• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Joe524

#3181


"สถาบันการเงิน" ภายใต้กฎหมาย "คุ้มครองเงินฝาก" จะได้รับความคุ้มครองเงินฝากตามกฎหมายคุ้มครองเงินฝากลดลงมาอยู่ในวงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท ต่อ 1 รายผู้ฝาก ต่อสถาบันการเงิน จากเดิมที่คุ้มครองในวงเงิน 5 ล้านบาท ตั้งแต่ 11 ส.ค. 64 เป็นต้นไป

มีการตั้งข้อสังเกตว่าการปรับลดการคุ้มครองเงินฝากหวยออนไลน์ในครั้งนี้ กำลังบ่งบอกว่าสถาบันการเงินกำลังสั่นคลอนหรือไม่ ทว่าตามหลักการและข้อมูลที่ปรากกฎในตอนนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้น

การลดการคุ้มครองเงินฝากเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง เมื่อเห็นควรว่าต้องมีการปรับลดการคุ้มครองเงินฝากลงตามสถานการณ์ทางการเงินของประเทศ ปัจจัยอื่นๆ ทำให้ก็มีการเปลี่ยนแปลงเรื่อยๆ ตามยุคสมัย

"กรุงเทพธุรกิจออนไลน์" พาไปดูการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับการฝากเงิน ที่คนที่กำลังฝากเงินในบัญชีออมทรัพย์ทั้งหลายต่อรู้ หลังจากที่มีการลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากเหลือ 1 ล้านบาท ที่คนฝากเงินต้องรู้

 1. สถาบันคุ้มครองเงินฝาก เกี่ยวข้องกับผู้ฝากเงินอย่างไร ? 

"สถาบันคุ้มครองเงินฝาก" จะมีบทบาท เมื่อสถาบันการเงินถูกเพิกถอนใบอนุญาต โดยจะทำการจ่ายเงินคืนให้แก่ผู้ฝากเงินตามวงเงินคุ้มครองไปก่อน โดยผู้ฝากไม่ต้องรอให้กระบวนการชำระบัญชีเสร็จสิ้น

หมายความว่า เมื่อธนาคารที่ฝากเงินถูกเพิกถอนใบอนุญาต ประชาชนจะได้รับวงเงินตามเกณฑ์คุ้มครอง คืนโดยเร็ว จากสถาบันคุ้มครองเงินฝาก โดยปัจจุบันจะไ้ด้รับวงเงินคืนไม่เกิน 1 ล้านจาก สถาบันคุ้มครองเงินฝาก 

พูดง่ายๆ ก็คือ เมื่อธนาคารที่เราฝากเงินล้ม เนื่องจากเพิกถอนใบอนุญาต ประชาชนที่ฝากเงินจะได้รับเงินส่วนที่ฝากอยู่คืนครบทั้งหมด ตามวงเงินที่ "สถาบันคุ้มครองเงินฝาก" กำหนดนั่นเอง



 2. คุ้มครองเงินฝากสูงสุดเท่าไร ? 

ผู้ฝากเงินในสถาบันการเงินภายใต้กฎหมายคุ้มครองเงินฝาก จะได้รับความคุ้มครองเงินฝากตามกฎหมายคุ้มครองเงินฝาก ในวงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท ต่อ 1 รายผู้ฝาก ต่อสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นวงเงินที่กำหนดตามกฎหมาย 

ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่มีกฎหมายการคุ้มครองเงินฝากในประเทศไทย ก็มีการลดความคุ้มครองลงเรื่อยๆ จากเดิมก่อน 10 ส.ค. 2554 มีการคุ้มครองเงินฝากในบัญชีเงินฝากของผู้ฝากเงินที่เป็นเงินสกุลบาทแบบ "เต็มจำนวน" 

นับตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค. 2554 เป็นต้นมาจนถึงวันที่ 10 ส.ค. 2555 ลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากลงมาเหลือไม่เกิน 50 ล้านบาท

ตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค. 2558 เป็นต้นมา ลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากลงเหลือไม่เกิน 25 ล้านบาท และปรับลดลงมาเรื่อยๆ ดังนี้ 

11 ส.ค. 58 - 10 ส.ค. 59 วงเงินคุ้มครองเงินฝากเหลือไม่เกิน 25 ล้านบาท

11 ส.ค. 59 - 10 ส.ค. 61 วงเงินคุ้มครองเงินฝากเหลือไม่เกิน 15 ล้านบาท

11 ส.ค. 61 - 10 ส.ค. 62 วงเงินคุ้มครองเงินฝากเหลือไม่เกิน 10 ล้านบาท

11 ส.ค. 62 - 10 ส.ค. 64  วงเงินคุ้มครองเงินฝากเหลือไม่เกิน 5 ล้านบาท

11 ส.ค. 64 เป็นต้นไป วงเงินคุ้มครองเงินฝากเหลือไม่เกิน 1 ล้านบาท


 3. การคุ้มครองเงินฝาก ครอบคลุมสถาบันการเงินใดบ้าง ? 

การคุ้มครองเงินฝากโดยสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ครอบคลุม ธนาคารพาณิชย์ไทย 18 แห่ง สาขาธนาคารต่างประเทศ 12 แห่ง บริษัทเงินทุน 2 แห่ง และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ 3 แห่ง รวมทั้งสิ้น 35 แห่ง

ตรวจสอบรายชื่อสถาบันการเงินที่มีการคุ้มครองเงินฝาก คลิกที่นี่ 

 

 4. สถาบันการเงินที่ไม่อยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองเงินฝาก 

สถาบันการเงินที่ไม่อยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองเงินฝาก เนื่องจากมีรัฐบาลเป็นผู้คุ้มครองเงินฝากให้ หากสถาบันการเงินดังกล่าวเกิดปัญหาขึ้นรัฐบาลจะเป็นผู้ดูแลเอง ประกอบด้วย 4 ธนาคาร ได้แก่ 

- ธนาคารออมสิน

- ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร

- ธนาคารอาคารสงเคราะห์

- ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

 5. การคุ้มครองเงินฝาก ไม่ได้คุ้มครองทุกประเภทบัญชี 



 6. ผู้ได้รับผลกระทบจากการลดความคุ้มครองเงินฝากจาก 5 ล้านเหลือ 1 ล้านบาท 


การคุ้มครองเงินฝาก ณ ทีนี้จะคุ้มครอง บัญชีเงินฝาก 5 ประเภท ได้แก่ 

1) เงินฝากกระแสรายวัน
2) เงินฝากออมทรัพย์
3) เงินฝากประจำ
4) บัตรเงินฝาก 
5) ใบรับฝากเงิน

ไม่คุ้มครองบัญชีเงินฝากบางประเภท และบัญชีอื่นๆ เช่น

- เงินฝากประเภทที่เป็นเงินตราต่างประเทศ
- เงินลงทุนในตราสารต่าง ๆ เช่น พันธบัตร หุ้นกู้ หน่วยลงทุน (SSF, RMF)
- เงินฝากในสหกรณ์
- แคชเชียร์เช็ค ตั๋วแลกเงิน
- เงินอิเล็กทรอนิกส์ 
- ผลิตภัณฑ์ประกันประเภทออมทรัพย์ ที่ออกโดยบริษัทประกัน


 7. ผู้ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการลดความคุ้มครองเงินฝากจาก 5 ล้านเหลือ 1 ล้านบาท 


 8. วิธีปฏิบัติเมื่อสถาบันการเงินที่มีเงินฝากอยู่ ถูกเพิกถอนใบอนุญาต 

เมื่อกระทรวงการคลังประกาศเพิกถอนใบอนุญาตสถาบันการเงิน ผู้ฝากเงินไม่ต้องดำเนินการใด ๆ และไม่จำเป็นต้องมายื่นคำขอรับเงินแต่อย่างใด โดยสถาบันคุ้มครองเงินฝากจะทำหน้าที่จ่ายคืนเงินให้กับผู้ฝากภายใน 30 วัน ตามที่กฎหมายกำหนด 


 9. บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่ผูกไว้กับบัญชีกองทุนหรือประกัน ได้รับความคุ้มครองหรือไม่ ? 

บัญชีเงินฝากที่ผูกไว้กับบัญชีกองทุนหรือประกัน จะได้รับความคุ้มครองเฉพาะในส่วนของเงินฝากออมทรัพย์


 10. วิธีดูว่าสถาบันการเงินที่เราฝากเงินยังมีสุขภาพดีหรือไม่ 



ที่มา: dpa.or.th สถาบันคุ้มครองเงินฝาก ธนาคารแห่งประเทศไทย
#3182


เมื่อวันที่ 12 ส.ค. กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เผยข้อมูลสถิติการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั่วโลกแล้ว 4,566 ล้านโดส ใน 201 ประเทศ/เขตปกครอง โดยขณะนี้อัตราการฉีดล่าสุดรวมกันทั่วโลกที่ 39.1 ล้านโดสต่อวัน และมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่สหรัฐอเมริกามีจำนวนการฉีดวัคซีนสูงที่สุดที่ 353 ล้านโดส โดยมีชาวอเมริกันกว่า 167 ล้านคนได้รับวัคซีนครบ 2 โดสแล้ว

ด้านอาเซียนขณะนี้ทุกประเทศได้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แล้ว มียอดรวมกันที่ประมาณ 195.18 ล้านโดส โดยสิงคโปร์ฉีดวัคซีนในสัดส่วนประชากรมากที่สุดในภูมิภาค (75.9% ของประชากร) ในขณะที่อินโดนีเซียฉีดวัคซีนในจำนวนมากที่สุดที่ 78.51 ล้านโดส สำหรับประเทศไทยข้อมูล ณ วันที่ 12 สิงหาคม 2564 ได้ฉีดวัคซีนแล้วกว่า 22,288,819 โดส โดยฉีดให้กับประชาชนมากที่สุดในสัดส่วนกว่า 54.20%

ในการฉีดวัคซีน จำนวน 4,566 ล้านโดสนี้ อว. ขอรายงานสถิติที่สำคัญ คือ

1. ข้อมูลการฉีดวัคซีนล่าสุดของประเทศไทย ณ วันที่ 12 สิงหาคม 2564
จำนวนการฉีดวัคซีนสะสม 22,288,819 คน ใน 77 จังหวัด แบ่งเป็น
-เข็มแรก 17,068,105 โดส (25.8% ของประชากร)
-เข็มสอง 4,826,641 โดส (7.3% ของประชากร)
-เข็มสาม 394,073 โดส (0.6% ของประชากร)

2. อัตราการฉีดวัคซีนตั้งแต่ 28 ก.พ.- 12 ส.ค. 64 พบว่า ประเทศไทยฉีดวัคซีนแล้ว 22,288,819 โดส ฉีดเพิ่มขึ้น 570,865 โดส (อัตราการฉีดล่าสุดเฉลี่ย 3 วันย้อนหลัง ตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. 64 ซึ่งเป็นการฉีดวัคซีนวาระแห่งชาติ 475,302 โดส/วัน

3. อัตราการฉีดวัคซีน ประกอบด้วย
วัคซีน Sinovac
- เข็มที่ 1 7,276,652 โดส
- เข็มที่ 2 3,443,314 โดส
- เข็มที่ 3 0 โดส

วัคซีน AstraZeneca
- เข็มที่ 1 8,526,768 โดส
- เข็มที่ 2 892,320 โดส
- เข็มที่ 3 190,288 โดส

วัคซีน Sinopharm
- เข็มที่ 1 1,222,497 โดส
- เข็มที่ 2 472,509 โดส
- เข็มที่ 3 0 โดส

วัคซีน Pfizer
- เข็มที่ 1 42,188 โดส
- เข็มที่ 2 18,498 โดส
- เข็มที่ 3 203,785 โดส

4. การฉีดวัคซีนโควิด-19 แยกตามกลุ่มเป้าหมาย
- บุคลากรการแพทย์/สาธารณสุข เข็มที่1 118.4% เข็มที่2 102.0% เข็มที่3 55.3%
- เจ้าหน้าที่ด่านหน้า เข็มที่1 50.6% เข็มที่2 30.2% เข็มที่3 0%
- อสม เข็มที่1 54.7% เข็มที่2 24.7% เข็มที่3 0%
- ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค เข็มที่1 35.2% เข็มที่1 6.2% เข็มที่3 0%
- ประชาชนทั่วไป เข็มที่1 31.2% เข็มที่2 9.0% เข็มที่3 0%
- ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป เข็มที่1 32.8% เข็มที่2 2.5% เข็มที่3 0%
- หญิงตั้งครรภ์ เข็มที่1 1.6% เข็มที่2 0.1% เข็มที่3 0%
รวม เข็มที่1 34.1% เข็มที่2 9.7% เข็มที่3 0.8%

