• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Jessicas

#4517
KTC ออกหุ้นกู้ 3 พันลบ.ดอกเบี้ย 1.59% ขายสถาบัน 24 มี.ค.-1 เม.ย.คืนหนี้-ขยายธุรกิจ

บมจ.บัตรกรุงไทย (KTC) ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อออกและเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัท ครั้งที่ 1/2565 จำนวน 2 ชุด มูลค่ารวมไม่เกิน 3,000 ล้านบาท เสนอขายแก่ผู้ลงทุนสถาบัน โดยมีธนาคารยูโอบี และ บล.เกียรตินาคินภัทร เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้

ชุดที่ 1 เสนอขายไม่เกิน 2,000 ล้านบาท อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 1.59 ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุกๆ 6 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ เสนอขายวันที่ 24-25 มี.ค.65

ชุดที่ 2 เสนอขายไม่เกิน 1,000 ล้านบาท อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 1.59 ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุกๆ 6 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ เสนอขายวันที่ 31 มี.ค.-1 เม.ย. 65

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ "AA-" แนวโน้มเครดิต "คงที่" เมื่อวันที่ 2 เม.ย.65

บริษัทมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ชำระคืนหนี้เดิม และ/หรือใช้ในการดำเนินธุรกิจและขยายธุรกิจของบริษัท ประมาณ 3,000 ล้านบาท ภายในเดือน เม.ย.65
#4518
สร้างรายได้ออนไลน์ อย่างยั่งยืนกับ CCI รับตัวแทน
รับตัวแทนจำหน่าย นวัตกรรมสมุนไพร ระดับโลก โทร.089 068 9456

เปิดให้ผู้สนใจร่วมทำธุรกิจกับเรา เปิดรับตัวแทนจำหน่ายแล้ววันนี้
ทำไม? DETOX&CCI เติบโตอย่างยั้งยืน มั่นคง
1. บริษัทฯ มีความมั่นคง มีโรงงานผลิตเอง เปิดมากว่า 20 ปี
2.มี R&D ทีมงานนักวิจัยกว่า 30 ท่าน พัฒนา วิจัย อยู่ตลอดเวลา
3.โดย ดร.ณสพน โพธิ์วิจิตร ดร.เหรียญทองและรางวัลการันตีมากมาย
4. สินค้าเป็นนวัตกรรมสมุนไพร ที่มาจากการวิจัย และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และยังเป็นกระแสเทร็นด์ของโลก
5.มีระบบ เพลทฟอร์มรองรับ สามารถขยายธุรกิจได้อย่างไร้ขีดจำกัด อยู่ที่ไหนก็ขายได้ สร้างกำไรขายปลีกได้ดีจริงๆ
6.ได้รับรางวัลบริษัทธรรมภิบาลดีเด่นระดับประเทศ ปี 2562
7.ลงทุนน้อย กำไรขายปลีกสูงถึง 400 บาทต่อกล่อง
8.สามารถขยายตัวแทน ขยายสาขาได้อย่างไม่จำกัด
อยากมีรายได้เสริม อาชีพเสริม 2021 สมัครขายของออนไลน์ ยุคนี้ ต้องที่ CCI
ฉลองเปิดสำนักงานใหญ่ สมัครก่อนมีสิทธิก่อน รับสิทธิพิเศษมากมาย
มีทีมงานสอนขายออนไลน์ให้ฟรี ไม่เป็นก็สอนให้ ครบวงจรที่นี่ "CCI"ที่เดียว

สนใจ กรอกข้อมูลรับรายละเอียด+ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่เว็บไซด์...

https://www.saleherb.com

รับสมัครตัวแทนธุรกิจ 
Line : @saleherb(มี@นำหน้า)
ไลน์ :https://lin.ee/BqZrVJW


#4519
ทรีทเม้นท์ฟื้นฟูโครงสร้างเส้นผมสิ้นสุดการอรอ สีทรีทเม้นท์แฟชั่นเข้ามาครบทุกเฉดสีแล้วจ้ะ สีย้อมผมผสมทรีทเม้นท์ บำรุงรักษาผม 
เนื้อสีแน่น ติดทน ไม่ต้องผสมไฮโดรเจน ไม่มีแอมโมเนีย สามารถลงได้เลย มีให้เลือกถึง 11 เฉดสีกันเลย
โดย บริษัท โมเดิร์น แฟนตาซี จำกัด ผู้นำเข้า-ส่งออก 
ทรีทเม้นท์ฟื้นฟูโครงสร้างเส้นผมวัสดุอุปกรณ์
 เครื่องใช้ไฟฟ้า 
ทรีทเม้นท์ฟื้นฟูโครงสร้างเส้นผมและสินค้าต่างๆเกี่ยวกับเส้นผม 
ภายใต้แบรนด์ ENIE(เอนี่)


https://bit.ly/3iteQOi
#4520
น้ำยาดัดผลสูตรเจลจบการอคอย สีทรีทเม้นท์แฟชั่นเข้ามาครบทุกเฉดสีแล้วค่ะ สีย้อมผมผสมทรีทเม้นท์ บำรุงดูแลรักษาผม 
เนื้อสีแน่น ติดทน ไม่ต้องผสมไฮโดรเจน ไม่มีแอมโมเนีย สามารถลงได้เลย มีให้เลือกถึง 11 เฉดสีกันเลย
โดย บริษัท โมเดิร์น แฟนตาซี จำกัด ผู้นำเข้า-ส่งออก 
น้ำยาดัดผลสูตรเจลเครื่องไม้เครื่องมือ
 เครื่องใช้ไฟฟ้า 
น้ำยาดัดผลสูตรเจลรวมทั้งสินค้าต่างๆเกี่ยวกับเส้นผม 
ภายใต้แบรนด์ ENIE(เอนี่)



https://bit.ly/3Leynyn
#4521
ภาวะตลาดหุ้นออสเตรเลีย: S&P/ASX 200 ปิดบวก 36.80 จุดรับแรงซื้อหุ้นเทคโนฯ

ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 เดือนในวันนี้ ขานรับแรงซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มธนาคาร โดยตลาดหุ้นออสเตรเลียปรับตัวตามตลาดหุ้นทั่วโลกที่ดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง หลังจากนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับกระทบของภาวะเงินเฟ้อที่มีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

