• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - PostDD

#2041
BEM คาดกำไรปี 65 โตรับผู้โดยสารทยอยฟื้น ลั่นพร้อมชิงรถไฟฟ้าสายสีส้มทุกกติกา

นายสมบัติ กิจจาลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) คาดว่าผลการดำเนินงานในปี 65 น่าจะดีกว่าปี 64 ที่มีกำไรสุทธิที่ 1,010 ล้านบาท หลังจากจำนวนผู้โดยสาร รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน และสายสีม่วง ขณะนี้ ค่อยๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามลำดับ

"จากแนวโน้มสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) แล้วคาดหมายว่าผลประกอบการปี 65 จะกลับไปอยู่ในระดับที่ดีกว่ากว่าปี 63 ที่มีกำไรสุทธิประมาณ 2,000 ล้านบาท แต่ยอมรับว่าผลประกอบการจะยังไม่สามารถกลับไปอยู่เหนือปี 62 ที่มีกำไรสุทธิกว่า 3,000 ล้านบาท แต่ในปี 66 ผลประกอบการน่าจะกลับมาเติบโตมากกว่า ปี 62" นายสมบัติ กล่าว
ขณะเดียวกันบริษัทฯมีความพร้อมในการเข้าร่วมประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์- มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ตามที่ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เตรียมเปิดประมูล โดยยืนยันว่าพร้อมยื่นประมูลแข่งขันตามขั้นตอนในทุกตามกติกาที่ ประกาศออกมา เนื่องจากบริษัทฯมีความมั่นใจ และเชื่อมั่นในเรื่องคุณสมบัติและขีดความสามารถในการประมูลแข่งขัน

ทั้งนี้ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มเป็นงานใหญ่ ต้องมีความพร้อมทั้งด้านการก่อสร้าง การบริหาร และด้านการเงิน ฯลฯ ซึ่ง BEM เป็นบริษัทในกลุ่ม บมจ.ช.การช่าง (CK) มั่นใจว่ามีความสามารถในการดำเนินการ ส่วนกรณีที่ต้องหาพาร์ทเนอร์เพิ่มจะเข้ามาเสริมในส่วนที่พาร์ทเนอร์ทำได้ดีกว่า เช่น ซัพพลายเออร์ หรือเข้ามาสนับสนุนทางการเงิน

"ช.การช่างจะดูแลเรื่องงานก่อสร้าง ขณะที่ด้านการเงิน เรามั่นใจว่าจะสามารถจัดหาเข้ามาดำเนินการได้ด้วยต้นทุนที่แข่งขันได้ ซึ่งเป้าหมายในการดำเนินงาน คือต้องทำโครงการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการบริหารจัดการและการซ่อมบำรุงที่ต้องมีคุณภาพในอนาคตด้วย" นายสมบัติ กล่าว
สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ขณะนี้ รฟม.อยู่ระหว่างการประกาศรับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชนเพื่อนำความคิดเห็นมาใช้ประกอบการจัดทำร่างประกาศเชิญชวน ร่างเอกสารสำหรับคัดเลือกเอกชน (RFP) และร่างสัญญาฯ ระหว่างวันที่ 18 ก.พ.-6 มี.ค.65 โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นบริษัทที่ดำเนินกิจการบริหารการเดินรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนสถาบันการเงิน ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายระบบรถไฟฟ้านักลงทุนภาคเอกชนและภาคเอกชนทั่วไปที่สนใจในโครงการทั้งในและต่างประเทศ

ทั้งนี้ ในวันนี้นายวิทยา พันธุ์มงคลรองผู้ว่าการ (ปฏิบัติการ) รฟม. น.ส.ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ด้านตลาดในประเทศ และ นายสมบัติ กิจจาลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ BEM ร่วมแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ Happy Journey with BEM

ทั้ง 3 หน่วยงานลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วยระบบขนส่งมวลชนรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน โดยจัด 5 ทริปสุด เอ็กซ์คลูซีฟฟรี! ตลอดปี 65 ตามเส้นทางรถไฟฟ้า MRT 5 สถานี ได้แก่ สถานีวัดมังกร สนามไชย สามย่านหัวลำโพง และอิสรภาพ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยใช้ระบบขนส่งมวลชน (รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน) ตามนโยบายภาครัฐและตอบแทนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้า MRT สมาชิก MRT Club และนักเรียนนักศึกษา

นายวิทยา กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้จะทำให้เกิดการใช้ประโยชน์ในโครงสร้างพื้นฐานที่รัฐลงทุนให้มากที่สุด โดย รฟม.และ BEM จะสนับสนุนในเรื่องพื้นที่และดูแลความปลอดภัยต่างๆ ตลอดกิจกรรมนี้ ยปัจจุบัน ผู้โดยสาร MRT สายสีน้ำเงิน ประมาณ 2.1 แสนคน /วัน ส่วนสายสีม่วง มีประมาณ 3 หมื่นคน/วัน ซึ่งยังอยู่ในระดับ 50% เมื่อเทียบกับก่อนเกิดสถานการณ์โควิดที่รถไฟฟ้า 2 สายรวมกันมีผู้โดยสารมากกว่า 5 แสนคน/วัน

รฟม.ตั้งงบค่าจ้างในการเดินรถสายสีม่วงประมาณ 160 ล้านบาท/เดือน ขณะที่ปี 65 ตั้ง KPI สำหรับรถไฟฟ้าสายสีม่วง ไว้ที่ระดับผู้โดยสารประมาณ 3 หมื่นคน/วัน ทั้งนี้ เป็นการปรับให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดโรคโควิด-19 ซึ่งส่งผลต่อการการทำงาน การใช้ชีวิต และทำให้มีการเดินทางน้อยลง
#2042
SCBx เริ่มตั้งโต๊ะเทนเดอร์แลกหุ้น SCB ถึง 18 เม.ย.ก่อนเดินหน้าเข้าตลาดหุ้น

นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอสซีบี เอกซ์ (SCBx) กล่าวว่า หลังได้รับมติอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของธนาคารฯ เมื่อปลายปี 64 ที่ผ่านมา ขณะนี้ได้มาถึงกระบวนการแลกหุ้นจากธนาคารไทยพาณิชย์ SCB เป็น SCBx และนำหุ้น SCBx เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แทนหุ้นของ SCB ถือเป็นหนึ่งในกระบวนการที่สำคัญในการปรับโครงสร้างทางธุรกิจของกลุ่มไทยพาณิชย์ เพื่อเร่งขยายธุรกิจเชิงรุกเข้าสู่ธุรกิจการเงินที่มีศักยภาพสูง และธุรกิจแพลตฟอร์มอย่างเต็มรูปแบบ มุ่งยกระดับองค์กรสู่กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีการเงินระดับภูมิภาค โดยมีเป้าหมายสร้างการเติบโตอย่างไร้ขีดจำกัด และสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืนและแข็งแรงให้กับผู้ถือหุ้นต่อไปในระยะยาว

กระบวนการแลกหุ้นในครั้งนี้ SCBx จะออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน เพื่อแลกเปลี่ยนกับหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิของธนาคารในอัตรา 1 หุ้นสามัญของ SCB ต่อ 1 หุ้นสามัญของ SCBX และ 1 หุ้นบุริมสิทธิของ SCB ต่อ 1 หุ้นสามัญของ SCBX

การแลกหุ้นดังกล่าวจะไม่ได้เป็นไปโดยอัตโนมัติ แต่จะเกิดขึ้นเฉพาะกรณีที่ผู้ถือหุ้นของ SCB ได้ทำการตอบรับคำเสนอซื้อหลักทรัพย์แล้วเท่านั้น และเมื่อกระบวนการแลกหุ้นแล้วเสร็จ ซึ่งคาดว่าจะเป็นภายในเดือน เม.ย.65 และเมื่อผู้ถือหุ้น SCB ตอบรับคำเสนอซื้อมีจำนวนไม่น้อยกว่า 90% ของจำนวนสิทธิออกเสียงทั้งหมดของ SCB หุ้น SCBX จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยจะยังใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ SCB เช่นเดิม และผู้ถือหุ้น SCB ที่ได้ทำการแลกหุ้นได้สมบูรณ์ตามกำหนดเวลาจะเปลี่ยนเป็นผู้ถือหุ้น SCBx แทน ส่วนผู้ถือหุ้นของ SCB ที่ไม่ได้ตอบรับคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ในเวลาที่กำหนดจะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นของธนาคารต่อไป อย่างไรก็ตามหลักทรัพย์ของธนาคารจะถูกเพิกถอนจากตลาดหลักทรัพย์ในวันที่หลักทรัพย์ของ SCBX เข้าจดทะเบียน

"เราเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่ากระบวนการปรับโครงสร้างการถือหุ้นในครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มศักยภาพและความคล่องตัวในการเติบโตของธุรกิจภายใต้กลุ่มไทยพาณิชย์ในหลายด้าน รวมทั้งเพิ่มความชัดเจนในการทำธุรกิจของกลุ่มฯ ให้สามารถขยายและพัฒนาธุรกิจใหม่ที่มีอนาคตได้อย่างเต็มที่ มีการแบ่งแยกการกำกับดูแลและการบริหารความเสี่ยงทางธุรกิจอย่างชัดเจน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการประกอบธุรกิจของกลุ่มไทยพาณิชย์โดยรวม และจะนำไปสู่โอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น จากการดำเนินงานของธุรกิจที่โอนย้ายไปยัง SCBX รวมถึงธุรกิจใหม่ในอนาคตในอุตสาหกรรมที่มีโอกาสเติบโตและมีศักยภาพสูง" นายอาทิตย์ กล่าวเสริม
สรุปข้อมูลการตอบรับคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ SCB

ระยะเวลารับซื้อ ตั้งแต่เวลา 9.00 น. ถึง 16.00 น. ของวันที่ 2 มี.ค.65 ถึง วันที่ 18 เม.ย.65 (เฉพาะวันทำการ) หรือระยะเวลาทำการของแต่ละช่องทางรับยื่นแบบตอบรับคำเสนอซื้อ รวมทั้งสิ้น 30 วันทำการ ซึ่งระยะเวลาดังกล่าวอาจขยายเวลารับซื้อได้อีก
ตัวแทนในการรับซื้อหลักทรัพย์ (Tender Agents)
1. บล.ไทยพาณิชย์ (SCBS)

2. บล.เกียรตินาคิน ภัทร (KKPS)

3. บล.บัวหลวง (BLS)

4. บล.เอเชีย พลัส (ASP)

