• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Chanapot

#3161


นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด บริษัทด้านวิจัยเครือแอล.พี.เอ็น. กล่าวถึงแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ว่า จากการสำรวจของ "ลุมพินี วิสดอม" หากรัฐบาลสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ภายในไตรมาส 3 นี้ จะทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ ทยอยเปิดตัวโครงการใหม่ได้ใน ไตรมาส 3-4 ส่งผลการปิดโครงการใหม่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ปีนี้ อยู่ที่ 52,000-60,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 265,000-300,000 ล้านบาท อยู่ในภาวะ "หดตัว" 5% ถึง "ขยายตัว" 8% เมื่อเทียบกับปี 2563

แต่หากรัฐบาลไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ในปีนี้ คาดการณ์ตลาดที่อยู่อาศัย ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะมีจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยที่เปิดตัวใหม่อยู่ที่ 45,000-52,000 ยูนิต มูลค่า 225,000-265,000 ล้านบาท หดตัว 5-20% เป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ต่อจากปี 2563

"ถ้ารัฐบาลคุมสถานการณ์แพร่ระบาดได้ในไตรมาส 3 สามารถเร่งนำเข้าและฉีดวัคซีนได้ตามแผนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศ ขณะที่ภาคการส่งออกและภาคการผลิตยังคงเติบโตได้ต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐดำเนินการได้ตามแผน และอัตราดอกเบี้ยต่ำ จะทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยมีโอกาสกลับมาฟื้นตัว"

ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา มีที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล 23,551 ยูนิต ลดลง 18% คิดเป็นมูลค่า 130,051 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 จำนวนหน่วยการเปิดตัวลดลง แต่มูลค่าสูงขึ้นเนื่องจากมีการเปิดตัวโครงการ The Forestias ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 45,000 ล้านบาท ของบริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ในไตรมาส 2 ทำให้มูลค่าการเปิดตัวโครงการอสังหาฯ โดยรวมในครึ่งปีแรก 2564 "สูง" เมื่อเทียบกับจำนวนหน่วยที่เปิดที่ลดลง

จากหน่วยเปิดตัวทั้งหมด 23,551 ยูนิต เป็นโครงการอาคารชุด 9,235 ยูนิต เพิ่มขึ้น 4% มูลค่า 55,616 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 77% เทียบช่วงเดียวกันของก่อน มีอัตราขายได้เฉลี่ย 29% สูงกว่าปีที่ผ่าน เนื่องจากการบังคับใช้มาตรการด้านสินเชื่อ (แอลทีวี) จึงเกิดแรงกดดันต่อการตัดสินใจซื้อ บวกกับความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถานบันการเงินที่เพิ่มมากขึ้น


ขณะที่การเปิดตัวโครงการบ้านพักอาศัยช่วงครึ่งแรกของปี 2564 มีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2563 แต่ยังคงมีจำนวนยูนิตและมูลค่าที่มากกว่าอาคารชุด คิดเป็นสัดส่วน 61% ของหน่วยเปิดตัวทั้งหมด โดยมีการเปิดตัวโครงการบ้านพักอาศัย 14,316 ยูนิต มูลค่า 74,435 ล้านบาท ในครึ่งปีแรก หดตัว 28% และ 18% ตามลำดับเมื่อเทียบช่วงเดียวกันปี 2563 แม้การเปิดตัวจะหดตัวลงแต่บ้านพักอาศัย มีอัตราขายได้เฉลี่ย 13% ใกล้เคียงปีก่อน

โดยโครงการบ้านพักอาศัยแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ "ทาวน์เฮ้าส์" ได้รับความสนใจต่อเนื่อง ด้วยสถานการณ์โควิดทำให้ต้องการพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้น คำนึงถึงระยะห่างทางสังคมมากขึ้น และมองหาที่อยู่อาศัยในราคาที่จับต้องได้ ทาวน์เฮ้าส์ จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ โดยมีการเปิดตัวทาวน์เฮ้าส์ใหม่ 8,568 ยูนิต มูลค่า 25,267 ล้านบาท หดตัว 35% และ 33% ตามลำดับ เทียบช่วงเดียวกันปี 2563 มีอัตราขายได้เฉลี่ย14 %

"บ้านเดี่ยว" เปิดตัวใหม่ครึ่งปีแรก 2,984 ยูนิต มูลค่า 33,499 ล้านบาท หดตัว 31% และ 16% ตามลำดับ เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน มีอัตราขายได้เฉลี่ย 11% สูงขึ้นกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปี 2563 เนื่องด้วยเป็นสินค้าที่มีราคาขายค่อนข้างสูง และสถานการณ์เศรษฐกิจอาจไม่ได้มีผลกระทบกับกลุ่มลูกค้าในระดับนี้มากนัก

สุดท้าย "บ้านแฝด" ได้รับความสนใจมากขึ้น อัตราขายได้เฉลี่ย 12% ด้วยรูปแบบบ้านที่ถูกพัฒนาให้ใกล้เคียงบ้านเดี่ยว ราคาขายเฉลี่ย 5-8 ล้านบาท จึงเป็นทางเลือกที่ดี โดยครึ่งปีแรกเปิดตัวใหม่ 2,764 ยูนิต มูลค่า 15,669 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% และ 26% เทียบช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา

ในครึ่งแรกของปี 2564 คอนโดมิเนียม ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท (Affordable Price) มีส่วนแบ่งการตลาดมากถึง 70% จากยูนิตที่ขายได้ของคอนโดมิเนียม ขณะที่ บ้านพักอาศัย อย่าง ทาวน์เฮ้าส์ บ้านแฝด ระดับราคาขายทรงตัว
#3162


นายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในพิธีเปิดงานประชุมวิชาการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 14 พ.ศ. 2564 Beyond COVID - 19 Crisis : A Decade of Health Transformation (ก้าวผ่านวิกฤตโควิด-19 สู่ทศวรรษแห่งการปฏิรูประบบสุขภาพ) ผ่านระบบประชุมทางไกล ในการประชุมดังกล่าว มีการประกาศผลรางวัลและเชิดชูเกียรติบุคคลและองค์กรดีเด่น โดย กฟผ. ได้รับรางวัลสูงสุด ประเภทองค์กรดีเด่น ด้านการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม Princess Health Award 2021 จากกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งจะได้รับพระราชทานเหรียญรางวัลจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในภายหลัง

นายบุญญนิตย์ กล่าวว่า รางวัลดังกล่าว เกิดจากความร่วมมือของทุกเครือข่าย นับตั้งแต่หน่วยงานกำกับดูแล ชุมชน สังคม สื่อมวลชนที่ได้ติดตามให้ข้อเสนอแนะการดำเนินงานของ กฟผ. ตลอดจนความร่วมมือ ในการขับเคลื่อนการสร้างสุขภาวะที่ดีเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต และสร้างความสุขที่ยั่งยืนให้กับคนไทย ผ่านโครงการปลูกป่า กฟผ. โครงการชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยังยืน โครงการแว่นแก้ว รวมทั้งกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพต่าง ๆ อาทิการจัดงานวิ่ง งานแข่งจักรยาน และการสนับสนุนกีฬาต่าง ๆ ในระดับประเทศ

โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 นับตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา กฟผ. ได้ร่วมมือกับทุกภาคส่วน สนับสนุนการกู้วิกฤตตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นับตั้งแต่ความพยายามลดการระบาดของโรค การป้องกัน การรักษา เยียวยา

โดยเริ่มจากการดูแลพนักงาน เน้นการรักษาตัวเพื่อรักษาหน้าที่ เพื่อให้สามารถนำศักยภาพขององค์กรมาเร่งสนับสนุนในทุก ๆ ด้านอย่างสุดกำลัง อาทิ ผลิตเจลอนามัยน้ำใจ กฟผ. ผลิตตู้ตรวจโควิดกว่า 600 ตู้ ผลิตชุดหมวกป้องกันเชื้อ PAPR กว่า 1,000 ชุด

รวมทั้งจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์สนับสนุนการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม-ศูนย์พักคอย ระดมทุนจัดหาเตียงสนามและสิ่งของจำเป็นอีก 3,500 ชุด ร่วมสนับสนุนการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน เป็นต้น เพื่อร่วมสร้างพลังให้ทุกภาคส่วนสามารถฝ่าฟันและผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้โดยเร็วที่สุด

ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่า ทุกความมุ่งมั่นที่ กฟผ. ได้ดำเนินการเพื่อสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อม ล้วนสำเร็จได้จากแรงกายแรงใจจากทุกภาคส่วน กฟผ. จึงขอขอบคุณและขอมอบรางวัลนี้เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้มีส่วนร่วม ตลอดจนคนไทยทุกคนที่คอยเป็นแรงใจให้ กฟผ. ซึ่งเป็นของคนไทย ได้ทำเพื่อคนไทยทุกคน
#3163


รายงานข่าวจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ ร.ฟ.ท.ได้เปิดขายซองเอกสารเสนอราคาเพื่อให้เอกชนเขข้ามาเสนอราคาค่าเช่าที่ดิน เพื่อใช้ประโยชน์ตามศักยภาพของพื้นที่เป็นการชั่วคราว สำหรับที่ดินของ ร.ฟ.ท. 3 แปลง คือ บริเวณใต้ตอม่อทางยกระดับรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงค์ ที่ระหว่างสถานีมักกะสัน – คลองตัน มี 2 แปลง และบริเวณย่านสถานีชุมทางตลิ่งชัน อีก 1 แปลง รวมพื้นที่กว่า 4.5 พันตารางเมตร

"การรถไฟฯ มีเป้าหมายที่จะหารายได้เชิงพาณิชย์จากการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีรถไฟ นอกจากแผนการพัฒนาที่ดินแปลงใหญ่เป็นคอมมูนิตี้มอลล์แล้ว ที่ดินที่มีศักยภาพตามสถานีรถไฟต่างๆ การรถไฟฯ ก็จะนำมาพิจารณาเปิดให้เอกชนร่วมเสนอราคาเช่า ซึ่งส่วนใหญ่จะให้เช่าระยะสั้น 3 ปี เป็นการเช่าชั่วคราวเพื่อรอให้บริษัทลูก บริษัทพัฒนาสินทรัพย์ของการรถไฟฯ เข้ามาบริหารภาพรวมทั้งหมด"


สำหรับการประกาศเชิญชวนเอกชนเสนอราคาเช่าที่ดินทั้ง 3 แปลงนี้ เบื้องต้นได้ขายซองครบแล้ว และจะทยอยเปิดให้เอกชนยื่นข้อเสนอซองราคา ส่วนแรกเป็นที่ดินย่านสถานีชุมทางตลิ่งชัน เปิดให้เสนอราคาวันที่ 19 ส.ค.นี้ หลังจากนั้นจะเปิดให้เสนอราคาแปลงสถานีมักกะสัน - คลองตัน ในวันที่ 27 ส.ค.2564 และสถานีมักกะสัน - คลองตัน 2 แปลง ในวันที่ 31 ส.ค.2564

ทั้งนี้ที่ดินของ ร.ฟ.ท.ที่นำมาเปิดประกวดราคาครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 1.บริเวณใต้ตอม่อทางยกระดับรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงค์ ที่ระหว่างสถานีมักกะสัน – คลองตัน พื้นที่ให้เช่าทั้งสิ้น 1,047.48 ตารางเมตร 2.บริเวณใต้ตอม่อทางยกระดับรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงค์ ที่ระหว่างสถานีมักกะสัน – คลองตัน 2 แปลง พื้นที่ให้เช้า 2 แปลง รวมทั้งสิ้น 2,829.30 ตารางเมตร และ 3.บริเวณย่านสถานีชุมทางตลิ่งชัน พื้นที่ให้เช่าทั้งสิ้น 636.78 ตารางเมตร

รายงานข่าวยังระบุด้วยว่า หากการจัดตั้งบริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด หรือ บริษัท รถไฟพัฒนาสินทรัพย์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกบริหารสินทรัพย์ของ ร.ฟ.ท.แล้วเสร็จ จะมีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง ร.ฟ.ท.และบริษัทลูก เพื่อโอนงานหรือโอนทรัพย์สินที่ดินของ ร.ฟ.ท.ที่มีอยู่ราว 3.8 หมื่นไร่ มอบให้บริษัทลูกนำไปดูแล บริหารและพัฒนาต่อ โดยคาดว่าบริษัทลูกจะหารายได้ผลตอบแทนให้ ร.ฟ.ท.ภายในระยะเวลา 30 ปี กว่า 6.3 แสนล้านบาท

สำหรับแผนโอนสินทรัพย์ของ ร.ฟ.ท.ให้บริษัทลูกบริหารนั้น จะแบ่งระยะในการถ่ายโอนงาน เนื่องจากบริษัทลูกจัดตั้งใหม่หากโอนงานไปทั้งหมดอาจหนักเกินกว่าบุคลากรที่มีอยู่ เบื้องต้น ร.ฟ.ท.ทำแผนถ่ายโอนงาน กำหนดเป็น ระยะที่ 1 โอนงานส่วนที่เป็นสัญญาเช่าในปัจจุบัน จำนวนกว่า 1.5 หมื่นสัญญา ระยะที่ 2 โอนงานที่ดินเปล่ายังไม่มีสัญญาเช่า

โดยรายได้ของบริษัทลูก จะมาจาก 3 ส่วน คือ 1. รายได้จากค่ารับจ้างบริหารสัญญาเช่าเดิมจำนวน 1.5 หมื่นสัญญา โดยสินทรัพย์ทั้งหมดยังคงเป็นของ ร.ฟ.ท. 2. รายได้จากการให้เช่าช่วง ร่วมทุน หรือพัฒนาที่ดินเดิมที่หมดอายุสัญญา และ 3. รายได้จากการร่วมลงทุนกับเอกชน และการพัฒนาพื้นที่ดินเปล่าในอนาคต
#3164