ดัชนี S&P/ASX 200 ปิดที่ 7,377.90 จุด เพิ่มขึ้น 36.80 จุด หรือ +0.50% และดัชนี All Ordinaries ปิดที่ 7,665.00 จุด เพิ่มขึ้น 44.30 จุด หรือ +0.58%

ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้นกว่า 3% แตะที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 21 ม.ค. โดยปรับตัวตามหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในตลาดสหรัฐ ทั้งนี้ หุ้นบล็อก อิงค์ และหุ้นคอมพิวเตอร์แชร์ พุ่งขึ้น 7.5% และ 1.6% ตามลำดับ

ดัชนีหุ้นกลุ่มการเงินดีดตัวขึ้นเกือบ 1% แตะที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่กลางเดือนพ.ย. 2564 โดยหุ้นธนาคารในกลุ่มบิ๊กโฟร์ปรับตัวขึ้นทั้งหมด

อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวลง 0.3% หลังจากราคาแร่เหล็กชะลอตัวลง ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มทองคำร่วงลง 1.4%หลังจากราคาทองคำอ่อนแรงลง

 
#4523
TU ปักธงรายได้ปี 65-68 โตเฉลี่ยกว่า 5% เน้นเพิ่มสินค้านวัตกรรมอัพมาร์จิ้น

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยยูเนี่ยน (TU) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าธุรกิจในปี 65-68 ในด้านรายได้เติบโตต่อเนื่องปีละไม่ต่ำกว่า 5% จากปี 64 ที่มีรายได้ 1.41 แสนล้านบาทสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเน้นการเพิ่มธุรกิจนวัตกรรมที่จะสร้างรายได้ในสัดส่วน 10% ของรายได้รวม ส่วนอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit) คาดว่าจะเพิ่มเป็น 20% จาก 18.2% ในปี 64

"ทิศทางในปี 2568-2568 ด้าน Top line (รายได้) ไม่ได้ตั้งเป้าหมายเติบโตมาก แต่เน้นความสามารถทำกำไรให้มากกว่า เพราะว่าหาก Gross Profit เติบโตก็จะทำให้กำไรสุทธิดีขึ้นด้วย"นายธีรพงศ์ กล่าว
ทั้งนี้ ธุรกิจอาหารทะเลกระป๋อง และอาหารทะเลแช่แข็งแช่เย็น ยังคงเป็นธุรกิจหลัก (Core Business) ที่มีสัดส่วน 42% และ 41% ตามลำดับ ซึ่งเติบโตไม่ต่ำกว่าปีละ 3% ขณะที่อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า มีสัดส่วน 17% ซึ่งจะเป็น Growth Engine ใหม่ เพราะธุรกิจนี้มีแนวโน้มการเติบโตมากและทำกำไรได้ดี

สำหรับตลาดในประเทศ ที่มีสัดส่วน 10% ของยอดขายนั้น บริษัทมีแบรด์ของตัวเอง "Select" ที่มีส่วนแบ่งการตลาด 58% และเติบโตเฉลี่ยปีละ 9.4% ขณะที่ภาพรวมตลาดทูน่าเติบโตไม่ถึง 1% โดยปัจจัยราคาน้ำมันสูงขึ้นบริษัทไม่ได้รับผลกระทบมาก แม้ว่าจะทำให้ต้นทุนปรับตัวสูงขึ้น บริษัทได้ปรับราคาขึ้น 5-7% และส่วนที่รับจ้างผลิตก็มีการปรับราคาเรื่อยๆตามคำสั่งซื้อ นอกจากนี้บริษัทเตรียมออกสินค้าซีเล็คทูน่ากัญชงภายในปีนี้ ขณะนี้รอกฎหมายและข้อบังคับ และยังพัฒนาทูน่ากัญชาด้วย รวมถึงสินค้าใหม่ ซีเล็คทูน่าในน้ำมันมะกอก

นายธีรพงศ์ กล่าวว่า บริษัทแยกธุรกิจ (Spin off) กลุ่ม Pet Care ที่จะเป็นไฮไลท์ในปีนี้ โดยมีแผนนำ บมจ.ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น (เดิมชื่อ บมจ.สงขลาแคนนิ่ง) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายในสิ้นปี 65

นอกจากนี้ ในปีนี้ยังมีกลุ่มธุรกิจใหม่ที่จะเป็นธุรกิจเพิ่มมูลค่าที่เน้นสร้างกำไร ซึ่งบริษัทมีเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนรายได้ในกลุ่มนี้เป็น 10% และอัตรากำไรขั้นต้นมากกว่า 20% ภายในปี 68

บริษัทจะเดินหน้าสร้างความร่วมมือจากธุรกิจสตาร์อัพด้านเทคโนโลยีอาหาร ที่วางงบลงทุน (Corporate Venture Fund) ไว้ราว 30 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งใช้ไปแล้วกว่า 10 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะผลักดันนวัตกรรมใหม่เข้ามาอย่างเนื่องไปถึงปี 68 ได้แก่ กลุ่มธุรกิจส่วนประกอบอาหาร (Food Ingredients) คอลลาเจนเปปไทด์ แคลเซียมจากกระดูกทูน่า น้ำมันปลาทูน่า ในแบรนด์ Zeavita , กลุ่ม suppliment ที่นำสินค้า Food Ingredients เข้าสู่ B2C และ กลุ่มโปรตีนทางเลือก

รวมทั้งยังมีการร่วมทุนในกิจการร่วมค้า (JV) ด้านผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มสุขภาพ และขยายการลงทุนในสตาร์อัพ โดยใช้งบในส่วน Corporate Venture Fund และเพิ่มความร่วมมือกับฟู้ดเทคสตาร์ทอัพ

ส่วนในปี 66-68 มีแผนจะขยายตลาดและพัฒนาสินค้าโปรตีนทางเลือกที่มองว่าตลาดในไทยมีแนวโน้มเติบโตค่อนข้างสูง เนื่องจากคนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น นอกจากนี้ จะมีการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและรีไซเคิลได้

นายธีรพงศ์ กล่าวต่อว่า ในปี 65 บริษัทตั้งงบลงทุนจำนวน 6 พันล้านบาท ไม่นับรวมธุรกิจใหม่และการเข้าซื้อกิจการ (M&A) โดยการลงทุนจะคล้ายกับการลงทุนในช่วง 2-3 ปีที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก เพราะกลยุทธ์ของบริษัทเปลี่ยนไปเน้นธุรกิจอาหารที่มีนวัตกรรม โดยการลงทุนในธุรกิจหลักจะเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลงทุน Robot และ AI นอกจากนี้ จะใช้ในการสร้างโรงงานผลิตโปรตีนไฮโดรไลเสตและคอลลาเจนเปปไทด์ คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 4/65 หรืออย่างช้าต้นปี 66 และขยายธุรกิจโปรตีนทางเลือก