สถานที่ติดต่อในการยื่นแบบตอบรับคำเสนอซื้อ
1. กรณีผู้ถือหุ้นมีใบหุ้น (scrip) ติดต่อได้ที่สาขาของธนาคารไทยพาณิชย์ (สำหรับผู้ถือหุ้นประเภทบุคคล) หรือ Investment Center (สำหรับลูกค้า SCB Wealth) หรือตัวแทนในการรับซื้อหลักทรัพย์ (Tender Agents) ได้แก่ SCBS, KKPS และ BLS (สำหรับผู้ถือหุ้นประเภทบุคคลและนิติบุคคล) ข้างต้น โดยขอให้ผู้ถือหุ้นยื่นแบบตอบรับภายในวันที่ 5 เม.ย.65 หรือล่วงหน้าอย่างน้อย 5 วันทำการก่อนวันสุดท้ายของระยะเวลารับซื้อ เนื่องจากตัวแทนในการรับซื้อหลักทรัพย์ต้องนำใบหุ้นไปตรวจสอบและฝากไว้กับศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นนายทะเบียนหลักทรัพย์

2. กรณีผู้ถือหุ้นที่ไม่มีใบหุ้น (scripless) (เช่น มีบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์) ติดต่อได้ที่บริษัทหลักทรัพย์ที่มีบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ และบริษัทหลักทรัพย์นั้นให้บริการรวบรวมเอกสารเพื่อยื่นตัวแทนในการรับซื้อหลักทรัพย์

3. กรณีฝากหุ้นไว้กับศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ในบัญชีของผู้ออกหลักทรัพย์ (Issuer Account) สมาชิกเลขที่ 600 ติดต่อได้ที่ตัวแทนในการรับซื้อหลักทรัพย์ (Tender Agents) โดยขอให้ผู้ถือหุ้นยื่นแบบตอบรับภายในวันที่ 11 เม.ย.65 หรือล่วงหน้าอย่างน้อย 2 วันทำการก่อนวันสุดท้ายของระยะเวลาการรับซื้อ เพื่อให้มีเวลาเพียงพอในการดำเนินการประสานงานในการโอนหลักทรัพย์

4. กรณี NVDR ติดต่อได้ที่ตัวแทนในการรับซื้อหลักทรัพย์ (Tender Agents) โดยขอความร่วมมือให้ผู้ถือหุ้นยื่นแบบตอบรับ ภายในวันที่ 11 เม.ย.65 หรือล่วงหน้าอย่างน้อย 2 วันทำการก่อนวันสุดท้ายของระยะเวลาการรับซื้อ เนื่องจากตัวแทนในการรับซื้อหลักทรัพย์มีขั้นตอนที่ต้องดำเนินการโอน NVDR กับบริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของการตอบรับคำเสนอซื้อต่อไป
#2043
ภาวะตลาดเงินบาท: เย็นนี้ 32.65 ระหว่างวันผันผวน ก่อนกลับมาแข็งค่าจากช่วงเช้า

นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทเย็นนี้อยู่ที่ 32.65 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าจากเปิดตลาดเมื่อ เช้านี้ที่ระดับ 32.72 บาท/ดอลลาร์ เคลื่อนไหวตามภูมิภาคและตลาดโลกจากปัจจัยเรื่องสถานการณ์ยูเครน ซึ่งตลาดยังไม่เชื่อว่าจะ สามารถเจรจากันได้สำเร็จ

"บาทผันผวนตลอดวัน ระหว่างวันบาทอ่อนค่าสุดในภูมิภาคไปแตะ 32.78 บาท/ดอลลาร์ ปัจจัยยังเป็นเรื่องยูเครน" นัก
บริหารเงิน กล่าว
นักบริหารเงินประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ไว้ที่ 32.55 - 32.75 บาท/ดอลลาร์

ล่าสุด THAI BATH SPOT RATE FIXING อยู่ที่ระดับ 32.6927 บาท/ดอลลาร์

ปัจจัยสำคัญ
เงินเยนอยู่ที่ระดับ 115.54 เยน/ดอลลาร์ จากเมื่อเช้าที่ระดับ 115.49 เยน/ดอลลาร์
เงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.1174 ดอลลาร์/ยูโร จากเมื่อเช้าที่ระดับ 1.1189 ดอลลาร์/ยูโร
นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้เรียกหน่วยงานพร้อมด้วยรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องประชุมในวันนี้เพื่อเป็นการติดตาม
สถานการณ์และพัฒนาการในยูเครน ซึ่งทวีความตึงเครียดขึ้นด้วยความห่วงกังวลอย่างยิ่ง ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบไม่มากก็
น้อยต่อทุกประเทศ เนื่องจากทุกประเทศมีความสำคัญทางเศรษฐกิจกับไทย ซึ่งสิ่งที่เห็นได้ชัด คือ ราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และราคาหุ้นและคริ
ปโทฯ ที่ลดลง และเศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบแน่นอนหากสถานการณ์ยืดเยื้อ
ธปท.ชี้ผลกระทบเบื้องต้นต่อประเทศไทยจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน สิ่งแรก คือ เกิดความผันผวน
ในตลาดการเงิน ซึ่งแม้ไทยจะมีเสถียรภาพด้านต่างประเทศค่อนข้างดี แต่ในระยะสั้นก็ได้รับผลกระทบทำให้เงินบาทผันผวน ส่วนที่สอง คือ
ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น และส่วนที่สาม ระบบการชำระเงินของไทย ที่คาดว่าจะไม่มีปัญหา แต่ก็ต้องติดตามทิศทางระบบการชำระเงิน
ของโลกว่าจะได้รับผลกระทบจากกรณีที่ชาติตะวันตกจะตัดธนาคารรัสเซียออกจากระบบ SWIFT (Society for Worldwide
Interbank Financial Telecommunication) มากน้อยเพียงใด
รมว.พาณิชย์ ได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์และทุกส่วนราชการของกระทรวงฯ ติดตามสถานการณ์ยูเครนร่วมกับภาค
เอกชนอย่างใกล้ชิดตั้งแต่เกิดประเด็นความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน โดยในภาพรวมยังไม่กระทบอย่างมีนัยยะสำคัญ และวันที่ 2 มี.
ค.65 ตนมอบหมายให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์ประชุมร่วมกับภาคเอกชนอีกครั้ง เพื่อประเมินสถานการณ์ และจะเร่งแก้ปัญหาหน้างานร่วมกันให้
เกิดผลดีที่สุด
ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยว่า ผลกระทบกับภาคการส่งออกของประเทศไทยจากสถานการณ์กองทัพรัสเซียเข้า
โจมตียูเครน ขึ้นอยู่กับการขยายวงความรุนแรง และมาตรการตอบโต้โดยการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ (Economic Sanctions) จาก
นานาประเทศ สำหรับผลกระทบต่อประเทศไทยในขณะนี้ คือ ราคาน้ำมัน ยิ่งสถานการณ์มีความตึงเครียด ยิ่งส่งผลต่อต้นทุนพลังงาน ต้นทุน
ธุรกิจ ราคาสินค้า และอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นด้านที่กระทบต่อเศรษฐกิจไทยมากที่สุด ขณะที่ตลาดเงินตลาดทุนของไทยมีความผันผวนสูงขึ้น
ทำให้นักลงทุนอาจย้ายไปสู่สินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูง
ธปท.ระบุเศรษฐกิจไทยในเดือน ม.ค.65 ชะลอลงบ้าง โดยการบริโภคและลงทุนของภาคเอกชนปรับลดลงจากความกังวล
ต่อการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ด้านจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปรับลดลงจากการระงับการลงทะเบียนเข้าประเทศผ่าน
ระบบ Test&Go ชั่วคราว ขณะที่การส่งออกสินค้าปรับลดลงบ้าง หลังจากเร่งไปในเดือนก่อน สำหรับการใช้จ่ายภาครัฐหดตัวจากรายจ่าย
ประจำของรัฐบาลกลางด้านการซื้อสินค้าและบริการ
สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือน ม.ค.65 อยู่ที่ระดับ
104.42 ขยายตัว 1.99% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)
สภาพัฒน์ เผยสถานการณ์แรงงานไตรมาส 4/64 เริ่มฟื้นตัวจากผลกระทบของโควิด-19 โดยอัตราการมีงานทำเพิ่มขึ้น
และอัตราการว่างงานต่ำที่สุดตั้งแต่ไตรมาส 2/63 สำหรับภาพรวมปี 64 การจ้างงานเพิ่มขึ้น แต่อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับสูงกว่าปี
ก่อน เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปีที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจและการจ้างงาน
ธนาคารกลางรัสเซียประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 10.5% สู่ระดับ 20% จากระดับ 9.5% ในวันนี้ เพื่อรับมือกับการ
ทรุดตัวของค่าเงินรูเบิลและอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น พร้อมทั้งสั่งให้บริษัทเอกชนของรัสเซียขายสกุลเงินต่างประเทศที่ถือครองอยู่ในอัตราส่วน
80% ของรายได้ที่ได้จากการซื้อขายสกุลเงินต่างประเทศ
รัฐบาลญี่ปุ่นและธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เตรียมจัดการประชุมในวันนี้ เพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ตลาดการเงิน หลัง
ผลกระทบทางการเงินจากการบุกโจมตียูเครนของรัสเซียขยายตัวขึ้น และนับเป็นการประชุมกันครั้งแรกในรอบ 1 ปี
นักลงทุนต่างต้องการถือครองเงินดอลลาร์และเงินเยนในฐานะสกุลเงินปลอดภัยอย่างมากในวันนี้ หลังจากชาติตะวันตกจะ
ออกมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่ม รวมถึงการปิดกั้นไม่ให้ธนาคารรัสเซียบางแห่งใช้ระบบการชำระเงินระหว่างประเทศ SWIFT
#2044
PREB ฉลุย!เปิดผลงานปี64 กำไรแตะ 241 ลบ.พุ่ง 46% รับรู้รายได้ธุรกิจรับเหมาฯ - ยอดโอนอสังหาฯเติมเต็ม กอด Backlog แน่น 7 พันลบ. หนุนรายได้ปี 65 โตทะลุ 20%

บมจ.พรีบิลท์ (PREB) โชว์ผลงานปี64 กำไรสุทธิแตะ 241.62 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 46 % จากงวดเดียวกันของปีก่อน ผลจากการรับรู้รายได้ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างมากขึ้น บวกกับมียอดโอนธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในมือหนุนรายได้เพิ่ม พร้อมกันนี้บอร์ดสั่งจ่ายเงินปันผลงวดปี 2564 อัตราหุ้นละ 0.40 บ./หุ้น พร้อมจ่ายเงินสดวันที่ 20 พ.ค.65 นี้ ฟากเอ็มดี" วิโรจน์ เจริญตรา" ระบุ ปักหมุดปี65 รายได้โต 20% กอดงานในมือกว่า 7,000 ล้านบาท เดินหน้าประมูลงานเน้นงานราชการ เผยสนใจแตกไลน์ธุรกิจใหม่ๆ ผลักดันอนาคตสดใส