ดร.ขนิษฐา บูรณพันศักดิ์ หัวหน้างานสังคมสงเคราะห์ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ กล่าวว่า จังหวัดปทุมธานี โรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม ดำเนินโครงการ "การพัฒนาสมรรถนะนักสังคมสงเคราะห์และรูปแบบการดูแลทางสังคม" ดูแลและติดตามคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโควิด-19 ที่รักษาหายแล้ว แต่ต้องกักตัวอยู่บ้านอีก 14 วัน รวมถึงผู้ป่วยที่อาการไม่รุนแรงแยกกักตัวดูแลตนเองที่บ้าน หรือ HOME ISOLATION

ซึ่งจากการลงพื้นที่ให้คำปรึกษา ช่วยเหลือ ลดความกังวลใจ พบว่า ผู้ป่วยจำนวนมากประสบปัญหาไม่มีรถรับ-ส่งในการเดินทางมาโรงพยาบาล จึงต่อยอดขยายผลจัดทำโครงการ 'อาสาTAXI ปทุมฯ ห่วงใยช่วยภัยโควิด' โดยชักชวนอดีตผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาชีพขับแท็กซี่ เคยรักษาในโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ฯ รวมกลุ่มแท็กซี่ ขับรถรับ-ส่งอำนวยความสะดวกให้ผู้ป่วยในการมารับการรักษาที่โรงพยาบาล ขณะนี้มีแท็กซี่ที่เข้าร่วมโครงการฯ แล้วจำนวน 6 คัน

"จากการลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง พบว่าผู้ป่วยจำนวนมากประสบปัญหาไม่มีรถส่วนตัว ในการเดินทางมาตรวจเอกซเรย์ปอด หรือรักษาที่โรงพยาบาล กลุ่มจิตอาสา และเครือข่ายผู้ขับรถแท็กซี่ จึงอาสาเข้ามาช่วย โดยร่วมกันปรับปรุงรถแท็กซี่ให้ใช้งานรับส่งผู้ป่วยไป-กลับบ้าน และโรงพยาบาล ทำฉากกั้นระหว่างคนขับกับผู้โดยสาร และคนขับแท็กซี่ทุกคนจะใส่ชุดป้องกันส่วนบุคคล (PPE) ตลอดการขับขี่ เช็ดทำความสะอาดฆ่าเชื้อทุกครั้งหลังใช้งาน เพื่อความปลอดภัยและป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ส่วนค่าบริการจะคิดตามราคามิเตอร์ ในกรณีผู้ป่วยยากไร้ โรงพยาบาลจะพิจารณาช่วยเหลือค่าโดยสารเป็นรายๆ ไป" ดร.ขนิษฐา กล่าว


นายพจนารถ แย้มยิ้ม จิตอาสา TAXI ปทุมฯ ห่วงใยช่วยภัยโควิด กล่าวว่า ได้มาเป็นแท็กซี่จิตอาสารับ-ส่งผู้ป่วย เนื่องจากติดเชื้อโควิด-19 ในการระบาดระลอกแรก ช่วงเดือนมีนาคม 2563 และเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ฯ ได้พบกับกลุ่มนักสังคมสงเคราะห์ที่เข้ามาให้กำลังใจ พอหายดีกลับมาขับแท็กซี่พบว่า จำนวนผู้โดยสารลดลงส่งผลให้รายได้ไม่เพียงพอ

กลุ่มนักสังคมสงเคราะห์จึงชักชวนให้มาขับรถแท็กซี่เพื่อรับ-ส่ง ช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 ของโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ฯ พบว่า มีผู้ป่วยจำนวนมากที่ไม่สามารถเดินทางมาเข้ารับการรักษาได้ จึงได้ชักชวนเพื่อนแท็กซี่มาเข้าร่วมโครงการฯ นอกจากจะมีรายได้เพิ่มแล้ว ยังได้ช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 ด้วย



'มิสทีน' เปิดลงทะเบียน 'มิสทินสู้โควิด' แจก 1 พันบาท-สินค้า เริ่ม 12 -14 ส.ค.นี้
อัพเดท! มิสทีนสู้โควิด.com เว็บล่มไม่เลิก เช็คเลื่อนเวลาลงทะเบียน แจกเงิน 1,000 บาท
ยอด 'โควิด-19' วันนี้ ติดสูง! พบติดเชื้อเพิ่ม 22,782 ราย เสียชีวิต 147 ราย ไม่รวม ATK อีก 3,673 ราย
"รู้สึกตื้นตันใจทีได้ช่วย ผู้ป่วยโควิด-19 ที่ไม่มีรถมาโรงพยาบาล และสามารถช่วยแบ่งเบาภาระรถฉุกเฉินของโรงพยาบาล หน่วยงานสาธารณสุข รถกู้ภัย ในการช่วยเหลือผู้ป่วย และยังลดการติดเชื้อจากการสัญจรของผู้ติดเชื้อได้ ซึ่งผู้โดยสารหลายคนดีใจมากที่มีรถมารับ บางครั้งหากผู้โดยสารไม่มีทุนทรัพย์ก็ไม่คิดเงินถือว่าได้ช่วยเหลือกัน"

"นอกจากงานแท็กซี่จิตอาสาแล้ว ยังร่วมกับทีมนักสังคมสงเคราะห์ ในการให้คำปรึกษา แนะนำดูแลเฝ้าระวัง และการป้องกันตนเองจากโควิด-19 ให้กับชุมชน พร้อมมอบของอุปกรณ์ยังชีพต่างๆ เพื่อให้กำลังใจด้วย" นายพจนารถ กล่าว

ทั้งนี้ หากท่านใดต้องการใช้บริการ 'อาสา TAXI ปทุมฯ ห่วงใยช่วยภัยโควิด' สามารถติดต่อได้ที่เบอร์ 061-868-5246 แจ้งล่วงหน้า 1 วัน รับ-ส่งในพื้นที่ กรุงเทพฯ และ ปริมณฑล
#3165


นายอิศรินทร์ ภัทรมัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการลงทุน บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิ 335.6 ล้านบาท ลดลง 8.1% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 10.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา ทั้งนี้ KEX ประสบความสำเร็จด้วยกลยุทธ์ด้านราคาเชิงรุกทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าประเภทการจัดส่งราคาประหยัด และมุ่งขยายตัวต่อเนื่องเข้าสู่ตลาดการเกษตร ด้วยการนำเสนอโปรโมชั่นด้านราคาและแคมเปญการตลาดที่ดึงดูดใจทุกภูมิภาดทั่วประเทศ

ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ปี 2564 บริษัทฯ มีปริมาณการจัดส่งพัสดุที่เติบโตอย่างโดดเด่นและรายงานผลประกอบการเป็นที่น่าพอใจ ด้วยกำไรสุทธิที่ 336 ล้านบาท พร้อมทั้งอัตรากำไรสุทธิที่ 7.3% จากความสำเร็จของการเข้าถึงลูกค้าด้วยการตลาดและการขายที่แข็งแกร่ง และการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างสูงสุด

นอกจากนี้ บริษัท ได้ดำเนินการยกระดับแพลตฟอร์มการจัดส่งพัสดุมาอย่างต่อเนื่อง โดย KEX เล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาระบบที่มีประสิทธิภาพ การบริการที่เยี่ยมยอด และเครื่อข่ายการจัดส่งที่มีเถียรภาพ เพื่อให้การจัดส่งตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางเป็นไปอย่างมีระบบและคล่องตัวมากขึ้น

ทั้งนี้ KEX ถือเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในใจของลูกค้า การันตีด้วยรางวัล No.1 Brand Thailand 4 ปีติดต่อกัน จากการจัดอันดับโดยนิตยสาร Marketeer ผ่านการโหวตของผู้บริโภคจากทุกภาคทั่วประเทศไทย ได้รับคะแนนนำทิ้งห่างคู่แข่ง สะท้อนถึงความเหนือระดับของแบรนด์ KEX ซึ่งเป็นผู้นำในตลาดเป็นอย่างดี

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

นอกจากนี้ KEX ยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความยืดหยุ่นท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โดยให้ความสำคัญต่อมาตรการที่รัดกุมสำหรับมาตรฐานด้านสุขอนามัย เช่น ห้ามไม่ให้พนักงานเดินทางข้ามจังหวัด การขนส่งที่เว้นระยะห่าง และการสนับสนุนให้พนักงานในสำนักงานทั้งหมดทำงานจากที่บ้าน ในขณะที่มาตรการความปลอดภัยของพนักงานและลูกค้าก็ยังคงเป็นไปอย่างเข้มข้นเช่นกัน

KEX ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องกับปริมาณการจัดส่งพัสดุที่เติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยในครึ่งแรกของปี KEX ทำการจัดส่งพัสดุไปแล้วกว่า 166.6 ล้านชิ้น หรือเติบโตกว่า 10.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากกลยุทธ์การกำหนดราคาเชิงรุกอย่างต่อเนื่องและเข้มข้นในช่วงโควิด- 19

ในไตรมาสที่ 2 ปี 2564 KEX แถลงรายได้จากการขายและการให้บริการเท่ากับ 4,600 ล้นบาท เพิ่มขึ้น 9.8% จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลจากความสำเร็จของกลยุทธ์ด้านราคาที่กล่าวไปแล้ว แม้จำนวนวันทำการในไตรมาสนี้จะน้อยกว่าเล็กน้อยก็ตาม อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2563 รายได้ลดลง 14.6%

จากปริมาณพัสดุที่สูงผิดปกติในไตรมาส 2 ของปี 2563 ในช่วงเริ่มต้นของสถานการณ์การแพร่ระบาด อีกทั้งสถานการณ์ที่ยังคงยืดเยื้อเป็นเหตุให้กำลังซื้อในประเทศอ่อนแอลง และประชาชนมีดวามระมัดระวังในการใช้จ่ายอย่างรัดกุมมากขึ้น นอกจากนี้ ในส่วนของรายได้แยกตามประเภทของลูกค้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ

ด้านต้นทุนขายและการให้บริการเพิ่มขึ้น 11.5% จากไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของจำนวนการจัดส่งพัสดุที่มีอัตราการเติบโตสูงกว่า นั่นหมายถึงการบริหารจัดการต้นทุนได้เป็นอย่างตึ ทั้งนี้ หากเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ต้นทุนลดลงต่อเนื่องในอัตรา 14.0% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน การพัฒนาคุณภาพของระบบและเครือข่ายการขนส่ง รวมถึงการประหยัดต่อขนาด

อย่างไรก็ตาม แม้ปริมาณการจัดส่งที่มากกว่าปกติในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ผ่านมา KEX ยังคงให้ความสำคัญต่อมาตรการตวามปลอดภัยและอาชีวอนามัยเพื่อตอบสนองต่อเหตุการณ์อย่างทันท่วงที รวมถึงการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่าผ่านกระบวนการรีเอ็นจิเนียริ่งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและการลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง

ในขณะที่คำช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในอัตรา 4.0% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่เป็นสัดส่วนที่น้อยกว่าการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายและการให้บริการ โดยมีสาเหตุมาจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเพื่อการขยายตัวทางธุรกิจ ทั้งนี้ KEX ยังคงสามารถดำเนินการลดคำใช้จ่ายรวมลงได้อย่างต่อเนื่อง โดยลดลงกว่า 19.8% หากเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

ด้วยกลยุทธ์การปรับราคาประกอบกับการพัฒนาระบบการทำงาน ทำให้ทั้งอัตรากำไรก่อนค่าเสื่อมราคา ตัดจำหน่าย ดอกเบี้ยจ่าย และภาษีเงินได้ (EBITDA Margin) อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีเงินได้ (EBIT) และอัตราทำไรสุทธิ ยังคงเพิ่มขึ้นเป็น 21.4% 9.3% และ 7.3% ตามลำดับ โดยบริษัทฯ มีกำไรสุทธิเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ จากการควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และต้นทุนทางการเงินลดลงจากการชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถานบันการเงินทั้งจำนวนโดยใช้เงินเพิ่มทุนจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นการทั่วไปเป็นครั้งแรก
#3166


หลายวันมานี้แฟน.เมืองน้ำหอมไปออกันที่หน้า ป๊ารก์ เด แปร๊งส์ (Parc des Princes) สนามฟุต.ที่สโมสร ปารี แซ็ง แชรแม็ง (Paris Saint-Germain - PSG) ใช้เป็นสนามเหย้าเพื่อเฝ้ารอการมาของ ลิโอเน็ล เม้สซี่ (Lionel Messi) กองหน้า ทีมชาติอารเก็นตีนา วัย 34 ปี หลังจากที่ได้ทราบว่า ลิโอเน็ล ไม่ต่อสัญญากับ บารเซโลนา (Barcelona) อย่างแน่นอนและจุดหมายปลายทางของเขาชี้มาทางเดียวคือ การมาร่วมทีมเดียวกันอีกครั้งกับ เนย์มาร (Neymar Jr)

บางคนทราบข่าววงในว่า ลิโอเน็ล จะนั่งเครื่องบินมาลงที่สนามบิน เลอ บูรเช (Aéroport de Paris-Le Bourget) สนามบินที่ใช้เป็นที่ขึ้น-ลงเครื่องบินเจ๊ทส่วนตัวของบรรดานักธุรกิจที่อยู่ห่างจากขอบ กรุงปารี ขึ้นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 7 กิโลเมตร ก็แห่กันไปที่นั่นเพื่อให้ได้เห็นนักเตะตัวเป็นๆก่อนใคร