ส่วนการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะมีกี่ดีล ขึ้นอยู่กับจังหวะและโอกาส รวมทั้งความน่าสนใจของธุรกิจที่บริษัทศึกษาอยู่

ทั้งนี้ บริษัทมีความสามารถในการลงทุนเพียงพอ เนื่องจากมีอัตราหนี้สินสุทธิ (Net Debt) ต่ำกว่า 1 เท่า ขณะเดียวกันบริษัทตั้งเป้าภายในปี 68 จะมีสัดส่วน Blue Finance 75% ของหนี้ระยะยาวที่มีอยู่ 4.5 หมื่นล้านบาท ที่เป็นตราสารหนี้ที่มีนวัตกรรมทางการเงินที่ยั่งยืน เพราะจะช่วยประหยัดดอกเบี้ยได้ดีกว่าหุ้นกู้ปกติ โดยบริษัทมีแผนจะออกหุ้นกู้ในช่วงปี 66-67 ที่จะมีหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอน คาดว่าจะได้รับการตอบรับดีทั้งในไทยและญี่ปุ่น เนื่องจากบริษัทมีอันดับเครดิตในระดับที่ดี
#4524
ธปท.ปรับเกณฑ์กำกับดูแลแบงก์ ยกเลิกเพดาน FinTech เอื้อลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล

นางรุ่ง มัลลิกะมาส ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้ปรับปรุงเกณฑ์ให้กลุ่มธนาคารพาณิชย์ มีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการประกอบธุรกิจธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (digital assets: DA) และยกระดับการให้บริการทางการเงินภายใต้แนวนโยบายภูมิทัศน์ใหม่ภาคการเงินไทยเพื่อเศรษฐกิจดิจิทัลและการเติบโตอย่างยั่งยืน (แนวนโยบาย Financial Landscape) ที่มุ่งเน้นการสร้างสมดุลระหว่างการส่งเสริมนวัตกรรมและการบริหารความเสี่ยง เพื่อให้ภาคการเงินสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีในการพัฒนานวัตกรรมและบริการทางการเงินที่ดีขึ้น และสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงใหม่ ๆ ได้อย่างเหมาะสม โดย

ยกเลิกเพดานการลงทุนในธุรกิจ FinTech จากเดิมที่เคยกำหนดไว้ที่ 3% ของเงินกองทุน เพื่อให้กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) ได้มากขึ้น เนื่องจากเห็นประโยชน์ที่ชัดเจน อีกทั้งกลุ่มธนาคารพาณิชย์ มีประสบการณ์การลงทุนในธุรกิจ FinTech มากขึ้น และหน่วยงานกำกับดูแลมีแนวทางดูแลความเสี่ยงในระดับหนึ่งแล้ว
ให้บริษัทในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ สามารถลงทุนในกิจการที่ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ DA ภายใต้เพดานที่ 3% ของเงินกองทุน เพื่อให้การขยายตัวเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ช่วยจำกัดความเสี่ยงใหม่ ๆ ที่อาจกระทบความเชื่อมั่นต่อธนาคารพาณิชย์ และให้กลุ่มธนาคารพาณิชย์ พิจารณาการลงทุนหรือจัดสรรทรัพยากรอย่างรอบคอบ โดยเมื่อมีมาตรฐานการกำกับดูแลที่เป็นสากลหรือมีแนวทางการบริหารความเสี่ยงที่ชัดเจนเพียงพอ ก็สามารถปรับเพิ่มหรือยกเลิกเพดานการลงทุนที่กำหนดได้เป็นการทั่วไป เช่นเดียวกับเพดานการลงทุนในธุรกิจ FinTech
หากธนาคารพาณิชย์ สามารถยกระดับมาตรฐานของกิจการ DA ใดให้เป็นไปตามที่กำหนดได้ เช่น เรื่องธรรมาภิบาล การดูแลความเสี่ยงระบบงาน และการคุ้มครองผู้ใช้บริการ อนุญาตให้ไม่นับเงินลงทุนของกิจการนั้นในเพดานการลงทุน เพื่อสร้างแรงจูงใจในการยกระดับมาตรฐานการดำเนินธุรกิจ DA ในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ อันจะนำไปสู่การยกระดับมาตรฐานธุรกิจ DA ของประเทศ
ให้ธุรกิจที่ยังมีความเสี่ยงหรือยังไม่มีหน่วยงานกำกับดูแล สามารถดำเนินงานในกรอบ Sandbox ได้ในวงจำกัดก่อน เพื่อพิจารณาถึงประโยชน์ของประเทศ การดูแลความเสี่ยง และผลกระทบต่อระบบในภาพรวม ก่อนการให้บริการในวงกว้างต่อไป
ให้กลุ่มธนาคารพาณิชย์ จำกัดความเสี่ยงจากความเชื่อมโยงที่อาจเกิดต่อธนาคารพาณิชย์ เพื่อให้การดำเนินงานในธุรกิจใหม่ ๆ ของกลุ่ม ธพ. ไม่กระทบต่อผู้ฝากเงินและระบบการเงิน โดยยังไม่อนุญาตให้ ธพ. ประกอบธุรกิจ DA ได้โดยตรง กลุ่ม ธพ. มีโครงสร้างกรรมการที่ไม่มีการขัดกันของผลประโยชน์ มีเงินกองทุนเพียงพอรองรับความเสี่ยงใหม่ ๆ และ ธนาคารพาณิชย์ มีระบบงานต่าง ๆ แยกออกจากธุรกิจที่มีความเสี่ยง
นอกจากนี้ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ในฐานะที่เป็นกลุ่มธุรกิจที่ถูกกำกับดูแลอย่างเข้มข้น ได้รับความไว้วางใจจากสาธารณชน และสามารถขยายตลาดสำหรับบริการใหม่ ๆ ได้เร็วจากฐานลูกค้าที่กว้างและหลากหลาย ซึ่งรวมถึงประชาชนกลุ่มเปราะบางด้วยนั้น จะต้องให้ความสำคัญกับการคุ้มครองผู้ใช้บริการ การแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ โดยเฉพาะ DA ที่มีความเสี่ยงสูงจึงต้องทำอย่างระมัดระวัง พิจารณาถึงความรู้ทางการลงทุนและความสามารถในการรับความเสี่ยงของลูกค้าด้วย