นาย วิโรจน์ เจริญตรา กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีบิลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ PREB เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2564 บริษัทและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 241.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ165 ล้านบาท ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 4,564.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 285.42 ล้านบาท จากงวดเดียวกันปีก่อนมีรายได้รวมเท่ากับ 4,279.37 ล้านบาท

สาเหตุที่กำไรปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากการทยอยรับรู้รายได้จากโครงการในธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งมีการปรับราคาเพิ่มขึ้นให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันรับรู้ยอดโอนจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในโครงการพรรณนา รวมทั้งบริษัทฯสามารถควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพทำให้ความสามารถทำกำไรมากขึ้น

"ในปี2564 แม้ต้องเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19แต่บริษัทฯยังสามารถรักษาการทำกำไรไว้ได้ในระดับที่น่าพอใจ โดยกลยุทธ์การบริหารงานที่สำคัญยังคงเน้นการควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี" นายวิโรจน์กล่าว

พร้อมกันนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลประจำปี 2564 ให้กับผู้ถือหุ้นเป็นเงินสด ในอัตราหุ้นละ 0.40 บาท รวมเป็นเงินปันผลทั้งสิ้น 123.47 ล้านบาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 5 พฤษภาคม 2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลดังกล่าวภายในวันที่ 20 พฤษภาคม 2565

สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2565 บริษัทฯได้ตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่น้อยกว่า 20% จากปีก่อน โดยสัดส่วนรายได้จะมาจากธุรกิจหลักรับเหมาก่อสร้าง 60% อสังหาริมทรัพย์ 25% และ PCM ประมาณ 10%และในปัจจุบัน บริษัทฯมีงานในมือรอรับรู้รายได้(Backlog) อยู่ที่ประมาณ 8,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีแผนจะเดินหน้าเข้าประมูลงานใหม่ โดยปัจจุบันได้รุกขยายไปยังโครงการอาคารสำนักงาน โรงแรม และโรงพยาบาล ซึ่งจะเน้นในส่วนของโครงการที่เป็นของหน่วยงานราชการมากขึ้น

นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีความสนใจที่จะลงทุนแตกไลน์ในธุรกิจใหม่ๆ ซึ่งที่ผ่านมาได้เข้าไปลงทุนร่วมพันธมิตร เพื่อดำเนินธุรกิจบริหารสินทรัพย์ โดยสามารถต่อยอดธุรกิจหลักได้ ขณะเดียวกันยังมีความสนใจในธุรกิจอื่นที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดี เช่น ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพืชเศรษฐกิจ กัญชง กัญชา และธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลอีกด้วย
#2045
หุ้นบริษัทความปลอดภัยทางไซเบอร์ในสหรัฐพุ่ง หลังวิตกรัสเซียโจมตี

ราคาหุ้นบริษัทด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ของสหรัฐพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากมีความวิตกเพิ่มขึ้นว่ารัสเซียจะทำการโจมตีทางไซเบอร์ หลังจากประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียได้ออกมาเตือนว่าจะตอบโต้ประเทศต่าง ๆ ที่ให้ความช่วยเหลือยูเครน

รัฐบาลทั่วโลกได้พากันคว่ำบาตรรัสเซียหลังจากใช้กำลังทหารบุกโจมตียูเครน โดยรัสเซียถือเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการทำสงครามไซเบอร์โดยมีรัฐบาลเป็นผู้หนุนหลัง ขณะที่ปธน.ปูตินเคยเตือนบรรดาประเทศที่คิดจะขัดขวางการทำสงครามของรัสเซียว่าอาจจะเจอกับ "ผลลัพธ์ที่รุนแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์"

เว็บไซต์มาร์เก็ตวอตช์ระบุว่า ความวิตกกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่รัสเซียจะใช้วิธีการโจมตีทางไซเบอร์นั้น เป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นบริษัทด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ซึ่งรวมถึงหุ้น ETFMG Prime Cyber Security ETF และหุ้น Crowdstrike ในการซื้อขายที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กเมื่อคืนนี้

ไบรอัน เครบส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์กล่าวว่า รัสเซียอาจจะใช้สงครามไซเบอร์เป็นอาวุธตอบโต้มาตรการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตก ซึ่งจะส่งผลให้ความขัดแย้งทวีความรุนแรงมากขึ้น เช่นเดียวกับในปีที่แล้วที่เหตุการณ์โจมตีทางไซเบอร์ได้สร้างความเสียหายต่อภาคอุตสาหกรรมและสาธารณูปโภคพื้นฐานของสหรัฐ ซึ่งรัสเซียถูกระบุว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่ก่อเหตุโดยมีรัฐบาลเป็นผู้หนุนหลัง

ทั้งนี้ บริษัทที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการเพิ่มการใช้จ่ายเพื่อป้องกันภัยโจมตีทางไซเบอร์จากรัสเซียนั้น ได้แก่ บริษัท Palo Alto Networks Inc., บริษัท Zscaler Inc., บริษัท CrowdStrike Holdings Inc., บริษัท Fortinet Inc., บริษัท Mandiant Inc. และบริษัท Palantir Technologies Inc.
#2046
Nick Clegg หัวหน้าฝ่ายนโยบายสาธารณะของ Meta (เขาเคยเป็นอดีตรองนายกรัฐมนตรีอังกฤษก่อนมาอยู่กับ Facebook/Meta) ออกมาเปิดเผยว่า รัฐบาลรัสเซียออกคำสั่งให้ Facebook หยุดการแปะป้าย (labelling) แจ้งเตือนเนื้อหาที่สร้างโดยสื่อของรัฐบาลรัสเซีย ซึ่ง Facebook ปฏิเสธคำสั่งนี้สิ่งที่เกิดขึ้นคือ รัสเซียจะแบนการเข้าถึง Facebook ซึ่งหน่วยงานโทรคมนาคมของรัสเซีย Roskomnadzor ออกประกาศแล้วว่า Facebook แบนโพสต์ของสื่อรัสเซีย ถือเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนรัสเซีย และจะจำกัดการเข้าถึง Facebook ในประเทศ แต่ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าจะแบนเมื่อไร และแบนอย่างไรบ้าง
QuoteOrdinary Russians are using @Meta's apps to express themselves and organize for action. We want them to continue to make their voices heard, share what's happening, and organize through Facebook, Instagram, WhatsApp and Messenger. pic.twitter.com/FjTovgslCe— Nick Clegg (@nickclegg) February 25, 2022
ภาพจาก Facebook
อ่านต่อ MyMainer.com
#2047
จำหน่าย อุปกรณ์บริหารกล้ามเนื้อ ทุกชนิด
อุปกรณ์บริหารกล้ามเนื้อ
 เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับเพิ่มกล้ามเนื้อส่วนต่างๆของร่างกาย สามารถใช้ได้สำหรับภายในบ้านและภายในยิม
อุปกรณ์มีคุณภาพและได้มาตราฐาน นำเข้าจากต่างประเทศ

Facebook : CCT Fitness นำเข้าเครื่องออกกำลังกาย
Tel: 089-750-7380
สนใจชมตัวอย่างสินค้า >> https://goo.gl/maps/RBNaNTLmk8LD3T2A8 
#2048
บิตคอยน์ร่วง 5% หวั่นวิกฤตบานปลายหลังปูตินสั่งกองทัพนิวเคลียร์เตรียมพร้อม
 
ราคาบิตคอยน์ร่วงลง 5% แตะที่ระดับ 37,450 ดอลลาร์ช่วงเช้านี้ โดยราคาบิตคอยน์ยังคงเคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ 40,000 ดอลลาร์ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่าวิกฤตการณ์ในยูเครนจะทวีความรุนแรงมากขึ้น หลังจากประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ได้สั่งการให้กองกำลังป้องปรามด้วยอาวุธนิวเคลียร์ (Nuclear Deterrent Forces) เตรียมพร้อมในระดับสูงสุด หลังจากบรรดาชาติพันธมิตรขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ส่งสัญญาณอันแข็งกร้าวว่าจะตอบโต้รัสเซีย ซึ่งรวมถึงการตอบโต้ด้วยมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ

นักลงทุนกังวลว่า การที่รัสเซียยังคงเดินหน้ารุกรานยูเครนนั้น อาจทำให้บรรดาชาติตะวันตกเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียในระดับที่รุนแรงมากขึ้น และจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก

รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศจากประเทศสมาชิกกลุ่ม G7 ให้คำมั่นว่าจะร่วมมือกันคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติมและสนับสนุนยูเครนเพื่อตอบโต้การรุกรานของรัสเซียในยูเครน

ทางด้านนายโยชิมาสะ ฮายาชิ รมว.ต่างประเทศญี่ปุ่นกล่าวว่า ญี่ปุ่นจะร่วมมือกับประเทศสมาชิก G7 เพื่อตัดธนาคารรัสเซียบางแห่งออกจากระบบ SWIFT หรือสมาคมโทรคมนาคมทางการเงินโลก ซึ่งเป็นตัวกลางสำหรับการโอนเงินข้ามประเทศ
#2049
UN เผยมีพลเรือนได้รับบาดเจ็บ-เสียชีวิตกว่า 240 รายจากเหตุโจมตียูเครน

สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OCHCR) รายงานว่า มีพลเรือนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากการที่รัสเซียบุกเข้าโจมตียูเครนแล้ว 240 ราย โดยมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 64 ราย

นอกจากนี้ การโจมตียังทำให้บ้านเรือนและโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในยูเครนได้รับความเสียหายอย่างหนัก ทำให้ประชาชนอีกหลายร้อยคนขาดแคลนน้ำและไฟฟ้าใช้

รายงานยังระบุด้วยว่า มีชาวยูเครนกว่า 160,000 คนที่ต้องย้ายหาที่หลบภัยในประเทศ รวมถึงบางส่วนที่พยายามจะลี้ภัยไปยังประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ โปแลนด์ และมอลโดวา

ทั้งนี้ รัฐบาลยูเครนประเมินว่า การรุกรานของรัสเซียอาจทำให้มีผู้ลี้ภัยมากถึง 5 ล้านคน

อนึ่ง สถานการณ์ในยูเครนขณะนี้เป็นไปด้วยความตึงเครียด โดยรัฐบาลได้ขอให้ประชาชนที่เป็นผู้ชายออกมาร่วมจับอาวุธปกป้องประเทศ ขณะสภาพในเมืองเต็มไปด้วยความโกลาหล โดยประชาชนจำนวนมากเลือกทิ้งรถและยานพาหนะของตนเองเพื่อเดินเท้าไปยังประเทศข้างเคียงโดยหวังจะหลีกหนีจากสงคราม
#2050
#2051
ยูเครนสมัครเป็นสมาชิก EU ท่ามกลางความขัดแย้งกับรัสเซีย

รัฐสภายูเครนเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน ได้ลงนามในเอกสารเพื่อยื่นขอสมาชิกภาพของยูเครนในสหภาพยุโรป (EU)

ปธน.เซเลนสกีกล่าวก่อนหน้านี้ว่า "เป้าหมายของเราคือการเข้าร่วมกับประเทศในยุโรปทั้งหมด โดยมีสถานะที่เท่าเทียมกัน"

ทางด้านทำเนียบเครมลินแถลงในวันนี้ว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ได้หารือทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส ในวันนี้ เพื่อคลี่คลายวิกฤตการณ์ในยูเครน

"ท่านประธานาธิบดีปูตินเน้นย้ำว่า การแก้ไขปัญหาดังกล่าว อยู่ที่ว่าชาติตะวันตกจะต้องเคารพอย่างไม่มีเงื่อนไขต่อผลประโยชน์อันชอบธรรมของรัสเซียในประเด็นความมั่นคง ซึ่งรวมถึงการยอมรับอธิปไตยของรัสเซียเหนือไครเมีย, การปลดอาวุธยูเครน และทำให้เป็นเขตปลอดทหาร รวมทั้งรับประกันว่ายูเครนจะมีสถานะรัฐที่เป็นกลาง" ทำเนียบเครมลินระบุ
ทั้งนี้ การเจรจาโดยตรงระหว่างคณะผู้แทนของรัสเซียและยูเครนเพื่อคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างทั้งสองประเทศได้เริ่มขึ้นในวันนี้

การเจรจามีขึ้นที่ภูมิภาคโกเมลของเบลารุส ซึ่งอยู่ที่บริเวณชายแดนเบลารุสและยูเครน ใกล้กับแม่น้ำปรีเปียต

ทำเนียบประธานาธิบดียูเครนแถลงก่อนหน้านี้ว่า สาระสำคัญในการเจรจาจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำข้อตกลงหยุดยิงโดยทันที และการถอนทหารรัสเซียออกจากยูเครน
#2052
อินโดรามา เวนเจอร์ส รายงานผลประกอบการปี 2564 สูงเป็นประวัติการณ์จากการฟื้นตัวเศรษฐกิจทั่วโลก ผลักดันปริมาณขายเพิ่มขึ้น

บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ ไอวีแอล ผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ชั้นนำระดับโลกที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 2564 สูงเป็นประวัติการณ์ด้วยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ผลักดันความต้องการต่อผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ในทุกภูมิภาคทั่วโลก พร้อมเดินหน้าสู่การเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในอุตสาหกรรมด้วยกลยุทธ์ใหม่ภายใต้ "วิสัยทัศน์ปี 2573" (Vision 2030)

นายอาลก โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส กล่าวว่า "ในปี 2564 เราได้พิสูจน์ความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจของเราทั่วโลก และการนำเสนอผลิตภัณฑ์ของเราแบบบูรณาการตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่าของโพลีเอสเตอร์ สองปีที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งเป็นบททดสอบต่อความแข็งแกร่งของรูปแบบการดำเนินธุรกิจของเราและต่อความคล่องแคล่วในการปรับตัวของทีมงานของเรา โดยการปรับแผนธุรกิจของเราใหม่ทั้งหมดให้สอดคล้องกับยุคแห่งวิถีชีวิตใหม่ทำให้มั่นใจอย่างมากต่อโมเดลการดำเนินธุรกิจ กลยุทธ์ และทีมงานของเรา และด้วยวิสัยทัศน์ปี 2573 ของเรา ไอวีแอลพร้อมสำหรับก้าวต่อไปบนเส้นทางของเราที่มุ่งสู่การเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในอุตสาหกรรม"

สรุปผลการดำเนินงานปี 2564
ในปี 2564 ไอวีแอลมี Core EBITDA เท่ากับ 1,743 ล้านเหรียญสหรัฐ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 55 เมื่อเทียบปีต่อปี) ด้วยปริมาณผลิต 14.72 ล้านเมตริกตัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 เมื่อเทียบปีต่อปี) รายได้จากการขายรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 38 เมื่อเทียบปีต่อปี เท่ากับ 14,629 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นผลจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ฟื้นตัว และรูปแบบการดำเนินธุรกิจของไอวีแอลที่มีความยืดหยุ่นได้รับผลประโยชน์จากเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ราคาพลังงานที่สูงขึ้น และการชะงักของห่วงโซ่อุปทาน

สถานการณ์เศรษฐกิจมหภาคที่ดีขึ้นช่วยส่งเสริมผลการดำเนินของไอวีแอล ซึ่งรวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลต่างๆ สำหรับตลาดสินค้าคุณภาพสูงในฝั่งตะวันตก ค่าขนส่งระหว่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้บริษัทฯ ได้รับประโยชน์จากราคาในท้องถิ่นที่ปรับขึ้นเทียบเคียงกับราคาสินค้านำเข้า โดยในไตรมาสที่ 4 การประกาศใช้นโยบายควบคุมแบบคู่ (dual control policy) ของประเทศจีนช่วยเพิ่มกำไรสำหรับผลิตภัณฑ์โพลีเอสเตอร์

Combined PET ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจใหญ่ที่สุดของไอวีแอลมี Core EBITDA เพิ่มขึ้นร้อยละ 39 เป็น 1,103 ล้านเหรียญสหรัฐในสถานการณ์ที่ความต้องการสูงและสินค้าคงคลังต่ำ บริษัทฯ คาดว่าการทำสัญญาใหม่กับคู่ค้าในปี 2565 จะสามารถได้ราคาขายตามราคาตลาดที่ปรับขึ้นเทียบเคียงกับราคาสินค้านำเข้า อันเป็นผลกระทบจากอัตราค่าขนส่งระหว่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น กลุ่มธุรกิจดังกล่าวคาดว่าจะได้รับผลประโยชน์จากกำไรที่ดีขึ้นในปี 2565

กลุ่มธุรกิจ Integrated Oxides & Derivatives (IOD) มี Core EBITDA เท่ากับ 377 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 228 จากปีก่อน ด้วยราคาน้ำมันที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นอีกในปี 2565 กลุ่มธุรกิจ IOD จะยังคงได้รับผลประโยชน์จากการใช้เชลก๊าซ สเปรดของ MEG ที่กำลังเพิ่มขึ้น และการดำเนินเอทิลีนแครกเกอร์ที่ Lake Charles (IVOL) ซึ่งกลับมาเดินหน้าเมื่อปลายปี 2564 ในส่วนของการเข้าซื้อกิจการ Oxiteno ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในครึ่งแรกของปี 2565 จะช่วยส่งเสริมให้กลุ่มธุรกิจ IOD มีผลิตภัณฑ์ที่ครบวงจร นวัตกรรมพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และความหลากหลายเชิงภูมิศาสตร์

สำหรับกลุ่มธุรกิจ Fibers มี Core EBITDA เพิ่มขึ้นร้อยละ 37 เท่ากับ 268 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 ส่วนกำไรปรับเพิ่มขึ้นเนื่องจากอุปทานในตลาดที่มีอย่างจำกัดและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอ แต่ยังมีการชะลอตัวจากการขึ้นราคาพลังงานและสินค้าอุปโภคบริโภค ในขณะที่การขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ ยังส่งผลกระทบต่อกลุ่มผลิตภัณฑ์เส้นใยสำหรับยานยนต์

นายดีลิป กุมาร์ อากาวาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน อินโดรามา เวนเจอร์ส กล่าวว่า "ผลการดำเนินงานของไอวีแอลเป็นผลมาจากสถานการณ์เศรษฐกิจมหภาคหลายปัจจัย อาทิ ราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มสูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงของอุปทาน และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่กำลังฟื้นตัวตามการฉีดวัคซีนที่ดำเนินการตลอดทั้งปีที่สองของการแพร่ระบาด ปัจจัยเหล่านี้นำไปสู่กำไรที่ดีขึ้น และเป็นผลดีต่อเราในฐานะผู้จัดหาผลิตภัณฑ์ในภูมิภาคที่ได้รับความนิยม เพราะสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ โครงการปรับเปลี่ยนทั่วทั้งองค์กรของเราซึ่งได้เริ่มต้นเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา กำลังเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานได้รวดเร็วกว่าที่วางแผนไว้ ด้วยโลกกำลังฟื้นตัวจากการแพร่ระบาด เรามีความมั่นใจยิ่งขึ้นว่ารูปแบบการดำเนินธุรกิจที่มีความยืดหยุ่นของไอวีแอลจะเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเติบโตสู่ปี 2567 ในอนาคต"

แผนธุรกิจปี 2565 - 2567
เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2565 ณ งาน Capital Markets Day ประจำปี ไอวีแอลประกาศแผนธุรกิจระยะ 3 ปีที่จะยกระดับการดำเนินธุรกิจทั่วโลก รวมทั้งโครงการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่กำลังดำเนินการอยู่ และการบูรณาการระดับสูงใน 3 กลุ่มธุรกิจของบริษัทฯ เพื่อผลักดันการเติบโตของรายได้ ดึงประสิทธิผล และเพิ่มความสามารถในการผลิต

ไอวีแอลจะเดินหน้าลงทุนในโครงสร้างธุรกิจ บุคลากร และเสริมสร้างความแข็งแกร่งของระบบการทำงานเพื่อปลดล็อกศักยภาพอย่างเต็มที่ ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการเติบโตของ EBITDA และบรรลุเป้าหมายในการเพิ่มอัตราผลตอบแทนจากเงินทุน (Return on Capital Employed: ROCE) กว่าร้อยละ 15 ภายในปี 2567 การจัดสรรเงินทุนอย่างเป็นระบบสำหรับกระแสเงินสดมูลค่าประมาณ 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐจะสร้างโอกาสต่างๆ ในการตอบสนองต่อความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสีย

โครงการ Olympus หรือโครงการเปลี่ยนแปลงธุรกิจและเพิ่มประสิทธิผลของไอวีแอล มีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้สำหรับปี 2565 บริษัทฯ จึงได้ตั้งเป้าหมายที่สูงขึ้น โดยคาดหวังให้มี EBITDA ส่วนเพิ่มที่จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมูลค่ากว่า 650 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2567

วิสัยทัศน์ปี 2573
ไอวีแอลได้กำหนด "วิสัยทัศน์ปี 2573" โดยตั้งเป้าสร้างการเติบโตภายในที่มีความยั่งยืนเป็นสำคัญ ซึ่งได้รับชี้นำจากแก่นสำคัญขององค์กร (Purpose) ที่กำหนดขึ้นใหม่ นั่นคือ"Reimagining Chemistry Together to Create a Better World" ทั้งนี้ วิสัยทัศน์ปี 2573 จะนำไอวีแอลมุ่งสู่เส้นทางการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero

ภายใต้วิสัยทัศน์ปี 2573 ไอวีแอลวางแผนที่จะลงทุนในเทคโนโลยีการดักจับคาร์บอนที่เกิดจากการผลิตของบริษัทฯ เพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน และลดการใช้ถ่านหิน บริษัทฯ จะลงทุนเพิ่มเติมในธุรกิจรีไซเคิล PET และเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์สารตั้งต้นเชิงชีวภาพประมาณ 1 ใน 3 ของห่วงโซ่คุณค่าที่มีพื้นฐานจากโพลีเอสเตอร์ นอกจากนี้ มาตรการเพิ่มเติมที่จะเตรียมองค์กรให้พร้อมสำหรับอนาคต ได้แก่ การพัฒนาผู้นำที่มี growth mindset และการให้อำนาจการตัดสินใจด้วยเครื่องมือการบริหารที่ถูกต้องเหมาะสม

นายอาลก กล่าวเพิ่มเติมว่า "ปี 2564 ได้พิสูจน์ความรวดเร็วในการปรับตัวที่อยู่คู่ไอวีแอลมาตั้งแต่ก่อตั้ง ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เราสามารถพลิกการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในช่วงเวลาต่างๆ ที่ผ่านมาให้เป็นประโยชน์ต่อองค์กร การเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันเกิดขึ้นในอัตราที่รวดเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยการปรับธุรกิจของเราใหม่ทั้งหมดให้สอดคล้องกับยุคแห่งวิถีชีวิตใหม่ชี้ให้เห็นความสำคัญของการปรับเป้าหมายระยะยาวของเราด้วย เพื่อมุ่งสู่การเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในอุตสาหกรรม สารตั้งต้นของเรามากกว่าร้อยละ 80 มีความเกี่ยวข้องกับโพลีเอสเตอร์ ซึ่งสามารถนำไปใช้งานใหม่ในเชิงชีวภาพหรือหมุนเวียนได้ เรามั่นใจในความสามารถของเราที่จะบรรลุวิสัยทัศน์ปี 2573 ที่ท้าทาย ซึ่งจะสร้างคุณค่าเพิ่มเติมให้แก่ผู้มีส่วนได้เสีย ภายใต้ Purpose ของเราที่ต้องการยกระดับเคมีภัณฑ์เพื่อร่วมสร้างโลกที่ดียิ่งขึ้น- Reimagining Chemistry Together to Create a Better World"
#2053
EFORL เป้ารายได้ปี 65 โต 15% ขยายฐานลูกค้าเดิม-ลูกค้าใหม่เพิ่มสินค้าสุขภาพ

นายปรีชา นันท์นฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อี ฟอร์ แอล เอม (EFORL) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในปี 65 บริษัทฯตั้งเป้าหมายรายได้โต 15% เทียบปีที่ผ่านมา จากการขยายตลาดในส่วนของฐานลูกค้าเดิมและกลุ่มลูกค้าใหม่ ซึ่งยังคงเน้นธุรกิจทางเครื่องมือทางการแพทย์ ทั้งการนำเข้าจากต่างประเทศและผลิตในประเทศเอง ในลักษณะการรวมกับพันธมิตร การขยายในส่วนของผลิตภัณฑ์ใหม่ และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องเครื่องมือแพทย์ โดยจะลงทุนและขยายธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ (Wellness) อาหารเสริมเฉพาะทาง ที่ตอบสนองความต้องการของตลาด รวมทั้งผู้ที่ต้องการป้องกันโรคระบาดจากโควิด ซึ่งจะสนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างรายได้และกำไร นอกจากนี้จะรักษาความเป็นผู้นำในกลุ่มอุตสาหกรรมนี้ และมุ่งสู่เครื่องมือทางการแพทย์ในระบบ Internet of Medical Things ซึ่งเป็น Trend ใหม่ของโลกอีกด้วย

ส่วนปี 64 บริษัทฯและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 2,165 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,667 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 812 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 372% จากงวดเดียวกันมีขาดทุนสุทธิ 299 ล้านบาท กำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งมาจากส่วนต่างจากการถอดงบการเงินของบริษัทย่อยออกจากงบการเงินรวม จากกลุ่มบริษัทวุฒิศักดิ์ และ บริษัทสยามสเนล ขณะที่ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากรายได้ที่เร่งตัว จากยอดขายธุรกิจเครื่องมือทางการแพทย์ ทั้งการนำเข้าเครื่องมือทางการแพทย์ และสินค้าที่เกี่ยวข้องรักษาโควิด-19 เครื่องมือทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาล ฯลฯ

"ผลการดำเนินงานทั้งปี 64 เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งรายได้และกำไรสร้างสถิติ New High ยอดขายปรับเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโควิด-19 รวมทั้งการร่วมมือกับพันธมิตร ทั้งในประเทศ และต่างประเทศโดยการนำเข้าเครื่องมือทางการแพทย์ในรูปแบบต่างๆ เข้ามาจำหน่ายมากขึ้น รวมทั้งมีส่วนต่างจากการถอดงบการเงินของบริษัทย่อยออกจากงบการเงินรวม จากบริษัทวุฒิศักดิ์ และ บริษัทสยามสเนล เราตั้งเป้าเป็นเบอร์1 ของประเทศในเรื่องของเครื่องมือแพทย์ ซึ่งเป็นไปตามแผนเราอยู่ในระดับ Top ของประเทศ"นายปรีชา กล่าว
#2054
ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประกาศเป้าหมายปี 2022 มุ่งสร้างศักยภาพที่โดดเด่นเหนือตลาด

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันด้านการจัดการพลังงาน และระบบออโตเมชัน เปิดเผยผลการดำเนินงานอันโดดเด่นทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ในปี 2021 โดยความสำเร็จหลักมาจากความสามารถในการปรับตัวขององค์กรได้เป็นอย่างดีและสามารถจับทิศทางศักยภาพการเติบโตของตลาดที่แตกต่างกันได้เป็นผลสำเร็จ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้กล่าวถึงวิสัยทัศน์ที่มุ่งไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน ด้วยการช่วยให้ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างๆ ร่วมกันต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไปด้วยกัน ผ่านเส้นทางในการก้าวสู่การปฏิรูปทางดิจิทัลที่สอดคล้องกับเป้าหมายและความมุ่งมั่นด้านสภาพอากาศขององค์กรต่างๆ เพื่อให้บรรลุความยั่งยืน

สเตฟาน นูสส์ (Mr. Stephane NUSS) ประธานกลุ่มคลัสเตอร์ ดูแลประเทศไทย เมียนมาร์ และลาว ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าวว่าปี 2021 นับเป็นปีที่โดดเด่นสำหรับ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในทั่วโลก ด้วยการบรรลุรายได้สูงสุดตลอดที่ผ่านมา อยู่ที่ 29,000 ล้านยูโร คิดเป็นการเติบโตสุทธิของผลกำไรอยู่ที่ +12.7 เปอร์เซ็นต์ ทั้งหมดนี้มาจากความก้าวหน้าอย่างแข็งแกร่งในแต่ละปี โดยในประเทศไทย ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังประสบความสำเร็จในการพลิกฟื้นธุรกิจในประเทศกลับสู่สถานะก่อนที่จะเกิดการแพร่ระบาด ด้วยรายได้สูงสุดเท่าที่เคยมีมาเช่นกัน

"จากที่โลกตกอยู่ในสภาวะความไม่แน่นอน และเกิดการเปลี่ยนแปลง อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโควิด ซึ่งยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน การสร้างผลงานในประเทศไทยได้อย่างโดดเด่นในภาวะที่มีเงื่อนไขทางการตลาดเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงความสามารถของเราในการปรับตัวให้เข้ากับโลกใบใหม่ได้เป็นอย่างดี รวมถึงข้อเท็จจริงที่เรามีจุดยืนที่ดีในตลาดที่มีการเติบโตมาก ทั้งด้านการสร้างความยั่งยืนและการปรับตัวสู่ดิจิทัล" สเตฟาน กล่าว

ปี 2022 มุ่งสู่ความยั่งยืน
ในปีนี้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังคงเดินหน้าต่อไปในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อมุ่งไปสู่ความยั่งยืน ภายใต้เศรษฐกิจที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (net-zero) โดยการเร่งให้องค์กรธุรกิจและองค์กรด้านอุตสาหกรรม ก้าวสู่การปรับกระบวนการสู่ระบบดิจิทัล ขจัดก๊าซคาร์บอน และปฏิรูปทางธุรกิจได้อย่างยั่งยืน รวมถึงการสร้างผลงานในตลาดประเทศไทยได้อย่างโดดเด่น คือสิ่งสำคัญอันดับต้นสำหรับ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในปี 2022

"ที่ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เราเชื่อว่าระบบไฟฟ้าคือพลังงานที่มีประสิทธิภาพที่สุด และเมื่อระบบไฟฟ้ามาบรรจบกับระบบดิจิทัล ก็จะเป็น ระบบไฟฟ้า 4.0 ที่จะนำเสนอแนวทางใหม่ในการกระจายพลังงาน มองเห็นสถิติการใช้พลังงาน และนำไปสู่การประหยัดพลังงานในที่สุด ซึ่งอนาคตคือ ระบบไฟฟ้าสู่ "ความเป็นศูนย์" การสูญเสียพลังงานเป็นศูนย์ การปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ และการปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นศูนย์ เรากำลังสร้างโลกพลังงานใหม่ ด้วยการนำเสนอการใช้พลังงานด้วยระบบอัจฉริยะให้แก่ ที่พักอาศัย อาคาร ดาต้าเซ็นเตอร์ อุตสาหกรรม ระบบโครงสร้าง และกริด" สเตฟาน นูสส์ กล่าว

สเตฟาน ยังได้กล่าวเสริม โดยคาดว่าจะมีการใช้ระบบไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าในการใช้พลังงานแบบผสมผสานภายใน 20 ปีข้างหน้า ดังนั้น โลกจะกลายเป็นระบบไฟฟ้ามากขึ้น เมื่อใช้ระบบไฟฟ้ามากขึ้นเพื่อขจัดคาร์บอน ควบคู่ไปกับการใช้ระบบดิจิทัลเพื่อสร้างประสิทธิภาพ ก็จะช่วยนำพาธุรกิจและองค์กรต่างๆ ในทุกภาคส่วนไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น

สอดคล้องตามผลการศึกษาจาก ชไนเดอร์ อิเล็คทริค และ GreenBiz Research ที่ว่า หลายองค์กรที่มีการบริหารจัดการเพื่อตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง องค์กรเหล่านี้จะได้รับผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นที่สูงกว่าองค์กรที่ไม่มีการดำเนินการในเรื่องนี้ถึง 67 เปอร์เซ็นต์โดยเฉลี่ย นอกจากนี้ การวิจัยล่าสุดจากสภาเศรษฐกิจโลก หรือ World Economic Forum ยังเผยให้เห็นว่า บริษัทที่มุ่งเน้นกลยุทธ์ เกี่ยวกับสภาพแวดล้อม จะมีอัตราการเติบโตประจำปีอยู่ที่ 15 เปอร์เซ็นต์