ในทุกๆปีเลขคี่เขาจะใช้สนามบินแห่งนี้เป็นสถานที่จัด นิทรรศการอากาศยาน (Salon international de l'aéronautique et de l'espace de Paris-Le Bourget) หรือเรียกกันสั้นๆว่า ปารี แอร์ โชว์ (Paris Air Show) อันลือลั่น ที่แห่งนี้แหละครับที่พวกพ่อค้าอาวุธจะพานายทหารทั้ง 3 เหล่าทัพและตำรวจของไทย ไปชม ไปเลี้ยงดูกันอย่างสุดหรู ถือเป็นโอกาสโอ้อวดอาวุธยุทโธปกรณ์ เครื่องบิน เฮลีค้อพเท่อร์ ของบริษัทระดับโลกให้เลือกช้อพและเอ็นเทอร์เทนไปในตัว นอกจากนั้น ใน ปารี 2024 โอลิมปิค เกมส์ ครั้งที่ 33 เขาก็จะใช้สถานที่แห่งนี้เป็น ศูนย์สื่อมวลชน ด้วย

ผมนึกถึง ลิโอเน็ล เจ้าของ บัลลง ดอร (Ballon d'or) รางวัลสุดยอดนักเตะของโลก โดย นิตยสาร ฟร้องส์ ฟุต. (France Football) ของ ฝรั่งเศส รวม 6 สมัยแล้ว แถมเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เขาก็เพิ่งแสดงผลงานสุดยอดโดยการนำทีมชาติ อารเก็นตีนา คว้าแช้มพ์ โกปา อาเมรีกา (Copa América) ได้สำเร็จเป็นหนแรกของตนเองที่ได้แช้มพ์ระดับนี้ในนามทีมชาติ มันช่างประจวบเหมาะกับการจะมาละเลงฝีเท้าในมหานครที่สวยที่สุดในโลกแห่งนี้อีกด้วย รางวัลก็ของค่ายฝรั่งเศสเอง ดังนั้น สิ้นปีนี้ บัลลง ดอร สมัยที่ 7 ก็ไม่น่าจะหลุดไปอยู่ในมือนักเตะคนอื่นที่ไหนได้

บางคนให้ความเห็นว่า เปแอ๊สเช อาจละเมิด กฎควบคุมการเงินของ ยูเอ๊ฟฟ่า (UEFA Financial Fair Play Regulations - FFP) โดยเฉพาะสื่อของ สเปน เองที่ไม่ต้องการเห็น ลิโอเน็ล ไปเล่นให้กับสโมสรคู่ปรปักษ์ในเวทียุโรป เนื่องจากการเซ็นสัญญากับ ลิโอเน็ล จะมีปัญหาการเงินแบบเดียวกันกับ บารซา เพราะค่าจ้างนักเตะจะเกินเพดานค่าใช้จ่าย

กฎ FFP นั้น เพื่อตรวจสอบการใช้เงินของสโมสรฟุต.ไม่ให้ทุ่มเงินเกินตัว จนเป็นหนี้และอาจล้มละลาย หลักคือต้องไม่ใช้จ่ายเงินมากกว่าที่สโมสรหาได้ อันนี้เขาพูดถึงค่าจ้างนักเตะ การชำระค่างวดการโอนย้าย และพวกค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมถึงเงินปันผล แต่ไม่รวมพวกค่าใช้จ่ายที่ใช้ไปในโครงสร้างพื้นฐาน ศูนย์ฝึก หรือการพัฒนาเยาวชน แล้วจะนำไปคำนวณเปรียบเทียบกับ รายได้จากตั๋วเข้าชมในสนาม ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดทางโทรทัศน์ โฆษณา การขายสินค้าที่ระลึก เสื้อผ้า การจำหน่ายสินทรัพย์ การเงิน การขายนักเตะ และ เงินรางวัลที่ได้รับจากการแข่งขันรายการต่างๆ

การมาของ ลิโอเน็ล เม้สซี่ นั้น เปแอ๊สเช ก็คาดหวังเงินก้อนใหญ่มหาศาลที่จะได้รับจากตั๋วเข้าชมการแข่งขันในสนาม สป็อนเซ่อร์โฆษณา การขายสินค้าที่ระลึก โดยเฉพาะเสื้อแข่ง ซึ่งไม่เห็นว่าจะมีปัญหาใดเลยเกี่ยวกับเรื่องกฎ FFP โดยเฉพาะการจ่ายค่าจ้างให้ ลิโอเน็ล ถึงประมาณปีละ 35 ล้าน เออโร ผมอยากจะย้ำว่า ลิโอเน็ล หมดสัญญากับ บารซา แล้วนะครับ ไม่เหมือนกับตอนที่ซื้อ เนย์มาร มาร่วมทีม ทางสโมสรต้องควักเงินให้ บารซา ถึง 222 ล้าน เออโร ตอนที่ซื้อขาด คีเลียน เอ็มบัปเป (Kylian Mbappé) จาก โมนาโก (AS Monaco) ก็ต้องจ่าย 180 ล้าน เออโร แต่สำหรับการเซ็นสัญญากับ ลิโอเน็ล ตัดปัญหาเรื่องค่าโอนย้ายที่แพงมากๆไปได้เลย ไม่มีอะไรต้องจ่าย

นอกจากนั้น ยูเอ๊ฟฟ่า เองก็กำลังมีนโยบายผ่อนปรนกฎ FFP เนื่องจากการที่ทุกฝ่ายต้องเผชิญกับปัญหา โควิด-19 ทุกคนต้องประสบปัญหาการเงินทั้งนั้น ไม่มากก็น้อย ผมว่า วันที่เหมาะสำหรับ เปแอ๊สเช ในการเปิดตัว ลิโอเน็ล เม้สซี่ น่าจะเป็นวันพรุ่งนี้ เพราะเป็นวันก่อตั้งสโมสรที่เกิดจากการรวมตัวของ 2 สโมสรคือ สต๊าด แซ็ง-แชรมานัว (Stade saint-germanois) ที่ก่อตั้งในปี 1904 กับ ปารี ฟุต. คลับ (Paris Football Club) ที่ก่อตั้งในปี 1969 เข้าด้วยกันในชื่อใหม่ ปารี แซ็ง-แชรแม็ง ในวันที่ 12 สิงหาคม 1970 ครบรอบ 51 ปีพอดีครับ
#3167


บริษัท แปซิฟิกไพพ์ จํากัด (มหาชน) หรือ PAP ประกาศผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก ประจำปี 2564 เติบโตต่อเนื่อง บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 527 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 473 ล้านบาท หรือร้อยละ 876 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ไตรมาส 2 กำไรสุทธิ 267 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 257 ล้านบาท หรือร้อยละ 2,641 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

นางเอื้อมพร ปัญญาใส กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แปซิฟิกไพพ์ จํากัด (มหาชน) กล่าวถึงภาพรวมผลการดำเนินงานสำหรับครึ่งปีแรกของปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวมจากการขายและบริการ 4,865 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,102 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 29 กำไรสุทธิ 527 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 473 ล้านบาท หรือร้อยละ 876 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ประจำปี 2564 ภาพรวมในการดำเนินธุรกิจยังคงมีทิศทางที่ดีต่อเนื่องรักษาการเติบโตเป็นที่น่าพอใจ บริษัทฯ มีรายได้รวมจากการขายและบริการ 2,365 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 568 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 32 ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญยังคงมาจากทิศทางราคาเหล็กโลก และราคาเหล็กในประเทศที่มีทิศทางปรับตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับมีแผนบริหารจัดการสินค้าคงเหลือ การลดต้นทุน และการจัดการภายในองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ

บริษัทฯ ได้เตรียมความพร้อมด้านแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ ในการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ที่ยังคงทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยมีการปรับปรุงแผนการผลิตและขนส่งสินค้า เพื่อให้สามารถส่งมอบสินค้าและบริการให้แก่คู่ค้า ลูกค้า ได้ทันต่อความต้องการ ควบคู่กับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลต่าง ๆ ในการทำงาน ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต การบริหารจัดการต้นทุน และเตรียมพร้อมบุคลากร อย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับความสามารถให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม และเท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

พร้อมทั้งเดินหน้ายกระดับมาตรการด้านความปลอดภัยของพนักงานขั้นสูงสุด มีการจัดหาวัคซีนทางเลือกให้แก่พนักงาน ตามเป้าหมายของบริษัทฯ ที่ต้องการให้พนักงานทุกคนได้รับวัคซีนโควิด-19 ครบ 100% เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการรับผิดชอบต่อสังคม ลดภาระบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า รวมทั้งสร้างความปลอดภัยในระดับสูงสุดให้ทั้งพนักงานและคู่ค้า นอกจากนี้บริษัทฯ มีนโยบาย Work From Home เพื่อให้พนักงานลดความเสี่ยง รวมทั้งการตรวจเชิงรุกอย่างสม่ำเสมอ พร้อมจัดทำสถานที่กักตัว หรือโรงพยาบาลสนามในสถานประกอบการ (FAI) จัดเตรียมที่พักผู้ป่วยเฉพาะกิจ (Hospitel) ตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข สำหรับพนักงานที่ป่วยให้เข้าถึงการรักษาที่ปลอดภัยได้อย่างรวดเร็ว

จึงมั่นใจได้ว่าบริษัทฯ สามารถดำเนินการส่งมอบสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของคู่ค้า ลูกค้า ได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการที่มีคุณภาพ และจะไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาเพื่อยกระดับมาตรฐานให้สูงขึ้น
#3168

  • หมึกกะตอยแห้งตากเอง ทำเองทุกขั้นตอน
  • เป็นหมึกที่ได้จากทะเลสดๆไม่ผ่านแช่น้ำแข็งมา
  • เป็นผลิตภัณฑ์ของที่บ้านและชาวบ้านใกล้เคียง
  • ปลาหมึกแห้ง หมึกกะตอยหมึกกะตอยเรือได คุณภาพดี ทอดกรอบ อร่อย ไม่เค็มมาก
  • ขนาดบรรจุ 200 กรัม #หมึกกะตอยแห้ง #หมึกแห้ง
สั่งซื้อ https://bit.ly/37zs0nu

#3169


อว. เผยฉีดวัคซีนของไทย ณ วันที่ 9 สิงหาคม ฉีดวัคซีนแล้ว 20,669,780 โดส และทั่วโลกแล้ว 4,450 ล้านโดส ใน 201 ประเทศ/เขตปกครอง ส่วนอาเซียนฉีดแล้วทุกประเทศ รวมกันกว่า 182.951 ล้านโดส โดยจังหวัดของไทยที่ฉีดมากที่สุด คือ ภูเก็ต โดยฉีดวัคซีนเข็มแรกกว่า 75.9%

เมื่อวันที่ 9 ส.ค.กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เผยข้อมูลสถิติการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั่วโลกแล้ว 4,450 ล้านโดส ใน 201 ประเทศ/เขตปกครอง โดยขณะนี้อัตราการฉีดล่าสุดรวมกันทั่วโลกที่ 42.7 ล้านโดสต่อวัน และมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่สหรัฐอเมริกามีจำนวนการฉีดวัคซีนสูงที่สุดที่ 351 ล้านโดส โดยมีชาวอเมริกันกว่า 166 ล้านคนได้รับวัคซีนครบ 2 โดสแล้ว

ด้านอาเซียนขณะนี้ทุกประเทศได้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แล้ว มียอดรวมกันที่ประมาณ 182.951 ล้านโดส โดยสิงคโปร์ฉีดวัคซีนในสัดส่วนประชากรมากที่สุดในภูมิภาค (74.0% ของประชากร) ในขณะที่อินโดนีเซียฉีดวัคซีนในจำนวนมากที่สุดที่ 75.42 ล้านโดส สำหรับประเทศไทยข้อมูล ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2564 ได้ฉีดวัคซีนแล้วกว่า 20,669,780 โดส โดยฉีดให้กับประชาชนในพื้นที่เสี่ยงมากที่สุดในสัดส่วนกว่า 53.84%

ในการฉีดวัคซีน จำนวน 4,450 ล้านโดสนี้ อว. ขอรายงานสถิติที่สำคัญ คือ

1. ข้อมูลการฉีดวัคซีนล่าสุดของประเทศไทย ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2564
จำนวนการฉีดวัคซีนสะสม 20,669,780 คน ใน 77 จังหวัด แบ่งเป็น
-เข็มแรก 15,986,354 โดส (24.2% ของประชากร)
-เข็มสอง 4,461,861 โดส (6.7% ของประชากร)
-เข็มสาม 221,565 โดส (0.3% ของประชากร)

2. อัตราการฉีดวัคซีนตั้งแต่ 28 ก.พ.- 9 ส.ค. 64 พบว่า ประเทศไทยฉีดวัคซีนแล้ว 20,669,780 โดส (อัตราการฉีดล่าสุดเฉลี่ย 3 วันย้อนหลัง ตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. 64 ซึ่งเป็นการฉีดวัคซีนวาระแห่งชาติ 400,465 โดส/วัน

3. อัตราการฉีดวัคซีน ประกอบด้วย
วัคซีน Sinovac
- เข็มที่ 1 6,606,930 โดส
- เข็มที่ 2 3,436,086 โดส
- เข็มที่ 3 0 โดส

วัคซีน AstraZeneca
- เข็มที่ 1 8,234,544 โดส
- เข็มที่ 2 653,195 โดส
- เข็มที่ 3 182,082 โดส

วัคซีน Sinopharm
- เข็มที่ 1 1,1136,014 โดส
- เข็มที่ 2 360,601 โดส
- เข็มที่ 3 0 โดส

วัคซีน Pfizer
- เข็มที่ 1 31,866 โดส
- เข็มที่ 2 11,979 โดส
- เข็มที่ 3 39,483 โดส