ธปท. เชื่อว่าการปรับเกณฑ์ดังกล่าว จะเอื้อให้ธุรกิจในภาคการเงินสามารถปรับตัวได้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี สามารถดำเนินธุรกิจให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน ระบบการเงินได้รับประโยชน์จากการแข่งขัน เกิดการพัฒนาบริการให้มีประสิทธิภาพ เพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงินของประชาชน และทำให้ธุรกิจ DA ในประเทศมีมาตรฐานการบริการที่เป็นที่ยอมรับ ภายใต้การบริหารความเสี่ยงที่ดี ผู้บริโภคได้รับการคุ้มครองอย่างเหมาะสม ซึ่งสอดคล้องกับผลลัพธ์ที่คาดหวัง รวมทั้งผลการรับฟังความคิดเห็นต่อแนวนโยบาย Financial Landscape

ทั้งนี้ ธปท. จะออกร่างหลักเกณฑ์เพื่อรับฟังความเห็นบน BOT website ก่อนที่จะออกประกาศหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องภายในครึ่งแรกของปี 2565
#4525
World Today: สรุปข่าวต่างประเทศวันนี้  23, 2022 

นางฮิลลารี คลินตัน อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งและอดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐ มีผลตรวจเชื้อโควิด-19 เป็นบวก และมีอาการป่วยเล็กน้อย

นางฮิลลารี วัย 74 ปีแถลงผ่านทางทวิตเตอร์เมื่อวานนี้ (22 มี.ค.) ว่า "ดิฉันมีผลตรวจเชื้อโควิด-19 เป็นบวกและมีอาการป่วยเล็กน้อย แต่ดิฉันสบายดี ดิฉันขอบคุณที่เรามีวัคซีนป้องกัน ซึ่งช่วยให้ปลอดภัยจากอาการป่วยหนัก ดิฉันขอเชิญชวนให้ทุกท่านเข้ารับการฉีดวัคซีน และฉีดเข็มบูสเตอร์ด้วย หากว่าท่านยังไม่ได้ฉีด"

-- นายอีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลาได้เปิดโรงงานผลิตรถยนต์เทสลาในยุโรปแห่งแรกอย่างเป็นทางการเมื่อวานนี้ (22 มี.ค.) เพื่อเป็นการลดแรงกดดันจากโรงงานอื่น ๆ ในสหรัฐและจีน

นายมัสก์ได้ออกลีลาท่าเต้นในขณะที่เขาเป็นประธานในการส่งมอบรถยนต์เทสลาที่ผลิตในเยอรมนีครั้งแรกให้กับลูกค้า 30 คน ณ โรงงานผลิตมูลค่า 5 พันล้านยูโร (5.5 พันล้านดอลลาร์)

-- สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานการวิเคราะห์หาสาเหตุเกี่ยวกับเหตุการณ์เครื่องบินโบอิ้ง 737 ของสายการบินไชน่า อีสเทิร์น แอร์ไลน์สตกในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงของจีนเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยระบุว่า ข้อมูลจาก Flightradar24 บ่งชี้ว่า เครื่องบินดิ่งลงด้วยความเร็วเกือบเท่ากับเสียงก่อนที่จะร่วงลงกระแทกพื้นหุบเขาใกล้กับเมืองอู๋โจว

การตกในลักษณะดังกล่าวอาจทำให้ปฏิบัติการตรวจสอบมีความซับซ้อน เพราะอาจจะทำลายหลักฐานต่าง ๆ และทำลายข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการบิน รวมทั้งกล่องบันทึกเสียงที่ถูกออกแบบมาเพื่อทนต่อแรงกระแทก

-- บริษัทไมโครซอฟท์ คอร์ปเปิดเผยว่า กลุ่มแฮกเกอร์ที่ใช้ชื่อว่า Lapsus$ ได้เจาะเข้าสู่ระบบของไมโครซอฟท์บางส่วน โดยคำยืนยันดังกล่าวมีขึ้นหลังจากกลุ่ม Lapsus$ อ้างว่าสามารถจารกรรมรหัสต้นทาง (source code) ของเสิร์ชเอนจิ้นบิง (Bing) และคอร์ทานา (Cortana) ซึ่งเป็นผู้ช่วยส่วนตัวที่ทำงานด้วยเสียง

-- ประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เตของฟิลิปปินส์ ได้สั่งผ่อนปรนข้อจำกัดในการเข้าประเทศสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อหวังกระตุ้นการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ เพิ่มการลงทุนจากต่างประเทศ และฟื้นฟูตำแหน่งงานในภาคการท่องเที่ยว

-- ฟีฟ่าได้เพิ่มเว็บไซต์ Crypto.com เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนการแข่งขันฟุต.โลกอย่างเป็นทางการที่ประเทศกาตาร์ประจำปีนี้ ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดที่แพลตฟอร์มคริปโทเคอร์เรนซีพยายามผลักดันตัวเองเข้าไปมีส่วนร่วมในมหกรรมกีฬาระดับโลก

-- สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ทีมกู้ภัยได้ยืนยันกับผู้สื่อข่าวว่า ขณะนี้พบกล่องดำของเครื่องบินโบอิ้ง 737 สายการบินไชน่า อีสเทิร์น แอร์ไลน์ส ที่ประสบอุบัติเหตุตกลงในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาแล้ว

ทั้งนี้ กล่องดำเป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่บันทึกข้อมูลการบินตลอดเที่ยวบินทั้งหมด ซึ่งจะช่วยไขปริศนาว่าเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นกับเครื่องบินลำดังกล่าวจนประสบอุบัติเหตุ

-- กลุ่มตาลีบันประกาศว่าจะยังไม่อนุญาตให้สตรีเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมปลายต่อไป จนกว่าจะร่างแผนที่สอดคล้องกับกฎหมายอิสลามได้ ซึ่งประกาศดังกล่าวขัดกับคำพูดที่เคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเปิดให้สตรีเข้าเรียนได้
#4526
ออล อเบ้าท์ บอท รุกตลาดเครื่องดูดฝุ่นด้วยแบรนด์ Hoover แบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1 ทั่วโลก การันตีด้วยรางวัล The World's First Portable Vacuum Cleaner
 