ในบทบาทของการเป็นพันธมิตรด้านดิจิทัลเพื่อสร้างประสิทธิภาพและความยั่งยืนให้กับลูกค้า ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์เชื่อมต่อ ซอฟต์แวร์ ระบบวิเคราะห์ และบริการ เพื่อช่วยขจัดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในการดำเนินการให้กับลูกค้าในภาคส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาคสาธารณูปโภค อาคาร อุตสาหกรรม และดาต้าเซ็นเตอร์ อีกทั้งช่วยปรับปรุงการใช้สินทรัพย์ขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ บริษัทยังมีระบบนิเวศที่แข็งแกร่งทั้งในส่วนของพันธมิตร ตัวแทนจำหน่าย และอื่นๆ เพื่อรองรับความต้องการในอนาคต ในแง่ของอาคารอัจฉริยะ โรงงานอัจฉริยะ โครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ พลังงานหมุนเวียน ยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการติดตั้งโครงการ 5G เช่นกัน

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้นำเสนอแนวทาง 3 ขั้นตอนในการส่งเสริมอุตสาหกรรมต่างๆ ด้านความยั่งยืน เริ่มตั้งแต่การกำหนดกลยุทธ์ ไปจนถึงการดำเนินการ เพื่อมอบผลลัพธ์ที่สอดคล้องกับเป้าหมายด้านสภาพอากาศตามความมุ่งมั่นขององค์กรเหล่านั้น ซึ่งแนวทาง 3 ขั้นตอน มีดังต่อไปนี้

การวางกลยุทธ์ เพื่อกำหนดสถานภาพปัจจุบัน จากจุดที่ลูกค้าเริ่มต้นโครงการ รวมถึงการประเมินเพื่อกำหนดหาฐานอ้างอิง พร้อมกับการพัฒนา roadmap ในการขจัดคาร์บอนทั้งหมดที่ต้องดำเนินการ
การปรับสู่กระบวนการดิจิทัล เพื่อตรวจสอบทรัพยากรทั้งหมดที่ใช้ และการปล่อยมลพิษที่เกี่ยวข้อง จากนั้นระบุหาโอกาสในการลดคาร์บอน โดยใช้แพลตฟอร์มและการบริการของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่ให้ประสิทธิภาพได้อย่างโดดเด่น
การดำเนินการตามแผนงาน เพื่อดำเนินการตามแผนทั้งหมดและนำไปสู่การขจัดคาร์บอนในที่สุด ด้วยการเปลี่ยนกระบวนการทำงานเป็นระบบไฟฟ้า ลดการใช้พลังงาน โดยใช้โซลูชัน ผลิตภัณฑ์ที่มีการเชื่อมต่อทั้งหมดของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค
มอบประสบการณ์ด้านซอฟต์แวร์ที่ไร้รอยต่อ
สเตฟาน นูสส์ ยังกล่าวต่อว่า ในปีนี้ ซอฟต์แวร์ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จะเป็นสิ่งที่สร้างความแตกต่างได้อย่างชัดเจน และเป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักในการมอบประสิทธิภาพให้กับลูกค้า ด้วยความร่วมมือกันของผลิตภัณฑ์ด้านซอฟต์แวร์ระบบเปิดจาก ชไนเดอร์ อิเล็คทริค และบริษัทซอฟต์แวร์อิสระชั้นนำของโลก จะช่วยปรับกระบวนการทำงานด้านพลังงานและระบบอัตโนมัติเป็นดิจิทัล โดยมอบศักยภาพในการใช้ข้อมูลร่วมกันได้อย่างราบรื่น ตลอดทั่วทั้งวงจรการทำงาน ตั้งแต่การออกแบบ การสร้างไปจนถึงการดำเนินการและการดูแลรักษา

โซลูชันซอฟต์แวร์นี้จะช่วยให้การทำงานสมบูรณ์สอดรับกับความต้องการใช้งานของลูกค้าที่แตกต่างกัน เพื่อช่วยขจัดปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการทั้งใน ดาต้าเซ็นเตอร์ อาคาร อุตสาหกรรม และระบบโครงสร้างพื้นฐาน

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังมุ่งเน้นช่วยลูกค้าในการกำหนดและเลือกข้อมูลที่เหมาะสม เพื่อสร้างแนวทางสู่การปฏิรูปและปรับเปลี่ยนกระบวนการเป็นระบบดิจิทัล ด้วยการรวบรวมข้อมูลจากระบบอัตโนมัติให้ได้มากที่สุด กระบวนการนี้ต้องร่วมมือกันจากซัพพลายเชนทั้งระบบ จากแหล่งผลิตต้นทางไปยังฟาร์ม จนถึงโรงงานและต่อไปยังผู้ค้าปลีก จนถึงผู้บริโภค เพื่อส่งมอบคำมั่นสัญญาเรื่องความโปร่งใสของที่มาให้กับผู้บริโภคปลายทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ

"ในหลายปีที่ผ่านมา เราได้ซื้อกิจการจากผู้เชี่ยวชาญด้านซอฟต์แวร์หลายรายด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้นำในด้านซอฟต์แวร์อุตสาหกรรมอย่าง Aveva และ ETAP สำหรับลูกค้าที่ใช้ระบบไฟฟ้าเป็นหลัก และซอฟต์แวร์ RIB สำหรับอาคาร เป็นต้น พันธกิจของเราคือการทำให้ซอฟต์แวร์ทั้งหมดผสานรวมการทำงาน เพื่อมอบประสบการณ์ที่ครบวงจรในแบบเอ็นด์-ทู-เอ็นด์ให้กับลูกค้าในตลาด และแน่นอนซอฟต์แวร์ทั้งหมดนี้สามารถเชื่อมต่อกับโซลูชัน IoT และผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมต่อของเรา เพื่อให้ประสิทธิภาพแก่ผู้ใช้ได้มากยิ่งขึ้น" สเตฟาน นูสส์ กล่าว

ในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้มีการประกาศความมุ่งมั่นด้วยคำปฏิญาณด้านคาร์บอน เพื่อเร่งเปลี่ยนสู่ Net Zero Carbon หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ให้ได้ภายในปี 2030 โดยบริษัทฯ จะดำเนินการเปลี่ยนแปลงให้ได้ภายในปี 2025 เพื่อมุ่งมั่นสู่การสร้างความเป็นกลางด้านคาร์บอน สำหรับการดำเนินการในทางสังคม ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้มุ่งมั่นในการสร้างศักยภาพให้กับคนทำงานในทุกรุ่นและทุกภูมิภาค อีกทั้งสร้างความมั่นใจว่าบริษัทฯ ได้มอบโอกาสที่ทัดเทียมให้กับทุกคน

"สำหรับพวกเราที่ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ความยั่งยืนไม่ใช่สิ่งที่อยู่นอกเหนือการทำธุรกิจ แต่เป็นส่วนหนึ่งใน DNA ของเรา และเป็นส่วนหนึ่งของทุกสิ่งที่เราทำ" สเตฟาน นูสส์ กล่าวสรุป
#2055
BRR ฟื้นตัวอลังการบุ๊คกำไรปี 64 อยู่ที่ 129.31 ลบ. บอร์ดไฟเขียวแจกปันผลหุ้น-เงินสด ปักธงปี 65 ทุกกลุ่มธุรกิจรายได้โตหรู 50% น้ำตาล-บรรจุภัณฑ์ชานอ้อยดาวเด่น

"บมจ.น้ำตาลบุรีรัมย์ หรือ BRR" ประกาศผลงานปี 64 บุ๊คกำไร 129 ล้านบาท โดยกำไรเติบโตชัดเจนจากปีก่อน รับผลบวกจากราคาน้ำตาลเพิ่มสูงขึ้นและค่าเงินบาทที่อ่อนค่า ทำให้กลุ่มธุรกิจกลับมามีกำไร ประเมินปี 65 กำไรฟื้นตัวต่ออย่างมีนัยสำคัญเหตุมีคำสั่งซื้อบรรจุภัณฑ์ชานอ้อยในมือรอรับรู้รายได้ มั่นใจกลุ่มธุรกิจโตในทุกมิติ คาดรายได้พุ่ง 50% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากผลผลิตอ้อยเพิ่มขึ้นถึง 34% บวกกับแนวโน้มความต้องการน้ำตาลในตลาดโลกขยายตัวหนุนราคาน้ำตาลปรับขึ้น พร้อมเปิดแผนลงทุน 100 ล้านบาท ในธุรกิจบรรจุภัณฑ์ชานอ้อย หลังคำสั่งซื้อทะลักกว่า 90% มองอนาคตศักยภาพโตสูงเตรียมดันเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายใน 5 ปี

นายอนันต์ ตั้งตรงเวชกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท น้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BRR เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทฯ งวดปี 2564 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิงวดปี 2564 อยู่ที่ 129.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 123.17 ล้านบาท ซึ่งเติบโตอย่างชัดเจนจากงวดปี 2563 ที่มีกำไร 6.14 ล้านบาท สาเหตุที่กำไรเพิ่มขึ้น เนื่องจากได้รับผลบวกจากราคาน้ำตาลเพิ่มสูงขึ้น และค่าเงินบาทที่อ่อนค่า โดยมีรายได้รวมอยู่ที่ 4,028.65 ล้านบาท ซึ่งรายได้ลดลง 18.51 ล้านบาท หรือ 0.46% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 4,047.16 ล้านบาท เนื่องจากมีการเลื่อนส่งมอบน้ำตาลจากสถานการณ์โควิด-19 จากปลายปี 64 มาเป็นต้นปี 65 แทน ในขณะที่ราคาขายน้ำตาลในปี 64 ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาตลาดโลกเมื่อเทียบกับปี 63 เฉลี่ยร้อยละ 25 ต่อตันน้ำตาล

จากผลประกอบการที่มีกำไรดังกล่าว และเพื่อเป็นการตอบแทนผู้ถือหุ้นที่ยังคงเชื่อมั่น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติเสนอผู้ถือหุ้นจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการปี 2564 ในอัตราหุ้นละ 0.07 บาท/หุ้น คิดเป็นเงินรวม 56.84 ล้านบาท โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 10 พฤษภาคม 2565 และจ่ายเงินปันผลวันที่ 26 พฤษภาคม 2565