5. จังหวัดที่ฉีดวัคซีน เข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 แบ่งเป็น 2 ชุดข้อมูล
กรุงเทพฯ และปริมณฑล เข็มที่1 53.6% เข็มที่2 12.5% เข็มที่3 0.8% ประกอบด้วย
- กรุงเทพฯ เข็มที่1 74.1% เข็มที่2 16.1% เข็มที่3 1.1%
- สมุทรสาคร เข็มที่1 33.7% เข็มที่2 13.5% เข็มที่3 0.5%
- นนทบุรี เข็มที่1 35.2% เข็มที่2 11.7% เข็มที่3 0.5%
- สมุทรปราการ เข็มที่1 34.7% เข็มที่2 6.8% เข็มที่3 0.4%
- ปทุมธานี เข็มที่1 30.5% เข็มที่2 6.8% เข็มที่3 0.3%
- นครปฐม เข็มที่1 19.9% เข็มที่2 4.8% เข็มที่3 0.4%

จังหวัดอื่น ๆ 71 จังหวัด เข็มที่1 15.9% เข็มที่2 5.2% เข็มที่3 0.5%
- ชลบุรี เข็มที่1 27.4% เข็มที่2 8.8% เข็มที่3 0.8%
- พระนครศรีอยุธยา เข็มที่1 15.6% เข็มที่2 4.0% เข็มที่3 0.3%
- สงขลา เข็มที่1 21.5% เข็มที่2 6.7% เข็มที่3 0.9%
- ยะลา เข็มที่1 24.3% เข็มที่2 7.5% เข็มที่3 0.6%
- ปัตตานี เข็มที่1 18.9% เข็มที่2 5.8% เข็มที่3 0.3%
- ฉะเชิงเทรา เข็มที่1 37.0% เข็มที่2 5.0% เข็มที่3 0.5%

6. ในภูมิภาคอาเซียน ได้ฉีดวัคซีนแล้วครบ 10 ประเทศ รวมจำนวน 195,188,048 โดส ได้แก่
1. อินโดนีเซีย จำนวน 78,512,091 โดส (19%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinovac, AstraZeneca, Moderna และ Sinopharm
2. ฟิลิปปินส์ จำนวน 26,127,502 โดส (12.7%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinovac, Pfizer, Sputnik V, Moderna, J&J และ AstraZeneca
3. มาเลเซีย จำนวน 25,863,563 โดส (50%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Pfizer, AstraZeneca และ Sinovac
4. ไทย จำนวน 22,288,819 โดส (25.8%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Pfizer, Sinovac, AstraZeneca และ Sinopharm
5. กัมพูชา จำนวน 15.265,222 โดส (55.8%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinopharm, AstraZeneca, J&J และ Sinovac
6. เวียดนาม จำนวน 12,098,821 โดส (11.3%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca, Pfizer, Moderna และ Sinopharm
7. สิงคโปร์ จำนวน 8,458,968 โดส (75.9%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Pfizer, Moderna และ Sinovac
8. พม่า จำนวน 3,500,000 โดส (N/A* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca และ Sinopharm
9. ลาว จำนวน 2,871,621 โดส (20.7%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinopharm, Sputnik V, Pfizer, J&J, Sinovac และ AstraZeneca
10. บรูไน จำนวน 201,441 โดส (35.2%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca และ Sinopharm
* คำนวณจากจำนวนฉีด/จำนวนประชากร/2 เหมือนกันทุกประเทศ

7. จำนวนการฉีดวัคซีนแยกตามภูมิภาค
1. เอเชียและตะวันออกกลาง 66.46%
2. อเมริกาเหนือ 11.34%
3. ยุโรป 13.62%
4. ลาตินอเมริกาและแคริบเบียน 6.46%
5. แอฟริกา 1.74%
6. โอเชียเนีย 0.38%

8. ประเทศที่ฉีดวัคซีนแล้วมากที่สุด 5 ประเทศลำดับแรกที่ฉีดวัคซีนมากกว่า 100 ล้านโดส รวมกันเกือบ 70% ของปริมาณการฉีดวัคซีนทั่วโลก
1. จีน จำนวน 1,808.09 ล้านโดส (64.6% ของจำนวนการฉีดทั่วโลก)
2. อินเดีย จำนวน 519.08 ล้านโดส (19.0%)
3. สหรัฐอเมริกา จำนวน 353.21 ล้านโดส (55.2%)
4. บราซิล จำนวน 155.43 ล้านโดส (38.0%)
5. ญี่ปุ่น จำนวน 105.68 ล้านโดส (41.9%)

9. ประเทศที่ฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากรมากที่สุด มี 10 ประเทศที่ฉีดวัคซีนให้กับประชากรอย่างน้อย 25% แล้ว ได้แก่ (เฉพาะประเทศที่มีประชากรมากกว่า 500,000 คน)
1. มัลดีฟส์ (83.4% ของประชากร) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech และ Sinopharm)
2. บาห์เรน (80.8%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech, Sinopharm และ Gamaley)
3. สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (80.2%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech, Sinopharm และ Gamaleya)
4. สิงคโปร์ (75.9%) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer/BioNTech Moderna และ Sinovac)
5. กาตาร์ (71.8%) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer/BioNTech และ Moderna)
6. อุรุกวัย (70.4%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech และ Sinovac)
7. ชิลี (68.8%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, CanSino, Pfizer/BioNTech และ Sinovac)
8. ภูฏาน (68.4%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech และ Moderna)
9. เดนมาร์ก (68.0%) (ฉีดวัคซีนของ Moderna, Pfizer/BioNTech และ J&J)
10. แคนาดา (67.9%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford Moderna และ Pfizer/BioNTech) 
#3183

ลูกอมพระแม่ธรณีจัดสร้างจากดินใต้ฐานพระแม่ธรณี ผงมหาจักรพรรดิ และมวลสารอื่น ๆ ช่วยในเรื่องการขายบ้าน ขายที่ดินวิธีบูชาให้นำลูกอมพระแม่ธรณี วางบนโฉนดที่ดิน หรือรูปภาพของที่ดิน หรืออื่น ๆ ที่มีความสัมพันธ์กับที่ดินที่ต้องการจะขาย จากนั้นจัดเครื่องสักการะประกอบด้วย (จัดถวายเฉพาะครั้งแรกที่บูชาไปเท่านั้น) ข้าวตอก น้ำนม พวงมาลัยดาวเรือง ผลไม้ 5 ชนิด แล้วกล่าวว่าลูกขอยอกรชุลีนอบนบอัญเชิญองค์แม่พระธรณีเจ้าขาเชิญเสด็จมารับเครื่องสักการะ ที่ลูกนำมาถวายด้วยใจบูชาและท่องคาถาตั้งนะโม 3 จบตัสสาเกษีสะโต ยะถาคงคา โสตังปะวัตตันติ มาระเสนา ปฏิฐาตุง อาสักโภนโต ปะลายิงสุ ปาริมานานุภาเวนะมาระ เสนาปะราชิตาทิโส ทิสัง ปะลายันติ วิทังเสนติอะเสสะโตแล้วกล่าวว่าพระแม่ธรณีเจ้าขา ลูกมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำการขายที่ดินแปลงนี้ จึงใคร่ขออนุญาติ พระแม่ธรณี ได้โปรดเมตตา เปิดทาง และนำพาคนบุญที่มีบุญสัมพันธ์กับที่ผืนนี้มาเป็นเจ้าของสืบต่อไป ขออย่าได้มีอุปสรรคขอให้สำเร็จทุกประการเทอญจากนั้นจุดธูป 9 ดอก เทียน 2 เล่ม ตั้งนะโม 3 จบ แล้วกล่าวว่าข้าพเจ้า ชื่อ .........สกุล.............. ขอน้อมอัญเชิญ พระภูมิเจ้าที่ และเทวดา อีกทั้งเจ้าที่แต่ก่อนเก่าจนถึงปัจจุบันทั้งหมด ที่รักษาที่ดินแปลงนี้ ด้วยอำนาจพระรัตนตรัย บุญกุศลใดที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมาทุกภพทุกชาติ ขออุทิศให้ท่านทั้งหลาย ขอทุกท่านได้โมทนา หากมีการใดกิจใดที่ลูกและผู้คนในบ้านทั้งหมด ได้ทำผิดพลาดประการใดต่อท่าน ด้วยกาย วาจา ใจ ลูกขอขมากรรมทั้งหมด ณ โอกาสนี้ ลูกต้องการขายที่ดินแปลงนี้ ขอให้ท่านช่วยให้ขายได้โดยเร็วไวที่สุด แล้วก็ให้ได้ราคาตามที่ตั้งใจไว้ หากลูกขายได้ จะทำบุญ อุทิศกุศลให้ท่านอีกวาระ ด้วย.......................................(สิ่งที่ต้องการทำบุญเพื่ออุทิศให้)จากนั้นให้ บริกรรมคาถา เม กะ มะ อุ ไปเรื่อย ๆ ตลอดเวลาที่นึกได้จนกว่าจะขายที่ดินได้ เมื่อขายได้แล้วให้นำลูกอมพระแม่ธรณีไปฝังในที่ดินแปลงนั้น ๆหมายเหตุ1. ถ้าต้องการขายบ้าน ให้เปลี่ยนคำว่าที่ดิน เป็นบ้านเลขที่ ....2. ลูกอมพระแม่ธรณี 1 ลูก ใช้ได้กับที่ 1 แปลง หรือบ้าน 1 หลังสนใจติดต่อนายธีรพัชร์ วงศ์วรนิตย์ (อ.ทองเอก พรเทวะ)โทร 0846623662Line : teerapat999 http://porntaywa99.lnwshop.com/p/414 
#3184


ต้องการผลักดัน "พืชสมุนไพร" ของไทยเป็นอุตสาหกรรมระดับโลก ! "จุลภาส (ทอม) เครือโสภณ" ผู้ก่อตั้งบริษัท (Founder) บริษัท โกลเด้น ไตรแองเกิลเฮลท์ จำกัดหรือ GTH  กับโอกาสธุรกิจกำลังเข้ามาจากการแพร่ระบาดโควิด-19 

ส่งผลให้พืชสมุนไพร่ไทยเริ่มเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นในตลาดโลก...

ประกอบกับเมืองไทยกระทรวงสาธารณสุขประกาศ "ปลดล็อก"ให้ใช้ประโยชน์บางส่วนของพืชเศรษฐกิจ "กัญชง" ในเชิงการค้า

สอดรับแผนการให้ บริษัท เอ็นอาร์อินสแตนท์โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRFผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรส อาหารสำเร็จรูป รวมทั้งธุรกิจอาหารโปรตีนจากพืช หรือ Plant-Based Food ของ "แดน ปฐมวาณิชย์" เข้ามาถือหุ้นสัดส่วน 49%และมีโอกาสซื้อหุ้นเพิ่มได้ถึง 51% แต่ยังไม่ใช่ระยะใกล้นี้ เพื่อร่วมกันขยายตลาดผลิตภัณฑ์จากพืชเศรษฐกิจไทยสู่ตลาดโลก หลัง NRF เข้ามาถือหุ้นทีมผู้บริหารเดิมของ GTH ยังทำงานต่อไปตามแผนธุรกิจที่วางไว้ ด้วยการลงทุนในธุรกิจกัญชง ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และธุรกิจแฟรนไชส์Hemp House

โดย GTH ทำธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ โดยการนำเข้าเมล็ดกัญชงสายพันธ์ที่มีคุณภาพ พัฒนาการปลูกและสกัดกัญชง ตลอดจนการพัฒนาสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่ผสมรสชาติกัญชงภายใต้แบรนด์ของ GTH เช่น Kinchakan, TOM, และช่อผกา

อีกทั้งบริษัทยังร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ กับแบรนด์เครื่องสำอางชั้นนำ อาทิ Dentiste Smooth E , เซียงเพียวอิ๊ว เพื่อต่อยอดและพัฒนาธุรกิจกัญชงในประเทศไทย

ดังนั้น เป้าหมายในปี 2564 จึงต้องการขยายธุรกิจสู่ตลาด "ต่างประเทศ"โดยคาดว่าปลายปีนี้สัดส่วนรายได้ต่างประเทศอยู่ที่ 60% จาก 30% หรือเพิ่มขึ้น "เท่าตัว"โดยปี 2563 สัดส่วนรายได้ในประเทศ 70% ต่างประเทศ 30%และเป้าหมายรายได้ปีนี้อยู่ที่ 100 ล้านบาท !!

"ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาเรากำลังเน้นตลาดขยายต่างประเทศ ตั้งเป้าปลายปีสัดส่วนรายได้จะเพิ่มขึ้นเท่าตัว จากปีก่อนที่สัดส่วนรายได้อยู่ในประเทศเป็นหลักเนื่องจากตลาดต่างประเทศเวลาส่งออกที่จะเป็นวอลุ่มที่ใหญ่มากโดยวอลุ่มที่ใหญ่จะเป็นสารสกัดจากกัญชง สารสกัดใบกระท่อม"

นอกจากนี้ บริษัทได้เปิดตัว"ธุรกิจแฟรนไชส์"ร้านจำหน่ายสินค้าส่วนผสมกัญชง ภายใต้แบรนด์"Hemp House"ภายหลังจากที่ราชกิจจานุเบกษา ออกประกาศให้นำกัญชงใช้ในเชิงพาณิชย์ได้และ และองค์การอาหารและยา (อย.) ยังเปิดให้เอกชนที่สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อขออนุญาตปลูกกัญชงในพื้นที่ขนาดใหญ่เพื่อธุรกิจได้ รวมถึงใช้กัญชงในส่วนผสมของเครื่องดื่ม,อาหาร, อาหารเสริม และเครื่องสำอาง

ล่าสุดเมื่อต้นเดือนส.ค.ที่ผ่านมา NRF และ GTH ร่วมกับมหาวิทยาลัยขอนแก่นปลูกกัญชงกว่า 400 ไร่ในมหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นแห่งแรกในประเทศไทย เพื่อผลิตกัญชงสายพันธุ์ไทยให้มีคุณภาพสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ และผลักดันให้กัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศ

โดยสกัดกัญชงเป็นแคนนาบิไดออล (cannabidiol) หรือ CBD เทอร์พีน (Terpenes) และน้ำมันกัญชง (Hemp Oil) ซึ่งเป็นสารไม่มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาท สามารถใช้รักษาและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายได้ โดยหลังจากสกัดกัญชงแล้วบริษัทตั้งเป้านำมาผลิตเป็น ซึ่งคาดว่าจะวางจำหน่ายในตลาดต่างประเทศมากกว่า 36 ประเทศทั่วโลก ทั้งโซนยุโรป สหรัฐฯ ภายในเดือนธ.ค.2564

สำหรับ "จุดเด่น"ที่ทำให้ NRF และ GTH แตกต่างจากคู่แข่งทางธุรกิจรายอื่นคือ บริษัทมีพาร์ทเนอร์ด้านเทคโนโลยีที่มีโรงสกัดขนาดใหญ่ในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ ซึ่งเป็นเบอร์หนึ่งในวงการด้านการปลูกและสกัดกัญชง หรือ สาร CBD และ Terpenesได้อย่างมีประสิทธิภาพ

พร้อมผลักดันกัญชงและผลิตภัณฑ์จากกัญชงให้เป็นสินค้าเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งในเร็วๆ นี้ บริษัทยังได้วางแผนนำสมุนไพรไทยชนิดอื่นๆ เช่น ฟ้าทะลายโจร กระชายขาว และกระท่อม มาให้เกษตรกรปลูกเพิ่มเติมโดยช่วยควบคุมคุณภาพของการปลูกกัญชงและการทำเกษตรพันธสัญญา และพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์พร้อมจัดจำหน่ายไปทั่วโลก

สอดคล้องกับประกาศแล้ว พระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2564 ปลดพืชกระท่อมจากยาเสพติดให้โทษส่งผลให้บริษัทศึกษาส่งออกผลิตภัณฑ์สารสกัดจากใบกระท่อมไปในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ มูลค่าราว 60,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะได้เห็นผลิตภัณฑ์ที่มาจากใบกระท่อมวางจำหน่ายในเดือนธ.ค.นี้ เบื้องต้นจะเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มชูกำลัง
#3185
 กลุ่มข้าวอินทรีย์ ข้าวอินทรีย์กรมการข้าวส่งทั่วไทย #ข้าวออแกนิค หรือ #ข้าวออร์แกนิค หรือ #ข้าวออร์แกนิก หรือ "#ข้าวเกษตรอินทรีย์"  (#OranicRice)
ข้าวออแกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิก (#OranicFood) หรือเรียกง่ายๆเป็นภาษาไทยว่า "ข้าวเกษตรอินทรีย์" หรือ "ข้าวอินทรีย์" / ข้าวมะลินิลเพื่อสุขภาพ  คือ ข้าวที่ผ่านการผลิตทางการเกษตรโดยไม่ใช้สารเคมี ปุ๋ยเคมี หรือวัตถุสังเคราะห์ใด ๆ ทั้งสิ้น (รวมไปถึงเมล็ดพันธุ์ ข้าวที่ไม่ตัดต่อทางพันธุกรรม) กระบวนการผลิตข้าวไม่มีการใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืช ก่อนการปลูกข้าวจะต้องเตรียมหน้าดินก่อนด้วยวิธีธรรมชาติ ทุกขั้นตอนการผลิตข้าวจะไร้สารปนเปื้อนที่เกิดมนุษย์ จะไม่ผ่านการฉายรังสี ไม่เพิ่มเติมสิ่งปรุงแต่งลงไปในข้าว 




 ข้าวหอมมะลิสุขภาพข้าวออแกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิก หรือ "ข้าวเกษตรอินทรีย์"  (Oranic Rice)  ข้าวกล้องหอมมะลิเพื่อสุขภาพ คืออะไร?
1. ส่วนประกอบทุกอย่างล้วนมากจากธรรมชาติ โดยข้าวออแกนิคจะไม่มีการใช้สารสังเคราะห์ใด ๆ ในการเพาะปลูก  ข้าวปะกาอำปึลนิลอินทรีย์เลย ข้าวก็จะถูกปลูกและเจริญเติบโตมาด้วยอาหารจากธรรมชาติล้วน ๆ ส่วนข้าวก็จะเป็นการปลูกในนา ไม่ใส่วัตถุสังเคราะห์ใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยวิทยาศาสตร์ และสารเคมีหรือยาฆ่าแมลง ใช้แต่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกจากธรรมชาติในการเพาะปลูกข้าว ส่วนเมล็ดพันธุ์ข้าวที่นำมาเพาะปลูกจะต้องไม่มีตัดต่อพันธุกรรม และต้องมีการเตรียมหน้าดินก่อนการเพาะปลูกข้าวด้วยวิธีธรรมชาติ คือ จะต้องทำให้ปลอดสารพิษไม่น้อยกว่า 3 ปี เหล่านี้จึงเรียกได้ว่าเป็นการสร้างอาหารแบบธรรมชาติอย่างแท้จริง 100% มีกลิ่นหอมตามแบบธรรมชาติ ทุกขั้นตอนในการปลูกข้าวและการแปรรูปข้าวจะต้องอยู่ในมาตรฐานที่ผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานต่าง ๆ ส่วนประกอบทุกอย่างจึงสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีสารพิษตกค้างหรือสารก่อมะเร็ง
2. ข้าวออแกนิคจะไม่มีการใช้สารเคมีใด ๆ เลย ส่วนประกอบทุกอย่างจะต้องมาจากธรรมชาติ เพราะถ้ามีการใช้สารเคมีก็จะไม่ถือว่าเป็นข้าวออแกนิค ซึ่งการไม่ใช้สารเคมีที่ว่านั้นหมายถึง การไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี 
3. ไม่ก่อให้เกิดมลพิษในกระบวนการปลูก  ข้าวหอมมะลิแดงออแกนิก เพราะข้าวออแกนิคนั้น นอกจากจะมุ้งเน้นให้ผู้บริโภคมีสุขภาพที่ดีแล้ว จุดประสงค์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือการช่วยลดมลพิษให้กับธรรมชาติ เพราะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการใช้สารเคมีต่าง ๆ เช่น ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี หรือสารเร่งการเจริญเติบโตต่าง ๆ นั้นจะก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในดิน ในน้ำ และในอากาศ ซึ่งกว่าจะย่อยสลายไปได้บางทีก็อาจใช้ระยะเวลาเป็นสิบ ๆ ปี ซึ่งวิธีการปลูก  ขายข้าวกล้องหอมมะลินิลอินทรีย์ แบบธรรมชาตินี้เองจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยฟื้นฟูธรรมชาติที่เสียไป เพราะนอกจากจะได้รับประทานข้าวที่ปลอดสารพิษแล้ว ยังช่วยลดมลพิษต่าง ๆ ได้ดีอีกด้วย

ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์   ข้าวกล้องหอมมะลิแดงออแกนิก
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website : https://xn--22c6bf3bcuv6dva2b1ntb.com/
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1.  ข้าวหอมมะลิปลอดสารพิษ
2.  ข้าวกล้องหอมมะลิสุขภาพ
3.  ข้าวกล้องปะกาอำปึลออร์แกนิค
4.  ข้าวอินทรีย์ผสมหลายสายพันธุ์ จ.สุรินทร์
5. ข้าวกล้องอินทรีย์หอมมะลิแดง6.  ข้าวกล้องหอมมะลินิลorganic7.  ข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่ออร์แกนิค


#ข้าวออร์แกนิกสุรินทร์  #ข้าวออแกนิคสุรินทร์  #ข้าวออแกนิกสุรินทร์   #ข้าวอินทรีย์สุรินทร์  #ข้าวสุขภาพสุรินทร์
 
 
#3186
เติมคอยส์ COINS เติมเงิน Kitty Live, Mico เติมเพชร Kitty Live, Mico

"ได้เยอะกว่าเติมผ่านแอป"
พร้อมรับสมัครวีเจ มีเงินเดือน+ค่าของขวัญ 





111Topup เปิดบริการ เติมคอยส์ เติม COINS เติมเพชร เติมรูบี้ วิธีการเติมเงิน เติมคอยส์ MICO, KittyLive เติม COINS เติมเพชรง่ายนิดเดียว เพียงแค่โอนเงินผ่านเลชบัญชีธนาคารของเรา แจ้งโอน พร้อมบอกเลขไอดี รอรับคอยส์ไม่เกิน 30 วินาที การันตีได้คอยส์ชัวร์ แถมเยอะกว่าเติมผ่านในแอป ไม่โกง ไม่หลอก แน่นอน โดยมีการเติมเงินแบบ 2 ช่องทางหลักคือ

1. เติมคอยส์ MICO, KittyLive  เติมผ่านระบบธนาคาร ATM,ฝากเงินผ่านตู้, Mobile Banking ,ผ่านเว็บไซด์ธนาคาร


2. เติมคอยส์ MICO, KittyLive  เติมเงินผ่านบัตรเติมเงิน ทรูมันนี่ 


111Topup รีบแอดไลน์เพื่อรับโปรโมชั่น แถมคอยส์เพิ่มขึ้น
เติมคอยส์ MICO, KittyLive




Add Line : @111Topup


วิธีการเติมเงิน Kitty Live, Mico คอยส์ COINS เพชร


1.     แอดไลน์ @111Topup (มี @ ด้วยนะคะ) เติมคอยส์ MICO, KittyLive 


2.     โอนเงินผ่านบัญชีธนาคาร ตามที่ระบุไว้ หรือ ถ้าเติมผ่านบัตรทรูมันนี่ ให้ส่งหลักฐานบัตรมาที่ไลน์แอด @111Topup


3.     แจ้งเลขไอดี แอฟ Kitty Live, Mico ในไลน์


4.     เมื่อทีมงานรับเรื่องแล้วไม่เกิน 30 วินาทีคุณจะได้รับคอยส์ (COINS) ใน แอฟ Kitty Live, Mico


5.     เติมคอยส์ MICO, KittyLive  เปิดบริการเติมเงินทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 - 02.00 น. (8โมงเช้า-ตี2 ทุกวัน)


 


 


รับสมัครวีเจ ไลฟ์ มีเงินเดือน + ค่าของขวัญ เงินเดือนขั้นต่ำ 6000 บาท 


 


สมัครวีเจ เข้า สังกัด 111 ทำงาน ขั้นต่ำ 20 วัน 30 ชั่วโมงต่อเดือน ทำงานที่บ้านไลฟ์ ออนไลน์ผ่านมือถือ 


มีการันตีเงินเดือน 6000-10000 บาท สำหรับวีเจใหม่ มีเทรนด์งานก่อนขึ้น ไลฟ์ดี ตั้งใจไลฟ์ สังกัดพร้อมซัพพอร์ต ในการหายูสให้แน่นอน รายได้หลักหมื่น - ถึงแสน บาทต่อเดือน


** วีเจที่เคยไลฟ์ BIGO VIBIE YAYA MCAT MLIVE มีการันตีพิเศษ คลิ๊กเลย


สนใจสมัครวีเจ คลิ๊กเลย  https://lin.ee/0apXPWf


 
#3187


เมื่อวันที่ 10 ส.ค.64 นายประภาศ คงเอียด อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ปัจจุบันอัตราค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยัน การติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด 19 ปรับลดลงและมีการจำแนกประเภทของการตรวจเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับการตรวจด้วยเทคนิคอื่น ๆ เช่น Antigen test ยังมิได้กำหนดอัตราไว้ชัดเจน กรมบัญชีกลางจึงได้หารือร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสำนักงานประกันสังคม เห็นสมควรกำหนดแนวปฏิบัติ ในการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล กรณีผู้มีสิทธิหรือบุคคลในครอบครัวเสี่ยง หรือติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ 