ออล อเบ้าท์ บอท ผู้นำเข้า Hoover (ฮูเวอร์) แบรนด์ดูดฝุ่นสัญชาติอเมริกาบุกตลาดเครื่องดูดฝุ่นที่ผลิตมาเพื่อตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ชูคุณภาพมาตรฐานระดับโลก และราคาจับต้องได้ ตั้งเป้าขึ้นเป็นแบรนด์เครื่องดูดฝุ่นอันดับต้น ๆ ของไทย

นายภิญโญ วัฒนศักดิ์ กรรมการบริษัท ออล อเบ้าท์ บอท จำกัด ผู้นำเข้านวัตกรรมเครื่องดูดฝุ่นทำความสะอาดบ้าน แบรนด์ Hoover แบรนด์ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 100 ปี และเป็นผู้คิดค้นเครื่องดูดฝุ่นเครื่องแรกในโลก ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ในฐานะ The World's First Portable Vacuum Cleaner  เผยว่า บริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจให้เป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องดูดฝุ่นแบรนด์ Hoover แบรนด์มาตรฐานระดับโลกจากสหรัฐอเมริกา ที่เชี่ยวชาญเรื่องเครื่องดูดฝุ่นโดยเฉพาะ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นส่วนหนึ่งเพื่อช่วยให้การดำเนินชีวิตของลูกค้าสะดวกสบาย และตอบโจทย์ผู้บริโภคด้วยมาตรฐานสินค้าที่มีคุณภาพในราคาสมเหตุสมผล เพราะปัจจุบันเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น รวมถึงเข้ามารับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ผู้คนส่วนใหญ่ต้องใช้ชีวิตอยู่ติดบ้านเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการทำงานแบบ Work from home ซึ่งนอกจากทำงานของตนเองแล้วยังต้องมาทำงานบ้านด้วย อาทิ กวาดบ้าน ถูบ้าน ดูดฝุ่น ทำอาหาร ล้างจาน และรดน้ำต้นไม้ เพื่อให้บ้านสะอาดปลอดภัยจากเชื้อโรคต่าง ๆ ซึ่งส่งผลให้ภาพรวมตลาดสินค้าประเภทเครื่องดูดฝุ่นในปี 2021 ที่ผ่านมา มีการเติบโตด้วยมูลค่ารวมกว่า 3,100 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่เติบโตค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับปีก่อน ๆ ในส่วนของบริษัทฯ ที่นำเข้าสินค้าแบรนด์ Hoover มีทั้งหมด 6 รุ่น แบ่งเป็นแบบไร้สาย 5 รุ่น และมีสาย 1 รุ่น ดังนี้

รุ่น Hoover Deluxe(แบบมีสาย) เป็นเครื่องดูดฝุ่นดูดเปียกขัดพื้น ลักษณะเหมือนเครื่องขัดพื้นตามห้างที่ถูกย่อส่วนและออกแบบใหม่เพื่อมาใช้แบบ Home use ใช้งานได้หลากหลายพื้นที่
รุ่น Hoover Jetเครื่องดูดฝุ่น ถูพื้น ล้างพื้นและเช็ดแห้ง ในการทำงานเพียงครั้งเดียวนวัตกรรมใหม่ ทำให้เราสามารถดูดฝุ่นไปพร้อม ๆ กับถูพื้นล้างพื้นได้อย่างง่ายดาย สามารถดูดฝุ่นละเอียดชิ้นเล็กได้เศษแก้ว หรือจานที่ตกแตก จนถึงข้าวผัดกระเพราไข่ดาวที่ทำตกอยู่ที่พื้นได้
รุ่น Hoover BladeMax เครื่องดูดฝุ่นไร้สาย ระบบ Dual Cyclone เพิ่มแรงดูด 2 เท่า ด้วย Digital motor ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของทาง Hoover และหัวดูดหลากหลายแบบให้เลือกใช้ได้ตามสภาพพื้นที่และความเหมาะสมในกับการทำความสะอาด
รุ่น Hoover Spotless Go เครื่องทำความสะอาดเฉพาะจุด เช่น โซฟา ที่นอน เก้าอี้ คาร์ซีด โดยใช้น้ำฉีดลงไปบนพื้นที่ที่ต้องการทำความสะอาด แล้วนำเครื่องไปดูดสิ่งสกปรกเก็บกลับมาที่เครื่องอีกครั้ง
รุ่น Hoover HandVacเครื่องดูดฝุ่นมือถือ น้ำหนักเบา ตัวเครื่องเล็ก แต่ดูดได้แรง เหมาะสำหรับใช้ในรถยนต์
รุ่น Hoover Foggerเครื่องพ่นละอองสเปรย์ สามารถใส่น้ำยาฆ่าเชื้อได้ เหมาะกับสถานการณ์โควิดในปัจจุบัน ซึ่งในต่างประเทศนิยมใช้ฆ่าเชื้อในพื้นที่สาธารณะหลังจากปิดบริการประจำวัน เช่น ฟิตเนส ร้านอาหาร
"แบรนด์ Hoover มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 100 ปี จนได้รับการยอมรับจากทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ในฐานะ The World's First Portable Vacuum Cleaner ด้วยคุณภาพที่น่าเชื่อถือ และราคาสามารถจับต้องได้ เราจึงตั้งเป้าเป็นแบรนด์เครื่องดูดฝุ่นอันดับต้น ๆ ของไทย โดยเฉพาะรุ่น Hoover Jet, Hoover Deluxe และ Hoover Spotless Go ซึ่งจัดอยู่ในหมวดย่อย คือ Wet&Dry ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดทั้งหมดเพียง 4% เท่านั้น และถึงแม้ว่าตอนนี้เริ่มมีแบรนด์ต่าง ๆ นำเข้ารุ่นเหล่านี้มาจำหน่ายเพิ่มมากขึ้น แต่ส่วนตัวมองว่ายังมีโอกาสที่จะสามารถเติบโตได้อีกมาก เพราะคู่แข่งยังไม่เยอะมากเมื่อเทียบกับเครื่องดูดฝุ่นมือถือ หรือหุ่นยนต์ดูดฝุ่น ที่กินส่วนแบ่งไปกว่า 70-80% จึงมั่นใจ Hoover จะเข้ามาสอดแทรกและเป็นที่รู้จักในตลาดเครื่องดูดฝุ่นเมืองไทยได้ไม่ยาก" นายภิญโญ กล่าว