4. การฉีดวัคซีนโควิด-19 แยกตามกลุ่มเป้าหมาย
- บุคลากรการแพทย์/สาธารณสุข เข็มที่1 116.3% เข็มที่2 100.3% เข็มที่3 31.1%
- เจ้าหน้าที่ด่านหน้า เข็มที่1 49.3% เข็มที่2 29.3% เข็มที่3 0%
- อสม เข็มที่1 52.3% เข็มที่2 23.2% เข็มที่3 0%
- ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค เข็มที่1 32.7% เข็มที่1 5.6% เข็มที่3 0%
- ประชาชนทั่วไป เข็มที่1 29.0% เข็มที่2 8.2% เข็มที่3 0%
- ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป เข็มที่1 30.6% เข็มที่2 2.0% เข็มที่3 0%
- หญิงตั้งครรภ์ เข็มที่1 1.1% เข็มที่2 0.1% เข็มที่3 0%
รวม เข็มที่1 32.0% เข็มที่2 8.9% เข็มที่3 0.4%

5. จังหวัดที่ฉีดวัคซีน เข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 แบ่งเป็น 2 ชุดข้อมูล
กรุงเทพฯ และปริมณฑล เข็มที่1 51.1% เข็มที่2 11.9% เข็มที่3 0.4% ประกอบด้วย
- กรุงเทพฯ เข็มที่1 70.9% เข็มที่2 15.5% เข็มที่3 0.6%
- สมุทรสาคร เข็มที่1 31.4% เข็มที่2 13.2% เข็มที่3 0.3%
- นนทบุรี เข็มที่1 33.5% เข็มที่2 11.2% เข็มที่3 0.3%
- สมุทรปราการ เข็มที่1 33.6% เข็มที่2 6.3% เข็มที่3 0.3%
- ปทุมธานี เข็มที่1 28.3% เข็มที่2 6.2% เข็มที่3 0.2%
- นครปฐม เข็มที่1 18.0% เข็มที่2 4.2% เข็มที่3 0.4%

จังหวัดอื่น ๆ 71 จังหวัด เข็มที่1 14.7% เข็มที่2 4.7% เข็มที่3 0.3%
- ภูเก็ต เข็มที่1 75.9% เข็มที่2 59.8% เข็มที่3 0.6%
- ระนอง เข็มที่1 41.6% เข็มที่2 12.6% เข็มที่3 0.3%
- สุราษฎร์ธานี เข็มที่1 22.1% เข็มที่2 8.6% เข็มที่3 0.2%
- พังงา เข็มที่1 41.1% เข็มที่2 11.4% เข็มที่3 0.4%
- กระบี่ เข็มที่1 23.1% เข็มที่2 6.9% เข็มที่3 0.2%
- ฉะเชิงเทรา เข็มที่1 34.4% เข็มที่2 4.4% เข็มที่3 0.4%

6. ในภูมิภาคอาเซียน ได้ฉีดวัคซีนแล้วครบ 10 ประเทศ รวมจำนวน 182,951,774 โดส ได้แก่
1. อินโดนีเซีย จำนวน 75,426,933 โดส (18.5%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinovac, AstraZeneca, Moderna และ Sinopharm
2. มาเลเซีย จำนวน 24,542,437 โดส (48.2%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Pfizer, AstraZeneca และ Sinovac
3. ฟิลิปปินส์ จำนวน 24,479,750 โดส (11.8%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinovac, Pfizer, Sputnik V, Moderna, J&J และ AstraZeneca
4. ไทย จำนวน 20,669,780 โดส (24.2%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Pfizer, Sinovac, AstraZeneca และ Sinopharm
5. กัมพูชา จำนวน 13.949,503 โดส (48.2%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinopharm, AstraZeneca, J&J และ Sinovac
6. เวียดนาม จำนวน 9,405,819 โดส (8.7%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca, Pfizer, Moderna และ Sinopharm
7. สิงคโปร์ จำนวน 8,167,147 โดส (74.0%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Pfizer, Moderna และ Sinovac
8. พม่า จำนวน 3,500,000 โดส (N/A* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca และ Sinopharm
9. ลาว จำนวน 2,620,478 โดส (18.8%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinopharm, Sputnik V, Pfizer, J&J, Sinovac และ AstraZeneca
10. บรูไน จำนวน 189,927 โดส (33.7%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca และ Sinopharm
* คำนวณจากจำนวนฉีด/จำนวนประชากร/2 เหมือนกันทุกประเทศ

7. จำนวนการฉีดวัคซีนแยกตามภูมิภาค
1. เอเชียและตะวันออกกลาง 66.19%
2. อเมริกาเหนือ 11.52%
3. ยุโรป 13.76%
4. ลาตินอเมริกาและแคริบเบียน 6.45%
5. แอฟริกา 1.70%
6. โอเชียเนีย 0.38%

8. ประเทศที่ฉีดวัคซีนแล้วมากที่สุด 4 ประเทศลำดับแรกที่ฉีดวัคซีนมากกว่า 100 ล้านโดส รวมกันเกือบ 70% ของปริมาณการฉีดวัคซีนทั่วโลก
1. จีน จำนวน 1,770.30 ล้านโดส (63.2% ของจำนวนการฉีดทั่วโลก)
2. อินเดีย จำนวน 506.81 ล้านโดส (18.5%)
3. สหรัฐอเมริกา จำนวน 351.40 ล้านโดส (54.9%)
4. บราซิล จำนวน 151.71 ล้านโดส (37.1%)

9. ประเทศที่ฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากรมากที่สุด มี 10 ประเทศที่ฉีดวัคซีนให้กับประชากรอย่างน้อย 25% แล้ว ได้แก่ (เฉพาะประเทศที่มีประชากรมากกว่า 500,000 คน)
1. มัลดีฟส์ (81.3% ของประชากร) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech และ Sinopharm)
2. สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (79.6%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech, Sinopharm และ Gamaleya)
3. บาห์เรน (79.6%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech, Sinopharm และ Gamaley)
4. สิงคโปร์ (74.0%) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer/BioNTech Moderna และ Sinovac)
5. กาตาร์ (70.7%) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer/BioNTech และ Moderna)
6. อุรุกวัย (69.4%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech และ Sinovac)
7. ภูฏาน (67.8%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech และ Moderna)
8. แคนาดา (67.3%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford Moderna และ Pfizer/BioNTech)
9. ชิลี (67.2%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, CanSino, Pfizer/BioNTech และ Sinovac)
10. เดนมาร์ก (66.6%) (ฉีดวัคซีนของ Moderna, Pfizer/BioNTech และ J&J)
แหล่งข้อมูล Bloomberg Vaccine Tracker, กระทรวงสาธารณสุข
ประมวลข้อมูลโดย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
#3170


นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากการมองตลาดเร็วและพร้อมปรับตัวรองรับทุกสถานการณ์ ตลอดเวลา (Speed to Market) ส่งผลให้ 7 เดือนที่ผ่านมาบริษัทสามาถทำยอดขายรวมได้ถึง 20,600 ล้านบาท หรือเกือบ 70% จากเป้าหมายยอดขาย 31,000 ล้านบาท โดยเป็นยอดขายจากโครงการแนวราบ 13,700 ล้านบาท และยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียม 6,900 ล้านบาท สัดส่วนยอดขายจากโครงการแนวราบเพิ่มเป็น 67% โดยบ้านเดี่ยวแบรนด์ เศรษฐสิริได้รับการตอบรับที่ดี อาทิ โครงการ เศรษฐสิริ กรุงเทพกรีฑา2, เศรษฐสิริ พระราม 5 และเศรษฐสิริ จรัญฯ – ปิ่นเกล้า2 เป็นต้น รวมทั้งทาวน์โฮมภายใต้แบรนด์"สิริ เพลส" ซีรี่ย์ล่าสุด Dream Destination ทั้ง สิริ เพลส บางนา - เทพารักษ์ และ สิริ เพลส วงแหวน - ลำลูกกา ที่ทำยอดขายกว่า 80% ของยูนิตที่เปิดขาย


ขณะที่คอนโดมิเนียม แบรนด์เดอะ มูฟ หนึ่งในโปรดักส์ไฮไลท์ในปีนี้ ที่รองรับเซกเมนต์ในระดับราคาที่เข้าถึงง่าย ได้รับการตอบรับที่ดี ไม่ว่าจะเป็นเดอะ มูฟ เกษตรเดอะ มูฟ ราม 22 ขายหมดทุกยูนิตที่เปิดขายในทั้ง 2 โครงการ คาดว่าจะส่งต่อความสำเร็จไปสู่ "เดอะ มูฟ บางนา" เป็นโครงการที่ 3 ราคาเริ่มต้น 1.29 ล้านบาท ที่เตรียมพรีเซลล์เป็นโครงการต่อไป

นายอุทัย ระบุว่า ช่วง 7 เดือน ที่ผ่านมาบริษัทมียอดโอนโครงการที่อยู่อาศัยทุกประเภทที่สร้างเสร็จสมบูรณ์และส่งมอบให้กับลูกค้าไปแล้วถึง 18,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นเกือบ 60% จากเป้าหมายยอดโอน 31,000 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดโอนจากโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียม ในสัดส่วน 55 : 45 โดยครึ่งปีหลัง บริษัทยังเตรียมโอนคอนโดมิเนียม เอดจ์ เซ็นทรัล – พัทยา คอนโดไลฟ์สไตล์สุดพีคใจกลางพัทยา และ ดีคอนโด ไฮด์อเวย์ – รังสิตรองรับการรับรู้รายได้ในช่วงครึ่งปีหลัง ตามเป้าหมายรายได้จากการขายที่วางไว้ 27,600 ล้านบาท โดยล่าสุด แสนสิริมี รายได้ในมือที่รองรับแล้ว(Secured Revenue)ถึง 22,800 ล้านบาท หรือคิดเป็น 83% เหลืออีกเพียง 17% เท่านั้น ก็จะทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ จึงคาดว่าจะสามารถทำได้ตามเป้ารายได้ที่วางไว้อย่างแน่นอน

สำหรับคอนโดมิเนียม เอดจ์ เซ็นทรัล – พัทยา คอนโดไลฟ์สไตล์สุดพีคใจกลางพัทยา จำนวน 603 ยูนิต มูลค่าโครงการ 3,200 ล้านบาท พร้อมสระว่ายน้ำสีทองแชมเปญบนชั้นดาดฟ้า พร้อมวิวอ่าวไทย ราคาเริ่มต้น 3.99 ล้านบาท มียอดขายแล้ว 70% พร้อมเข้าอยู่ในเดือนก.ย. เริ่มโอนวันที่ 4 – 5 ก.ย.นี้

โครงการดีคอนโด ไฮด์อเวย์ คอนโดมิเนียมโลว์ไลส์ สูง 8 ชั้น จำนวน 3 อาคาร 800 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท ขนาดพื้นที่โครงการ 10 ไร่ แบ่งออกเป็น พื้นที่ส่วนกลาง 8 ไร่ พร้อมพื้นที่สีเขียว 2.5 ไร่ ครบทั้งสระว่ายน้ำ สวนผักออแกนิกส์ Jogging Track คลับเฮาส์พร้อมฟิตเนส Co-working space และจัดสรรพื้นที่สำหรับจอดรถไว้ถึง 40% บนทำเลศักยภาพ โซนรังสิต ใกล้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รองรับกลุ่มนักศึกษา คนทำงาน และนักลงทุน ราคาเริ่มต้น 1.59 ล้านบาท โดยอัตราค่าเช่าในทำเลนี้ยังมีผลตอบแทนที่สูงด้วยเช่นกัน โดยมีอัตราค่าเช่าที่ 8,500 - 10,000 บาทต่อเดือน คิดเป็นอัตราผลตอบแทนการปล่อยเช่า (Yield) ประมาณ 5.5% ปัจจุบันโครงการมียอดขายแล้ว 60% พร้อมโอนในเดือนต.ค.นี้
#3171

กระทรวงสาธารณสุข เผย ส่งวัคซีนไฟเซอร์ล็อตแรกสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า ร้อยละ 50-75 ตามข้อมูลสำรวจจากแต่ละโรงพยาบาล พร้อมให้สำรวจจำนวนที่ต้องการอีกครั้ง เนื่องจากบางโรงพยาบาลมีบุคลากรด่านหน้าจบใหม่ หรือได้รับมอบหมายมาทำงานด่านหน้าเพิ่มขึ้น สามารถแจ้งมาได้ที่กรมควบคุมโรค เพื่อส่งวัคซีนให้เพิ่มเติมล็อตถัดไปในสัปดาห์หน้า ยืนยันส่งครบตามสำรวจแน่นอน

วันนี้ (8 ส.ค.) นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวการกระจายวัคซีนไฟเซอร์ 1.5 ล้านโดส ว่า การจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ในส่วนของบุคลากรทางการแพทย์ 7 แสนโดส เริ่มทยอยจัดส่งวัคซีนตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม 2564 ไปยังโรงพยาบาลใหญ่ครบ 170 แห่ง ทั้ง 77 จังหวัดภายใน 3 วัน โดยเริ่มฉีดตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2564 ถือว่าเร็วกว่ากำหนดที่วางไว้ 5 วัน ขณะนี้ฉีดแล้ว 5.7 หมื่นโดส จากการติดตามอาการไม่พึงประสงค์ พบอาการปวด บวม ร้อน และไข้เล็กน้อย ไม่มีอาการรุนแรง

"การจัดส่งวัคซีนไปโรงพยาบาลใหญ่ เนื่องจากมีศักยภาพในการเก็บรักษาควบคุมอุณหภูมิและควบคุมติดตามการฉีดได้ง่ายกว่ากระจายไปจุดย่อยๆ เนื่องจากเมื่อเก็บในอุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส วัคซีนจะมีอายุ 31 วัน จึงต้องเร่งฉีดให้หมด โดยวัคซีน 1 ขวดฉีดได้ 6 โดส หากกระจายไปหลายจุดเมื่อเปิดใช้ 1 ขวดอาจไม่ถึง 6 คนจึงต้องรวมไว้ที่โรงพยาบาลใหญ่ก่อนในช่วงแรก" นายแพทย์โสภณ กล่าว