1. การตรวจยืนยันการติดเชื้อโควิด 19 

1.1 การตรวจยืนยันการติดเชื้อด้วยวิธี Real time RT- PCR - การทำป้ายหลังโพรงจมูกและลำคอ (nasopharyngeal and throat swab sample) ประเภท 2 ยีน ให้เบิกได้เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 1,500 บาท โดยรวมค่าบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ - การทำป้ายหลังโพรงจมูกและลำคอ (nasopharyngeal and throat swab sample) ประเภท 3 ยีน ให้เบิกได้เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 1,700 บาท โดยรวมค่าบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
1.2 การตรวจการติดเชื้อด้วยวิธี Antigen test - ด้วยเทคนิค Chromatography ให้เบิกได้เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 450 บาท โดยรวมค่าบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ - ด้วยเทคนิค Fluorescent Immunoassay (FIA) ให้เบิกได้เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 550 บาท โดยรวมค่าบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
1.3 การตรวจการติดเชื้อด้วยวิธีอื่น ๆ นอกเหนือจาก 1.1 และ 1.2 ให้เบิกได้เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 550 บาท โดยรวมค่าบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ 

2. การเบิกค่าอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล กรณีผู้มีสิทธิฯ ติดเชื้อแต่อาการเล็กน้อย ให้เบิกได้ในอัตรา เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 300 บาท ต่อวัน 

3. การเบิกค่าห้องพักสำหรับควบคุมหรือดูแลรักษา กรณีผู้สิทธิฯ ให้ถือปฏิบัติ ดังนี้ 3.1 มีอาการเล็กน้อย (สีเขียว) ให้เบิกได้ในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 1,500 บาท ต่อวัน 3.2 มีอาการปานกลาง (สีเหลือง) ให้เบิกได้ในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 3,000 บาท ต่อวัน 3.3 มีอาการรุนแรง (สีแดง) ให้เบิกได้ในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 7,500 บาท ต่อวัน 

4. กรณีผู้มีสิทธิฯ ต้องเข้ารับการผ่าตัดในสถานพยาบาลของทางราชการและมีความจำเป็นต้องตรวจ คัดกรองการติดเชื้อโควิด 19 ก่อนเข้ารับการผ่าตัด ค่าตรวจคัดกรองกรณีดังกล่าว สถานพยาบาลของทางราชการสามารถขอเบิกเงินจาก สปสช. ได้ รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณการตรวจคัดกรองการติดเชื้อโควิด 19 ให้ประชาชน คนไทยทุกกลุ่ม 

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับสถานพยาบาลฯ ไม่ต้องแยกทำธุรกรรมในการส่งเบิก ค่าตรวจคัดกรองไปยัง สปสช. โดยอนุญาตให้สถานพยาบาลฯ สามารถส่งค่าตรวจคัดกรองมาพร้อมกับการเบิก ค่ารักษาพยาบาลรายการอื่น ๆ สำหรับวิธีการส่งข้อมูลให้เป็นไปตามหน่วยงานที่กรมบัญชีกลางมอบหมายให้ทำหน้าที่รับส่งข้อมูลเป็นผู้กำหนด โดยที่กรมบัญชีกลางจะจัดส่งข้อมูลค่าตรวจคัดกรองให้ สปสช. ใช้ประมวลผลการจ่ายเงินให้กับสถานพยาบาลของทางราชการโดยตรงต่อไป 

"แนวปฏิบัติในการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลกรณีผู้มีสิทธิหรือบุคคลในครอบครัวเสี่ยงหรือติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 (เพิ่มเติม) ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป เพื่อให้การ เบิกจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center กรมบัญชีกลาง หมายเลข 02 270 6400 ในวัน เวลาราชการ" อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
#3188


มีประชาชนมากกว่า 99.99% ที่ฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ครบแล้ว รอดพ้นจาก breakthrough case(ฉีดวัคซีนแล้วติดเชื้อ) ล้มป่วยถึงขั้นต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิต จากคำยืนยันของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นที่วิเคราะห์ข้อมูลจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ(ซีดีซี) หลังพบเคสฉีดวัคซีนแล้วติดเชื้ออาการหนักและเสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างมากภายในเวลา 1 สัปดาห์

สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานอ้างข้อมูลของซีดีซีระบุว่าจนถึงวันที่ 2 สิงหาคม มีอเมริกันชนมากกว่า 164 ล้านคนที่ฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ครบแล้ว ในนั้น 1,507 คน ไม่ถึง 0.001% เสียชีวิต และ 7,101 คน ราวๆ 0.005% ล้มป่วยถึงขั้นต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล

ซีเอ็นเอ็นระบุว่าในบรรดาผู้เสียชีวิต 1,507 รายนั้น ราว 1 ใน 5 เสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อน ไม่ได้เกิดจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ แม้คนเหล่านี้จะติดเชื้อโควิด-19 ก็ตาม

ทางซีดีซีให้คำจำกัดความ breakthrough case คือการตรวจพบเชื้อโควิด-19 ในตัวอย่างที่เก็บมาจากบุคคลหนึ่งๆ หลังจากบุคคลรายดังกล่าวฉีดวัคซีนที่ได้รับอนุมัติจากสำนักงานอาหารและยาแห่งชาติสหรัฐฯ ครบเข็มแล้ว เป็นเวลา 14 วันหรือนานกว่านั้น

ซีดีซีระบุว่าเคสฉีดวัคซีนแล้วติดเชื้อเป็นที่คาดหมายไว้อยู่แล้ว เนื่องจากไม่มีวัคซีนตัวใดที่มีประสิทธิภาพป้องกันการล้มป่วยในบรรดาคนฉีดวัคซีนแล้วได้ 100% อย่างไรก็ตามทางหน่วยงานแห่งนี้ชี้ว่ามีหลักฐานบางประการที่แสดงให้เห็นว่าวัคซีนอาจช่วยให้อาการป่วยจากโควิด-19 เบาลง หากติดเชื้อ

ก่อนหน้านี้ในข้อมูลที่เผยแพร่ออกมาหนสุดท้ายเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ซีดีซีรายงานว่า มีเคสฉีดวัคซีนครบแล้วแต่ยังติดเชื้อ 6,587 ราย ในนั้น 6,239 คนป่วยหนักถึงขั้นเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล และเสียชีวิต 1,263 ราย นั่้นเท่ากับว่าในช่วงเวลาแค่ 7 วัน มีเคสฉีดวัคซีนแล้วแต่ยังป่วยหนักถึงขั้นเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น 862 รายและเสียชีวิตเพิ่ม 244 คน อย่างไรก็ตามทางซีดีซีไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับช่วงเวลาของเคสฉีดวัคซีนแล้วติดเชื้อแต่ละเคส

ซีเอ็นเอ็นอ้างข้อมูลของซีดีซี เน้นย้ำว่าราว 1 ใน 3 (ประมาณ 74%) ของเคสฉีดวัคซีนแล้วติดเชื้อ เป็นบุคคลสูงวัยอายุ 65 ปีขึ้นไป และจากผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,500 รายนั้น ราว 1 ใน 5 เสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนนอกเหนือจากโควิด-19 แม้คนเหล่านั้นเป็นเคสฉีดวัคซีนแล้วติดเชื้อไวรัสก็ตาม

นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา ทางซีดีซีมุ่งเน้นตรวจสอบเฉพาะเคสป่วยหนักและเสียชีวิตจากโควิด-19 ในกลุ่มคนที่ฉีดวัคซีนครบแล้วเท่านั้น ไม่รวมถึงเคสอาการป่วยเล็กๆน้อยๆ

"เราทราบว่ากรณีติดเชื้อภายหลังได้รับวัคซีน หลายเคสเป็นเคสไม่แสดงอาการ หรือมีอาการน้อยมากและกินเวลาสั้นๆ" เดวิดสัน เฮเมอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อจากมหาวิทยาลัยบอสตันของสหรัฐเผยกับบอสตัน เฮรัลด์ เมื่อช่วงปลายเดือนมิถุนายน

"ปริมาณไวรัสในเลือดไม่สูงมาก การติดเชื้อภายหลังได้รับวัคซีนเป็นสิ่งที่คาดหมายไว้แล้ว และเราจำเป็นต้องเรียนทำความเข้าใจให้ดีขึ้นกว่านี้ว่าใครอยู่ในข่ายเสี่ยงบ้าง และคนที่ติดเชื้อหลังได้รับวัคซีนสามารถแพร่เชื้อไวรัสสู่คนอื่นๆได้หรือไม่" เขากล่าว "ในบางเคสผู้ป่วยปล่อยเชื้อไวรัสออกมาระดับต่ำและไม่แพร่สู่คนอื่นๆ"

(ที่มา:ซีเอ็นเอ็น/เคเอ็กซ์เอเอ็น/ฟ็อกซ์นิวส์)
#3189


นีรนุช กนกวิไลรัตน์ ผู้จัดการด้านงานวิจัยและที่ปรึกษา บริษัท เอ็ดมันด์ ไต แอนด์ คอมพานี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า โควิดระลอกแรกผู้ประกอบการ "ปิดสำนักงานขาย" พร้อมกับชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่! หลังจากนั้นไตรมาสสามปี 2563 เมื่อสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลาย ดีเวลลอปเปอร์ปรับกลยุทธ์การตลาดรุกผ่านช่องทางออนไลน์ หรือโซเชียลคอมเมิร์ซมากขึ้น ซึ่งเป็นไปตามเทรนด์ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตไทยชอปปิงออนไลน์สูงถึง 83% และทำการซื้อสินค้าผ่านมือถือถึง 71% และยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย


"ปัจจุบันลูกค้าสามารถจองคอนโดผ่านช่องทางออนไลน์ได้ทำให้ผู้ซื้อต่างชาติสามารถเข้าถึงอสังหาฯ ในประเทศไทยได้ง่ายขึ้น ไม่เฉพาะคนไทย เท่ากับว่าผู้ประกอบการสามารถขยายช่องทางขายไปต่างประเทศไทยง่ายขึ้น ทำให้ไตรมาสสามปี 2563 เริ่มมีการเปิดตัวโครงการใหม่ มีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 10,302 ยูนิต"

อย่างไรก็ตาม ไตรมาสแรกปี 2564 กลับปรับลดลงเหลือ 1,963 ยูนิต เนื่องจากเริ่มมีการแพร่ระบาดโควิดระลอกใหม่ แต่ในไตรมาสสอง จำนวนยูนิตที่เปิดตัวขยับขึ้นมา4,214 ยูนิต ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบางโครงการที่เปิดตัวในไตรมาสแรกปีนี้เป็นโครงการที่มีจำนวนห้องหลายยูนิต บางโครงการ 1,000 ยูนิต ส่วนใหญ่จะเป็นคอนโดเกรดซี ส่วนคอนโดเกรดเอมีเพียง 1 โครงการที่เปิดตัวในไตรมาสที่สองคือ "ไรส์ เจริญนคร ลักซ์ นีโอ คลาสสิค" เป็นคอนโดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ชื่อเดิม "อิมเพรสชั่น เจริญนคร" ผู้พัฒนาโครงการ ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ สูง 22 ชั้น จำนวน 170 ยูนิต ราคา 180,000 ต่อตร.ม. เจาะกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อที่ต้องการอยู่อาศัยแบบครอบครัว ด้วยจุดขายยูนิตละ 2 ห้องนอน

"จำนวนโครงการที่เปิดตัวในไตรมาสสองปีนี้ ส่วนใหญ่จับกลุ่มคนทำงาน และนักลงทุนคนไทยที่ซื้อเพื่อขายต่อหรือปล่อยเช่าเมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น และจากตลาดคอนโดที่เริ่มชะลอตัวตั้งแต่ปี 2562-2563 ทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่โฟกัสบ้านจัดสรร และลดจำนวนการเปิดตัวโครงการคอนโดในปีนี้ หันจับตลาดที่มีกำลังซื้อน้อย และปานกลาง ด้วยการเปิดตัวเซกเมนต์ราคาไม่แพง (affordable price) กลุ่มกำลังซื้อน้อยสามารถซื้อได้"

สำหรับอัตราการจองคอนเปิดตัวใหม่ในไตรมาสสองที่ผ่านมา เฉลี่ย 33.1% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกอัตราการจอง 31.7% เพราะโครงการที่เปิดตัวในไตรมาสสอง ส่วนหนึ่งขายได้ถึง 80-90% จากการลงสนามเซกเมนต์ราคาไม่แพงของรายใหญ่ อาทิ แสนสิริ โนเบิล พฤกษา ออริจิ้น ราคาที่เข้าถึงทำให้เกิดยอดจองเร็ว (Presale) อาทิ เดอะมูฟ คอนโด ของแสนสิริ