นอกจากนี้เครื่องดูดฝุ่น Hoover 5 รุ่นแบบไร้สายยังมีจุดเด่นในเรื่องของแบตเตอรี่ ที่ชาร์ตได้ค่อนข้างเร็ว โดยใช้เวลาในการชาร์ตต่อครั้งเพียง 3.5 ชั่วโมง และสามารถใช้แบตเตอรี่ร่วมกันได้ทุกรุ่น เรียกว่าตระกูล ONEPWR (One Power) ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของแบรนด์ Hoover และเนื่องจากก่อนหน้านี้เคยมีจำหน่ายมาแล้วในประเทศไทย แบรนด์ Hoover จึงเป็นที่รู้จักและยังมีฐานลูกค้าเดิมซึ่งอยู่ในกลุ่มอายุประมาณ 30-50 ปี โดยปัจจุบันนี้ทางแบรนด์ได้มีการพัฒนาและผลิตสินค้าเพื่อตอบโจทย์ และรองรับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่มากยิ่งขึ้นไปอีก

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเลือกซื้อเครื่องดูดฝุ่น Hoover ได้ที่ร้าน dotlife ร้าน SB Design Square และร้านค้าไลฟ์สไตล์ชั้นนำ หรือสั่งซื้อออนไลน์ได้ทาง Home Pro Online, Central Online, Lifestyle.Firster สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: Hooverthailand 
#4527
พลังงาน-คลัง-สภาพัฒน์ ร่วมแถลงรายละเอียดมาตรการช่วยเหลือปชช.พรุ่งนี้

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในวันพรุ่งนี้ (24 มี.ค.) เวลา 13.30 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน จะร่วมกับ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน พร้อมด้วยนายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง และนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สำนักงานเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ และผู้เกี่ยวข้อง แถลงรายละเอียดมาตรการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ขัดแย้งยูเครน-รัสเซีย โดยเฉพาะมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนพุ่งเป้าไปที่ประชาชนผู้มีรายได้น้อย

อนึ่ง วานนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ ได้ออกมาตรการเร่งด่วนช่วยเหลือประชาชนบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมัน เพิ่มเติมจากนโยบายต่างๆ ที่รัฐบาลได้ออกไปแล้วและยังดำเนินการอยู่ โดยมีประชาชนที่จะได้รับประโยชน์ไม่น้อยกว่า 40 ล้านคน ใช้วงเงินไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท ดังนี้

1. ครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าต่ำกว่า 300 หน่วย จำนวน 20 ล้านหลังคาเรือน ได้รับส่วนลดค่า ft เป็นเวลา 4 เดือน

2. นายจ้างและผู้ประกันตนในมาตรา 33 จำนวน 11.2 ล้านคน ได้รับการลดเงินนำส่งจาก 5% เหลือ 1% งวดค่าจ้าง พ.ค. - ก.ค.

3. เกษตรกร 9 ล้านคน จะได้รับประโยขน์จากการแก้ปัญหาปุ๋ยแพงและปุ๋ยขาด และแก้ปัญหาอาหารสัตว์

4. ผู้ใช้ก๊าซหุงต้มที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 3.6 ล้านคน ได้รับการเพิ่มวงเงินช่วยเหลือค่าก๊าซหุงต้มเป็น 100 บาท/3 เดือน เป็นเวลา 3 เดือน

5. ผู้ประกันตนในมาตรา 39 จำนวน 1.9 ล้านคน ได้ลดเงินนำส่งจาก 9% เหลือ 1.9% งวดค่าจ้าง พ.ค. - ก.ค.

6. ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง 1.57 แสนคน ได้รับส่วนลดค่าน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 5 บาท/ลิตร จำนวน 50 ลิตร เป็นเวลา 3 เดือน

7. ผู้ค้าหาบเร่แผงลอยที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 1.5 พันคน ได้รับส่วนลดซื้อก๊าซหุงต้มเดือนละ 100 บาท เป็นเวลา 3 เดือน

8. ผู้ขับรถแท็กซี่ที่อยู่ในโครงการลมหายใจเดียวกัน ได้ซื้อก๊าซในราคา 13.62 บาท/กก. ในวงเงิน 10,000 บาท/เดือน เป็นเวลา 3 เดือน

9. ตรึงราคาน้ำมันดีเซล ไว้ที่ 30 บาท/ลิตร

10. คงราคาขายปลีก NGV ที่ 15.59 บาท/กก.

นายธนกร กล่าวว่า มาตรการชุดนี้จะสามารถช่วยบรรเทาผลกระทบจากครัวเรือนได้จริง โดยเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยจะยังสามารถขยายตัวอย่างน้อยได้ไม่ต่ำกว่า 3%

"ท่านนายกฯ ย้ำให้ทุกกระทรวงและทุกหน่วยงานทำงานอย่างหนัก ในการช่วยเหลือแบ่งเบา ภาระค่าครองชีพ แก้ปัญหาหนี้สินภาคประชาชนให้ได้มากที่สุด ด้วยมาตรการและแผนฟื้นฟูประเทศที่ได้วางไว้ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ตามที่ท่านนายกรัฐมนตรียืนยันมาตลอดว่า "ไม่มีทิ้งใครไว้ข้างหลัง" และยังจะเร่งเดินหน้า "พลิกโฉมประเทศไทย" สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ เพื่อสร้างอาชีพและรายได้ใหม่ๆ ให้คนไทยต่อไป" นายธนกร กล่าว
#4528
ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 105,499 ล้านบาท

สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้ มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 105,499 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขาย สูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 21,562 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 1,117 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 1,514 ล้านบาท Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.46% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเมื่อวาน +0.04%

ภาพรวมของตลาดในวันนี้
Yield Curve ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้า 3-8 bps. ในตราสารระยะยาว ในทิศทางเดียวกับ US- Treasury ภายหลังจากที่นายเจอโรม พาวเวล ส่งสัญญาณว่า เฟดอาจจะคุมเข้มนโยบายการเงินมากขึ้น ด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 0.25% เพื่อสกัดเงินเฟ้อ สำหรับกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติวันนี้ NET OUTFLOW 1,514 ล้านบาท โดยเกิดจาก NET SELL 1,514 ล้านบาท และไม่มีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ (Expired) ด้านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) มี NET BUY ของนักลงทุนต่างชาติ 3,621 ล้านบาท