นายแพทย์โสภณ กล่าวว่า สำหรับวัคซีนที่ส่งไปล็อตแรกประมาณร้อยละ 50-75 นั้น เนื่องจากได้สำรวจความต้องการฉีด พบว่ามีบุคลากรทางการแพทย์บางส่วนฉีดบูสเตอร์โดสด้วยแอสตร้าเซนเนก้าแล้วกว่าร้อยละ 20 ต้องการฉีดไฟเซอร์ประมาณร้อยล 70 ซึ่งการบริหารจัดการด้วยวิธีการทยอยส่งเป็นล็อตทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด หากส่งไปทั้งหมด 100% ของจำนวนบุคลากร บางพื้นที่อาจได้เกินหรือขาด เนื่องจากมีบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้ารายใหม่ที่ยังไม่เคยฉีดมาก่อน เช่น ผู้ที่จบใหม่ หรือบุคลากรด่านหลังที่ได้รับมอบหมายมาทำงานด่านหน้า เพราะว่าในพื้นที่มีโควิดระบาดเพิ่มขึ้น เป็นต้น สามารถแจ้งมาได้ที่กรมควบคุมโรค เพื่อส่งวัคซีนให้เพิ่มเติมล็อตถัดไปในสัปดาห์หน้า อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าจะจัดส่งครบจำนวนบุคลากรด่านหน้าตามการสำรวจเพิ่มอย่างแน่นอน

นายแพทย์โสภณ กล่าวอีกว่า ส่วนกลุ่มเสี่ยงที่เป็นผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้น ผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเรื้อรังอายุ 12 ปีขึ้นไป และหญิงตั้งครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไปในพื้นที่ 13 จังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด จำนวน 645,000 โดส รวมถึงชาวต่างชาติกลุ่มเสี่ยงและนักเรียนไทยเดินทางไปต่างประเทศ 1.5 แสนโดส จะทยอยส่งวัคซีนไปยังโรงพยาบาลตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคมนี้ เริ่มจัดบริการได้กลางสัปดาห์ โดยจะฉีดในคนที่ยังไม่เคยได้วัคซีนโควิดตัวอื่นมาก่อนมีการติดตามอาการหลังฉีด 30 นาที 1 วัน 7 วัน และ 30 วัน โดยกลุ่มเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปที่มีโรคเรื้อรังแพทย์ที่รักษาจะประเมินว่าพร้อมรับวัคซีนหรือไม่ และจะติดตามอาการหลังฉีด โดยรายงานผ่านระบบหมอพร้อม ซึ่งเด็กวัยนี้ใช้แอปพลิเคชันได้ หรือให้ผู้ปกครองช่วยรายงาน หลังฉีดวัคซีนหากมีอาการเจ็บหน้าอก ใจสั่นหายใจไม่สะดวก สงสัยอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ให้รีบมาโรงพยาบาล เพื่อตรวจวินิจฉัยโรคนี้รักษาให้หายได้ ทั้งนี้ เคยมีรายงานจากสหรัฐอเมริกาที่ประชาชนฉีดวัคซีน mRNA เป็นหลักมีโอกาสพบอาการดังกล่าวได้ประมาณ 4 รายต่อล้านเข็ม โดยเฉพาะผู้ที่อายุน้อยกว่า 30 ปี และเพศชาย ยังไม่พบรายงานผู้เสียชีวิต ส่วนในประเทศไทยยังไม่พบอาการเหล่านี้หลังการฉีดวัคซีน

สำหรับเดือนสิงหาคมนี้ จะมีวัคซีนโควิด 10 ล้านโดส ที่จะทยอยส่งสัปดาห์ละ 2 ล้านโดส โดยจะส่งไปต่างจังหวัดกว่าร้อยละ 80 จำนวนนี้ครึ่งหนึ่งจะส่งไปยัง 29 จังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ซึ่งมีการระบาดเกิดขึ้นอยู่ โดยเน้นฉีดกลุ่ม 608 คือ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้ป่วย 7 กลุ่มโรค และหญิงตั้งครรภ์ โดยให้ฉีดเร็วที่สุดเพื่อให้ครอบคลุมร้อยละ 70 อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตนเองสวมหน้ากาก ล้างมือเว้นระยะห่าง หากต้องไปสถานที่คนจำนวนมากอาจใส่หน้ากากสองชั้น อยู่ในบ้านก็ต้องระวังผู้สูงอายุติดเชื้อจากลูกหลานที่ออกไปนอกบ้าน ดังนั้น จึงควรออกนอกบ้านให้น้อยที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงไปรับเชื้อนอกบ้านแล้วนำมาติดสมาชิกในครัวเรือน และให้พาผู้สูงอายุไปฉีดวัคซีนตามนัดหมายของโรงพยาบาล
#3172


นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า หลังจากที่ ส.อ.ท. ได้จัดตั้งโรงพยาบาลสนามสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ศูนย์ห่วงใยคนสาครแห่งที่ 10 ขึ้นบริเวณเชิงสะพานข้ามแม่น้ำท่าจีน อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร เปิดใช้งานอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมีนาคม 2564 ที่ผ่านมา โดยใช้ระยะเวลาก่อสร้างเพียง 28 วัน ซึ่งปัจจุบันที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดสมุทรสาคร ได้พิจารณายกระดับให้ศูนย์แห่งนี้เป็นสถานที่รองรับการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 สีเหลืองเข้ม

โดยปรับรูปแบบจากโรงพยาบาลสนามเดิมให้ใกล้เคียงกับห้อง ICU มากที่สุด เพื่อรองรับผู้ป่วยในจังหวัดสมุทรสาครที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากเดิมโรงพยาบาลสนามสภาอุตสาหกรรมฯ มีเครื่องมือทางการแพทย์พร้อมสำหรับดูแลผู้ป่วยอยู่แล้วในระดับหนึ่ง อาทิ เครื่องเอ็กซเรย์ปอด เครื่องวัดค่าออกซิเจนในปอด ระบบบริการการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) และหุ่นยนต์เสิร์ฟอาหารที่ช่วยลดความเสี่ยงในการพบปะกับผู้ป่วย ซึ่งหุ่นยนต์ดังกล่าวยังสามารถให้แพทย์และผู้ป่วยพูดคุยกันได้ผ่าน Application อีกด้วย

จึงทำให้การปรับรูปแบบเป็น ICU ในครั้งนี้มีการปรังปรุงโครงสร้างเพิ่มเติมหลักๆ คือ การวางระบบจ่ายออกซิเจนทั้งอาคาร และติดตั้งถังออกซิเจนเหลว (Liquid Oxygen) ขนาด 5,000 ลิตร ซึ่งหากมีผู้ป่วย 200 คนรักษาตัวอยู่ จะสามารถใช้ถังออกซิเจนนี้ได้ 3-4 วันต่อถัง

การปรับปรุงในครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากนายอุดม ไกรวัฒนุสสรณ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสาคร ขณะที่บุคลากรทางการแพทย์ที่มาให้บริการในโรงพยาบาลสนามแห่งนี้ คือทีมจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ประกอบด้วย แพทย์ 1 คน เภสัชกร 1 คน พยาบาล 12 คน และทีมพยาบาลจากจังหวัดกาญจนบุรี 3 คน รวมทั้งทีมหลักที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์จากโรงพยาบาลจังหวัดสมุทรสาครมาร่วมปฏิบัติงานด้วย

นอกจากนี้ ส.อ.ท. ได้ส่งเสริมผู้ประกอบการและสมาชิกจัดทำมาตรการ Bubble and seal ในโรงงาน ที่มีพนักงานตั้งแต่ 200 คนขึ้นไป เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 โดยไม่ต้องปิดโรงงาน พร้อมสนับสนุนการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในรูปแบบ Community Isolation ในโรงงาน ที่รับรองโดยสาธารณสุขจังหวัดและดูแลโดยโรงพยาบาลในสังกัดประกันสังคม ยกตัวอย่างในนิคมอุตสาหกรรมสินสาครในจังหวัดสมุทรสาครที่จัดตั้งโรงพยาบาลสนาม (Factory Accommodation Isolation: FAI) ด้วยความร่วมมือจากสถานประกอบการภายในนิคมฯ มีจำนวนเตียงเพียงพอต่อการรองรับผู้ติดเชื้อไม่น้อยกว่า 10%

ซึ่งการทำ Factory Quarantine ในจังหวัดสมุทรสาคร แบ่งเป็น 2 กรณี คือ หากพบผู้ติดเชื้อในโรงงานน้อยกว่า 10% ให้ดำเนินการจัดทำ FAI แต่หากเกินกว่า 10% โรงงานจะต้องการ Bubble & Seal พร้อม FAI

โดยมี 6 ขั้นตอน ดังนี้ 1) จัดเตรียมสถานประกอบการให้พร้อมสำหรับการทำ FAI 2) ส่งข้อมูลการจัดทำ FAI ไปยังสำนักงานแรงงานจังหวัดสมุทรสาคร 3) ส่งภาพการจัดทำ FAI ที่เรียบร้อยแล้วให้สำนักงานสาธาณสุขจังหวัดสมุทรสาคร

4) สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาครนัดหมายสถานประกอบการประเมินผ่านระบบ Video Conference โดยให้นำตรวจสถานที่แบบ Real Time ผ่านระบบ Video Conference 5) เมื่อผ่านการประเมิน สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาครจะจัดทำใบรับรองส่งให้

และ 6) ดำเนินงานตามมาตรการ Bubble & Sealed กรณีที่โรงงานสุ่มตรวจและพบผู้ติดเชื้อมากกว่า 10% ของจำนวนพนักงาน โดยการจัดการระบบดูแล ลดการกระจายเชื้อสู่ภายนอก จำนวน 28 วัน

ส.อ.ท. ยังได้จัดตั้ง "กองทุน ส.อ.ท. สู้ภัยโควิด-19" ภายใต้มูลนิธิพัฒนาอุตสาหกรรม เพื่อระดมทุนจัดหาอุปกรณ์ เครื่องมือ สิ่งของจำเป็น อาทิ ห้องความดันลบแบบประกอบเคลื่อนย้ายได้ (Modular Unit) , "ชุดจัดทำห้องความดันลบแบบติดตั้งถาวร (Non-Mobility), ชุดตรวจหาเชื้อโควิด-19 (Antigen Test Kit), เมล็ดพันธุ์ฟ้าทะลายโจรและกล่องห่วงใยจากใจ ส.อ.ท.

ส่งมอบกับให้สถานพยาบาลนำไปช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 จึงขอเชิญร่วมบริจาคเงินได้ที่ชื่อบัญชี มูลนิธิพัฒนาอุตสาหกรรม เลขที่บัญชี 009-1-71583-0 ธนาคารกรุงไทยสาขาไทยเบฟควอเตอร์ (ใบบริจาคสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ 100%) สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน ส.อ.ท. หมายเลข 1453 ทุกปัญหาอุตสาหกรรมมีคำตอบ
#3173


ในฐานะพันธมิตรอย่างเป็นทางการด้านการลดคาร์บอนของคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) บริษัท Dow ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ขั้นสูงต่างๆ ระดับโลกที่มีความยั่งยืนและล้ำหน้า ซึ่งช่วยให้ Dow สามารถปรับปรุงประสบการณ์การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกสำหรับเจ้าภาพ นักกีฬา และแฟนๆ ทั่วโลกทั้งในและนอกสนามแข่งขัน รวมทั้งในชีวิตประจำวัน

สำหรับเบื้องหลังของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกกรุงโตเกียวในปีนี้ นวัตกรรมและความเชี่ยวชาญของ Dow มีส่วนสำคัญที่ช่วยสนับสนุนความพยายามในการเพิ่มประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความยั่งยืนของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกและขบวนการโอลิมปิก ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกับกลยุทธ์การพัฒนาอย่างยั่งยืนของคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC)

การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก การแข่งขันกีฬาระดับโลกที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งจากการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานถาวรและชั่วคราว การดำเนินงานด้านต่างๆ และการเดินทางของนักกีฬา ผู้ชม และสื่อมวลชน ไปยังการแข่งขัน

ทั้งนี้ เป็นความรับผิดชอบของคณะกรรมการจัดงานในการวัดแหล่งที่มาของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายใต้อำนาจหน้าที่ของทีมงาน และลดการปล่อยก๊าซเหล่านี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ รวมทั้งกำหนดกลยุทธ์เพื่อสร้างสมดุลของการปล่อยมลพิษที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ผ่านความพยายามในการเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีจากที่อื่น ๆ เพื่อให้ผลกระทบของปริมาณคาร์บอนสุทธิของกิจกรรมการแข่งขันเป็นศูนย์ สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนและความพยายามที่จะทำให้เกมการแข่งขันไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศสุทธิเพิ่มขึ้นจากการดำเนินงานของโอลิมปิก

ด้วยเหตุนี้ Dow จึงมุ่งมั่นใช้ความเชี่ยวชาญด้านวัสดุศาสตร์และกลยุทธ์เชิงรุกในการขับเคลื่อนการตัดสินใจเพื่อสร้างความยั่งยืน และช่วยสร้างพลังบวก รวมถึงมรดกที่จะอยู่คู่สังคมตลอดไป สำหรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่โตเกียว 2020 สิ่งที่เป็นมรดกคือ การรวมสิ่งเก่าเข้ากับสิ่งใหม่ให้เป็นหนึ่งเดียว โดยพิสูจน์ให้เห็นว่าการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีล่าสุด ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความยั่งยืนของทิวทัศน์ในกรุงโตเกียวปี 2020 ที่มีสิ่งปลูกสร้างใหม่ รวมถึงย่านต่างๆ ในกรุงโตเกียวตั้งแต่ปี ค.ศ.1964 ก็ได้รับการปรับปรุงใหม่ด้วยเทคโนโลยีด้านอาคารขั้นสูง เพื่อช่วยให้อาคารที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป ดูล้ำสมัยมากยิ่งขึ้น