"การจองคอนโดปัจจุบันไม่จำเป็นใช้เงินเยอะเหมือนสมัยก่อน ทำให้ลูกค้าตัดสินใจง่าย ยิ่งเป็นแบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือ โลเกชั่นดี และราคาไม่แพง ตร.ม.ไม่ถึงแสน ลูกค้าจับต้องได้ ยอดจองจึงเร็วกว่าปกติ "

ส่วนราคาขายคอนโดนเกรดเอ ระดับลักชัวรี และซูเปอร์ลักชัวรี ที่มีราคาตั้งแต่ 150,000 ต่อตร.ม.ขึ้นไป ในไตรมาสสองมีแค่ไรส์ เจริญนคร ลักซ์ นีโอ คลาสสิค ที่มีราคาเฉลี่ย 180,000 บาท ต่อตร.ม. โครงการเดียว จากไตรมาสแรกมีการเปิดตัวหลายโครงการทำให้ราคาคอนโดไตรมาสแรกเฉลี่ยอยู่ที่ 240,000 บาทต่อตรม. ทั้งนี้เนื่องจากบรรยากาศของตลาดไม่เอื้อกับการเปิดตัวโครงใหม่ ที่เป็นโครงการหรูที่อยู่ใจกลางเมืองทำให้ราคาปรับตัวลดลง

"แนวโน้มของตลาดคอนโดในปีนี้ จะได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์และคำสั่งปิดแคมป์ก่อสร้างในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทำให้การสร้างคอนโดไม่เสร็จได้ทันตามเวลาที่กำหนด หรือแม้ว่าจะสร้างเสร็จตรงเวลาได้แต่ผู้ประกอบการจะเลื่อนเปิดตัวโครงการในไตรมาสสามและสี่ออกไปก่อน ไม่ว่าจะเป็นโครงการเกรดเอหรือระดับแมส ที่มีราคาตร.ม.ละ 70,000-80,000 บาท ในพื้นที่รอบนอก คาดว่าโครงการคอนโดเปิดตัวใหม่ในปีนี้เทียบปี 2563 ลดลง 25-30%"

เวลานี้ตลาดเต็มไปด้วยปัจจัยลบ!! ไม่ว่าจะจำนวนสต็อกที่ค้างอยู่จำนวนหนึ่ง บรรยากาศไม่เอื้อต่อการซื้อและลงทุน ผู้บริโภคระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น เพราะไม่มั่นใจต่อเศรษฐกิจ จาก "วิกฤติโควิด" ที่ไม่รู้ว่าจะยืดเยื้อยาวนานแค่ไหน? แนวโน้มผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มมากขึ้นต่อเนื่องทุกวัน สถานการณ์นี้ยิ่งนานก็ยิ่งมีผลกับสภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อผู้บริโภคที่ิอ่อนแอลง กระทบเป็นลูกโซ่ต่อธุรกิจ และการใช้ชีวิต
#3190


"วัคซีน" ยังคงเป็นประเด็นใหญ่ที่คนไทยให้ความสนใจ ทั้งการจัดหาวัคซีนยี่ห้อต่างๆ เมื่อได้วัคซีนมาแล้วการกระจายแจกจ่ายฉีดให้กับประชาชนมีการจัดสรรอย่างไร และการฉีดให้ประชาชนมีความรวดเร็ว ครอบคลุมแค่ไหน ส่วนการฉีดวัคซีนที่ล่าช้าเกิดจากอะไร แม้กระทั่งประเทศไทยได้รับบริจาควัคซีนจากนานาประเทศเพื่อนำมาฉีดให้กับ "บุคลากรทางการแพทย์" ซึ่งเป็น "ด่านหน้า" กลับถูก "ทวงถาม" จากบุคคลเหล่านั้น 

การบริหารจัดการวัคซีนของภาครัฐที่ยังไม่ถูกใจประชาชนหลายภาคส่วน เกิดมีข้อกังขามากมาย ล่าสุด วันที่ 30 กรกฎาคมที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับบริจาควัคซีนไฟเซอร์จากสหรัฐอเมริกา จำนวน 1,503,450 โดส เพื่อฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์ แต่กลับมีกระแสข่าวการจับฉลากได้ฉีดวัคซีน จำนวนวัคซีนที่ได้รับการจัดสรรคไม่สอดคล้องกับบุคลากร เป็นต้น  

ทั้งนี้  ผศ.นพ.ฉัตรชัย มิ่งมาลัยรักษ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสนาม​ธรรมศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ความว่า ...

"โดนเทซ้ำซาก....ที่ธรรมศาสตร์

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ร่วมต่อสู้โควิด-19มาตั้งแต่มีนาคมปีที่แล้วโดยประกาศจัดตั้งรพ.สนามเป็นแห่งแรกของประเทศ เราได้ร่วมต่อสู้มาทุกระลอก จนปัจจุบัน เรามีรพ.สนาม ที่ดูแลเคสสีเหลืองกว่า400เตียง ที่เตียงเต็มตลอด มีรพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติที่ดูเคสสีแดงกว่า100 เตียงซึ่งเตียงก็เต็มตลอด เราตั้งศูนย์ฉีดวัคซีนที่ฉีดวันละ2-3พันคนต่อวัน มียอดคนฉีดกับเราไปแล้วกว่า1แสนคน มีจัดตั้ง Home isolation ที่มีผู้ป่วยในการดูแลกว่า 1,000 คน

แต่ในวันนี้เราได้รับการจัดวัคซีนไฟเซอร์มาเพียง 60% ของที่ขอไป ทั้งที่ ยอดนี้ลดลงกว่าครึ่งในตอนแรกเพราะฉีดเข็ม3ด้วย Az ไปแล้วเพราะไม่เชื่อใจในการบริหารวัคซีนของรัฐบาล ทั้งที่เราส่งชื่อรายชื่อไปใหม่เป็นบุคลากรด่านหน้าที่จำเป็นต้องได้เท่านั้นตามข้อบ่งชี้ที่กระทรวงกำหนดซึ่งส่วนใหญ่คือแพทย์และพยาบาล......" 




พร้อมกันนี้ นักธุรกิจชั้นนำของเมืองไทยอย่าง "ปิติ ภิรมย์ภักดี" ผู้บริหารและทายาทของเครือบุญรอดบริวเวอรี่ หรือค่ายสิงห์ ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวพร้อมภาพประกอบเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นกัน ความว่า..

"ผมว่าจะไม่ลงละนะ แต่สงสารคนไทย

ศบค.พูดโคตรชัดว่าวัคซีนทำให้จำนวนคนตายลดลง

แล้วทำไมถึงเลื่อน ทำไมถึงฉีดไม่ได้ตามเป้า วัคซีนหายไปไหน รักกันมากๆหน่อยสิ

เตือนไว้ก่อนด่ามาจะด่ากลับ หมดความอนทนแล้วเหมือนกัน

ไม่ต้องชื่นชมหรือมาซื้อของบริษัทผม ผมแค่ทำหน้าที่คนไทยคนนึงที่อยากเห็นสิ่งที่ดีขึ้น"

นอกจากนี้ ยังแสดงความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับโพสต์ครั้งนี้เพื่อเสียสละเป็นกระบอกเสียงให้กับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้านั่นเอง 


"ด่านหน้าต้องจับฉลากเพื่อจะได้ฉีด บางโรงพยาบาลใช้วิธีผสมน้ำเพื่อให้ครบคน ผมขอสละตัวเองเป็นกระบอกเสียงให้พวกเค้าครับ และเมื่อผมเอาจริงคือเอาจริง"

อย่างไรก็ตาม ปิติ ได้ย้ำการโพสต์ข้อความดังกล่าว ไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทหรือบุคคลอื่นในครอบครัวแต่อย่างใด 

"ผมมาจากครอบครัวใหญ่ครับ ทุกอย่างที่ผมเขียนหรือพูดไป ผมรับผิดชอบตัวเองได้ครับ ไม่เกี่ยวกับบริษัทหรือคนอื่นในครอบครัว"

ทั้งนี้ โพสต์ดังกล่าว มีคนไลก์กว่า 1.7 หมื่นไลก์(Like) แสดงความคิดเห็น(Comment)กว่า 1,000 และแชร์โพสต์ไปแล้วกว่า 1,600 แชร์ (ณ เวลา 09.36 น.) โดยส่วนใหญ่เห็นด้วยถึงความกล้าในการออกมาแสดงความคิดเห็นท่ามกลางช่วงวิกฤติโรคระบาด เพราะทุกฝ่ายต่างต้องการให้สถานการณ์ดีขึ้น และการบริหารจัดการวัคซีนดี มีประสิทธิภาพ 
#3191


นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อํานวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวว่า จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตลอดจนมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ของทางการ ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอย่างรุนแรง โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม ห้องพัก เกสต์เฮ้าส์ สปา ภัตตาคาร และร้านอาหาร  ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงและต่อเนื่อง  สสว. จึงมอบหมายให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เป็นหน่วยร่วมดำเนินโครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย อนุมัติสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ วงเงินรวม 1,200 ล้านบาท เพื่อให้เอสเอ็มอีในกลุ่มธุรกิจดังกล่าว นำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เสริมสภาพคล่อง ลงทุนขยายกิจกรรม ปรับปรุง ซ่อมแซม ยกระดับมาตรฐานการให้บริการ  โดยคิดอัตราดอกเบี้ยเพียง 1% ต่อปี ผ่อนนานสูงสุด 7 ปี ปลอดชำระคืนเงินต้นสูงสุดไม่เกิน 1 ปี  หลักประกัน กรณีบุคคลธรรมดา ใช้บุคคลที่น่าเชื่อถือค้ำประกัน ส่วนกรณีนิติบุคคล ใช้กรรมการผู้มีอำนาจแทนนิติบุคคลค้ำประกัน

โครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย ดำเนินการสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ต้องการให้เอสเอ็มอี โดยเฉพาะที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำพิเศษได้สะดวก เหมาะสมกับสถานการณ์เร่งด่วน ดังนั้น ได้ปรับปรุงกระบวนการ โดยใช้เกณฑ์พิจารณาจากหลักฐานการเสียภาษีในปี 2563 หรือ 2562 ที่ผ่านมา ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกลุ่มเป้าหมายเข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายขึ้น

สำหรับคุณสมบัติของผู้ยื่นกู้ในโครงการนี้ต้องเป็นสมาชิก สสว. กรณียังไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับ สสว. สามารถขอขึ้นทะเบียนก่อนได้ ( http://members.sme.go.th/newportal/)  โดยต้องเป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกลุ่มรายย่อย (Micro) และขนาดย่อม (Small) ตามนิยามของ สสว.  อยู่ในกลุ่มธุรกิจโรงแรม ห้องพัก เกสต์เฮ้าส์ และธุรกิจสปาที่ตั้งอยู่ในโรงแรม ห้องพัก เกสต์เฮาส์ ใน 10 จังหวัด พื้นที่นำร่องเปิดการท่องเที่ยว  ประกอบด้วย 1.ภูเก็ต 2.กระบี่  3.พังงา 4.สุราษฎร์ธานี 5.เชียงใหม่ 6.ชลบุรี 7.เพชรบุรี  8.ประจวบคีรีขันธ์  9.บุรีรัมย์  และ 10.กรุงเทพมหานคร หรือที่จะมีประกาศเพิ่มเติม

รวมถึง กลุ่มธุรกิจภัตตาคาร ร้านอาหาร ใน 29 จังหวัด พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด  ตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ฉบับล่าสุด ประกอบด้วย  1. กรุงเทพมหานคร  2. กาญจนบุรี 3.ชลบุรี  4.ฉะเชิงเทรา 5. ตาก  6. นครปฐม  7. นครนายก  8. นครราชสีมา  9. นราธิวาส  10.นนทบุรี  11.ปทุมธานี  12.ประจวบคีรีขันธ์  13.ปราจีนบุรี  14.พระนครศรีอยุธยา  15.เพชรบุรี  16.ปัตตานี  17.เพชรบูรณ์  18.ยะลา  19.ระยอง  20.ราชบุรี  21.ลพบุรี  22.สงขลา  23.สิงห์บุรี  24.สมุทรปราการ  25.สมุทรสงคราม  26.สมุทรสาคร  27.สระบุรี 28.สุพรรณบุรี และ 29.อ่างทอง  หรือที่จะมีประกาศเพิ่มเติม     

อีกทั้ง ต้องไม่เคยได้รับความช่วยเหลือเงินทุนในโครงการพลิกฟื้นฯ โครงการฟื้นฟูฯ หรือกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ รวมถึงต้องไม่เป็นหนี้ NPLs ไม่ถูกดำเนินคดี และไม่เป็นบุคคลล้มละลาย    