สำหรับศักยภาพการเติบโตของกลุ่มธุรกิจ BRR ในปี 2565 บริษัทวางเป้าหมายรายได้เติบโต 50% เมื่อเทียบกับปีก่อน เหตุจากทุกธุรกิจในเครือเติบโต หนุนรายได้เติบโตแข็งแกร่ง และมุ่งสู่การดำเนินธุรกิจแบบ New S Curve
ที่เน้นความยั่งยืนและใส่ใจสิ่งแวดล้อมอย่างบรรจุภัณฑ์ชานอ้อย อีกทั้งธุรกิจหลักมีแนวโน้มขาขึ้นจากความต้องการน้ำตาลในตลาดโลกขยายตัว ประกอบกับปริมาณผลผลิตน้ำตาลที่ออกสู่ตลาดมีจำนวนเพิ่มขึ้น รวมทั้งรายได้จากธุรกิจบรรจุภัณฑ์จากชานอ้อยขยายตัวมากขึ้น

"กลยุทธ์ของ BRR ในปี 2565 นี้ ตั้งเป้าทุกธุรกิจเติบโตรับปัจจัยเชิงบวก โดยเฉพาะเป็นช่วงขาขึ้นของราคาน้ำตาลทรายดิบที่ช่วงราคา 18.5-20 เซนต์/ปอนด์ ซึ่งมีปัจจัยมาจากผลผลิตน้ำตาลทั้งโลกไม่เพียงพอต่อความต้องการ และปัจจัยปัญหาการส่งออกน้ำตาลของอินเดีย ส่งผลดีต่อพรีเมี่ยมน้ำตาลทรายดิบของไทย โดยสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลดีต่อภาพรวมธุรกิจส่งออกน้ำตาลของไทยในปี 2565 ให้มีคำสั่งซื้อมากขึ้น โดยประมาณการผลผลิตอ้อยในฤดูการผลิตปี 2564/65 อยู่ที่ 2.35 ล้านตัน สูงกว่าปีก่อน 34% หนุนสถานการณ์ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าอย่างต่อเนื่องซึ่งส่งผลดีต่อภาพรวมผลการดำเนินงานทำให้รายได้จากการส่งออกปรับตัวสูงขึ้น" นายอนันต์ กล่าว

ด้านกลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์จากชานอ้อย ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท ชูการ์เคน อีโคแวร์ จำกัด (SEW)
คาดว่าในปี 2565 จะกลับมามีกำไร จากการเดินเครื่องได้เต็มกำลังการผลิตสอดคล้องกับคำสั่งซื้อจากลูกค้าต่างประเทศซึ่งเป็นสัญญาจองซื้อระยะยาวเฟสแรกรวมจำนวนกว่า 15 ล้านชิ้นต่อเดือน และในประเทศประมาณ 3 ล้านชิ้นต่อเดือน โดยเตรียมขยายเฟส 2 ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 โดยจะใช้วัตถุดิบเยื่อชานอ้อย (เยื่อสีน้ำตาล) ซึ่งเป็นโนว์ฮาวเฉพาะของบริษัท ได้ตั้งงบลงทุนไว้ราว 100 ล้านบาท สำหรับลงทุนในเครื่องจักรเพิ่มอีก 7 เครื่อง

"ด้านทิศทางของธุรกิจบรรจุภัณฑ์จากชานอ้อยในปีนี้ แนวโน้มกลับมาเติบโตโดดเด่น สามารถกลับมาทำกำไรได้ เนื่องจากมีออเดอร์ลูกค้าจากต่างประเทศที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่องหลังจากสถานการณ์โควิดคลี่คลาย ปัจจุบันมีคำสั่งซื้อเป็นสัญญาระยะยาวแล้วกว่า 90% โดยธุรกิจนี้มีศักยภาพในการเติบโตในอนาคตเตรียมผลักดันเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายใน 5 ปี" นายอนันต์ กล่าว

นอกจากนี้ BRR ยังลุยเสริมทัพด้วยธุรกิจเชื้อเพลิงชีวมวลอัดแท่ง (Wood pellet) โดยได้จัดตั้งบริษัท บีอาร์อาร์ กรีน โฮลดิ้ง จำกัด (BGH) ตอกย้ำการแตกไลน์ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ Wood pellet ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ส่วนความคืบหน้าโครงการ Wood pellet ในสปป.ลาว อยู่ระหว่างเตรียมการก่อสร้างโรงงาน คาดเตรียมกดปุ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ตามแผนภายในไตรมาส 2 ปี 2566
#2056
ปั้มแวคคั่ม หรือ แวคคั่มน้ำ สำหรับโรงงานอุตสากรรม

ปั้มแวคคั่ม แวคคั่มน้ำ หรือ ปั้มน้ำ สำหรับโรงงานอุตสากรรม แวคคั่มปั้มใช้สำหรับเครื่องจักรอุตรสาหกรรมต่างๆ ในราคามาตราฐานและมีคุณภาพ
ยินดีรับคืนสินค้าถ้าไม่ได้คุณภาพ แวคคั่มน้ำ ปั้มแวคคั่ม เป็นเครื่องที่ทำหน้าที่ดึงอากาศออกจากระบบเครื่องทำความเย็นและไล่ความชื้นออกจากระบบ เพื่อให้เครื่องทำความเย็นทำงานได้อย่างดีและมีประสิทธภาพ การที่มีอากาศอยู่ในระบบ มีข้อเสีย หลายประการด้วยกัน เช่น จะทำให้ผลความเย็นของระบบไม่ดีเท่าที่ควร ลดอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์ ทำให้เกิดการอุดตันความชื้น ภายในระบบ (ความชื้นกลายเป็นน้ำแข็งอุดรูเล็กๆ ปิดกั้นการไหลของสารทำความเย็น) และยังทำให้เกิดอันตรายกับชิ้นส่วนต่างๆของระบบอีกด้วย

ติดต่อ : 
Email : info@cctgroup.co.th
เบอร์โทรศัพท์ : 0816428556-7
Line ID : Lakkana99
E-mail : https://www.cctgroup.co.th 
#2057
จำหน่าย ชุดดัมเบลพร้อมชั้นวาง ดัมเบลน้ำหนัก ชั้นวางดัมเบล

ก่อนที่เราจะไปพูดถึงท่าเล่นด้วยดัมเบลน้ำหนัก ผมขอฝากอุปกรณ์ฟิตเนสของผมสักหน่อยนะครับ ชุดดัมเบมพร้อมชั้นวาง เป็นอุปกรณ์ในการเล่นฟิตเนสที่จำเป็นในการเล่น 8 ท่าเล่นที่ผมกำลังจะพูดถึงและที่สำคัญราคาเอื้อมถึง คุณภาพเยี่ยม รองรับจากบริษัทเราเองโดยตรง 8 ท่าเล่นด้วยดัมเบลน้ำหนักที่ผมกำลังจะพูดถึงแต่เราไม่ค่อยได้เล่นกันและที่สำคัญเลยท่าเหล่านี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่เราจะใช้ในการเพิ่มกล้ามเนื้อ เพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ

  • อุปกรณ์นำเข้า หลายเกรดคุณภาพฟิตเนส ให้คุณเลือก
  • สินค้ารับประกันทุกชิ้นส่วน
  • ผ่อนจ่ายได้ตามความสะดวกของลูกค้า
  • บริการออกแบบด้วย ระบบ 3D สมจริง
  • บริการซ่อมบำรุงหลังการขาย ระดับมืออาชีพ
  • บริการจัดส่งทั่วไทย ส่งฟรี กทม ปริมณฑล
  • ให้คำปรึกษาฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย
สนใจสอบถามข้อมูล ทางนี้เลย
Tel: 089-750-7380

 
#2058
CEO DV8 ขึ้นเวที แพรวTalk The Fight Club Round 2 ย้ำจุดยืนการสร้างธุรกิจเพื่อสังคม

"ปัญหามีไว้แก้ ทุกวิกฤตมีโอกาส ผมเชื่อว่ามันมีช่องโหว่ในการหารายได้เข้ามาช่วยองค์กร โดยเบื้องต้นเราต้องคำนึงถึงสังคมก่อน ว่าสังคมได้รับประโยชน์อะไร พนักงานในองค์กรได้รับประโยชน์อะไร โดยเราใช้ประสบการณ์จากการเรียน ทำงาน และเดินทางที่ต่างประเทศ ทำให้มี Networking ทั่วโลก เราเลยจะดึงเอาพาร์ทเนอร์จากหลายประเทศมาร่วมมือกันเพื่อให้ผ่านวิกฤตนี้ไปได้"

เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมา คุณณัฐพล เกษมวิลาศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีวี8 จำกัด (มหาชน) ได้รับเกียรติให้ขึ้นมาเล่าประสบการณ์ด้านธุรกิจ ที่ผ่านการต่อสู้ ฝ่าฟัน จนสามารถก้าวเข้ามาสู่ตำแหน่งในปัจจุบันได้

คุณณัฐพล ได้เล่าถึงปัญหาและผลกระทบที่ได้รับจากวิกฤตโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ซึ่งทำให้บริการสื่อ เข้าสู่ช่วงถดถอย แต่ในวิกฤตดังกล่าว คุณณัฐพลก็ได้มองเห็นโอกาส และความเป็นไปได้ จากการใช้เทคโนโลยีและการร่วมมือกับพาร์ทเนอร์จากต่างประเทศ เพื่อแก้ปัญหา และเพิ่มพูนรายได้ให้กับองค์กร

นอกจากนั้นคุณณัฐพล ยังคงย้ำชัดถึงการทำธุรกิจเพื่อสังคม โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่สังคมจะได้รับจากการทำธุรกิจของบริษัทเป็นอันดับแรกเสมอ เช่นการหารายได้จากต่างประเทศ เพื่อเข้ามาจุนเจือในประเทศ มากกว่าการหารายได้จากภายในประเทศเอง

นอกจากวิกฤตด้านธุรกิจ คุณณัฐพลยังต้องต่อสู้กับวิกฤตด้านสุขภาพที่เกิดจาก โรคเส้นเลือดขอดในสมอง ที่ทำให้ต้องผ่าตัดสมองและพักฟื้นนานถึง 3 เดือน ทำให้คุณณัฐพลต้องพักจากกิจกรรมและกีฬาต่าง ๆ ที่ตัวเองรัก แต่ด้วยการมีทัศนคติที่ดี และการใส่ใจในสุขภาพของตัวเองมากขึ้น ทำให้สามารถผ่านพ้นวิกฤตโรคร้ายมาได้ และพร้อมจะทำงานต่อไปได้อย่างเต็มที่

สุดท้ายด้านแนวทางในการพัฒนาธุรกิจในอนาคต คุณณัฐพลมองว่าการเข้ามารับตำแหน่ง ทำให้ต้องสร้างรากฐานบริษัทให้แข็งแรงใหม่ และมองหาโอกาสทางธุรกิจที่จะทำให้ผู้ถือหุ้น นักลงทุน และพนักงานมีความเชื่อมั่นในองค์กร ซึ่งเป้าหมายขององค์กรในปัจจุบันคือจะเป็น Total Solution ของ Media โดยการใช้เทคโนโลยีเข้ามาอินทิเกรตกับสื่อ อย่างเช่น AI และ Quantum Computing ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ยังไม่แพร่หลายในประเทศไทยสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
#2059
สหรัฐเผยยอดขายบ้านใหม่ต่ำกว่าคาดในเดือนม.ค.