สรุปภาวะการซื้อขายตราสารหนี้
ตลาดตราสารหนี้ไทย             22-03-2022    %Change
มูลค่าการซื้อขาย            105,499.28 ลบ.
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 3 เดือน  0.48 %    +0.01 %
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 1 ปี     0.52 %     0.00 %
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 5 ปี     1.46 %    +0.04 %

มูลค่าการซื้อขายแบบ Outright (แยกตามประเภทตราสาร)
ประเภทตราสาร       ล้านบาท      %Change
ตั๋วเงินคลัง         1,719.31        -66 %
พันธบัตรรัฐบาล     23,637.21        -24 %
ตั๋วสัญญาใช้เงินรัฐบาล     0.00          n/a
พันธบัตร ธปท.     75,210.99       +217 %
พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ       0.00          n/a
หุ้นกู้เอกชน         1,410.17        -35 %
พันธบัตรต่างประเทศ      0.00          n/a

หมายเหตุ: n/a คือ หาค่าไม่ได้ เนื่องจากไม่มีมูลค่าการซื้อขายในวันก่อนหน้า
 
#4529
SYNEX ส่งเฮ้าส์แบรนด์ S-GEAR ลุยตลาดเกมมิ่งหวังสร้างรายได้ 500 ลบ.ภายในปี 67

น.ส.สุธิดา มงคลสุธี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซินเน็ค (ประเทศไทย) (SYNEX) เปิดเผยว่า บริษัทเปิดตัวเฮ้าส์แบรนด์ผ่านแบรนด์ S-GEAR ภายใต้คอนเซ็ปต์ "MAKE IT MORE"บุกตลาดสินค้าเกมมิ่งและสินค้าไอทีไลฟ์สไตล์ในประเทศไทยที่มีการเติบโตสูง ตั้งเป้ารายได้ปี 67 ที่ 500 ล้านบาท โดยจะวางจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางตัวแทนจำหน่ายกว่า 6,000 ช่องทาง รวมไปถึงการจัดจำหน่ายผ่านระบบออนไลน์ ด้วยราคาที่จับต้องได้พร้อมบริการหลังการขายที่มีครอบคลุมอยู่ทั่วประเทศไทย

ผลิตภัณฑ์ที่เป็นชิ้นไฮไลท์ในการเปิดตัวแบรนด์ S-GEAR อาทิ ชุดเซ็ตเม้าส์และคีย์บอร์ด รุ่น MK-M411 Combo คีย์บอร์ดขนาดกระทัดรัดสีสันสดใส ไซเรนท์ทั้งเม้าส์และคีย์บอร์ด, คอนเวอร์เตอร์ 5 in 1 รุ่น CVTC002-5in1 ที่ได้รับรางวัลการออกแบบ Design Red Dot 2020 มาพร้อม HDMI 4K, PC Fast Charge และ USB A 3.0 จำนวน 3 พอร์ท, คีย์บอร์ด Multi Device รุ่น KB-H701 และ KB-H801 เชื่อมต่อผ่าน Wireless และ Bluetooth เหมาะกับแท็บเล็ตและมือถือ สามารถจับคู่กับอุปกรณ์ได้สูงสุด 3 อุปกรณ์ และ Ergonomic Mouse รุ่น MS-MV400 เม้าส์ที่ออกแบบขึ้นให้โค้งตามหลัก Ergonomic ป้องกันอาการอ่อนล้าจากการทำงานเป็นระยะเวลานาน จับถนัดมือ เหมาะกับผู้ที่ใช้เม้าส์เป็นเวลานานต่อวัน

สำหรับทิศทางยอดขายในช่วงไตรมาส 1/65 ยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ากำลังซื้อของประชาชนจะไม่ดีนักในช่วงที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตามยังคงมีความต้องการสินค้าด้าน IT เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบริษัทยังคงมีการขยายพอร์ตสินค้าที่รวมถึงสินค้าเกี่ยวกับเกมมิ่ง รวมทั้งมีสินค้าใหม่ๆ และสินค้า House Brand โดยบริษัทยังคงมั่นใจรายได้ในปี 65 จะเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 4 หมื่นล้านบาท เติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้

ขณเดียวกัน บริษัทยังคงมองหาการเข้าซื้อกิจการ (M&A) และการร่วมลงทุนในธุรกิจด้าน IT เพื่อให้บริษัทมี Ecosystem ตั้งแต่ปลายน้ำถึงต้นน้ำ โดยอยู่ระหว่างพิจารณาในกลุ่ม Cyber securityes และบริการหลังการขายอื่นๆ เป็นต้น โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปีนี้อย่างน้อย 1 ดีล

"วันนี้เราเดินหน้าสร้างเฮ้าส์แบรนด์ เพื่อที่จะนำสินค้าของคนไทยก้าวสู่ระดับโลก ซึ่งผลิตภัณฑ์จะออกครบในไตรมาส 3/65 จะเข้ามาช่วยกระตุ้นยอดขายของบริษัทอีกทางหนึ่ง และในปีนี้เรายังเดินหน้าหา M&A และ JV เพื่อสร้าง Ecosystem ของบริษัทตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งการสร้าง จำหน่าย และบริการ จึงมั่นใจว่ารายได้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้"น.ส.สุธิดา กล่าว
#4530
ทีเอ็มบีธนชาต จับมือสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ISMED) เสริมแกร่ง SME ผ่านโครงการให้ความรู้ finbiz by ttb และดิจิทัลโซลูชันที่ครบครัน

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี (ttb) เดินหน้าสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้เติบโตอย่างยั่งยืน ร่วมเป็นพันธมิตรกับสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ISMED) นำเสนอโซลูชันทางการเงิน รวมไปถึงการพัฒนาและถ่ายทอดองค์ความรู้ เพิ่มศักยภาพในการทำธุรกิจผ่านโครงการ finbiz by ttb เพื่อช่วยยกระดับประสิทธิภาพการบริหารธุรกิจ ให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้ในทุกสถานการณ์  