สำหรับวงเงินกู้ สำหรับบุคคลธรรมดา พิจารณาจากการชำระภาษี ภ.ง.ด.90 ในปี 2562 หรือ 2563 ที่สูงกว่า และความเป็นเจ้าของสถานประกอบการ สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท หากจำนวนเงินที่ชำระภาษี 0-10,000 บาท วงเงินกู้สูงสุด 100,000 บาท, จำนวนเงินที่ชำระภาษี  10,001-20,000 บาท วงเงินกู้สูงสุด 200,000 บาท  และจำนวนเงินที่ชำระภาษีมากกว่า 20,000 บาทขึ้นไป วงเงินกู้สูงสุด 300,000 บาท กรณีมีสถานประกอบการเป็นของตัวเองหรือบุคคลในครอบครัว ให้วงเงินเพิ่มอีกลำดับละ 50,000 บาท แต่รวมแล้วสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท  สำหรับนิติบุคคล ไม่เกินร้อยละ 50 ของค่าใช้จ่ายในงบการเงินปี 2562 หรือ 2563 ที่สูงกว่า สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท  

ด้านนางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank  กล่าวเสริมว่า ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถแจ้งความประสงค์ยื่นกู้ได้ผ่านช่องทางออนไลน์ โดยสแกน QR Code ในโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ หรือคลิก https://qrgo.page.link/VF6Ka   รวมถึง เว็บไซต์ของ  SME D Bank  ( https://www.smebank.co.th/ ) , Line OA : SME Development Bank  และแอปพลิเคชั่น : SME D Bank  ตั้งแต่เวลา 13.00 น.  ในวันที่ 11 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป จนกว่าจะเต็มวงเงิน   โดยใช้เกณฑ์มาก่อนได้ก่อน (first come first serve) หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ธนาคารจะติดต่อกลับ เพื่อดำเนินการในขั้นตอนต่อไป สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1357
#3192


จากมติคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) เมื่อวันที่ 7 ก.ค.2564 ได้กำหนดการใหม่สำหรับการประมูลการอนุญาตให้ใช้สิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมในลักษณะจัดชุด (Package)

หลังจาก สำนักงาน กสทช.ได้เปิดให้ผู้สนใจเข้ามายื่นเอกสารหลักฐานเพื่อเข้าร่วมการคัดเลือกฯ ในวันที่ 5 ก.ค.2564 มี บริษัท ทีซี สเปซ คอนเน็ค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM ถือหุ้น 100% เข้ามายื่นเอกสารเข้าร่วมการคัดเลือกเพียงรายเดียว

ทำให้หลังจากนั้นสำนักงาน กสทช.จึงเปิดให้ผู้สนใจรับเอกสารการคัดเลือกเพิ่มเติม ตั้งแต่วันที่ 8 ก.ค.-6 ส.ค.2564 ผลปรากฏว่า มีบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT เข้ามารับเอกสารการคัดเลือกเพิ่มเติม ในวันที่ 6 ส.ค.2564 เวลา 16.20 น.ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่เปิดให้ผู้ที่สนใจขอรับเอกสารการคัดเพิ่มเติม อีกเพียงรายเดียวเท่านั้น
ทั้งนี้ในขั้นตอนต่อไป จะมีการจัดการประชุมสัมมนาเพื่อชี้แจงกระบวนการประมูลและกรอกแบบคำขอรับอนุญาต(public information session) วันนี้ (9 ส.ค.2564) จากนั้นผู้ประสงค์ขอรับอนุญาตยื่นคำขอรับอนุญาตและวางหลักประกันการขอรับอนุญาต วันที่ 11 ส.ค.2564 โดยในขั้นตอนนี้ บริษัท มิวสเปซ แอนด์ แอดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัดสามารถเข้ามายื่นขอรับใบอนุญาตฯ ได้ หลังจากมาขอรับเอกสารการคัดเลือกในรอบแรก และต้องรอดูว่า NT จะเข้ามายื่นขอรับใบอนุญาตฯ หรือไม่ ก่อนที่ประกาศรายชื่อผู้ที่ผ่านคุณสมบัติเป็นผู้เข้าร่วมการคัดเลือก วันที่ 18 ส.ค.2564
จากนั้นประกาศรายชื่อผู้เข้าร่วมการคัดเลือกที่ผ่านเกณฑ์ข้อเสนอด้านประสบการณ์และความสามารถด้านการเงินเพื่อเป็นผู้เข้าร่วมการประมูล วันที่ 24 ส.ค.2564, จัดการประชุมสัมมนาเพื่อชี้แจงขั้นตอนการประมูล (bidder information session) และการประมูลรอบสาธิต (mock auction) วันที่ 25 ส.ค.2564 และประมูล วันที่ 28 ส.ค.2564

สำหรับชุดข่ายงานดาวเทียมทั้ง 4 ชุด ที่จะนำมาประมูลในครั้งนี้ ได้แก่ ชุดที่ 1 ประกอบด้วย วงโคจร 50.5E (ข่ายงานC1, N1 และ P1R) และ วงโคจร 51E (ข่ายงาน 51) ราคาขั้นต่ำ 676.914 ล้านบาท, ชุดที่ 2 ประกอบด้วย วงโคจร 78.5E (ข่ายงาน A2B และ 78.5E) ราคาขั้นต่ำ 366.488 ล้านบาท

ชุดที่ 3 ประกอบด้วย วงโคจร 119.5E (ข่ายงาน IP1, P3 และ 119.5E) และ วงโคจร 120E (ข่ายงาน 120E) ราคาขั้นต่ำ392.950 ล้านบาท และชุดที่ 4 ประกอบด้วย วงโคจร 126E (ข่ายงาน 126E) และ วงโคจร 142E (ข่ายงาน G3K และN5) ราคาขั้นต่ำ 364.687 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวจาก กสทช.ยืนยันว่า แม้ว่าในวันที่ 11 ส.ค. 2564 จะไม่มีใครมายื่นเอกสารประมูลดาวเทียมเพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้มีเพียงไทยคมรายเดียวที่ได้ยื่นประมูลก่อนหน้านี้ กสทช.ก็ต้องเดินหน้าประมูลในวันที่ 28 ส.ค.2564 โดยยึดมาตรฐานเหมือนการประมูลคลื่นโทรคมนาคมที่มีการขยายเวลาและเดินหน้าประมูลต่อ

อีกทั้ง กสทช.มีหน้าที่ ต้องรักษาวงโคจรของประเทศซึ่งวงโคจรต้องมีดาวเทียมใช้งาน หากประเทศไทยถูก ITU ตรวจสอบแล้วพบว่าไม่ได้มีการใช้สิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมที่ได้รับจริงภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ หรือไม่ได้ใช้งานอย่างต่อเนื่อง (ไม่มีการใช้คลื่นความถี่บนดาวเทียมจริง) ย่อมมีโอกาสเกิดความเสี่ยงที่ประเทศไทยจะถูกยกเลิกสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมและคลื่นความถี่ที่ไม่มีการใช้งานจริง ออกจากทะเบียนความถี่หลักระหว่างประเทศได้ (Master International Frequency Register) และส่งผลให้ประเทศไทยสิ้นสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมนั้น
จากมติคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) เมื่อวันที่ 7 ก.ค.2564 ได้กำหนดการใหม่สำหรับการประมูลการอนุญาตให้ใช้สิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมในลักษณะจัดชุด (Package)

หลังจาก สำนักงาน กสทช.ได้เปิดให้ผู้สนใจเข้ามายื่นเอกสารหลักฐานเพื่อเข้าร่วมการคัดเลือกฯ ในวันที่ 5 ก.ค.2564 มี บริษัท ทีซี สเปซ คอนเน็ค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM ถือหุ้น 100% เข้ามายื่นเอกสารเข้าร่วมการคัดเลือกเพียงรายเดียว


ทำให้หลังจากนั้นสำนักงาน กสทช.จึงเปิดให้ผู้สนใจรับเอกสารการคัดเลือกเพิ่มเติม ตั้งแต่วันที่ 8 ก.ค.-6 ส.ค.2564 ผลปรากฏว่า มีบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT เข้ามารับเอกสารการคัดเลือกเพิ่มเติม ในวันที่ 6 ส.ค.2564 เวลา 16.20 น.ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่เปิดให้ผู้ที่สนใจขอรับเอกสารการคัดเพิ่มเติม อีกเพียงรายเดียวเท่านั้น

ทั้งนี้ในขั้นตอนต่อไป จะมีการจัดการประชุมสัมมนาเพื่อชี้แจงกระบวนการประมูลและกรอกแบบคำขอรับอนุญาต(public information session) วันนี้ (9 ส.ค.2564) จากนั้นผู้ประสงค์ขอรับอนุญาตยื่นคำขอรับอนุญาตและวางหลักประกันการขอรับอนุญาต วันที่ 11 ส.ค.2564 โดยในขั้นตอนนี้ บริษัท มิวสเปซ แอนด์ แอดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัดสามารถเข้ามายื่นขอรับใบอนุญาตฯ ได้ หลังจากมาขอรับเอกสารการคัดเลือกในรอบแรก และต้องรอดูว่า NT จะเข้ามายื่นขอรับใบอนุญาตฯ หรือไม่ ก่อนที่ประกาศรายชื่อผู้ที่ผ่านคุณสมบัติเป็นผู้เข้าร่วมการคัดเลือก วันที่ 18 ส.ค.2564

จากนั้นประกาศรายชื่อผู้เข้าร่วมการคัดเลือกที่ผ่านเกณฑ์ข้อเสนอด้านประสบการณ์และความสามารถด้านการเงินเพื่อเป็นผู้เข้าร่วมการประมูล วันที่ 24 ส.ค.2564, จัดการประชุมสัมมนาเพื่อชี้แจงขั้นตอนการประมูล (bidder information session) และการประมูลรอบสาธิต (mock auction) วันที่ 25 ส.ค.2564 และประมูล วันที่ 28 ส.ค.2564
สำหรับชุดข่ายงานดาวเทียมทั้ง 4 ชุด ที่จะนำมาประมูลในครั้งนี้ ได้แก่ ชุดที่ 1 ประกอบด้วย วงโคจร 50.5E (ข่ายงานC1, N1 และ P1R) และ วงโคจร 51E (ข่ายงาน 51) ราคาขั้นต่ำ 676.914 ล้านบาท, ชุดที่ 2 ประกอบด้วย วงโคจร 78.5E (ข่ายงาน A2B และ 78.5E) ราคาขั้นต่ำ 366.488 ล้านบาท
ชุดที่ 3 ประกอบด้วย วงโคจร 119.5E (ข่ายงาน IP1, P3 และ 119.5E) และ วงโคจร 120E (ข่ายงาน 120E) ราคาขั้นต่ำ392.950 ล้านบาท และชุดที่ 4 ประกอบด้วย วงโคจร 126E (ข่ายงาน 126E) และ วงโคจร 142E (ข่ายงาน G3K และN5) ราคาขั้นต่ำ 364.687 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวจาก กสทช.ยืนยันว่า แม้ว่าในวันที่ 11 ส.ค. 2564 จะไม่มีใครมายื่นเอกสารประมูลดาวเทียมเพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้มีเพียงไทยคมรายเดียวที่ได้ยื่นประมูลก่อนหน้านี้ กสทช.ก็ต้องเดินหน้าประมูลในวันที่ 28 ส.ค.2564 โดยยึดมาตรฐานเหมือนการประมูลคลื่นโทรคมนาคมที่มีการขยายเวลาและเดินหน้าประมูลต่อ

อีกทั้ง กสทช.มีหน้าที่ ต้องรักษาวงโคจรของประเทศซึ่งวงโคจรต้องมีดาวเทียมใช้งาน หากประเทศไทยถูก ITU ตรวจสอบแล้วพบว่าไม่ได้มีการใช้สิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมที่ได้รับจริงภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ หรือไม่ได้ใช้งานอย่างต่อเนื่อง (ไม่มีการใช้คลื่นความถี่บนดาวเทียมจริง) ย่อมมีโอกาสเกิดความเสี่ยงที่ประเทศไทยจะถูกยกเลิกสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมและคลื่นความถี่ที่ไม่มีการใช้งานจริง ออกจากทะเบียนความถี่หลักระหว่างประเทศได้ (Master International Frequency Register) และส่งผลให้ประเทศไทยสิ้นสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมนั้น
#3193


พิธีปิดมหกรรมกีฬา โอลิมปิก โตเกียว เกมส์ 2020 ที่ประเทศญี่ปุ่น มีขึ้นเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พร้อมส่งไม้ต่อให้เจ้าภาพในอีก 3 ปีข้างหน้าคือ ฝรั่งเศส ในปี 2024