เทคโนโลยีของ Dow อยู่เบื้องหลังสถานที่หลายแห่ง ทั้งใหม่และที่มีอยู่เดิม เพื่อช่วยป้องกัน ปิดผนึก เชื่อมต่อ เคลือบ ปกป้อง และส่งมอบความยั่งยืนในระยะยาวของอาคารหลังจากพิธีปิดการแข่งขัน มากกว่าครึ่งหนึ่งของสถานที่จัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกจากทั้งหมด 43 แห่ง เป็นสถานที่เดิมที่มีอยู่แล้ว ช่วยให้สามารถลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 80,000 ตัน และท่ามกลางอาคารที่มีอยู่แล้ว 9 หลัง ได้รับการปรับปรุงใหม่โดยนำเทคโนโลยีต่างๆ ของ Dow มาใช้เพื่อช่วยยกระดับประสิทธิภาพและความสวยงามของส่วนหน้าอาคาร ภายนอกอาคาร และระบบไฟฟ้า ตัวอย่างโซลูชันของ Dow บางส่วนที่ถูกนำมาใช้ ประกอบด้วย

DOWANOL™ ไกลคอลอีเทอร์ (Glycol Ethers) ที่ใช้ในน้ำเป็นตัวทำละลาย จึงมีสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่ายในระดับที่ต่ำ ช่วยลดความเสียหายจากความชื้น การแตกร้าว และการผุกร่อน เพื่อให้สถานที่ยังคงดูใหม่

ELASTENE™ อีลาสโตเมอร์ (Elastomeric) ช่วยปกป้องผนังภายนอกด้วยคุณสมบัติการต้านทานสิ่งสกปรกและน้ำได้ดีเยี่ยม

อะคริลิคโพลีเมอร์ PRIMAL™ ของ Dow ทำหน้าที่ในการปกป้องผนังภายใน ให้ทนทานในระยะยาวและยึดเกาะดีเยี่ยม

Dow AXELERON™ เป็นสารประกอบใช้ในชั้นฉนวนในสายโทรคมนาคม ช่วยให้ความเร็วในการส่งและสัญญาณของสนามกีฬามีประสิทธิภาพและวางใจได้มากที่สุด ลดความเสี่ยงของสัญญาณขัดข้อง

นอกจากนี้ ยังมีการใช้สารประกอบ AXELERON™ ร่วมกับ ENGAGE™ โพลิโอเลฟินอีลาสโตเมอร์ (Polyolefin Elastomers) ในการทำชั้นฉนวนสำหรับสายเคเบิลแรงดันต่ำและขนาดกลางที่ยาวกว่า 45 กิโลเมตร เพื่อช่วยส่งกำลังไฟฟ้าที่มีความเสถียรได้ทั่วทั้งอาคาร

DOWSIL™ SE 797 สารผนึกซิลิโคนที่ถูกใช้ในหลังคาและทางเดินเชื่อมที่เชื่อมโยงศูนย์กระจายเสียงนานาชาติกับศูนย์ข่าวหลัก ทำให้ด้านหน้ากระจกดูโฉบเฉี่ยวโดยไม่มีกรอบโลหะ สารผนึกซิลิโคนมีการยึดเกาะที่ดีเยี่ยมและป้องกันสภาพอากาศ ทั้งยังช่วยดูดซับและบรรเทาการเคลื่อนไหวระหว่างองค์ประกอบของโครงสร้าง เพื่อป้องกันการแตกร้าวที่อาจเป็นผลมาจากอุณหภูมิสูงในช่วงฤดูร้อนของโตเกียว

VORACOR™ โพลียูรีเทนของ Dow ถูกนำไปใช้ในการทำกระดานโต้คลื่น เนื่องจากสามารถขึ้นรูปได้หลากหลายและน้ำหนักเบา มีความหนาแน่นต่ำ แต่มีความแข็งแรงสูง นอกจากนี้ ยังสามารถขึ้นรูปได้ง่ายและทนทาน

เทคโนโลยีอีลาสโตเมอร์ (Elastomer) VERSIFY™ ได้รับเลือกจาก Toppan Printing มาใช้ในการผลิตเส้นใยโพลิโอเลฟินส์ ซึ่งถูกนำมาใช้ทำป้ายชั่วคราวต่างๆ โดยชิ้นส่วนที่เป็นพลาสติกทั้งหมดจะเป็นโพลิโอเลฟินส์เพียงชนิดเดียวเพื่อให้ง่ายต่อการรีไซเคิล เมื่อการแข่งขันสิ้นสุดลง Dow และ Toppan ตั้งใจจะรวบรวมป้ายต่างๆ เหล่านี้ เพื่อเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ต่อไป รวมถึงนำมาผ่านกระบวนการให้กลายเป็นเม็ดพลาสติกเพื่อนำมาใช้ใหม่ หรือนำมาผสมกับเศษไม้เพื่อผลิตเป็นวัสดุที่สามารถนำไปทำเป็นม้านั่ง พื้น เป็นต้น


สถานที่จัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก แสดงให้เห็นมรดกที่น่าภาคภูมิใจของญี่ปุ่น ทั้งมรดกของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่โตเกียวในปี ค.ศ.1964 และอนาคตที่สดใสของการพัฒนาเมืองของกรุงโตเกียว แม้ว่าการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่ยังคงเรียกว่า "โตเกียว 2020" จะถูกเลื่อนออกไปเป็นเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2564 แต่การมุ่งเน้นที่จะสร้างประสบการณ์โอลิมปิกที่ไม่มีใครเทียบได้ เพื่อแฟนกีฬาและนักกีฬายังคงดำเนินต่อไป การปรับปรุงสถานที่ต่างๆ สำหรับมหกรรมกีฬาโตเกียว 2020 ซึ่งประกอบด้วยสถานที่ทั้งหมด 43 แห่ง ได้แก่ อาคารก่อสร้างถาวรใหม่ 8 แห่ง สถานที่ที่มีอยู่เดิม 25 แห่ง และสถานที่ชั่วคราวอีก 10 แห่ง ซึ่งได้รับการออกแบบใหม่เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานของผู้คนในเมืองและผู้อยู่อาศัยในทศวรรษหน้านั้น จะช่วยสร้างเกียรติประวัติศาสตร์ให้กับประเทศญี่ปุ่นต่อไป


นิโคลเลตต้า พิคโคโรวาซซี ผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีและความยั่งยืน และโซลูชันด้านกีฬาและโอลิมปิกของ Dow กล่าวว่า "ความร่วมมือที่เรามีกับคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) เป็นตัวอย่างหนึ่งของความร่วมมือในการพลิกโฉมของการผสานพลังของวิทยาศาสตร์เข้ากับการกีฬา เพื่อกระตุ้นการนำเทคโนโลยีอันล้ำสมัยมาใช้เสริมสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้ยังคงอยู่กับคนรุ่นต่อไป เรายกย่องการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกว่าเป็น 'งานแสดงสินค้า' ที่ใหญ่ที่สุดและทรงพลังที่สุดงานหนึ่งของเรา ซึ่งเป็นทางหนึ่งที่เราสามารถสื่อสารกับลูกค้า ถือเป็นโอกาสครั้งสำคัญที่ลูกค้าจะได้สัมผัสโซลูชันและเห็นวิธีแก้ปัญหาของ Dow โดยตรงที่จัดแสดงในเกมการแข่งขันต่างๆ ผ่านอาคารสถานที่ รวมถึงอุปกรณ์และเครื่องแต่งกายสำหรับนักกีฬา"

Dow มีประวัติอันยาวนานกับโลกของกีฬา ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกปี ค.ศ.1980 เป็นปีแรกที่ Dow เริ่มจัดหาวัสดุอุปกรณ์ให้แก่สถานที่จัดการแข่งขัน และในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา การเป็นพันธมิตรกันนี้ก็ได้พัฒนาและเติบโตจากจุดแข็งไปสู่อีกจุดแข็งหนึ่ง ในปี ค.ศ. 2010 Dow ได้กลายเป็นบริษัทเคมีอย่างเป็นทางการของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก และเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ The Olympic Partners (TOP) และในปี ค.ศ. 2017 หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการเป็นพันธมิตรด้านคาร์บอนกับคณะกรรมการจัดงานโอลิมปิกที่เมืองโซชีและนครริโอ เด จาเนโร (Sochi and Rio Organizing Committees) คณะกรรมการโอลิมปิกสากลได้แต่งตั้ง Dow ให้เป็นพันธมิตรอย่างเป็นทางการด้านการลดคาร์บอน
#3174


ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ หัวหน้าศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาการบริหารจัดการ วิทยาลัยพาณิชยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา

ระบบนิเวศ (ecosystem) หมายถึง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในแหล่งที่อยู่อาศัย ณ ที่ใดที่หนึ่ง ความสัมพันธ์มี 2 ลักษณะ คือ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งไม่มีชีวิตและระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตด้วยกันเอง โดยมีการถ่ายทอดพลังงานและสารอาหารในบริเวณนั้น ๆ สู่สิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นความหมายที่เรารู้จักกันใน การศึกษานิเวศวิทยา (ecology) ซึ่งเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งว่าด้วยการศึกษาสิ่งมีชีวิตในแหล่งอาศัย รวมถึง การศึกษาด้านความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อมที่สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ความสัมพันธ์ทั้งสองลักษณะนี้ เชื่อมโยงเกี่ยวข้องกัน และเกิดขึ้นพร้อม ๆ กันต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน ไม่สามารถอยู่ได้เพียงลำพังโดยไม่เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบต่าง ๆ ความสัมพันธ์ภายในระบบนิเวศนั้น มีความสมดุลอยู่แล้วโดยธรรมชาติ ยกเว้นว่าจะมีสิ่งใดมารบกวนระบบทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ขึ้น แต่ก็มีการปรับตัวมาเหมือนเดิมได้ใหม่ยกเว้นกรณีที่สิ่งที่มารบกวนนั้น ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ระบบนั้นก็จะถูกทำลายลงได้

ADVERTISING

ในปัจจุบันนี้ ในด้านธุรกิจ ก็มีการพูดถึง Ecosystems เช่นเดียวกัน นั่นก็คือระบบนิเวศทางธุรกิจ ที่มีความเชื่อมโยงกันเหมือนระบบนิเวศของสัตว์ป่า ซึ่งต้องอาศัยประโยชน์ของกันและกันในการดำรงอยู่ โดยระบบนิเวศธุรกิจก็เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศทางเศรษฐกิจ ซึ่งระบบนิเวศเศรษฐกิจจะประกอบไปด้วย ระบบนิเวศธุรกิจ ระบบนิเวศเชิงพฤติกรรมของผู้บริโภค และระบบนิเวศของหน่วยงานรัฐที่คอยอำนวยความสะดวกให้กับระบบนิเวศของธุรกิจของเราดำเนินการไปได้ด้วยดี

การทำธุรกิจในอดีตส่วนใหญ่จะดำเนินธุรกิจในรูปแบบของ One-Sided Business โดยเริ่มตั้งแต่จัดการเรื่องเงินทุนด้วยตนเอง จัดหาวัตถุดิบด้วยตนเอง ตั้งโรงงานด้วยตนเอง ไปจนถึงการหาทางเข้าถึงลูกค้าด้วยตนเอง แบบนี้เรียกว่าการทำธุรกิจแบบทิศทางเดียว ในปัจจุบันหากเราต้องการที่จะแข่งขันกับธุรกิจที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันได้ โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจอยู่ในยามวิกฤติ เราต้องหันไปพึ่งพาพาร์ทเนอร์ที่มีศักยภาพมากพอที่จะช่วยเราฝ่าฟันวิกฤติต่าง ๆ ไปได้ เช่น การทำธุรกิจแบบระบบนิเวศ เป็นต้น

ดังนั้น การออกแบบระบบนิเวศทางธุรกิจ จึงมีความสำคัญ เสมือนการสร้างโครงสร้างขนาดใหญ่ที่อัดแน่นไปด้วยบริการ และการสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้า (User Experience) ที่มีกลไกกระตุ้น (Trigger) ที่ทำให้เรา ลูกค้า หรือกลุ่มเป้าหมายต้องเกิดการใช้งานอย่างต่อเนื่อง และอยู่ในวังวนของธุรกิจ ที่หากเราค้นไปลึกๆ ธุรกิจเหล่านั้นก็คือ เจ้าของหรือเครือเดียวกัน

ธุรกิจประเภท Ecosystem Businesses จะเกิดการได้เปรียบในการแข่งขัน ถ้าเปิดธุรกิจต้อนรับคู่ค้าหรือพาร์ทเนอร์รายอื่นที่มีศักยภาพที่ดีพอที่จะส่งเสริมให้ธุรกิจของเราเติบโตขึ้นได้

Ecosystem Business แบ่งได้เป็น 2 แบบ ดังนี้ 1. Ecosystem Partnerships คือ การหาพาร์ทเนอร์ธุรกิจที่ตอบโจทย์การดำเนินงานของเราได้ เช่น ธุรกิจ E-Commerce มีพาร์ทเนอร์เป็นธุรกิจโลจิสติกส์ที่เอื้ออำนวยต่อการขนส่งสินค้า หรือการเป็นพาร์ทเนอร์กับบัตรเครดิต เป็นต้น และ 2. Ecosystem Corporate Sustainability คือ การสร้างทรัพยากรทางธุรกิจขึ้นมาเอง โดยให้ลูกค้าเข้ามาใช้เครือข่ายบริการที่เราสร้างขึ้นมาทั้งหมด เช่น Facebook ที่มีทั้ง live streaming, messenger, marketplace หรือ Facebook page เป็นต้น

