้มีมติตามมาตรา 90/46 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม)

โดยมีเจ้าหนี้ที่มีจำนวนหนี้รวมกันในสัดส่วนร้อยละ 76.72 ของจำนวนหนี้ของเจ้าหนี้ทั้งหมดที่เข้าร่วมประชุมและออกเสียงลงคะแนน ลงมติยอมรับแผนฟื้นฟูกิจการที่ผู้ทำแผนได้ยื่นต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เมื่อวันที่ 17 พ.ค.2564 และคำร้องขอแก้ไขแผนฟื้นฟูกิจการจำนวน 1 ฉบับที่บริษัทได้ยื่นต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์รัพย์เมื่อวันที่ 30 ก.ค.2564 ส่งผลให้บริษัทฯ จะมีผู้บริหารแผนที่ถูกนำเสนอดังนี้

1. นายวุฒิภูมิ จุฬางกูร

2. นายไต้ ชอง อี

3. นายปริญญา ไววัฒนา

4. นายชวลิต อัตถศาสตร์