เจ้าภาพ ญี่ปุ่น เริ่มโหมโรงด้วยพลุไฟสุดอลังการ ก่อนที่ธงแต่ละประเทศที่ร่วมชิงชัยเหรียญรางวัลกันมาตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้รับการเชิญเข้าสู่สนาม โดยจะไม่มีลำดับใดๆ ทั้งสิ้นเพื่อสื่อถึงการฉลองความสำเร็จร่วมกัน จากนั้นประตูทั้ง 4 ทิศของสนามก็เปิดต้อนรับนักกีฬาทั้งหมดเข้ามาอิ่มเอมกับบรรยากาศสุดท้ายนี้

ขณะที่ไทยมอบให้ "แต้ว" สุดาพร สีสอนดี เหรียญทองแดงมวยสากลสมัครเล่นร่วมพิธีปิด ส่วนอีกคนคือเหรียญทอง "เทนนิส" พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ ที่ล่วงหน้ากลับมาก่อนแล้ว ส่วนเจ้าเหรียญทองใน โตเกียว เกมส์ 2020 ครึกครื้นเป็นพิเศษคือ สหรัฐอเมริกา ทำไปทั้งสิ้น 39 เหรียญทอง 41 เหรียญเงินและ 33 เหรียญทองแดง

จากนั้นเจ้าภาพก็เสิร์ฟการแสดงมากมายที่ประทับใจสุดเห็นจะเป็นดวงไฟมากมายลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าประกอบกันเป็นสัญลักษณ์ห่วง โอลิมปิก สื่อถึงจิตวิญญาณที่รวมอยู่ในตัวทุกคน รวมถึงร่วมรำลึกถึงคนที่ทำให้การแข่งขันครั้งนี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีสร้างสรรค์งานให้เสร็จสมบูรณ์ ซึ่งได้รับคำชมมากว่า ญี่ปุ่น ทำอย่างไรกับเทคโนโลยีถึงได้ภาพที่สวยงามเช่นนี้

ปีนี้นักกีฬาทุกคนไม่ได้รับอิสระให้ออกไปข้างนอกได้ตามอำเภอใจเพราะเชื้อไวรัสโควิด-19 ดังนั้น ญี่ปุ่น จึงจัดการแสดงต่อมาเป็นสวนสาธารณะเหมือนให้ทุกคนได้ผ่อนคลาย

แน่นอนว่า ญี่ปุ่น เจ้าแห่งอนิเมะจัดโชว์จาก ดาบพิฆาติอสูร ซึ่งถูกใจสาวกยิ่งนัก โดยเป็นการนำเด็กๆ มัธยมมาเล่นเพลงจากอนิเมะเรียกได้ว่าเซอร์ไพรส์แบบสุดๆ

ช่วงท้าย ยูริโกะ โคอิเคะ ผู้ว่าราชการกรุงโตเกียว ได้ส่งมอบธงต่อให้เจ้าภาพครั้งต่อไปคือ ฝรั่งเศส โดยเป็น โธมัส บาค ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกสากล ที่รับและส่งต่อให้ แอนน์ ฮิดัลโก นายกเทศมนตรีกรุงปารีส

พร้อมกันนี้อีกฟากธง โอลิมปิก ปารีส 2024 ถูกเชิญขึ้นหอไอเฟล ประเทศฝรั่งเศส ถือเป็นธงที่ใหญ่ที่สุดในโลกขนาดยาว 90 เมตร กว้าง 60 เมตรซึ่งเกือบเท่าสนามฟุต.

จากนั้นฝูงบินผาดโผน The Patrouille Acrobatique de France ที่เป็นหนึ่งในฝูงบินผาดโผนที่เก่าแก่ที่สุดของโลก จะร่วมบินในพิธีเปิดตัวธง พร้อมปล่อยควันเป็นลายธงชาติฝรั่งเศส

สุดท้าย ญี่ปุ่น จัดการแสดงแบบเรียบง่ายปิดท้ายพิธีปิด โอลิมปิก โตเกียว เกมส์ 2020 พร้อมทั้งกระถางคบเพลิงที่ดับไฟกับการขึ้นคำว่า "อาริกาโตะ" ขอบคุณทุกๆ คน
#3194


วันที่ 8 ส.ค. หน่วยความร่วมมือบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 กรุงเทพมหานคร - หอการค้าไทย ไทยพีบีเอส - ธนบุรี เฮลท์แคร์กรุ๊ป ขอเชิญผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปมีสัญชาติไทย จองคิวลงทะเบียนฉีดวัคซีนแอสตราเซนเนกา (เข็มที่ 1) โดยจะเปิดลงทะเบียนผ่านทางโทรศัพท์ ในวันอาทิตย์ที่ 8 ส.ค.2564 โทร.02-790-2855 (40 คู่สาย) ระหว่างเวลา 09.00-16.00 น. หรือจนกว่าจะเต็มจำนวน ที่สถานฉีดวัคซีนไทยพีบีเอส ถ.วิภาวดีรังสิต เขตหลักสี่ กทม.

ทั้งนี้ จะเริ่มฉีดระหว่างวันที่ 9 - 14 ส.ค. 64 รวม 6 วัน (วันละ 4 รอบ รอบละ 100 คน รวมทั้งสิ้น 2,400 คน)

รายละเอียดรอบการจองลงทะเบียนฉีดวัคซีนแอสตราเซนเนกา (เข็มที่ 1)

รอบที่ 1 เวลา 10.00 - 11.00 น.

รอบที่ 2 เวลา 11.00 - 12.00 น.

รอบที่ 3 เวลา 12.00 - 13.00 น.

รอบที่ 4 เวลา 13.00 - 14.00 น.


เงื่อนไขการจองลงทะเบียนฉีดวัคซีนแอสตราเซนเนกา (เข็มที่ 1)

1.ต้องเป็นผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป สัญชาติไทย

2.สงวนสิทธิ์การโทรลงทะเบียน 1 ครั้ง แจ้งชื่อได้ไม่เกิน 2 ท่าน

3.ทีมงานขอสงวนสิทธิ์ให้สำหรับผู้ที่ลงทะเบียนไว้เท่านั้น ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชื่อภายหลังได้ทุกกรณี

4.ในวันที่นัดหมายให้มาก่อนเวลานัด 30 นาที เพื่อลดความแออัด
#3195


ญี่ปุ่น ยุติตำนาน "ซินเดอเรลลา" คว้าเหรียญเงิน การแข่งขันบาสเกต.หญิง โอลิมปิก 2020 พ่ายแก่ สหรัฐอเมริกา 75-90 ที่สนาม ไซตามะ ซูเปอร์ อารีนา วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม

ความปราชัยอย่างหมดรูป เกมชิงชนะเลิศ มิอาจครอบงำประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของ ทอม โฮวาสเซ เฮดโค้ช ซึ่งสามารถเดินยืดอกอย่างสง่าผ่าเผย หลังพา ญี่ปุ่น คว้าเหรียญโอลิมปิกเหรียญแรก เฉพาะกีฬาบาสเกต.

สหรัฐอเมริกา ซิวเหรียญทอง 7 สมัยติดต่อกัน หลัง บริตทานีย์ ไกรเนอร์ เซ็นเตอร์ ปิดสกอร์สูงสุด 30 แต้ม, เอ'จา วิลสัน ช่วย 19 แต้ม 7 รีบาวน์ด และ บรีแอนนา สจวร์ต เสริม 14 แต้ม 14 รีบาวน์ด

มากิ ทากาดะ ฟอร์เวิร์ด ญี่ปุ่น แบกทีม 17 แต้ม แถมต้องพยายามประกบ ไกรเนอร์ ที่มีส่วนสูง 203 เซนติเมตร และ นาโก โมโตฮาชิ การ์ดสำรอง ลงมาซัด 16 แต้ม

ญี่ปุ่น ต้องฝากความหวังกับลูกยิง 3 คะแนน เนื่องจาก สหรัฐฯ คุมพื้นที่ใต้แป้นแน่นหนา ส่องไกลเข้าเป้าแค่ 8 จาก 31 ลูก (คิดเป็น 25.8 เปอร์เซ็นต์) ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตลอดทัวร์นาเมนต์ เข้าเป้า 13 ลูกต่อเกม ความแม่นยำ 41 เปอร์เซ็นต์

เจ้าภาพ ไม่สามารถหยุดการเล่นโพสต์ตัวต่อตัว โดน ไกรเนอร์ เล่นงานไป 18 แต้ม เฉพาะครึ่งแรก ตามหลัง 39-50 ช่วงพักครึ่งจากนั้น สหรัฐฯ ทิ้งห่างด้วยการทำคะแนนควอเตอร์ 3 ที่เหนือกว่า 25-17 แต้ม
#3196


วันนี้ (8ส.ค.) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กรณีที่โซเชียลมีเดียได้มีการนำภาพซึ่งระบุว่ามาจากงานภารกิจนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ลงพื้นที่เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2564 เพื่อตรวจเยี่ยมการดำเนินการควบคุมการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่โรงพยาบาลท่าตะโก อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ มาโพสต์พร้อมระบุข้อความว่ารองนายกรัฐมนตรีเคลมว่าวัคซีนไฟเซอร์เป็นผลงานของตนเองนั้น เป็นการแสดงข้อความที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงและทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด

สำหรับข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจเยี่ยม ให้กำลังใจการทำงานแก่เจ้าหน้าที่ในจังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งพร้อมกับการลงพื้นที่ก็ได้มีการตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ล็อตที่ได้รับบริจาคจากประเทศสหรัฐฯ ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ อาสาสมัครสาธารณสุขและบุคลากรด่านหน้าในพื้นที่ด้วย ส่วนการจัดเตรียมป้าย หรือข้อความต่างๆ ก็จัดโดยเจ้าหน้าที่ในจังหวัด ซึ่งจากการตรวจสอบก็ไม่พบข้อความที่มีการส่งต่อข้อความที่มีการส่งต่อทางโซเชียลมีเดียแต่อย่างใด

"ในการลงพื้นที่จังหวัดหวัดนครสวรรค์ นอกจากท่านรองนายกฯอนุทินแล้ว ยังมีท่านปลัดกระทรวงสาธารณสุข และอธิบดีกรมควบคุมโรคร่วมเดินทางด้วย ซึ่งภารกิจของการลงพื้นที่ก็คือการไปตรวจเยี่ยมให้กำลังใจ ติดตามการดำเนินงานการควบคุมและแพร่ระบาดของโรคโควิด19 จากการสอบถามในคณะผู้ลงพื้นที่ ก็ไม่มีใครเห็นข้อความใดที่มีการส่งต่อในโซเชียลมีเดีย ก็ยังสงสัยเช่นกันว่าข้อความนั้นอยู่ส่วนใดของงาน" น.ศ.ไตรศุลี กล่าว

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล หากเป็นการวิจารณ์บนข้อมูลและเป็นความจริง และเพื่อเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ดีขึ้น เป็นสิ่งที่ประชาชนทุกคนทำได้อยู่แล้ว แต่ขอความร่วมมืออย่าสร้างและส่งต่อข้อมูลที่ก่อความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะในประเด็นที่จะกระทบต่อขวัญกำลังใจของเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ที่เป็นด่านหน้าปฏิบัติงานอย่างหนัก โดยเป้าหมายของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขเวลานี้คือการสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่อย่างเต็มที่
#3197


จากสถานการณ์ขาดเเคลนชิพสำหรับอุตสาหกรรมไฮเทคทั่วโลก เป็นเหมือนปรากฎการณ์ที่จุดประเด็นทางการค้าใหม่ ที่จีนเห็นว่า ปัญหาใหญ่จากชิ้นส่วนขนาดเล็กอย่าง "ชิพ" กำลังจะเป็นตัวฉุดแผนพัฒนาประเทศให้ข้ามผ่าน ดิจิทัล ดิสรัปชั่น  ดังนั้น การสร้างความเข้มแข็งจากภายในและการพึ่งพาตัวเองจึงเป็นสิ่งจำเป็น 

รายงานเรื่อง "Technology & Innovation – China Semiconductor self-reliance will support tech growth but pose overcapacity risk" จัดทำโดย  Moody's Investors Service ระบุว่า จีนกำลังส่งสัญญาณการลงทุนมหาศาลในไม่กี่ปีจากนี้ เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งก่อนหน้านี้เผชิญปัญหาขาดแคลนชิพและความตรึงเครียดทางการค้าจนสร้างช่องว่างระหว่างดีมานด์และซับพลายในประเทศทำให้การพัฒนาอุตสาหกรรมและผลิตเพื่อพึ่งพาตัวเองเป็นทางเลือกที่นำมาใช้ในขณะนี้ 

อย่างไรก็ตาม วิธีการนี้จะดีจริงหรือไม่อาจเป็นการลงทุนที่ไร้ประสิทธิภาพและเกิดการบิดเบือนการใช้ทรัพยากรซึ่งนำไปสู่ความเจ็บปวดในระยะยาว 
#3198