สรุปได้ว่า หากเราต้องการทำธุรกิจให้เติบโตในอุตสาหกรรมและประหยัดต้นทุนด้านทรัพยากร การทำธุรกิจแบบ Ecosystem Businesses คืออีกหนึ่งแนวคิดในการทำธุรกิจให้เป็นทางรอดขององค์กรในยุคใหม่
#3175
ข้อมูลการติดต่อหน่วยงานสถานการณ์โควิด สำหรับผู้ป่วยโควิท และ ประชาชนทั่วไป ร่วมกันช่วยเหลือคนที่ได้รับความเดือนร้อนจากโควิด19  ให้ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับสถาณการ์โควิท สำหรับผู้ป่วยโควิท และ ประชาชนทั่วไป


 ข้อมูลการติดต่อหน่วยงานสถานการณ์โควิด สำหรับผู้ป่วยโควิท และ ประชาชนทั่วไป ร่วมกันช่วยเหลือคนที่ได้รับความเดือนร้อนจากสถานการณ์โควิดได้ที่  www.jitasa.care

 ข้อมูลการติดต่อหน่วยงานสถานการณ์โควิด เว็บ JITASA.CARE จิตอาสาดูแลไทย (สำหรับอาสาสมัคร)  ร่วมกันช่วยเหลือคนที่ได้รับความเดือนร้อนจากโควิด19

เว็บ ร่วมกันช่วยเหลือคนที่ได้รับความเดือนร้อนจากโควิด19  ให้ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับสถาณการ์โควิท สำหรับผู้ป่วยโควิท และ ประชาชนทั่วไป
.
สายด่วนสถานการณ์โควิด-19, ข้อมูลการติดต่อหน่วยงานสถานการณ์โควิด (กรุงเทพมหานคร),แนวทางปฏิบัติในการแยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation),
แนวทางการจัดการศพผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19

และ ข้อมูลติดต่อฉุกเนิน ต่างๆเช่น

-สายด่วนกรมการแพทย์ ช่วยเหลือผู้ป่วยในการหาเตียง โทร 1668
-สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ สำหรับผู้ป่วยฉุกเฉินทันที /โทร 1669
-สายด่วน สปสช. ช่วยเหลือผู้ติดเชื้อที่ยังไม่ได้รับการดูแลรักษาในโรงพยาบาล โทร 1330
-ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน โทร 1111
-สบายดีบอต หาเตียง Line Official: https://bit.ly/Covid-SaBaiDee
-กรุงเทพมหานคร Line ID: @bkkcovid19connect หรือ https://bit.ly/Covid-BKK
-เราต้องรอด Facebook: www.facebook.com/savethailandsafe Line ID: @iwillsurvive หรือ https://bit.ly/ Covid-iwillsurvive
-โควิดติดล้อถึงเตียง Facebook: www.facebook.com/CC.Kontumngan


และข้อมูลอื่นๆ คลิก JITASA.CARE 

รายละเอียดเพิ่มเติม
https://prakasfree.website/ข้อมูลการติดต่อหน่วยงา/



คำค้น
#ช่วยเหลือโควิท, #ร่วมกันช่วยเหลือคนเดือดร้อนจากโควิท19, สายด่วน สถานการณ์โควิด-19, ข้อมูลการติดต่อหน่วยงานสถานการณ์โควิด,
แนวทางปฏิบัติในการแยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation), แนวทางการจัดการศพผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19
 
#3176
หัวขับวาล์ว Sirca ทุกรุ่นปกติจะเป็นแบบ double acting actuator หรือทำงานด้วย ไป/กลับ ด้วยลม ถ้าเราต้องการใช้งานแบบ single acting actuator พวกเราสามารถใส่สปริงเข้าไปที่หัวขับได้เลยนะครับ โดยสปริงจะเป็นแท่งเล็กๆต่อ 1 ข้างจะสามารถใส่สปริงได้ 1-6 ชิ้นขึ้นอยู่กับรุ่น

หัวขับsirca เป็นหัวขับลมประสิทธิภาพสูงจากประเทศ อิตาลี หัวขับลมแบรนด์ เซอร์ก้า ได้รับความนิยมมากในประเทศไทย body aluminium anodize สีทองงดงาม ในรูปจะประกอบกับ limit switch box valve position indicator 2SPDT เป็นแบบ dry contact 2 ชุดครับนำสัญญาณไปต่อใช้งานได้เลยครับ





หัวขับลม sirca นี้มี 2 รุ่น คือ รุ่น AP และก็ รุ่น APM

AP series ที่มีการปรับเพียงครั้งเดียว อนุญาตให้ปรับจังหวะของลูกสูบในตำแหน่งเปิดได้ 90° ± 3° แค่นั้น

ส่วน APM series ที่มีการปรับสองครั้งช่วยทำให้ปรับจังหวะของลูกสูบในการปิดและก็เปิดได้ ± 5°

การออกแบบชั้นวางลูกสูบคู่แล้วก็ปีกนกสำหรับโครงสร้างที่กะทัดรัด ลูกสูบติดตั้งแบบสมมาตร ออกแบบกะทัดรัดชิ้นเดียวที่มีตัวกล้องและฝาปิดเช่นเดียวกันสำหรับรุ่น Double Acting และก็ Spring Return

ตัวอลูมิเนียมอัดขึ้นรูป มีให้เลือกป้องกันการกัดกร่อนสองแบบ ได้แก่ ชุบทองหรือชุบแข็ง ตัวเครื่องทั้งหมดถูกกลึงด้วยเครื่องจักรที่ควบคุมด้วย CNC เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพและความแม่นยำสูงสุด

ฝาด้านหลังและลูกสูบทำมาจากอะลูมิเนียมหล่อขึ้นรูป ฝาด้านหลังถูกลงสี

ปีกนกทำมาจากโลหะผสมเหล็กชุบนิกเกิล ระบบป้องกันการระเบิดจะเซฟไม่ให้ก้านหลุดออกมาจากตัวหัวขับลม

องค์ประกอบที่ขยับเขยื้อนทั้งหมดมีวงแหวนหรือตลับลูกปืนกันการเสียดสีพิเศษ

สปริงทั้งหมดถูกสร้างขึ้นด้วยระบบห่อหุ้มเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุระหว่างขั้นตอนการถอดประกอบของหัวขับลม

ตัวยึดสแตนเลสภายในและภายนอกเพื่อคงทนถาวรต่อการกัดกร่อนในระยะยาว





สอดคล้องกับข้อกำหนดทางเทคนิค:
ISO 5211, DIN3337 และก็ VDI / VDE 3845 NAMUR
สำหรับความสามารถในการเปลี่ยนสินค้ารวมทั้งการติดตั้งโซลินอยด์วาล์ว ลิมิตสวิตช์ และก็เครื่องมือเสริมอื่นๆได้ง่าย
ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมอาหาร โรงงานเคมี โรงงานฟอกย้อม โรงงานพลาสติก โรงงานน้ำดื่ม น้ำผลไม้ โรงงานยาง อยู่ในส่วนของการเปิดปิดวาล์วน้ำในโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆเป็นระบบออโต้ ลดแรงงานคนได้

หัวขับลม sirca มีประกันคุณภาพสินค้า รวมทั้งบริการหลังการขาย มีชิ้นส่วนอะไหล่ให้เปลี่ยนอยู่หลายส่วนเช่น โอริงสำหรับหัวขับลม ฝาหัวท้ายสำหรับหัวขับลม สปริงสำหรับหัวขับลม แล้วก็ rack and pinion

สามารถเอามาประกอบ.วาล์วได้อีกหลายรุ่น ดังเช่นว่า .วาล์ว2ทาง .วาล์ว 3ทาง .วาล์วหน้าแปลน แล้วก็.วาล์วยูพีวีซี ยิ่งกว่านั้นยังสามารถประกอบกับวาล์วปีกผีเสื้อ (บัตเตอร์ฟลายวาล์ว butterfly valve) ทั้งแบบ wafer type และ rug type แล้วก็แบบ flange type.



 
 
#3177


ไอคอนสยามรวมสินค้าเพื่อการกำจัดเชื้อโรคภายในบ้าน เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงและเพิ่มความสะอาดปลอดภัย
ในสถานการณ์โควิด 19 ยังส่งผลให้หลายๆ คนต้องทำงานอยู่ที่บ้าน ความสะอาดและสุขอนามัยภายในบ้านจึงเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นอย่างมาก แม้จะมีการทำความสะอาดบ้านในทุกๆวัน แต่อาจไม่เพียงพอที่จะกำจัดเชื้อโรค โดยเฉพาะเชื้อไวรัส และแบคทีเรีย ที่อาจเข้ามาภายในบ้านแบบไม่รู้ตัว ดังนั้นเพื่อความสะอาดและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ไอคอนสยามจึงรวมสินค้าเพื่อการกำจัดเชื้อโรคภายในบ้าน เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงและเพิ่มความสะอาดปลอดภัยให้กับตัวคุณและคนที่คุณรัก


เริ่มที่ Wellis Air Disinfection Purifier เครื่องกำจัดเชื้อโรคและสารพิษในอากาศ และบนพื้นผิวสัมผัส  Wellis สามารถฆ่าชีวมลพิษ ในอากาศ และ บนพื้นผิวต่างๆ เช่น กำแพง เพดาน เฟอร์นิเจอร์ หรือแม้แต่บนเสื้อผ้าก็สามารถกำจัดได้มากถึง 99.9% กำจัดก๊าซพิษ และสารพิษจาก สารระเหยน้ำมันเชื้อเพลิง,สารตะกั่ว,สารปรอท,สาร VOCs สามารถกำจัดควันบุหรี่ ควันไฟ ควันรถยนต์ และ สามารถกำจัดกลิ่น อาทิเช่น กลิ่นขยะ,กลิ่นสัตว์เลี้ยง, กลิ่นไม่พึงประสงค์ต่างๆ ได้ 99.9% ซึ่ง Wellis ทำงานโดยการปล่อยประจุ Hydroxyl (OH) ที่มีความเข้มข้นสูงถึง 8,000,000-10,000,000/cc. เข้าสลายชีวมลพิษ และสารพิษ ทางอากาศและบนพื้นผิวต่าง  สามารถเปิดเครื่องเพื่อฆ่าเชื้อใน ระหว่าง ที่มีคนอยู่ในห้องได้ ตลอด 24 ชั่วโมง



AIKO - Ozone Sterilizer water โอโซนสามารถฆ่าเชื้อโรคได้ โดยโอโซนจะทำปฏิกิริยา Oxidation กับผนัง เซลล์ของเชื้อโรค /กลิ่น ทำให้เชื้อโรค/กลิ่นสลายตัว โอโซนช่วยทำให้อากาศในห้องสะอาด กำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ดีเยี่ยม ได้แก่ กลิ่นบุหรี่ กลิ่นอาหาร กลิ่นห้องเหม็นอับชื้น เป็นต้น โอโซนสามารถทำลายได้ทั้งเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา ปรสิต และจุลินทรีย์ อื่นๆ โดยโอโซนที่ระดับความเข้มข้นสูง จะมีผลทำลายเชื้อซึ่งเป็นสาเหตุของ โรค ได้แก่ ไข้หวัดใหญ่ วัณโรค โรคในระบบทางเดินหายใจ โรคในระบบ ทางเดินอาหาร ฯลฯ มีคุณสมบัติสามารถตั้งเวลาได้ตั้งแต่ 1 ถึง99 นาที สามารถเพิ่มและลดเวลา ครั้งละ 5 นาที  ซึ่งอุณหภูมิในการทำงานที่เหมาะสมคือ 25-30 องศา  ปล่อยออกซิเจน (O3) 600 มิลลิกรัม / ชั่วโมง มีปริมาณการปล่อยออกซิเจน สูงสุด 105 CFM ( ลูกบาศก์ฟุตต่อนาที )


SabaideeCare  เครื่องโอโซนล้างผัก ผลไม้ด้วยเทคโนโลยีไมโครนาโนบับเบิ้ล รุ่น MAHASAMUT  PRO ล้ำสมัยด้วยระบบ Cool Plasma Ozone กำจัดได้ถึง 4 ตัวการร้ายทำลายสุขภาพ เชื้อรา แบคทีเรีย ไวรัส และสารเคมีตกค้าง ประกอบด้วยคุณประโยชน์จาก Ozone (Water) ใช้ล้างภาชนะ, ผัก ผลไม้ และเตรียมน้ำดื่มสะอาดได้ในเครื่องเดียว และ Ozone (Air) อบห้องกำจัดกลิ่น ฆ่าเชื้อไวรัส รา ในทุกพื้นผิว และทุกซอกทุกมุม  ความพิเศษของ MAHASAMUT PRO คือสามารถตั้งเวลาได้สูงสุดถึง 60 นาที ( รุ่นเดิม 30 นาที )  มีหัวทรายที่เป็นนวัตกรรมใหม่สำหรับรุ่น MAHASAMUT PRO ไมโครบับเบิ้ล ที่กระจายโอโซนได้มากกว่าและทั่วถึงกว่า จึงลดเวลาการใช้งานได้ถึง 50%  รูปทรงใหม่ ดูล้ำสมัยน่าใช้กว่าเดิม เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการร่วมวิจัยกับทางสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ( สวทช.) น้ำหนักเบาเพียง 650 กรัม และขนาดแบนบางเพียง 5 ซม. จึงจับถนัด และเคลื่อนย้ายง่ายขึ้น

SabaideeCare  เครื่องโอโซนล้างผักผลไม้ รุ่น MAHASAMUT ใช้อบห้อง อบรถขจัดเชื้อโรค แบคทีเรีย เชื้อรา และกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ เครื่องมหาสมุทรให้ Ozone เข้มข้นสูงถึง 400 mg/hr Sabaideecare ล้ำสมัยด้วยระบบ Cool Plasma Ozone กำจัดได้ถึง 4 ตัวการร้ายทำลายสุขภาพ เชื้อรา แบคทีเรีย ไวรัส สารเคมีตกค้าง ใช้ล้างภาชนะ / ผักผลไม้ / อบห้องกำจัดกลิ่น / เตรียมน้ำดื่มสะอาด ได้ในเครื่องเดียว


SabaideeCare  เครื่องฟอกอากาศระบบโอโซน รุ่น NAPHA IV หน้าจอแสดงผล พร้อมแจ้งค่า PM2.5 แบบเรียลไทม์  การกรอง 4 ชั้น ประกอบด้วย  ตาข่ายกรองชั้นแรกกำจัดฝุ่น เกสรดอกไม้  ชั้นแผ่นกรอง HEPA กรองฝุ่นสูงสุด 0.3 ไมครอน  ชั้นกรองคาร์บอน ย่อยสลายสารฟอลมันดิไฮด์  ชั้นกรองโมเลกุล่าชีฟ ดูดความชื้น ระบบโอโซน สำหรับขจัดเชื้อโรค กำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ ระบบไอออน ดับจับฝุ่นให้ตกลงบนพื้น ครอบคลุมพื้นที่สูงสุด 60 ตรม./ สามารถผลิตอากาศบริสุทธิ์ออกมาได้ถึง 400 ลบ.ม.ต่อชม. 