นายศรัณย์ ภู่พัฒน์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจตลาดเงินและบริการธุรกรรมทางการเงิน ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี (ttb) กล่าวว่า ธุรกิจเอสเอ็มอีมีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากมีจำนวนผู้ประกอบการมากถึง 3 ล้านราย สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและส่งผลต่อ GDP ของประเทศถึง 42% แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้นในช่วงตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต่างได้รับผลกระทบโดยตรง ต้องปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์เพื่อที่จะเติบโตต่อไป ซึ่งแน่นอนยังคงมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจำนวนมากที่ยังคงมีศักยภาพไปต่อได้ โดยข้อมูลจากศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี (ttb analytics) ระบุว่า ปีนี้ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีโอกาสฟื้นตัวในลักษณะ K-Shape โดยในกลุ่มภาคการผลิตและภาคการค้า เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว ขณะที่กลุ่มภาคบริการ ยังคงต้องใช้เวลา ซึ่ง ณ สิ้นปีที่ผ่านมา ภาคการผลิตสามารถฟื้นตัวใกล้ระดับเดิมที่ 99% ส่วนภาคการค้าปรับตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศแตะระดับ 95%  ในขณะที่ภาคบริการฟื้นตัวที่ระดับ 70% เทียบกับช่วงก่อนเกิดโควิด

ทีเอ็มบีธนชาตมุ่งมั่นสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีศักยภาพและเติบโตได้ดีขึ้น ผ่านมาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ รวมไปการนำเสนอแหล่งเงินทุน ดิจิทัลโซลูชันและบริการที่ช่วยเสริมให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่น นอกจากเครื่องมือบริหารธุรกิจและการเงิน ธนาคารยังให้ความสำคัญกับการเสริมองค์ความรู้ที่ครบครันและจำเป็นสำหรับธุรกิจเอสเอ็มอีโดยเฉพาะ ผ่านโครงการ finbiz by ttb  ซึ่งในปีนี้ ได้ให้ความสำคัญกับการต่อยอดองค์ความรู้ โดยร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือลูกค้าธุรกิจรายใหญ่ เพื่อขยายองค์ความรู้ให้ครอบคลุมและหลากหลายไปสู่เอสเอ็มอีได้เร็วขึ้นและกว้างขึ้น และในครั้งนี้ ธนาคารได้ร่วมมือกับสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ ISMED ซึ่งเป็นสถาบันเครือข่ายกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมีพันธกิจและแนวนโยบายในการส่งเสริมศักยภาพให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเช่นกัน

ด้าน นายธนนนทน์ พรายจันทร์ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ISMED) กล่าวว่า แม้ปัจจุบันภาคเศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการใช้ชีวิตของผู้คนทั่วโลกเริ่มปรับตัวได้มากขึ้น ทำให้ระบบเศรษฐกิจเริ่มขับเคลื่อน แต่สิ่งที่สำคัญ คือ ภาคธุรกิจต้องสามารถอยู่รอดและเติบโตได้อย่างเข้มแข็ง สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ ISMED เป็นสถาบันในเครือข่ายของกระทรวงอุตสาหกรรม มีภารกิจหลักในการพัฒนาผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ทั้งภาคการผลิต การค้า บริการ รวมทั้งวิสาหกิจชุมชนให้เติบโตและแข่งขันได้ โดยได้บูรณาการความร่วมมือกับภาครัฐและเอกชน เพื่อพัฒนาธุรกิจให้เติบโตและเข้มแข็ง ผ่านการถ่ายทอดองค์ความรู้ในรูปแบบต่าง ๆ การให้บริการคำปรึกษาแนะนำ การศึกษาวิจัยทั้งในระดับจุลภาคและมหภาค รวมไปถึงการรับรองมาตรฐานวิชาชีพของบุคลากรที่ให้บริการแก่ผู้ประกอบการ

ความร่วมมือกับทีเอ็มบีธนชาตในครั้งนี้ จะช่วยบ่มเพาะศักยภาพของเอสเอ็มอี ผ่านโครงการ finbiz by ttb  อันจะนำไปสู่โมเดลการเติบโตในเศรษฐกิจกระแสใหม่ และสามารถมองหาน่านน้ำแห่งโอกาสใหม่ ๆ ในปี 2565 โดยมุ่งหวังว่าจะได้รับความสำเร็จร่วมกันในอนาคต

นางพรรณวลัย อินทราพิเชฐ หัวหน้าบริหารการตลาดลูกค้าธุรกิจ ทีเอ็มบีธนชาต (ttb) กล่าวว่า ธนาคารมีเป้าหมายในการส่งเสริมชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี นอกจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน รวมถึงดิจิทัลโซลูชันต่าง ๆ แล้ว ยังมุ่งมั่นในการส่งมอบองค์ความรู้ที่ช่วยตอบโจทย์การทำธุรกิจ ประกอบการตัดสินใจ นำไปประยุกต์ใช้จริง และจุดประกายต่อยอดให้ธุรกิจเอสเอ็มอีเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน จึงเป็นที่มาของ โครงการ finbiz by ttb ที่มุ่งเสริมความรู้และเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งได้ต่อยอดมาจากโครงการ LEAN Supply Chain by ttb ที่ธนาคารได้ดำเนินการมานานกว่า 10 ปี ผ่านแพลตฟอร์มที่หลากหลาย ทั้งเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย และสัมมนาออนไลน์ ที่เจาะลึกทุกบริบทของอุตสาหกรรมและเข้าใจธุรกิจในยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง ภายใต้แนวคิด "ครบ จบในที่เดียว ปรับใช้ได้ง่าย ต่อยอดได้จริง สู่การเป็น Smart SME"

"ความร่วมมือในครั้งนี้ จะมีการนำเสนอทั้ง ผลิตภัณฑ์ด้านสินเชื่อ บริการ ซื้อขายรับจ่าย ทั้งในและต่างประเทศ รวมไปถึงดิจิทัลโซลูชัน และองค์ความรู้ต่าง ๆ ให้แก่สมาชิกของ ISMED โดยกิจกรรมสัมมนาออนไลน์ต่าง ๆ ที่กำลังจะร่วมกันจัดขึ้น มาช่วยเสริมแกร่งให้ผู้ประกอบการ โดยจะเน้นเรื่องการบริหารธุรกิจและการเงินในยุคดิจิทัลเป็นหลัก เพื่อให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีพร้อมปรับตัว มองเห็นโอกาส และช่วยยกระดับประสิทธิภาพการทำงานของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้ดียิ่งขึ้น และเติบโตต่อไปได้ในทุกสถานการณ์" นางพรรณวลัย กล่าว