บมจ.สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) หรือ SMT ประกาศผลการดำเนินงานของบริษัทในงวดไตรมาส 2 ปี2564 มีกำไรสุทธิ 56.01 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 18.94  ล้านบาท  หรือเพิ่มขึ้น 51.10% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี2563  ที่มีกำไรสุทธิ 37.07 ล้านบาท 

โดยมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการ 606.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.14% จากไตรมาส 2 ปี2563 จำนวน 113.97 ล้านบาท หรือ 23.14% โดยที่ บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นจากธุรกิจ IC เติบโต 14% , ธุรกิจ OPTICS เติบโตมากถึง 100% และ PCBA เติบโต 78% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

ด้าน "วิรัตน์ ผูกไทย" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า "ผลประกอบการที่ออกมาดี เนื่องจากการเติบโตของยอดขาย ของผลิตภัณฑ์ที่มีมาร์จิ้นสูง และการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพและบริษัทก็ไม่มีปัญหาการขาดแคลนชิป เพราะมีการเตรียมการสั่งซื้อไว้ล่วงหน้า และยังคงมั่นใจเป้าหมายรายได้ปีนี้เติบโตได้ 30% และอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ระดับ 20% อย่างแน่นอน อีกทั้งล่าสุดได้รับปัจจัยบวกจากกลุ่มลูกค้าใหม่ที่มีศักยภาพ (Potential Customers) กว่า 80 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 2,600 ลบ. สนับสนุนรายได้ปี 2565 ให้เติบโตแข็งแกร่งมากขึ้น"

ด้านมาตรการป้องกันเชื้อ COVID-19 ปัจจุบันบริษัทได้ฉีดวัคซีนให้พนักงานทุกคนกว่า 90% เรียบร้อยแล้ว รวมถึงมีมาตรการที่เข้มงวดสำหรับบุคคลภายนอกที่มาติดต่อบริษัทจะต้องได้รับการฉีดวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 เข็ม บริษัทจึงมั่นใจว่าจะเกิดความปลอดภัยต่อพนักงานและจะไม่เกิดผลกระทบใดๆ ต่อการดำเนินงานของบริษัท

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

นายวิรัตน์ ผูกไทย  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SMT กล่าวว่า ผลประกอบการที่ออกมาดี เนื่องจากการเติบโตของยอดขาย ของผลิตภัณฑ์ที่มีมาร์จิ้นสูง และการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพและบริษัทก็ไม่มีปัญหาการขาดแคลนชิป เพราะมีการเตรียมการสั่งซื้อไว้ล่วงหน้า และยังคงมั่นใจเป้าหมายรายได้ปีนี้เติบโตได้ 30% และอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ระดับ 20% อย่างแน่นอน


อีกทั้งล่าสุดได้รับปัจจัยบวกจากกลุ่มลูกค้าใหม่ที่มีศักยภาพ (Potential Customers) กว่า 80 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 2,600 ลบ. สนับสนุนรายได้ปี 2565 ให้เติบโตแข็งแกร่งมากขึ้น

ด้านมาตรการป้องกันเชื้อ โควิด -19 ปัจจุบันบริษัทได้ฉีดวัคซีนให้พนักงานทุกคนกว่า 90% เรียบร้อยแล้ว รวมถึงมีมาตรการที่เข้มงวดสำหรับบุคคลภายนอกที่มาติดต่อบริษัทจะต้องได้รับการฉีดวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 เข็ม บริษัทจึงมั่นใจว่าจะเกิดความปลอดภัยต่อพนักงานและจะไม่เกิดผลกระทบใดๆ ต่อการดำเนินงานของบริษั
#3199


การ์มิน ประเดิมตลาดครึ่งปีหลังด้วยการเปิดตัว "Garmin tactix Delta Solar Edition" คอนเซ็ปต์ BUILT FOR THE LONG MISSION นาฬิกาอัจฉริยะรุ่นนี้มากับระบบจีพีเอส แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานสูงสุดกว่า 120 วัน ในโหมดประหยัดพลังงาน ด้วยระบบชาร์จพลังงานแสงอาทิตย์ ดีไซน์เรียบหรูด้วยวัสดุพรีเมียม แข็งแรงตามมาตรฐาน MIL-STD-810 ของกองทัพสหรัฐ 

พร้อมฟีเจอร์และเทคโนโลยีที่เรียกใช้งานได้ง่าย ออกแบบมาเพื่อการปฏิบัติภารกิจลับ การฝึกซ้อมแบบยุทธวิธี พร้อมยกระดับประสบการณ์กิจกรรมกลางแจ้งด้วยฟีเจอร์ออกกำลังกายและติดตามสุขภาพแบบจัดเต็ม เอาใจผู้ที่หลงใหลในความคล่องตัว และสายเอาท์ดอร์แอดเวนเจอร์ วางจำหน่ายในราคา 37,390 บาท 

การ์มิน ระบุว่าเตรียมรุกเจาะตลาดกลุ่มผู้ใช้งานที่ชื่นชอบการทำมิชชั่นมีการใช้งานแบบเฉพาะตัวมากขึ้น กับจุดเด่นในเรื่องของแฟชั่นการดีไซน์ที่ทำให้ดูคล่องตัว มาตรฐานในการเลือกใช้วัสดุ ความง่ายในการเรียกใช้งานของแต่ละฟีเจอร์ และเทคโนโลยีการชาร์จด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ที่ช่วยให้ระยะเวลาการใช้งานของสมาร์ทวอทช์ให้ยาวนานยิ่งขึ้น



Garmin tactix Delta Solar Edition มาพร้อมหน้าจอเลนส์แซฟไฟร์ และกรอบเคลือบคาร์บอนคุณสมบัติแข็งแกร่งคล้ายเพชรช่วยป้องกันรอยขีดข่วน หน้าจอดิสเพลย์ขนาดใหญ่ 1.4 นิ้ว ถือได้ว่าเป็นนาฬิกาหน้าปัดกลมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของการ์มิน ถูกออกแบบมาให้ทนทานต่อการใช้งานในทุกสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศ ตามมาตรฐาน MIL-STD-810 ของกองทัพสหรัฐ

อัดแน่นด้วยฟีเจอร์ยุทธวิธีสำหรับการฝึกซ้อมและปฏิบัติภารกิจลับ ไม่ว่าจะเป็น โหมด Night Vision Capacity โหมดการใช้งานที่ทำให้สามารถมองเห็นหน้าจอได้เมื่อสวมใส่ Night Vision Goggles โหมด Stealth เพื่อการหยุดบันทึกและแชร์ตำแหน่ง GPS รวมถึงหยุดการเชื่อมต่อการสื่อสารแบบไร้สาย ฟีเจอร์ Kill Switch ลบข้อมูลเพื่อความปลอดภัย โหมด Jumpmaster โหมดการคำนวนความสูง นำทาง และคำนวนจุดปล่อยตัวและลงจอดเพื่อการกระโดดร่ม

รวมไปถึงโหมด Dual-Format GPS ระบุตำแหน่งพร้อมกัน 2 ค่าที่มาพร้อมแผนที่ topographic เพื่อการระบุตำแหน่งที่แม่นยำยิ่งขึ้น ทั้งยังมาพร้อมกระจกแซฟไฟร์ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ ทำให้สามารถใช้งานได้ยาวนานสูงสุดกว่า 120 วัน ในโหมดประหยัดพลังงาน


นอกเหนือไปจากความสามารถในการซัพพอร์ตการฝึกซ้อมและการปฏิบัติภารกิจลับ ยังเป็นสมาร์ทวอทช์จีพีเอสระดับพรีเมียมที่อัดแน่นไปด้วยฟีเจอร์สำหรับกิจกรรมกลางแจ้ง ไม่ว่าจะเป็น ปีนเขา วิ่งเทรล ปั่นจักรยาน กอล์ฟ สกี และดำน้ำ รวมทั้งยังมีฟีเจอร์ติดตามสุขภาพที่สำคัญ เช่น ฟีเจอร์วัดค่าการใช้ออกซิเจนของร่างกายเมื่อออกกำลังอย่างเต็มกำลัง (VO2 max)

ฟีเจอร์ติดตามและแนะนำการวิ่ง PacePro ฟีเจอร์ติดตามการเต้นของหัวใจ Heart Rate Tracking และ ฟีเจอร์ติดตามระดับความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด Pulse Ox Blood Sensor สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนรุ่นที่รองรับเพื่อรับการแจ้งเตือนการโทรเข้าออก ข้อความ และปฏิทินนัดหมาย จัดเก็บเพลงโปรด รวมทั้งเชื่อมต่อ Garmin Pay เพื่อการชำระเงินแบบปราศจากการสัมผัส (Contactless)

ด้านการออกแบบมาในรูปลักษณ์ดีไซน์เรียบหรูวัสดุพรีเมียม และยังคงไว้ซึ่งความแข็งแรงทนทาน หน้าจอและปุ่มกดขนาดใหญ่ จึงทำให้ใช้งานได้อย่างสะดวก มาพร้อมสายรัดข้อมือไนลอนและสายซิลิโคนสีดำ ให้ผู้ใช้เลือกใช้งาน ตอบโจทย์การใช้งานแบบสมบุกสมบันทุกภารกิจ ด้วยสีดำทั้งตัวเรือนสามารถเข้าได้กับการแต่งตัวทุกลุค
#3200


นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. เปิดรับฝาก "สลากออมทรัพย์ ธ.ก.ส. ชุดเกษตรมั่งคั่ง 6" จำนวน 1,000 ล้านหน่วย หน่วยละ 100 บาท รวมวงเงิน 100,000 ล้านบาท เพื่อระดมเงินฝากจากประชาชนทั่วไปสำหรับนำไปใช้เป็นทุนสนับสนุนภาคเกษตร อันเป็นรากฐานที่สำคัญของประเทศ และเป็นการตอบสนองความต้องการของลูกค้าผู้ถือสลากออมทรัพย์ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนให้สามารถฝากเงินกับ ธ.ก.ส.ได้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นทางเลือกสำหรับการออมเงินที่ได้รับดอกเบี้ย ไม่เสียภาษีและยังมีสิทธิ์ลุ้นเงินรางวัลมากมาย โดยแบ่งการเปิดรับฝากเป็น 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป วงเงินรับฝาก 50,000 ล้านบาท และช่วงที่ 2 วันที่ 18 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป วงเงินรับฝาก 50,000 ล้านบาท ณ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศและผ่านช่องทาง แอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile

สลากออมทรัพย์ ธ.ก.ส. ชุดเกษตรมั่งคั่ง 6 มีอายุรับฝาก 3 ปี เมื่อฝากครบกำหนดไถ่ถอนจะได้รับดอกเบี้ยหน่วยละ 0.15 บาท หรือคิดเป็นอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.05 ต่อปี นอกจากนี้ยังได้ลุ้นรางวัลทุกวันที่ 16 ของเดือน และวันที่ 17 มกราคม ของทุกปี รวม 36 ครั้ง ประกอบด้วย รางวัลที่ 1 มี 1 รางวัลมูลค่า 10,000,000 บาท รางวัลที่ 1 ต่างหมวด มี 99 รางวัล ๆ ละ 10,000 บาท รางวัลที่ 2 มี 300 รางวัล ๆ ละ 5,000 บาท รางวัลที่ 3 มี 1,000 รางวัล ๆ ละ 3,000 บาท รางวัลที่ 4 มี 2,000 รางวัล ๆ ละ 1,000 บาท รางวัลที่ 5 มี 10,000 รางวัล ๆ ละ 500 บาท รางวัลเลขท้าย 4 ตัว มี 100,000 รางวัล ๆ 50 บาท และรางวัลเลขท้าย 3 ตัว มี 2,000,000 รางวัล ๆ ละ 10 บาท รวมรางวัลทั้งสิ้น 2,113,400 รางวัล เป็นเงิน 47,490,000 บาทต่อเดือน โดยจะออกรางวัลครั้งแรกวันที่ 16 กันยายน 2564 ที่สำคัญดอกเบี้ยและเงินรางวัลได้รับการยกเว้นภาษีสำหรับบุคคลทั่วไปและยังสามารถนำไปใช้เป็นหลักทรัพย์ในการค้ำประกัน (Bank Guarantee) ได้อีกด้วย


ทั้งนี้ สามารถตรวจผลการออกรางวัลและรับชมการถ่ายทอดสดการออกสลากออมทรัพย์ได้ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย คลื่นความถี่ AM 891 กิโลเฮิรตซ์ เว็บไซต์ www.baac.or.th Facebook Page "ธกส BAAC Thailand" และ "ธกส บริการด้วยใจ" Youtube Channel "BAAC Thailand" หรือทาง ธ.ก.ส. A-Mobile โดยท่านที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับสลากออมทรัพย์ได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือที่ Call Center 02 555 0555