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่ลดลง 4.5% สู่ระดับ 801,000 ยูนิตในเดือนม.ค. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 806,000 ยูนิต

เมื่อเทียบรายปี ยอดขายบ้านใหม่ดิ่งลง 19.3% ในเดือนม.ค.

ยอดขายบ้านใหม่ได้รับผลกระทบจากราคาบ้านที่พุ่งขึ้น และการดีดตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง

ขณะเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์ยังได้ปรับเพิ่มยอดขายบ้านใหม่ในเดือนธ.ค.สู่ระดับ 839,000 ยูนิต จากเดิมรายงานที่ระดับ 811,000 ยูนิต

นอกจากนี้ ราคาเฉลี่ยของบ้านใหม่พุ่งขึ้น 13.4% สู่ระดับ 423,300 ดอลลาร์ในเดือนม.ค.

ส่วนสต็อกบ้านใหม่อยู่ที่ระดับ 406,000 ยูนิต

เมื่อพิจารณายอดขายบ้าน และสต็อกบ้านในตลาด พบว่า ผู้ขายบ้านต้องใช้เวลา 6.1 เดือนในการขายบ้านจนหมดสต็อกในตลาด เพิ่มขึ้นจากระดับ 5.6 เดือนในเดือนธ.ค.
#2060
ฟอลคอนประกันภัยฝ่าวิกฤติโควิด ปี 2564 เติบโตสูง 15% พร้อมสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง เผยเงินกองทุนสูง 246% พร้อมเดินหน้าลุยปีเสือ ตั้งเป้า 3.1 พันล้านบาท ชูนโยบาย ESG เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์องค์กร มั่นใจโตต่อเนื่องและยั่งยืน

คุณโสภา กาญจนรินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟอลคอนประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าความสำเร็จที่เกิดขึ้นในปี 2564 นั้น มาจากปัจจัยหลายส่วนประกอบกัน แม้ว่าสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมประกันภัยเป็นวงกว้างก็ตาม แต่สำหรับฟอลคอนประกันภัย เราได้ดำเนินการตามนโยบายการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ ควบคุมทุกกระบวนการภายในบริษัทฯ เพื่อให้สามารถบริหารความเสี่ยงให้อยู่ภายใต้ความเสี่ยงที่ยอมรับได้  และเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ฟอลคอนฯ ควบคุมปริมาณการรับประกันโควิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบกับการเติบโตจากการรับประกันภัยประเภทอื่นๆ รวมถึงกลยุทธ์การรุกตลาดทุกช่องทาง และการปรับขั้นตอนการทำงานโดยมุ่งเน้น Automation process ในระบบการปฎิบัติการหลักของบริษัทฯ ในทุกส่วนงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการจัดการต้นทุนได้ดียิ่งขึ้น

ปี 2564 ฟอลคอนฯ มีเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 2,953 ล้านบาท เติบโตกว่า 15% เมื่อเทียบกับปึ 2563 สัดส่วนของการรับประกันภัย (Portfolio Mix) ระหว่าง Motor และ Non-Motor อยู่ที่ 51:49 โดยเบี้ยประกันภัยรถยนต์คิดเป็นสัดส่วน 51% รองลงมาเป็นประกันภัยทรัพย์สิน 21% ประกันภัยอุบัติเหตุและสุขภาพ 12%  ประกันภัยเบ็ดเตล็ด 11% และประกันภัยอื่นๆ 5% สำหรับสัดส่วนของเบี้ยประกันโควิด-19 คิดเป็นประมาณ 1%  ของเบี้ยประกันภัยรับ จึงไม่ส่งผลกระทบต่อการจัดการด้านสินไหมของบริษัทฯ รวมถึงการดำเนินธุรกิจกับคู่ค้าทุกรายยังคงเป็นไปตามปกติ ณ สิ้นปี 2564 บริษัทฯ มีอัตราส่วนเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามกฎหมายหรือ CAR  246% เมื่อเทียบกับขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนด 120%

คุณโสภา กล่าวเพิ่มเติมว่า "ปี 2565 ฟอลคอนฯ ตั้งเป้าการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับที่ 3,125 ล้านบาท ในส่วนของกลยุทธ์นั้น ฟอลคอนฯ ยังคงมุ่งเน้นทำการตลาดทั้งกลุ่มลูกค้ารายเดี่ยวและกลุ่มลูกค้าองค์กร รวมถึงการขยายฐานลูกค้าไปยังตลาดใหม่ๆ  แต่ยังคงเคร่งครัดในเรื่องการพิจารณารับประกันภัยและการจัดการสินไหมทดแทน ในปีนี้ฟอลคอนฯ มีแผนนำระบบ AI มาใช้ในการประเมินความเสียหายของรถยนต์เพื่อความถูกต้องแม่นยำและช่วยลดระยะเวลาในการขออนุมัติซ่อม ในส่วนของการรับ-ส่งข้อมูลและการสื่อสารระหว่างอู่กับบริษัทฯ ดำเนินการผ่านแพลตฟอร์มโดยการใช้ภาพถ่ายและข้อมูลในรูปแบบดิจิตอล ซึ่งการใช้ AI ในการประเมินความเสียหายนี้จะช่วยให้การอนุมัติซ่อมเป็นไปอย่างเป็นธรรมและโปร่งใสจากการใช้ราคากลางค่าซ่อมที่เป็นมาตรฐาน ทำให้ลูกค้าและคู่ค้าได้รับการบริการที่มีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น ฟอลคอนฯ ได้พัฒนาระบบงานการให้บริการลูกค้าผู้ถือกรมธรรม์โดยลูกค้าสามารถติดต่อบริษัทฯ ผ่านทุกช่องทาง (Omni Channel) ด้วยการเชื่อมโยงช่องทางการติดต่อทุกช่องทางเข้าระบบ CRM เพื่อให้สามารถสื่อสารกับลูกค้าได้รวดเร็ว ทุกที่ ทุกเวลา ผ่าน Cloud Platform"

อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับการดำเนินธุรกิจในปี 2565 นี้ คือการนำนโยบาย ESG เข้ามาเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์องค์กรเพื่อเป้าหมายในการเป็นบริษัทประกันวินาศภัยที่เติบโตยั่งยืน โดยเริ่มต้นจากการขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวในทุกส่วนงานอย่างเป็นรูปธรรม และกับลูกค้า คู่ค้าทุกกลุ่ม โดยบริษัทฯ มุ่งเน้นการจัดการให้มีกรอบการกำกับดูแลกิจการที่ดี โดยในปีนี้ฟอลคอนฯ มุ่งเน้นการกำกับดูแลและบริหารจัดการความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและภัยคุกคามทางไซเบอร์ รวมทั้งมีการจัดระบบงานให้สอดคล้องตามหลักธรรมาภิบาล การบริหารความเสี่ยงที่ดี และเป็นไปตามมาตรฐานสากล  บริษัทฯ มีแผนเข้าไปร่วมสนับสนุนงบประมาณกับหน่วยงานหรือองค์กรที่ไม่แสวงกำไร โดยในปีนี้ฟอลคอนมีแผนงานให้ลูกค้าสามารถเลือกรับกรมธรรม์ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยค่าใช้จ่ายจากการผลิตชุดกรมธรรม์จะนำมาบริจาคสมทบทุนให้กับองค์การด้านสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้เตรียมออกแผนประกันภัยสนับสนุนการใช้พลังงานทดแทนจากพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับลูกค้าประกันภัยที่อยู่อาศัย โดยการมอบข้อเสนอพิเศษ เช่น ส่วนลดเบี้ยประกัน หรือการขยายความคุ้มครองเพิ่มเติมไปยังวัสดุที่ติดตั้งเพื่อเก็บกักพลังงานอีกด้วย สำหรับกระบวนการจัดการภายใน ฟอลคอนฯ ได้กำหนดนโยบายการทำงานแบบไฮบริดสำหรับพนักงานเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งจะสามารถช่วยลดปริมาณการเดินทางของพนักงานและมีผลโดยตรงในการช่วยลดการใช้พลังงานและลดการเกิดภาวะเรือนกระจกอีกด้วย" คุณโสภากล่าว

ตลอด 15 ปีของการดำเนินธุรกิจ ฟอลคอนประกันภัยยังคงมุ่งมั่นเติบโตไปพร้อมการรับผิดชอบต่อสังคมอย่างต่อเนื่อง ฟอลคอนเริ่มนำนโยบาย ESG มาเป็นกรอบการในการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน มุ่งเน้นให้บริการที่ดีแก่ลูกค้าและคู่ค้า การดำเนินธุรกิจแบบโปร่งใสและมีจรรยาบรรณ การช่วยเหลือและตอบแทนคืนสู่สังคม ทั้งนี้ เพื่อให้สังคมของเราเป็นสังคมที่มีคุณภาพอย่างยั่งยืน

เกี่ยวกับฟอลคอนประกันภัย

บริษัท ฟอลคอนประกันภัย จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทประกันวินาศภัยที่มีสินทรัพย์มากกว่า 4,600 ล้านบาท มีเงินทุนมากกว่า 600 ล้านบาท ฟอลคอนฯ เป็นบริษัทจากการร่วมทุนระหว่างบริษัท นวกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน) และ Falcon Insurance Company (Hong Kong) Limited ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่ม Fairfax Financial Holdings Limited (FFH) ผู้ให้บริการด้านการเงินที่มั่นคงรายใหญ่แห่งหนึ่งของโลก สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ประเทศแคนาดา ปัจจุบัน Fairfax มีสินทรัพย์ 2,200,000 ล้านบาท และมีเงินทุนมากกว่า 376,000 ล้านบาท โดยบริษัทในกลุ่ม Fairfax ประกอบกิจการอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ยุโรป ตะวันออกกลาง แอฟริกา นิวซีแลนด์ และเอเชีย ในเอเชียกลุ่มบริษัท Fairfax ดำเนินธุรกิจประกันวินาศภัยอยู่ในประเทศไทย สิงคโปร์ ฮ่องกง จีน มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม ศรีลังกา อินเดีย และสปป.ลาว กลุ่มบริษัท Fairfax มีความชำนาญในด้านประกันวินาศภัยทุกประเภท ได้แก่ ประกันภัยทรัพย์สิน ประกันภัยเบ็ดเตล็ด การรับประกันภัยต่อ การบริหารการลงทุน และการบริหารการจัดการสินไหมทดแทน