เพื่อความสะอาด ปลอดภัยให้ภายในบ้านของคุณ ช้อปออนไลน์ง่ายๆ ที่ ICONSIAM Ultimate Chat & Shop ผ่าน LINE Official Account @ICONSIAM  หรือ ช้อปผ่าน Facebook Page ICONSIAM หรือ คลิก https://bit.ly/3kKR0js พร้อมรับดีลสุดคุ้ม 3 ต่อ ต่อที่ 1 รับฟรี Alco Hand Shield Spray จำนวน 1 ขวด เมื่อช้อปครบ 599 บาท (จำนวนจำกัด) ต่อที่ 2 ใช้โค้ดลดเพิ่ม สูงสุด 3,500 บาท  และต่อที่ 3 รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 30% ตั้งแต่วันนี้ - 31 ส.ค. 64 เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.1338 หรือ www.iconsiam.com 

ไอคอนสยามมีความห่วงใยลูกค้าทุกท่านและยังคงดำเนินมาตรการความปลอดภัยในเชิงรุกอย่างเคร่งครัด ยกระดับมาตรการความปลอดภัยของบริการช้อปออนไลน์  ด้วยกระบวนการฆ่าเชื้อบนพื้นผิวสินค้า บรรจุภัณฑ์ และกล่องพัสดุ ด้วยเครื่องฆ่าเชื้อจากรังสี  UV-C (Handheld Ultraviolet Disinfection Lamp) ก่อนส่งมอบถึงมือลูกค้าเพื่อความปลอดภัยสูงสุด
#3178


มาตรการควบคุมการแพร่ระบาด COVID-19 ของรัฐบาลตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ส่งผลให้พฤติกรรมการใช้งานอินเตอร์เน็ต และสื่อออนไลน์เพิ่มสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของผู้คนย้ายมาอยู่บนหน้าจอในโลกออนไลน์เกือบ 100%

สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาจากพฤติกรรมดังกล่าวก็คือ ร่องรอย หรือ "รอยเท้าดิจิทัล (Digital footprint)" ซึ่งเป็นข้อมูลที่เกิดจากการใช้งานบนอินเตอร์เน็ตไม่ว่าจะตั้งใจ หรือไม่ก็ตาม ทำให้มีกลุ่มมิจฉาชีพที่ใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้นำมาสร้างกลลวงโดยฉวยโอกาสจากสถานการณ์ปัจจุบัน


นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าฝ่ายงานประชาสัมพันธ์ AIS อธิบายว่า ช่วงที่ผ่านมา AIS พบว่ามีปริมาณการใช้อินเตอร์เน็ตในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 เพิ่มขึ้นอย่างมาก ประกอบกับการร้องเรียนเกี่ยวกับการโดนหลอกลวง และภัยไซเบอร์ต่างๆ จากผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็น ฟิชชิ่ง โดยปลอมลิงค์จากหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้คนสนใจเข้าไปกรอกข้อมูล หรือแม้แต่ SMS ลวง ที่อาศัยเหตุการณ์ปัจจุบันเช่น ไฟไหม้, โรคระบาด, เงินเยียวยา, วัคซีน มาเป็นตัวล่อ ทำให้คนที่ไม่ทันต่อเล่ห์เหลี่ยมของมิจฉาชีพเกิดความเสียหายจากการใช้งานขึ้นอย่างมากมาย

จากข้อมูลดังกล่าวทำให้ AIS ให้ความสำคัญกับพฤติกรรมการใช้งานมากยิ่งขึ้น โดยจากการทำงานของ AIS อุ่นใจ Cyber พบข้อมูลสำคัญว่า ทุกๆ การใช้งานบนออนไลน์ ทำให้เกิด รอยเท้าดิจิทัล หรือ Digital footprint ทิ้งไว้ในทุกที่ซึ่งแน่นอนว่านี่คือสารตั้งต้นที่ทำให้ผู้ใช้งานฝากข้อมูลสำคัญต่างๆ ไว้โดยไม่รู้ตัว มีผลทำให้กลุ่มมิจฉาชีพใช้ประโยชน์ตรงนี้มาสร้างรูปแบบการหลอกลวงจนสร้างความเสียหายได้"

AIS อุ่นใจCyber มีความห่วงใยลูกค้าและคนไทยในการใช้งานอินเตอร์เน็ตและออนไลน์ทุกรูปแบบ จึงขอย้ำเตือนถึงช่องว่างที่อาจเกิดขึ้นจากการเหยียบย่ำบนออนไลน์จนสร้างเป็นรอยเท้าข้อมูลในทุกที่อาจทำให้มิจฉาชีพ หรือผู้ไม่หวังดีนำข้อมูลของเราไปใช้งานในทางที่ผิดทั้งไม่ว่าจะต่อตัวเองหรือผู้ใช้งานอื่นก็ตาม


ฉะนั้นเมื่อใช้งานอินเตอร์เน็ตทุกรูปแบบต้องมีสติ ไม่โพสรูปหรือข้อความที่สุ่มเสี่ยงต่อการบอกที่ตั้ง รวมถึงข้อมูลสำคัญต่างๆ และบอกตัวเองเสมอว่าทุกกิจกรรมที่เราทำมีรอยเท้าฝากไว้เสมอ เพื่อการใช้งานที่อุ่นใจไร้ภัยไซเบอร์

"เราไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า Digital footprint ทำให้แบรนด์รู้จักและเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าได้ดีมากยิ่งขึ้น แต่ยังมีอีกมุมที่เราไม่ควรมองข้าม เพราะ Digital footprint หรือ รอยเท้าดิจิทัล อาจเป็นจุดเริ่มต้นของภัยไซเบอร์ที่เกิดขึ้นในสารพัดรูปแบบได้ ซึ่งจะต้องให้ความสำคัญอย่างมากในการใช้งานทุกขั้นตอนเพื่อลดช่องโหว่ในการใช้ประโยชน์จากการใช้งานของมิจฉาชีพ"
#3179
SSSLOTTO เว็ปแทงหวยออนไลน์ อันดับ 1 หวยรัฐบาลไทย หวยลาว หวยฮานอย หวยยี่กี หวยหุ้นทุกประเทศ ฝาก ถอน อัตโนมัติ เชื่อถือได้ 100% สมัครสมาชิกฟรี
สมัคร https://bit.ly/3lRp2jk

 
#3180


นีเลช เจน รองประธานประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย เทรนด์ไมโคร กล่าวว่า การระบาดของโควิด-19 ทำให้รูปแบบการทำงานภายในองค์กรเปลี่ยนไปสู่การทำงานจากระยะไกล ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านการรักษาความปลอดภัยเนื่องจากมีผู้คุกคามจำนวนมากขึ้นที่พยายามฉวยโอกาสจากภาวะการณ์ที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19

เทรนด์ไมโครพบว่า ระบบนิเวศที่ทั้งแพลตฟอร์มและบริการต่างๆ ต้องทำงานร่วมกัน ทำให้รูปแบบการจัดการและการป้องกันไม่เพียงพออีกต่อไป เนื่องจากนับตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของวิกฤติเป็นต้นมา พบการเพิ่มขึ้นจำนวนมากของอีเมลต้มตุ๋น สแปม และการล่อลวงแบบฟิชชิ่งที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 และแน่นอนว่าอาชญากรไซเบอร์ยังคงมุ่งที่จะฉวยโอกาสและออกแคมเปญที่ใช้โคโรน่าไวรัสเป็นธีมหลักในการโจมตี


'เฮลธ์แคร์' เป้าหมายโจรไซเบอร์

เขากล่าวว่า ปีนี้องค์กรธุรกิจต้องต่อสู้เพื่อการดำเนินงานที่ปลอดภัย และจากนี้โควิด-19 จะยังคงสร้างความท้าทายด้านการรักษาความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นการค้าบนอีคอมเมิร์ซ ซึ่งอาชญากรจะพยายามบุกเข้าไปในระบบโลจิสติกส์ โดยกรณีที่เกิดขึ้นได้เช่น การก่อวินาศกรรมการผลิต การลักลอบขนส่ง (trafficking) และการขนส่งสินค้าลอกเลียนแบบจะกลายเป็นแนวทางปฏิบัติที่เกิดขึ้นท่ามกลางการระบาดใหญ่

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "อุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์" จะยิ่งกลายเป็นที่จับตามองมากขึ้น เนื่องจากแพทย์จำนวนมากหันไปใช้ระบบการรักษาทางไกล (telemedicine) และการให้บริการทางการแพทย์ทวีความสำคัญมากขึ้น 

"ความปลอดภัยด้านไอทีสำหรับระบบเฮลธ์แคร์จะถูกทดสอบ ทีมรักษาความปลอดภัยไม่เพียงต้องจัดการกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลผู้ป่วยและการโจมตีของมัลแวร์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงความเป็นไปได้ของการจารกรรมทางการแพทย์"

ปิยธิดา ตันตระกูล ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เทรนด์ไมโคร (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า โควิด-19 เป็นตัวกระตุ้นและเร่งการเกิดกระบวนการปฏิรูปทางดิจิทัลอย่างกว้างขวางทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ และอุตสาหกรรม และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบในการใช้เทคโนโลยีก็จะทำให้รูปแบบและภูมิทัศน์ของภัยคุกคามเปลี่ยนแปลงตามไปด้วยเช่นกัน

เทรนด์ไมโครพบว่ามี 4 เรื่องที่น่าสนใจและเป็นจุดที่สามารถนำไปสู่อาชญากรรมบนไซเบอร์ หรือภัยคุกคามต่อการรักษาความปลอดภัยบนไซเบอร์ในปัจจุบันได้ นั่นคือ การเวิร์คฟรอมโฮม, การใช้งานฟู้ดดิลิเวอร์รี แมสเซจจิ้งแอพพลิเคชั่น ตลอดจนข่าวสารข้อมูลที่ออกมาจากภาคส่วนต่างๆ ก็กลายเป็นความท้าทายใหม่ๆ สำหรับการรักษาความปลอดภัย

ปี 2563 เทรนด์ไมโครดำเนินการบล็อคภัยคุกคามที่เกิดขึ้นทั่วโลกเป็นจำนวน 62.6 พันล้านครั้ง หรือคิดเป็นตัวเลขประมาณ 119,000 ต่อนาที โดยข้อมูลที่ชี้ให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า 91% ของภัยคุกคามเกิดจากอีเมล, การโจมตีบนเครือข่ายภายในบ้านเพิ่มขึ้นถึง 210% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

ขณะที่ รูปแบบของการโจมตีและเรียกค่าไถ่บนไซเบอร์ที่เรียกว่าแรนซัมแวร์มีการเปลี่ยนแปลงและมีรูปแบบการโจมตีตามสายพันธุ์ เพิ่มขึ้นถึง 34 % โดยท็อป 10 ของอุตสาหกรรมที่เป็นเป้าหมายการโจมตี ได้แก่ ภาครัฐบาล ธนาคาร อุตสาหกรรมการผลิต เฮลธ์แคร์ การเงิน การศึกษา เทคโนโลยี อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และประกันภัย ตามลำดับ

สำหรับเทรนด์ไมโคร มุ่งนำเสนอเกราะป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์เชิงรุก ด้วยเพลตฟอร์ม "Vision One" ที่ช่วยขยายการตรวจจับและการตอบสนองแบบเรียลไทม์ เพิ่มประสิทธิภาพการรักษาความปลอดภัย ตลอดจนใสนับสนุนเทคโนโลยีเพื่อการทำงานให้ได้ประสิทธิผลยิ่งขึ้น ที่สำคัญช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน

ปัจจุบัน ประเทศไทยเป็นตลาดระดับท็อป 3 ในภูมิภาคอาเซียนของเทรนด์ไมโคร ซึ่งจากนี้จะยังคงให้ความสำคัญและเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง ครึ่งปีแรกตลาดประเทศไทยเติบโต 15.5% เฉพาะซอฟต์แวร์แอสอะเซอร์วิสเติบโต 623.4%, คลาวด์ซิเคียวริตี้(Cloud One) เติบโต 555.9%